วันเวลาปัจจุบัน 22 ก.ค. 2025, 00:40  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 88 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มี.ค. 2019, 18:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2018, 07:07
โพสต์: 482

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Love J. เขียน:
ผมเข้าใจอย่างนี้ว่า

อารมณ์สมถะคือ สงบตั้งมั่นอยู่ภายใน มีอารมณ์อันเดียวคือสุขหรืออุเบกขา
เพียรทำความสงบแห่งจิตภายในให้เกิดขึ้นก็เป็น สมถะภาวนา

อารมณ์วิปัสสนาคือ เห็นความเป็นจริง แยกธาตุ แยกขันธ์ เห็นนามรูปว่าเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
เห็น อุปาทานทุกข์ เพียรเจริญสติระลึกรู้ แลดูขันธ์ ๕ รูปนามกายใจก็ตามเป็นจริง เป็นวิปัสสนาภาวนา

ต้องอาศัยทั้งสมถะ วิปัสสนา เพื่อยังมรรคให้เกิดคือเห็นทุกข์ เห็นสมุทัย เห็นนิโรธ เห็นมรรค (เปลี่ยนโคตรเป็นพระโสดาบัน ) เมื่อมรรคเกิดแล้วเสพให้มากย่อมละสังโยชน์ทั้งหลายได้ ( พระอริยเจ้าแม้ไม่ได้ศึกษาปริยัติก็เห็นเครื่องร้อยรัดตนเอง เห็นหนทางปฏิบัติได้เองตามลำดับขึ้นอยู่กับอินทรีย์พละของแต่ละท่าน )


จะบอกให้ก็ได้ นี่คืออ่านหนังสือ อ่านแล้วอ่านไปอ่านมา อ่านมาอ่านไป หนักเข้าก็จะเป็นพระอริยะสะเฉยๆยังงั้นแหละ :b32:


ผมจะเป็นพระอริยะ หรือไม่ได้เป็น อย่ามาใส่ใจหยิบขึ้นมาเป็นประเด็นเลยครับ ใสใจเนื้อความดีกว่า

ก็ผมอ่านพระธรรมคำสอน พิจารณาศึกษาพระธรรมคำสอน ความเห็นผมก็ออกมาอย่างนี้ จึงกล่าวออก
มากอย่างนี้ หากเห็นผิดตรงไหนก็ชี้บอกได้ครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มี.ค. 2019, 18:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Love J. เขียน:
ผมเข้าใจอย่างนี้ว่า

อารมณ์สมถะคือ สงบตั้งมั่นอยู่ภายใน มีอารมณ์อันเดียวคือสุขหรืออุเบกขา
เพียรทำความสงบแห่งจิตภายในให้เกิดขึ้นก็เป็น สมถะภาวนา

อารมณ์วิปัสสนาคือ เห็นความเป็นจริง แยกธาตุ แยกขันธ์ เห็นนามรูปว่าเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
เห็น อุปาทานทุกข์ เพียรเจริญสติระลึกรู้ แลดูขันธ์ ๕ รูปนามกายใจก็ตามเป็นจริง เป็นวิปัสสนาภาวนา

ต้องอาศัยทั้งสมถะ วิปัสสนา เพื่อยังมรรคให้เกิดคือเห็นทุกข์ เห็นสมุทัย เห็นนิโรธ เห็นมรรค (เปลี่ยนโคตรเป็นพระโสดาบัน ) เมื่อมรรคเกิดแล้วเสพให้มากย่อมละสังโยชน์ทั้งหลายได้ ( พระอริยเจ้าแม้ไม่ได้ศึกษาปริยัติก็เห็นเครื่องร้อยรัดตนเอง เห็นหนทางปฏิบัติได้เองตามลำดับขึ้นอยู่กับอินทรีย์พละของแต่ละท่าน )


จะบอกให้ก็ได้ นี่คืออ่านหนังสือ อ่านแล้วอ่านไปอ่านมา อ่านมาอ่านไป หนักเข้าก็จะเป็นพระอริยะสะเฉยๆยังงั้นแหละ :b32:


ผมจะเป็นพระอริยะ หรือไม่ได้เป็น อย่ามาใส่ใจหยิบขึ้นมาเป็นประเด็นเลยครับ ใสใจเนื้อความดีกว่า

ก็ผมอ่านพระธรรมคำสอน พิจารณาศึกษาพระธรรมคำสอน ความเห็นผมก็ออกมาอย่างนี้ จึงกล่าวออก
มากอย่างนี้ หากเห็นผิดตรงไหนก็ชี้บอกได้ครับ


ก็บอกว่า นั่นคุณเอาตำรามาว่า ไม่ใช่ลงมือทำ จริงไม่จริง

แบบนี้นะถ้าปฏิบัติบ้าขอรับ :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มี.ค. 2019, 18:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นี่ก็อารมณ์สมถะ ไม่ใช่อารมณ์วิปัสสนา แต่วิปัสสนาก็ต้องไปทางนี้แหละไปอีก


เดินจงกรมซักพัก แว้บนึงก้มไปมองที่เท้า เห็นว่าเท้าที่เดินอยู่ไม่ใช่ตัวเรา ความรู้สึกเหมือนเรามองศพคนอื่น แต่ว่าพอเห็นเช่นนั้นความกลัวผุดขึ้น จิตมันก็เลยถอยออกมาจากความรู้สึกนั้น
ที่เห็นเช่นนี้ ปฏิบัติถูกต้องไหมครับ?
ถ้าผิด/ถูก ควรทำอย่างไรต่อไป?

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มี.ค. 2019, 18:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2018, 07:07
โพสต์: 482

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Love J. เขียน:
ผมเข้าใจอย่างนี้ว่า

อารมณ์สมถะคือ สงบตั้งมั่นอยู่ภายใน มีอารมณ์อันเดียวคือสุขหรืออุเบกขา
เพียรทำความสงบแห่งจิตภายในให้เกิดขึ้นก็เป็น สมถะภาวนา

อารมณ์วิปัสสนาคือ เห็นความเป็นจริง แยกธาตุ แยกขันธ์ เห็นนามรูปว่าเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
เห็น อุปาทานทุกข์ เพียรเจริญสติระลึกรู้ แลดูขันธ์ ๕ รูปนามกายใจก็ตามเป็นจริง เป็นวิปัสสนาภาวนา

ต้องอาศัยทั้งสมถะ วิปัสสนา เพื่อยังมรรคให้เกิดคือเห็นทุกข์ เห็นสมุทัย เห็นนิโรธ เห็นมรรค (เปลี่ยนโคตรเป็นพระโสดาบัน ) เมื่อมรรคเกิดแล้วเสพให้มากย่อมละสังโยชน์ทั้งหลายได้ ( พระอริยเจ้าแม้ไม่ได้ศึกษาปริยัติก็เห็นเครื่องร้อยรัดตนเอง เห็นหนทางปฏิบัติได้เองตามลำดับขึ้นอยู่กับอินทรีย์พละของแต่ละท่าน )


จะบอกให้ก็ได้ นี่คืออ่านหนังสือ อ่านแล้วอ่านไปอ่านมา อ่านมาอ่านไป หนักเข้าก็จะเป็นพระอริยะสะเฉยๆยังงั้นแหละ :b32:


ผมจะเป็นพระอริยะ หรือไม่ได้เป็น อย่ามาใส่ใจหยิบขึ้นมาเป็นประเด็นเลยครับ ใสใจเนื้อความดีกว่า

ก็ผมอ่านพระธรรมคำสอน พิจารณาศึกษาพระธรรมคำสอน ความเห็นผมก็ออกมาอย่างนี้ จึงกล่าวออก
มากอย่างนี้ หากเห็นผิดตรงไหนก็ชี้บอกได้ครับ


ก็บอกว่า นั่นคุณเอาตำรามาว่า ไม่ใช่ลงมือทำ จริงไม่จริง

แบบนี้นะถ้าปฏิบัติบ้าขอรับ :b32:


อื้มครับ ผมไม่ค่อยได้ลงมือทำ ทำน้อย ทำเนือง ๆ แล้วคุณกรัชกายจะมาใส่ใจทำไมในปฏิปทาของผม
ก็สาระประเด็นมันอยู่ในสิ่งที่ผมโพส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มี.ค. 2019, 18:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Love J. เขียน:
ผมเข้าใจอย่างนี้ว่า

อารมณ์สมถะคือ สงบตั้งมั่นอยู่ภายใน มีอารมณ์อันเดียวคือสุขหรืออุเบกขา
เพียรทำความสงบแห่งจิตภายในให้เกิดขึ้นก็เป็น สมถะภาวนา

อารมณ์วิปัสสนาคือ เห็นความเป็นจริง แยกธาตุ แยกขันธ์ เห็นนามรูปว่าเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
เห็น อุปาทานทุกข์ เพียรเจริญสติระลึกรู้ แลดูขันธ์ ๕ รูปนามกายใจก็ตามเป็นจริง เป็นวิปัสสนาภาวนา

ต้องอาศัยทั้งสมถะ วิปัสสนา เพื่อยังมรรคให้เกิดคือเห็นทุกข์ เห็นสมุทัย เห็นนิโรธ เห็นมรรค (เปลี่ยนโคตรเป็นพระโสดาบัน ) เมื่อมรรคเกิดแล้วเสพให้มากย่อมละสังโยชน์ทั้งหลายได้ ( พระอริยเจ้าแม้ไม่ได้ศึกษาปริยัติก็เห็นเครื่องร้อยรัดตนเอง เห็นหนทางปฏิบัติได้เองตามลำดับขึ้นอยู่กับอินทรีย์พละของแต่ละท่าน )


จะบอกให้ก็ได้ นี่คืออ่านหนังสือ อ่านแล้วอ่านไปอ่านมา อ่านมาอ่านไป หนักเข้าก็จะเป็นพระอริยะสะเฉยๆยังงั้นแหละ :b32:


ผมจะเป็นพระอริยะ หรือไม่ได้เป็น อย่ามาใส่ใจหยิบขึ้นมาเป็นประเด็นเลยครับ ใสใจเนื้อความดีกว่า

ก็ผมอ่านพระธรรมคำสอน พิจารณาศึกษาพระธรรมคำสอน ความเห็นผมก็ออกมาอย่างนี้ จึงกล่าวออก
มากอย่างนี้ หากเห็นผิดตรงไหนก็ชี้บอกได้ครับ


ก็บอกว่า นั่นคุณเอาตำรามาว่า ไม่ใช่ลงมือทำ จริงไม่จริง

แบบนี้นะถ้าปฏิบัติบ้าขอรับ :b32:


อื้มครับ ผมไม่ค่อยได้ลงมือทำ ทำน้อย ทำเนือง ๆ แล้วคุณกรัชกายจะมาใส่ใจทำไมในปฏิปทาของผม
ก็สาระประเด็นมันอยู่ในสิ่งที่ผมโพส



เห็นว่าทำมา ก็อยากรู้ว่าทำรูปแบบไหนมา กรัชกายว่า คุณไม่เคยทำ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มี.ค. 2019, 18:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ตัวอย่างนี้อารมณ์สมถะชัดเลย ซึ่งยังไม่ถึงวิปัสสนา วิปัสสนาก็ไปทางนี้แหละ แต่ต้องไปอีก กำหนดรู้ดูมันไปๆๆๆ


ผมเป็นคนนั่งสมาธิมาตั้งแต่อายุประมาณ 6 ขวบ ก็นั่งมาเรื่อยครับ จนปัจจุบันอายุ 40 ปี
ลองศึกษาหลายๆ แนวทาง จนรู้สึกแนวอานาปานสติ น่าจะเหมาะกับตัวเราก็เลยปฏิบัติแนวนี้มาตลอดครับ

เคยมีอยู่ครั้งนึง ผมนั่งสมาธิไปได้ประมาณ 30 นาที จิตนิ่งจนหูไม่ได้ยินเสียง จมูกไม่ได้กลิ่น อยู่ดีๆ ก็เห็นตัวเองออกมายืนดูเราที่กำลังนั่งสมาธิอยู่
ผมก็มองดู เอ..หรือ เราตายแล้ว ก็ยังกลัวๆครับ แต่ก็ตกใจสุด
ตอนดูตัวเองนั่งสมาธิไปเรื่อยๆ ผิวหนังมันถูกถลกออกครับ จะเห็นเป็นกล้ามเนื้อ เส้นเลือด แล้วก็โดนถลกออกอีก จนเห็นเป็นโครงกระดูก แล้วค่อยๆ หายไป

แล้วเหมือนใครเอาน้ำเย็นมากๆ มาสาด แล้วก็ประกอบร่างใหม่กลับมาเป็นตัวเราที่นั่งสมาธิอยู่ แล้วก็โดนถลกออกอีกครับ หนัง เนื้อ กระดูก ภาพมันซ้ำๆแบบนี้ จนนั่งไป 3 ชม.

พอดีนาฬิกาปลุกดังขึ้น ผมเลยลืมตาออกจากสมาธิ ใจนึงก็กลัว
แต่ใจนึง ก็รู้สึกเบื่อขึ้นมาในกายสังขารนี้

เพื่อนๆ เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มั้ยครับ มันคืออะไรครับ เราควรจะปฏิบัติเช่นไรต่อเพื่อให้เกิดปัญญาตามแนวทางวิปัสสนากรรมฐานครับ รบกวนขอคำแนะนำ ชี้แนะจากเพื่อน พี่ น้อง ที่ปฏิบัติธรรมด้วยครับ.


ออกตัวก่อนว่าผมไม่ใช่ผู้ปฏิบัติอย่างเคร่งครัดหรือมีความรู้อะไรมากมาย จะตอบอย่างที่เคยได้ศึกษามาจากพระไตรปิฏก และสภาวะที่เห็น ตามความคิดของตนขอให้พิจารณากันเอง เพราะทุกคนก็มุ่งอยากจะปฏิบัติเหลือเกิน โดยไม่ได้ศึกษาพระไตรปิฏกหรือเรียนพระพุทธพจน์เท่าที่ควร

บุคคลท่านนี้เห็นเป็นกล้ามเนื้ออะไรเทือกนี้เป็นอารมณ์ของสมถกัมมัฏฐาน เป็นการเพ่งจนกระทั่งจิตสงบ มีอารมณ์เป็นหนึ่ง ถ้าผมจะให้คำแนะนำก็ ก็จะบอกว่า สิ่งที่ปรากฎนั้นเป็นเพียงรูปที่ปรากฎทางตา เป็นอายตนะอย่างหนึ่งที่เกิดและดับ ไม่ใช่กล้ามเนื่อไม่ใช่สัตว์บุคคล แต่เป็นเพียงสีสันที่ปรากฎให้เห็น แล้วก็เปลี่ยนไป


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มี.ค. 2019, 19:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปฤษฎี เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ตัวอย่างนี้อารมณ์สมถะชัดเลย ซึ่งยังไม่ถึงวิปัสสนา วิปัสสนาก็ไปทางนี้แหละ แต่ต้องไปอีก กำหนดรู้ดูมันไปๆๆๆ


ผมเป็นคนนั่งสมาธิมาตั้งแต่อายุประมาณ 6 ขวบ ก็นั่งมาเรื่อยครับ จนปัจจุบันอายุ 40 ปี
ลองศึกษาหลายๆ แนวทาง จนรู้สึกแนวอานาปานสติ น่าจะเหมาะกับตัวเราก็เลยปฏิบัติแนวนี้มาตลอดครับ

เคยมีอยู่ครั้งนึง ผมนั่งสมาธิไปได้ประมาณ 30 นาที จิตนิ่งจนหูไม่ได้ยินเสียง จมูกไม่ได้กลิ่น อยู่ดีๆ ก็เห็นตัวเองออกมายืนดูเราที่กำลังนั่งสมาธิอยู่
ผมก็มองดู เอ..หรือ เราตายแล้ว ก็ยังกลัวๆครับ แต่ก็ตกใจสุด
ตอนดูตัวเองนั่งสมาธิไปเรื่อยๆ ผิวหนังมันถูกถลกออกครับ จะเห็นเป็นกล้ามเนื้อ เส้นเลือด แล้วก็โดนถลกออกอีก จนเห็นเป็นโครงกระดูก แล้วค่อยๆ หายไป

แล้วเหมือนใครเอาน้ำเย็นมากๆ มาสาด แล้วก็ประกอบร่างใหม่กลับมาเป็นตัวเราที่นั่งสมาธิอยู่ แล้วก็โดนถลกออกอีกครับ หนัง เนื้อ กระดูก ภาพมันซ้ำๆแบบนี้ จนนั่งไป 3 ชม.

พอดีนาฬิกาปลุกดังขึ้น ผมเลยลืมตาออกจากสมาธิ ใจนึงก็กลัว
แต่ใจนึง ก็รู้สึกเบื่อขึ้นมาในกายสังขารนี้

เพื่อนๆ เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มั้ยครับ มันคืออะไรครับ เราควรจะปฏิบัติเช่นไรต่อเพื่อให้เกิดปัญญาตามแนวทางวิปัสสนากรรมฐานครับ รบกวนขอคำแนะนำ ชี้แนะจากเพื่อน พี่ น้อง ที่ปฏิบัติธรรมด้วยครับ.


ออกตัวก่อนว่าผมไม่ใช่ผู้ปฏิบัติอย่างเคร่งครัดหรือมีความรู้อะไรมากมาย จะตอบอย่างที่เคยได้ศึกษามาจากพระไตรปิฏก และสภาวะที่เห็น ตามความคิดของตนขอให้พิจารณากันเอง เพราะทุกคนก็มุ่งอยากจะปฏิบัติเหลือเกิน โดยไม่ได้ศึกษาพระไตรปิฏกหรือเรียนพระพุทธพจน์เท่าที่ควร

บุคคลท่านนี้เห็นเป็นกล้ามเนื้ออะไรเทือกนี้เป็นอารมณ์ของสมถกัมมัฏฐาน เป็นการเพ่งจนกระทั่งจิตสงบ มีอารมณ์เป็นหนึ่ง ถ้าผมจะให้คำแนะนำก็ ก็จะบอกว่า สิ่งที่ปรากฎนั้นเป็นเพียงรูปที่ปรากฎทางตา เป็นอายตนะอย่างหนึ่งที่เกิดและดับ ไม่ใช่กล้ามเนื่อไม่ใช่สัตว์บุคคล แต่เป็นเพียงสีสันที่ปรากฎให้เห็น แล้วก็เปลี่ยนไป



มันก็เปลี่ยนไปนั่นไง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มี.ค. 2019, 19:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
นี่ก็อารมณ์สมถะยังไม่ถึงวิปัสสนา

นั่งสมาธิแล้วเห็นหัวกะโหลก

เคยนั่งสมาธิ แล้วเห็นกระดูกไปครึ่งตัว จากนั้นกระดูกมันหักเข้าหากัน หมายความว่ายังไง?

นั่งสมาธิอยู่มีสติรับรู้หมด อยู่ดีๆ ก็เห็นภาพกระดูกนั่งขัดสมาธิ ไปซี่โครงเป็นซี่ๆ ไหปลาร้า เห็นมือขวาทับมือซ้าย คือเป็นท่านั่งสมาธิอะครับ
แล้วมีสีเขียวๆในภาพด้วย เห็นไม่สมบูรณ์นะ ที่ปรากฎให้เห็น แล้วอยู่ดีๆ กระดูกมันก็หักเข้าหากัน แล้วก็จบแค่นั้นอะครับ

อยากถามว่ามันคืออะไร ? นิมิต จินตนาการ หรือสิ่งที่เราเพ่งทุกวันว่าร่างกายมันคือกระดูก
ไม่เข้าใจ ..



เป็นการเพ่งจนได้สมาธินิมิต เป็นอารมณ์ของสมถะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มี.ค. 2019, 19:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ปฤษฎี เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ตัวอย่างนี้อารมณ์สมถะชัดเลย ซึ่งยังไม่ถึงวิปัสสนา วิปัสสนาก็ไปทางนี้แหละ แต่ต้องไปอีก กำหนดรู้ดูมันไปๆๆๆ


ผมเป็นคนนั่งสมาธิมาตั้งแต่อายุประมาณ 6 ขวบ ก็นั่งมาเรื่อยครับ จนปัจจุบันอายุ 40 ปี
ลองศึกษาหลายๆ แนวทาง จนรู้สึกแนวอานาปานสติ น่าจะเหมาะกับตัวเราก็เลยปฏิบัติแนวนี้มาตลอดครับ

เคยมีอยู่ครั้งนึง ผมนั่งสมาธิไปได้ประมาณ 30 นาที จิตนิ่งจนหูไม่ได้ยินเสียง จมูกไม่ได้กลิ่น อยู่ดีๆ ก็เห็นตัวเองออกมายืนดูเราที่กำลังนั่งสมาธิอยู่
ผมก็มองดู เอ..หรือ เราตายแล้ว ก็ยังกลัวๆครับ แต่ก็ตกใจสุด
ตอนดูตัวเองนั่งสมาธิไปเรื่อยๆ ผิวหนังมันถูกถลกออกครับ จะเห็นเป็นกล้ามเนื้อ เส้นเลือด แล้วก็โดนถลกออกอีก จนเห็นเป็นโครงกระดูก แล้วค่อยๆ หายไป

แล้วเหมือนใครเอาน้ำเย็นมากๆ มาสาด แล้วก็ประกอบร่างใหม่กลับมาเป็นตัวเราที่นั่งสมาธิอยู่ แล้วก็โดนถลกออกอีกครับ หนัง เนื้อ กระดูก ภาพมันซ้ำๆแบบนี้ จนนั่งไป 3 ชม.

พอดีนาฬิกาปลุกดังขึ้น ผมเลยลืมตาออกจากสมาธิ ใจนึงก็กลัว
แต่ใจนึง ก็รู้สึกเบื่อขึ้นมาในกายสังขารนี้

เพื่อนๆ เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มั้ยครับ มันคืออะไรครับ เราควรจะปฏิบัติเช่นไรต่อเพื่อให้เกิดปัญญาตามแนวทางวิปัสสนากรรมฐานครับ รบกวนขอคำแนะนำ ชี้แนะจากเพื่อน พี่ น้อง ที่ปฏิบัติธรรมด้วยครับ.


ออกตัวก่อนว่าผมไม่ใช่ผู้ปฏิบัติอย่างเคร่งครัดหรือมีความรู้อะไรมากมาย จะตอบอย่างที่เคยได้ศึกษามาจากพระไตรปิฏก และสภาวะที่เห็น ตามความคิดของตนขอให้พิจารณากันเอง เพราะทุกคนก็มุ่งอยากจะปฏิบัติเหลือเกิน โดยไม่ได้ศึกษาพระไตรปิฏกหรือเรียนพระพุทธพจน์เท่าที่ควร

บุคคลท่านนี้เห็นเป็นกล้ามเนื้ออะไรเทือกนี้เป็นอารมณ์ของสมถกัมมัฏฐาน เป็นการเพ่งจนกระทั่งจิตสงบ มีอารมณ์เป็นหนึ่ง ถ้าผมจะให้คำแนะนำก็ ก็จะบอกว่า สิ่งที่ปรากฎนั้นเป็นเพียงรูปที่ปรากฎทางตา เป็นอายตนะอย่างหนึ่งที่เกิดและดับ ไม่ใช่กล้ามเนื่อไม่ใช่สัตว์บุคคล แต่เป็นเพียงสีสันที่ปรากฎให้เห็น แล้วก็เปลี่ยนไป



มันก็เปลี่ยนไปนั่นไง



ก็เค้าเห็นเป็นกล้ามเนื้อเป็นกระดูก เป็นอารมณ์สมมุติบัญญัติทั้งนั้น
เค้าไม่ได้เห็นโดยความเป็นอายตนะหรือขันธ์เลย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มี.ค. 2019, 19:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2018, 07:07
โพสต์: 482

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Love J. เขียน:
ผมเข้าใจอย่างนี้ว่า

อารมณ์สมถะคือ สงบตั้งมั่นอยู่ภายใน มีอารมณ์อันเดียวคือสุขหรืออุเบกขา
เพียรทำความสงบแห่งจิตภายในให้เกิดขึ้นก็เป็น สมถะภาวนา

อารมณ์วิปัสสนาคือ เห็นความเป็นจริง แยกธาตุ แยกขันธ์ เห็นนามรูปว่าเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
เห็น อุปาทานทุกข์ เพียรเจริญสติระลึกรู้ แลดูขันธ์ ๕ รูปนามกายใจก็ตามเป็นจริง เป็นวิปัสสนาภาวนา

ต้องอาศัยทั้งสมถะ วิปัสสนา เพื่อยังมรรคให้เกิดคือเห็นทุกข์ เห็นสมุทัย เห็นนิโรธ เห็นมรรค (เปลี่ยนโคตรเป็นพระโสดาบัน ) เมื่อมรรคเกิดแล้วเสพให้มากย่อมละสังโยชน์ทั้งหลายได้ ( พระอริยเจ้าแม้ไม่ได้ศึกษาปริยัติก็เห็นเครื่องร้อยรัดตนเอง เห็นหนทางปฏิบัติได้เองตามลำดับขึ้นอยู่กับอินทรีย์พละของแต่ละท่าน )


จะบอกให้ก็ได้ นี่คืออ่านหนังสือ อ่านแล้วอ่านไปอ่านมา อ่านมาอ่านไป หนักเข้าก็จะเป็นพระอริยะสะเฉยๆยังงั้นแหละ :b32:


ผมจะเป็นพระอริยะ หรือไม่ได้เป็น อย่ามาใส่ใจหยิบขึ้นมาเป็นประเด็นเลยครับ ใสใจเนื้อความดีกว่า

ก็ผมอ่านพระธรรมคำสอน พิจารณาศึกษาพระธรรมคำสอน ความเห็นผมก็ออกมาอย่างนี้ จึงกล่าวออก
มากอย่างนี้ หากเห็นผิดตรงไหนก็ชี้บอกได้ครับ


ก็บอกว่า นั่นคุณเอาตำรามาว่า ไม่ใช่ลงมือทำ จริงไม่จริง

แบบนี้นะถ้าปฏิบัติบ้าขอรับ :b32:


อื้มครับ ผมไม่ค่อยได้ลงมือทำ ทำน้อย ทำเนือง ๆ แล้วคุณกรัชกายจะมาใส่ใจทำไมในปฏิปทาของผม
ก็สาระประเด็นมันอยู่ในสิ่งที่ผมโพส



เห็นว่าทำมา ก็อยากรู้ว่าทำรูปแบบไหนมา กรัชกายว่า คุณไม่เคยทำ


กรัชกายว่าคิดว่าผมไม่เคยทำ กรัชกายจะได้ประโยชน์อะไรจากความคิดนั้น ก็สาระมันอยู่ในสิ่งที่ผมพูด
ถ้าไม่ละความคิดนั้นจะเห็นสาระ ประโยชน์จากการสนทนาได้ยังไง วางความคิดนั้นลงก่อนพิจารณาเนื้อความ สงสัยข้อไหนก็ตั้งคำถามแล้วผมจะตอบว่าทำไมจึงกล่าวอย่างนั้นจากประสบการณ์จากครูอาจารย์
หรือจากพระธรรมคำสอน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มี.ค. 2019, 19:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Love J. เขียน:
ผมเข้าใจอย่างนี้ว่า

อารมณ์สมถะคือ สงบตั้งมั่นอยู่ภายใน มีอารมณ์อันเดียวคือสุขหรืออุเบกขา
เพียรทำความสงบแห่งจิตภายในให้เกิดขึ้นก็เป็น สมถะภาวนา

อารมณ์วิปัสสนาคือ เห็นความเป็นจริง แยกธาตุ แยกขันธ์ เห็นนามรูปว่าเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
เห็น อุปาทานทุกข์ เพียรเจริญสติระลึกรู้ แลดูขันธ์ ๕ รูปนามกายใจก็ตามเป็นจริง เป็นวิปัสสนาภาวนา

ต้องอาศัยทั้งสมถะ วิปัสสนา เพื่อยังมรรคให้เกิดคือเห็นทุกข์ เห็นสมุทัย เห็นนิโรธ เห็นมรรค (เปลี่ยนโคตรเป็นพระโสดาบัน ) เมื่อมรรคเกิดแล้วเสพให้มากย่อมละสังโยชน์ทั้งหลายได้ ( พระอริยเจ้าแม้ไม่ได้ศึกษาปริยัติก็เห็นเครื่องร้อยรัดตนเอง เห็นหนทางปฏิบัติได้เองตามลำดับขึ้นอยู่กับอินทรีย์พละของแต่ละท่าน )


จะบอกให้ก็ได้ นี่คืออ่านหนังสือ อ่านแล้วอ่านไปอ่านมา อ่านมาอ่านไป หนักเข้าก็จะเป็นพระอริยะสะเฉยๆยังงั้นแหละ :b32:


ผมจะเป็นพระอริยะ หรือไม่ได้เป็น อย่ามาใส่ใจหยิบขึ้นมาเป็นประเด็นเลยครับ ใสใจเนื้อความดีกว่า

ก็ผมอ่านพระธรรมคำสอน พิจารณาศึกษาพระธรรมคำสอน ความเห็นผมก็ออกมาอย่างนี้ จึงกล่าวออก
มากอย่างนี้ หากเห็นผิดตรงไหนก็ชี้บอกได้ครับ


ก็บอกว่า นั่นคุณเอาตำรามาว่า ไม่ใช่ลงมือทำ จริงไม่จริง

แบบนี้นะถ้าปฏิบัติบ้าขอรับ :b32:


อื้มครับ ผมไม่ค่อยได้ลงมือทำ ทำน้อย ทำเนือง ๆ แล้วคุณกรัชกายจะมาใส่ใจทำไมในปฏิปทาของผม
ก็สาระประเด็นมันอยู่ในสิ่งที่ผมโพส



เห็นว่าทำมา ก็อยากรู้ว่าทำรูปแบบไหนมา กรัชกายว่า คุณไม่เคยทำ


กรัชกายว่าคิดว่าผมไม่เคยทำ กรัชกายจะได้ประโยชน์อะไรจากความคิดนั้น ก็สาระมันอยู่ในสิ่งที่ผมพูด
ถ้าไม่ละความคิดนั้นจะเห็นสาระ ประโยชน์จากการสนทนาได้ยังไง วางความคิดนั้นลงก่อนพิจารณาเนื้อความ สงสัยข้อไหนก็ตั้งคำถามแล้วผมจะตอบว่าทำไมจึงกล่าวอย่างนั้นจากประสบการณ์จากครูอาจารย์
หรือจากพระธรรมคำสอน


ถามข้อนี้

นั่งสมาธิแล้วเหมือนร่างกายถูกกรีด

หนูเป็นคนหนึ่งที่นั่งสมาธิเป็นประจำ โดยอาจจะไม่ถูกวิธีเท่าไรนักเพราะหาหนังสือจากที่มีหลายท่านเขียนเอาไว้และ
จากคำแนะนำของหลายๆท่านจากเว็ป... และก็ไม่เคยไปสถานปฏิบัติธรรมที่ไหนเลยส่วนใหญ่จะศึกษาหาข้อมูลเองเกี่ยวกับ การนั่งสมาธิ ซึ่งใช้เวลาในการนั่งสมาธิแต่ละครั้งก็ประมาณครึ่ง-หนึ่ง ชั่วโมงต่อวันค่ะ บางวันถ้าเวลามีน้อยจริงๆก็ประมาณ 15 นาทีค่ะ ตอนนั่งสมาธิก็ไม่เคยมีอาการอะไรให้เห็นค่ะ เพียงแค่จิต ใจสงบมากขึ้นเท่านั้น หลังจากออกจากสมาธิก็สวดมนต์ไหว้พระและแผ่เมตตา ทุกครั้ง แล้วก็เข้านอน

มีอยู่ครั้งหนึ่งที่หลังจากนั่งสมาธิแล้ว แล้วกำลังจะนอนพอหลับตา เพื่อจะนอนซักพัก ซึ่งจะอยู่ในช่วงกึ่งหลับกึ่งตื่นจะรู้สึกเหมือนร่างกายถูกของมีคมกรีดทั่งร่างเลยค่ะ หลังจากนั้นจะมีอาการตัวลอยขึ้นสูงมาก เหมือนจะสูงกว่าหลังคา บ้านซะอีก ตอนนั้นรู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลาเลยค่ะแต่รู้สึกตัวแบบเบลอๆ ทั้งๆที่ก็นอนหลับตาอยู่ คล้ายๆกับกำลังฝันแต่ไม่ได้ฝันค่ะหลังจาก นั้นตัวก็ลอยกลับลงมาที่เดิม แล้วรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ในก้อน น้ำแข็งขนาดใหญ่ รู้สึกว่ามันเย็นมาก จนต้องลืมตาแล้วต้องไปหาผ้าห่มมาห่มเพิ่มหลาย ผืนเพราะหนาวมาก คิดอยู่ตลอดว่าเมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น คิดจนหลับไป

บางครั้งพอหลับตากำลังจะนอนซึ่งก็อยู่ในช่วงกึ่งหลับกึ่งตื่นอีกนั่นแหละ ก็รู้สึกสว่างจ้าเหมือนมีคนเอาไฟสปอร์ทไลท์ดวงใหญ่ๆมาส่องที่หน้า ขณะที่
กำลังนอนค่ะ

พอตื่นขึ้นมาตอนเช้ารู้สึกเบื่อหน่ายชีวิตเบื่อหน่ายโลกเหมือนอยากตัดขาดจากโลกไปเลยค่ะ แต่ รู้สึกแบบสงบๆนะคะ.. และก็เป็นแบบนี้อยู่หลายครั้ง อยากทราบว่าอาการที่ว่านั้นเกิดจากอะไร เกี่ยวข้องกับการนั่งสมาธิหรือเปล่า

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มี.ค. 2019, 21:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2018, 07:07
โพสต์: 482

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Love J. เขียน:
ผมเข้าใจอย่างนี้ว่า

อารมณ์สมถะคือ สงบตั้งมั่นอยู่ภายใน มีอารมณ์อันเดียวคือสุขหรืออุเบกขา
เพียรทำความสงบแห่งจิตภายในให้เกิดขึ้นก็เป็น สมถะภาวนา

อารมณ์วิปัสสนาคือ เห็นความเป็นจริง แยกธาตุ แยกขันธ์ เห็นนามรูปว่าเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
เห็น อุปาทานทุกข์ เพียรเจริญสติระลึกรู้ แลดูขันธ์ ๕ รูปนามกายใจก็ตามเป็นจริง เป็นวิปัสสนาภาวนา

ต้องอาศัยทั้งสมถะ วิปัสสนา เพื่อยังมรรคให้เกิดคือเห็นทุกข์ เห็นสมุทัย เห็นนิโรธ เห็นมรรค (เปลี่ยนโคตรเป็นพระโสดาบัน ) เมื่อมรรคเกิดแล้วเสพให้มากย่อมละสังโยชน์ทั้งหลายได้ ( พระอริยเจ้าแม้ไม่ได้ศึกษาปริยัติก็เห็นเครื่องร้อยรัดตนเอง เห็นหนทางปฏิบัติได้เองตามลำดับขึ้นอยู่กับอินทรีย์พละของแต่ละท่าน )


จะบอกให้ก็ได้ นี่คืออ่านหนังสือ อ่านแล้วอ่านไปอ่านมา อ่านมาอ่านไป หนักเข้าก็จะเป็นพระอริยะสะเฉยๆยังงั้นแหละ :b32:


ผมจะเป็นพระอริยะ หรือไม่ได้เป็น อย่ามาใส่ใจหยิบขึ้นมาเป็นประเด็นเลยครับ ใสใจเนื้อความดีกว่า

ก็ผมอ่านพระธรรมคำสอน พิจารณาศึกษาพระธรรมคำสอน ความเห็นผมก็ออกมาอย่างนี้ จึงกล่าวออก
มากอย่างนี้ หากเห็นผิดตรงไหนก็ชี้บอกได้ครับ


ก็บอกว่า นั่นคุณเอาตำรามาว่า ไม่ใช่ลงมือทำ จริงไม่จริง

แบบนี้นะถ้าปฏิบัติบ้าขอรับ :b32:


อื้มครับ ผมไม่ค่อยได้ลงมือทำ ทำน้อย ทำเนือง ๆ แล้วคุณกรัชกายจะมาใส่ใจทำไมในปฏิปทาของผม
ก็สาระประเด็นมันอยู่ในสิ่งที่ผมโพส



เห็นว่าทำมา ก็อยากรู้ว่าทำรูปแบบไหนมา กรัชกายว่า คุณไม่เคยทำ


กรัชกายว่าคิดว่าผมไม่เคยทำ กรัชกายจะได้ประโยชน์อะไรจากความคิดนั้น ก็สาระมันอยู่ในสิ่งที่ผมพูด
ถ้าไม่ละความคิดนั้นจะเห็นสาระ ประโยชน์จากการสนทนาได้ยังไง วางความคิดนั้นลงก่อนพิจารณาเนื้อความ สงสัยข้อไหนก็ตั้งคำถามแล้วผมจะตอบว่าทำไมจึงกล่าวอย่างนั้นจากประสบการณ์จากครูอาจารย์
หรือจากพระธรรมคำสอน


ถามข้อนี้

นั่งสมาธิแล้วเหมือนร่างกายถูกกรีด

หนูเป็นคนหนึ่งที่นั่งสมาธิเป็นประจำ โดยอาจจะไม่ถูกวิธีเท่าไรนักเพราะหาหนังสือจากที่มีหลายท่านเขียนเอาไว้และ
จากคำแนะนำของหลายๆท่านจากเว็ป... และก็ไม่เคยไปสถานปฏิบัติธรรมที่ไหนเลยส่วนใหญ่จะศึกษาหาข้อมูลเองเกี่ยวกับ การนั่งสมาธิ ซึ่งใช้เวลาในการนั่งสมาธิแต่ละครั้งก็ประมาณครึ่ง-หนึ่ง ชั่วโมงต่อวันค่ะ บางวันถ้าเวลามีน้อยจริงๆก็ประมาณ 15 นาทีค่ะ ตอนนั่งสมาธิก็ไม่เคยมีอาการอะไรให้เห็นค่ะ เพียงแค่จิต ใจสงบมากขึ้นเท่านั้น หลังจากออกจากสมาธิก็สวดมนต์ไหว้พระและแผ่เมตตา ทุกครั้ง แล้วก็เข้านอน

มีอยู่ครั้งหนึ่งที่หลังจากนั่งสมาธิแล้ว แล้วกำลังจะนอนพอหลับตา เพื่อจะนอนซักพัก ซึ่งจะอยู่ในช่วงกึ่งหลับกึ่งตื่นจะรู้สึกเหมือนร่างกายถูกของมีคมกรีดทั่งร่างเลยค่ะ หลังจากนั้นจะมีอาการตัวลอยขึ้นสูงมาก เหมือนจะสูงกว่าหลังคา บ้านซะอีก ตอนนั้นรู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลาเลยค่ะแต่รู้สึกตัวแบบเบลอๆ ทั้งๆที่ก็นอนหลับตาอยู่ คล้ายๆกับกำลังฝันแต่ไม่ได้ฝันค่ะหลังจาก นั้นตัวก็ลอยกลับลงมาที่เดิม แล้วรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ในก้อน น้ำแข็งขนาดใหญ่ รู้สึกว่ามันเย็นมาก จนต้องลืมตาแล้วต้องไปหาผ้าห่มมาห่มเพิ่มหลาย ผืนเพราะหนาวมาก คิดอยู่ตลอดว่าเมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น คิดจนหลับไป

บางครั้งพอหลับตากำลังจะนอนซึ่งก็อยู่ในช่วงกึ่งหลับกึ่งตื่นอีกนั่นแหละ ก็รู้สึกสว่างจ้าเหมือนมีคนเอาไฟสปอร์ทไลท์ดวงใหญ่ๆมาส่องที่หน้า ขณะที่
กำลังนอนค่ะ

พอตื่นขึ้นมาตอนเช้ารู้สึกเบื่อหน่ายชีวิตเบื่อหน่ายโลกเหมือนอยากตัดขาดจากโลกไปเลยค่ะ แต่ รู้สึกแบบสงบๆนะคะ.. และก็เป็นแบบนี้อยู่หลายครั้ง อยากทราบว่าอาการที่ว่านั้นเกิดจากอะไร เกี่ยวข้องกับการนั่งสมาธิหรือเปล่า


อาการต่าง ๆ เหล่านี้ผมไม่เคยเจอ ความรู้สึกเบื่อหน่ายชีวิตอยากตัดขาดจากโลกไปเลยนี้ พูดตามตรงก็เป็นความปรุงแต่ง ผมเคยเกิดความเบื่อหน่ายเหมือนกัน ตอนนั้นอ่านคำสอนพระพุทธเจ้าให้พระเถระพิจารณาผ้าขาว ผมอ่านแค่นั้นใจก็ตระหนักว่าผ้าขาวนี้ไม่มีทางขาวอย่างนี้ตลอดไป มีความแปรเปลี่ยนเป็นธรรมดา
ตระหนักในใจอย่างนี้ก็ก้มหน้าน้ำตาไหล ขนลุกผ่าว ๆ ๆ ที่ท้ายทอย รำพึงในใจแค่นี่เองที่พระพุทธเจ้าสอน
แล้วจิตใจก็ตั่งมั่นกับกายใจ มีสติเด่นชัดขึ้นมา

ที่แนะนำได้ก็มีเพียงอะไรเกิดขึ้นให้มีสติ ที่ว่าเจริญสติ ๆ นี้ก็เพื่อพิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้นของรูปนามการใจนี้แหละ จะเกิดอะไรพิศดารแค่ไหนก็ให้มีสติตั่งมั่นไว้ มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นหลักยึดเหนี่ยวจิตใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2019, 05:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Love J. เขียน:
ผมเข้าใจอย่างนี้ว่า

อารมณ์สมถะคือ สงบตั้งมั่นอยู่ภายใน มีอารมณ์อันเดียวคือสุขหรืออุเบกขา
เพียรทำความสงบแห่งจิตภายในให้เกิดขึ้นก็เป็น สมถะภาวนา

อารมณ์วิปัสสนาคือ เห็นความเป็นจริง แยกธาตุ แยกขันธ์ เห็นนามรูปว่าเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
เห็น อุปาทานทุกข์ เพียรเจริญสติระลึกรู้ แลดูขันธ์ ๕ รูปนามกายใจก็ตามเป็นจริง เป็นวิปัสสนาภาวนา

ต้องอาศัยทั้งสมถะ วิปัสสนา เพื่อยังมรรคให้เกิดคือเห็นทุกข์ เห็นสมุทัย เห็นนิโรธ เห็นมรรค (เปลี่ยนโคตรเป็นพระโสดาบัน ) เมื่อมรรคเกิดแล้วเสพให้มากย่อมละสังโยชน์ทั้งหลายได้ ( พระอริยเจ้าแม้ไม่ได้ศึกษาปริยัติก็เห็นเครื่องร้อยรัดตนเอง เห็นหนทางปฏิบัติได้เองตามลำดับขึ้นอยู่กับอินทรีย์พละของแต่ละท่าน )


จะบอกให้ก็ได้ นี่คืออ่านหนังสือ อ่านแล้วอ่านไปอ่านมา อ่านมาอ่านไป หนักเข้าก็จะเป็นพระอริยะสะเฉยๆยังงั้นแหละ :b32:


ผมจะเป็นพระอริยะ หรือไม่ได้เป็น อย่ามาใส่ใจหยิบขึ้นมาเป็นประเด็นเลยครับ ใสใจเนื้อความดีกว่า

ก็ผมอ่านพระธรรมคำสอน พิจารณาศึกษาพระธรรมคำสอน ความเห็นผมก็ออกมาอย่างนี้ จึงกล่าวออก
มากอย่างนี้ หากเห็นผิดตรงไหนก็ชี้บอกได้ครับ


ก็บอกว่า นั่นคุณเอาตำรามาว่า ไม่ใช่ลงมือทำ จริงไม่จริง

แบบนี้นะถ้าปฏิบัติบ้าขอรับ :b32:


อื้มครับ ผมไม่ค่อยได้ลงมือทำ ทำน้อย ทำเนือง ๆ แล้วคุณกรัชกายจะมาใส่ใจทำไมในปฏิปทาของผม
ก็สาระประเด็นมันอยู่ในสิ่งที่ผมโพส



เห็นว่าทำมา ก็อยากรู้ว่าทำรูปแบบไหนมา กรัชกายว่า คุณไม่เคยทำ


กรัชกายว่าคิดว่าผมไม่เคยทำ กรัชกายจะได้ประโยชน์อะไรจากความคิดนั้น ก็สาระมันอยู่ในสิ่งที่ผมพูด
ถ้าไม่ละความคิดนั้นจะเห็นสาระ ประโยชน์จากการสนทนาได้ยังไง วางความคิดนั้นลงก่อนพิจารณาเนื้อความ สงสัยข้อไหนก็ตั้งคำถามแล้วผมจะตอบว่าทำไมจึงกล่าวอย่างนั้นจากประสบการณ์จากครูอาจารย์
หรือจากพระธรรมคำสอน


ถามข้อนี้

นั่งสมาธิแล้วเหมือนร่างกายถูกกรีด

หนูเป็นคนหนึ่งที่นั่งสมาธิเป็นประจำ โดยอาจจะไม่ถูกวิธีเท่าไรนักเพราะหาหนังสือจากที่มีหลายท่านเขียนเอาไว้และ
จากคำแนะนำของหลายๆท่านจากเว็ป... และก็ไม่เคยไปสถานปฏิบัติธรรมที่ไหนเลยส่วนใหญ่จะศึกษาหาข้อมูลเองเกี่ยวกับ การนั่งสมาธิ ซึ่งใช้เวลาในการนั่งสมาธิแต่ละครั้งก็ประมาณครึ่ง-หนึ่ง ชั่วโมงต่อวันค่ะ บางวันถ้าเวลามีน้อยจริงๆก็ประมาณ 15 นาทีค่ะ ตอนนั่งสมาธิก็ไม่เคยมีอาการอะไรให้เห็นค่ะ เพียงแค่จิต ใจสงบมากขึ้นเท่านั้น หลังจากออกจากสมาธิก็สวดมนต์ไหว้พระและแผ่เมตตา ทุกครั้ง แล้วก็เข้านอน

มีอยู่ครั้งหนึ่งที่หลังจากนั่งสมาธิแล้ว แล้วกำลังจะนอนพอหลับตา เพื่อจะนอนซักพัก ซึ่งจะอยู่ในช่วงกึ่งหลับกึ่งตื่นจะรู้สึกเหมือนร่างกายถูกของมีคมกรีดทั่งร่างเลยค่ะ หลังจากนั้นจะมีอาการตัวลอยขึ้นสูงมาก เหมือนจะสูงกว่าหลังคา บ้านซะอีก ตอนนั้นรู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลาเลยค่ะแต่รู้สึกตัวแบบเบลอๆ ทั้งๆที่ก็นอนหลับตาอยู่ คล้ายๆกับกำลังฝันแต่ไม่ได้ฝันค่ะหลังจาก นั้นตัวก็ลอยกลับลงมาที่เดิม แล้วรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ในก้อน น้ำแข็งขนาดใหญ่ รู้สึกว่ามันเย็นมาก จนต้องลืมตาแล้วต้องไปหาผ้าห่มมาห่มเพิ่มหลาย ผืนเพราะหนาวมาก คิดอยู่ตลอดว่าเมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น คิดจนหลับไป

บางครั้งพอหลับตากำลังจะนอนซึ่งก็อยู่ในช่วงกึ่งหลับกึ่งตื่นอีกนั่นแหละ ก็รู้สึกสว่างจ้าเหมือนมีคนเอาไฟสปอร์ทไลท์ดวงใหญ่ๆมาส่องที่หน้า ขณะที่
กำลังนอนค่ะ

พอตื่นขึ้นมาตอนเช้ารู้สึกเบื่อหน่ายชีวิตเบื่อหน่ายโลกเหมือนอยากตัดขาดจากโลกไปเลยค่ะ แต่ รู้สึกแบบสงบๆนะคะ.. และก็เป็นแบบนี้อยู่หลายครั้ง อยากทราบว่าอาการที่ว่านั้นเกิดจากอะไร เกี่ยวข้องกับการนั่งสมาธิหรือเปล่า


อาการต่าง ๆ เหล่านี้ผมไม่เคยเจอ ความรู้สึกเบื่อหน่ายชีวิตอยากตัดขาดจากโลกไปเลยนี้ พูดตามตรงก็เป็นความปรุงแต่ง ผมเคยเกิดความเบื่อหน่ายเหมือนกัน ตอนนั้นอ่านคำสอนพระพุทธเจ้าให้พระเถระพิจารณาผ้าขาว ผมอ่านแค่นั้นใจก็ตระหนักว่าผ้าขาวนี้ไม่มีทางขาวอย่างนี้ตลอดไป มีความแปรเปลี่ยนเป็นธรรมดา
ตระหนักในใจอย่างนี้ก็ก้มหน้าน้ำตาไหล ขนลุกผ่าว ๆ ๆ ที่ท้ายทอย
รำพึงในใจแค่นี่เองที่พระพุทธเจ้าสอน
แล้วจิตใจก็ตั่งมั่นกับกายใจ มีสติเด่นชัดขึ้นมา

ที่แนะนำได้ก็มีเพียงอะไรเกิดขึ้นให้มีสติ ที่ว่าเจริญสติ ๆ นี้ก็เพื่อพิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้นของรูปนามกายใจนี้แหละ จะเกิดอะไรพิศดารแค่ไหนก็ให้มีสติตั่งมั่นไว้ มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นหลักยึดเหนี่ยวจิตใจ


ที่คุณเล่าของคุณมานั่นแหละ เป็นใบประกาศรับรองว่าเคยทำอะไรไม่เคยทำอะไร :b1: ทำทำแค่ไหนเพียงไร อะไร :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2019, 05:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Love J. เขียน:
ผมเข้าใจอย่างนี้ว่า

อารมณ์สมถะคือ สงบตั้งมั่นอยู่ภายใน มีอารมณ์อันเดียวคือสุขหรืออุเบกขา
เพียรทำความสงบแห่งจิตภายในให้เกิดขึ้นก็เป็น สมถะภาวนา

อารมณ์วิปัสสนาคือ เห็นความเป็นจริง แยกธาตุ แยกขันธ์ เห็นนามรูปว่าเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
เห็น อุปาทานทุกข์ เพียรเจริญสติระลึกรู้ แลดูขันธ์ ๕ รูปนามกายใจก็ตามเป็นจริง เป็นวิปัสสนาภาวนา

ต้องอาศัยทั้งสมถะ วิปัสสนา เพื่อยังมรรคให้เกิดคือเห็นทุกข์ เห็นสมุทัย เห็นนิโรธ เห็นมรรค (เปลี่ยนโคตรเป็นพระโสดาบัน ) เมื่อมรรคเกิดแล้วเสพให้มากย่อมละสังโยชน์ทั้งหลายได้ ( พระอริยเจ้าแม้ไม่ได้ศึกษาปริยัติก็เห็นเครื่องร้อยรัดตนเอง เห็นหนทางปฏิบัติได้เองตามลำดับขึ้นอยู่กับอินทรีย์พละของแต่ละท่าน )


จะบอกให้ก็ได้ นี่คืออ่านหนังสือ อ่านแล้วอ่านไปอ่านมา อ่านมาอ่านไป หนักเข้าก็จะเป็นพระอริยะสะเฉยๆยังงั้นแหละ :b32:


ผมจะเป็นพระอริยะ หรือไม่ได้เป็น อย่ามาใส่ใจหยิบขึ้นมาเป็นประเด็นเลยครับ ใสใจเนื้อความดีกว่า

ก็ผมอ่านพระธรรมคำสอน พิจารณาศึกษาพระธรรมคำสอน ความเห็นผมก็ออกมาอย่างนี้ จึงกล่าวออก
มากอย่างนี้ หากเห็นผิดตรงไหนก็ชี้บอกได้ครับ


ก็บอกว่า นั่นคุณเอาตำรามาว่า ไม่ใช่ลงมือทำ จริงไม่จริง

แบบนี้นะถ้าปฏิบัติบ้าขอรับ :b32:


อื้มครับ ผมไม่ค่อยได้ลงมือทำ ทำน้อย ทำเนือง ๆ แล้วคุณกรัชกายจะมาใส่ใจทำไมในปฏิปทาของผม
ก็สาระประเด็นมันอยู่ในสิ่งที่ผมโพส



เห็นว่าทำมา ก็อยากรู้ว่าทำรูปแบบไหนมา กรัชกายว่า คุณไม่เคยทำ


กรัชกายว่าคิดว่าผมไม่เคยทำ กรัชกายจะได้ประโยชน์อะไรจากความคิดนั้น ก็สาระมันอยู่ในสิ่งที่ผมพูด
ถ้าไม่ละความคิดนั้นจะเห็นสาระ ประโยชน์จากการสนทนาได้ยังไง วางความคิดนั้นลงก่อนพิจารณาเนื้อความ สงสัยข้อไหนก็ตั้งคำถามแล้วผมจะตอบว่าทำไมจึงกล่าวอย่างนั้นจากประสบการณ์จากครูอาจารย์
หรือจากพระธรรมคำสอน


ถามข้อนี้

นั่งสมาธิแล้วเหมือนร่างกายถูกกรีด

หนูเป็นคนหนึ่งที่นั่งสมาธิเป็นประจำ โดยอาจจะไม่ถูกวิธีเท่าไรนักเพราะหาหนังสือจากที่มีหลายท่านเขียนเอาไว้และ
จากคำแนะนำของหลายๆท่านจากเว็ป... และก็ไม่เคยไปสถานปฏิบัติธรรมที่ไหนเลยส่วนใหญ่จะศึกษาหาข้อมูลเองเกี่ยวกับ การนั่งสมาธิ ซึ่งใช้เวลาในการนั่งสมาธิแต่ละครั้งก็ประมาณครึ่ง-หนึ่ง ชั่วโมงต่อวันค่ะ บางวันถ้าเวลามีน้อยจริงๆก็ประมาณ 15 นาทีค่ะ ตอนนั่งสมาธิก็ไม่เคยมีอาการอะไรให้เห็นค่ะ เพียงแค่จิต ใจสงบมากขึ้นเท่านั้น หลังจากออกจากสมาธิก็สวดมนต์ไหว้พระและแผ่เมตตา ทุกครั้ง แล้วก็เข้านอน

มีอยู่ครั้งหนึ่งที่หลังจากนั่งสมาธิแล้ว แล้วกำลังจะนอนพอหลับตา เพื่อจะนอนซักพัก ซึ่งจะอยู่ในช่วงกึ่งหลับกึ่งตื่นจะรู้สึกเหมือนร่างกายถูกของมีคมกรีดทั่งร่างเลยค่ะ หลังจากนั้นจะมีอาการตัวลอยขึ้นสูงมาก เหมือนจะสูงกว่าหลังคา บ้านซะอีก ตอนนั้นรู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลาเลยค่ะแต่รู้สึกตัวแบบเบลอๆ ทั้งๆที่ก็นอนหลับตาอยู่ คล้ายๆกับกำลังฝันแต่ไม่ได้ฝันค่ะหลังจาก นั้นตัวก็ลอยกลับลงมาที่เดิม แล้วรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ในก้อน น้ำแข็งขนาดใหญ่ รู้สึกว่ามันเย็นมาก จนต้องลืมตาแล้วต้องไปหาผ้าห่มมาห่มเพิ่มหลาย ผืนเพราะหนาวมาก คิดอยู่ตลอดว่าเมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น คิดจนหลับไป

บางครั้งพอหลับตากำลังจะนอนซึ่งก็อยู่ในช่วงกึ่งหลับกึ่งตื่นอีกนั่นแหละ ก็รู้สึกสว่างจ้าเหมือนมีคนเอาไฟสปอร์ทไลท์ดวงใหญ่ๆมาส่องที่หน้า ขณะที่
กำลังนอนค่ะ

พอตื่นขึ้นมาตอนเช้ารู้สึกเบื่อหน่ายชีวิตเบื่อหน่ายโลกเหมือนอยากตัดขาดจากโลกไปเลยค่ะ แต่ รู้สึกแบบสงบๆนะคะ.. และก็เป็นแบบนี้อยู่หลายครั้ง อยากทราบว่าอาการที่ว่านั้นเกิดจากอะไร เกี่ยวข้องกับการนั่งสมาธิหรือเปล่า


อาการต่าง ๆ เหล่านี้ผมไม่เคยเจอ ความรู้สึกเบื่อหน่ายชีวิตอยากตัดขาดจากโลกไปเลยนี้ พูดตามตรงก็เป็นความปรุงแต่ง ผมเคยเกิดความเบื่อหน่ายเหมือนกัน ตอนนั้นอ่านคำสอนพระพุทธเจ้าให้พระเถระพิจารณาผ้าขาว ผมอ่านแค่นั้นใจก็ตระหนักว่าผ้าขาวนี้ไม่มีทางขาวอย่างนี้ตลอดไป มีความแปรเปลี่ยนเป็นธรรมดา
ตระหนักในใจอย่างนี้ก็ก้มหน้าน้ำตาไหล ขนลุกผ่าว ๆ ๆ ที่ท้ายทอย รำพึงในใจแค่นี่เองที่พระพุทธเจ้าสอน
แล้วจิตใจก็ตั่งมั่นกับกายใจ มีสติเด่นชัดขึ้นมา

ที่แนะนำได้ก็มีเพียงอะไรเกิดขึ้นให้มีสติ ที่ว่าเจริญสติ ๆ นี้ก็เพื่อพิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้นของรูปนามการใจนี้แหละ จะเกิดอะไรพิศดารแค่ไหนก็ให้มีสติตั่งมั่นไว้ มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นหลักยึดเหนี่ยวจิตใจ


คุณยังอยู่ระดับศรัทธา อ่านคำสอนทางหนังสือแล้วเกิดความเลื่อมใส เกิดปีติ น้ำหูน้ำตาไหล แต่ยังไม่ถึงระดับเข้าสู่สงครามวัดใจ วัดสติ เจริญสติๆอย่างว่า :b12:

ตอนแรกดิฉันมีอาการผิดปกติทางกายแล้วไปถามผู้สอน
แล้วได้คำตอบที่ไม่สมเหตุผลมากเลย จึงขาดความไว้ใจในตัวผู้สอน
คราวนี้พอเกิดอย่างอื่นตามมาก็ไม่ได้ถามอีก
ต่อมาทั้งตาฝาด หูแว่ว ได้ยินอะไรแบบพิเศษจากปกติ ก็คิดว่าตัวเองวิเศษ ไม่ไปถามผู้ฝึกสอนอีก เพราะขาดความไว้วางใจ แถมหลงในสิ่งลวงนั้นแล้วด้วย เป็นหนักจนต้องไปอยู่โรงพยาบาล และก็รักษาจนรู้ตัวและเข้าใจแล้วว่าเป็นเรื่องไม่จริง
แต่ยังมีอาการอย่างนึงที่ยังไม่หายคือใจแว่ว (ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรดีค่ะ เพราะมันคล้ายหูแว่ว แต่เสียงเหมือนมีคนอื่นพูดมาจากใจเรา)
กินยาตามหมอสั่งมาก็หลายเดือนก็ยังไม่หาย ยังงงอยู่ว่าเป็นไปได้อย่างไร
เสียงที่ได้ยินบอกว่า ไม่หายหรอกต้องเป็นคนจิตผิดปกติไปตลอดบ้างละ ต้องไปฝึกสมาธิต่อให้หายบ้างละ
ฟังไปก็งงไปเรื่อยค่ะ เข้าใจว่ามันเป็นอาการจิตเภทแบบที่หมอบอก
แต่ไม่รู้ว่าต้องเดินทางไปสุดวิธีรักษาแบบคนเป็นโรคจิต หรือควรกลับมาทางทำสมาธิแทน
แต่กลัวตอนที่ร่างกายผิดปกติ กลัวเป็นอีกแล้วจะไม่หายคราวนี้
(จขกท. คคห.6)
http://topicstock.pantip.com/religious/ ... 85609.html

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2019, 06:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ศรัทธา..ของเลิฟนี้..เป็นศรัทธาที่เกิดจากปัญญา..ที่ไปเห็นบางอย่างตามที่พระองค์สอนใว้แล้ว...ไม่สงสัยในคุณธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า..

ต่างจากตัวอย่าง..ที่กักกายยกมา..เด็กประถมเพิ่งเจอข้อสอบดันชมว่าเข้าสู่สงครามวัดจิตวัดใจซะแล้ว.ปานว่าเป็นสงครามครั้งสุดท้าย..งั้นแหละ...

กักกาย ป๋าดัน...
:b32: :b32: :b32:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 88 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร