วันเวลาปัจจุบัน 15 มิ.ย. 2025, 08:20  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 116 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 8  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ส.ค. 2018, 18:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
คำพระสอน..

อ้างคำพูด:
อย่าสนใจจริยาของผู้อื่น กรรมใครย่อมเป็นกรรมมัน ให้มองลึกซึ้งถึงกฎของกรรม เคารพในกฎของกรรม ทำจิตให้สบาย ๆ ปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างในโลกตลอดเวลา
กิจการงานทำตามหน้าที่
อย่าไปพึงเป็นทุกข์ด้วย
ทำด้วยอารมณ์ปลด
ทำอย่างดีที่สุดแล้ว แต่ก็ปลดอยู่ตลอดเวลา
จิตก็จักเป็นสุข
พยายามทำให้ได้ตามนี้
แต่ก็ไม่ง่ายนักหรอก
ต้องพยายามฝึกฝนสติหรือสมาธิจิตให้ตั้งมั่นยิ่ง ๆ ขึ้นไป
แล้วพยายามอย่าให้มีอารมณ์หนักใจ
หากหงุดหงิดก็ต้องหาสาเหตุ
หาเหตุพบแล้วก็จงพิจารณาเหตุนั้นด้วยปัญญา
จักเป็นว่าหรือสรุปได้ว่า หลงยึดขันธ์ ๕ ทั้งสิ้น


นี้เป็นความโง่ของจิต ถามตอบจิตเข้าไปจึงจักแก้จิตที่หงุดหงิดลงได้ แล้วประการสำคัญ จงอย่าสนใจจริยาของผู้อื่น


:b8: :b8: :b8:


s007 s007 s007

:b32: :b32: :b32:

ปีนี้เป็นปีอันหฤโหดสำหรับเอกอนจริง ๆ

หึ หึ ...

อื้อ...ฮ่า ฮ่า ฮ่า เอิ๊ก เอิ๊ก เอิ๊ก ... เฮ้อ เหอะ เหอะ

:b22: :b22: :b22:

อืมมมม...

:b1:

...ไม่ง่ายเลย...

:b1: :b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ส.ค. 2018, 21:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
คำพระสอน..
อ้างคำพูด:
หากกฎธรรมดาของร่างกายให้พบแล้วยอมรับ อะไรจักเกิดขึ้นกับร่างกาย ให้พิจารณาลงว่า กฎของกรรมบังคับให้เป็นอย่างนั้น แต่พึงพิจารณาให้เห็นทุกข์ เป็นการเข้าสู่อริยสัจ กฎของกรรมนั้นเที่ยงและให้ผลไม่ผิดตัวด้วย เมื่อรู้แล้วก็จงอย่าไปฝืน ให้ทำทุกอย่างไปตามหน้าที่

พิจารณาให้เห็นถึงความเบื่อหน่ายและวางเฉยในขันธ์ ๕ ทุกอย่างให้พิจารณาลงในขันธ์ ๕ เพราะอาการเหนื่อยก็คือเวทนา และถ้าไม่มีรูปคือร่างกายเสียอย่างเดียว จักเอาเวทนามาจากไหน และถ้าไม่มีร่างกายเสียอย่างเดียว การทำงานอย่างนี้ก็ไม่มี ให้เห็นตามความเป็นจริงของขันธ์ ๕ แล้วดูสภาวะของการแก่ของร่างกาย การเจ็บป่วยของร่างกาย พิจารณาให้เห็นเป็นปกติธรรมของร่างกาย แล้วที่สุดร่างกายนี้ก็เดินเข้าสู่ความตายเป็นธรรมดา ให้จิตยอมรับร่างกายตามความเป็นจริง แต่จุดนี้จิตจักต้องไม่มีความท้อแท้ และไม่มีคำว่าฝืนทน มีแต่ขันติอดทน วิริยะพากเพียร สัจจะตั้งใจไว้จริง ว่าจักทำทุกอย่างเพื่อพระนิพพาน อารมณ์หนักใจจักไม่มีเลย ดังนั้น การพิจารณาบารมี ๑๐ จึงจำเป็นต้องทำอยู่เสมอ


:b8: :b8: :b8:

Kiss
:b12:
รู้ทุกข์คือรู้เดี๋ยวนี้ตรงสัจจะที่ตนกำลังมีคนทั้งตัวก็ไม่มีแล้วขณิกะมรณะทุกข์ไหมคะ
สบายดีไม่เดือดร้อนอะไรเพราะไม่รู้ว่าตนไม่รู้ไงคะอริยสัจจ์ของอัฐปุริสะปุคลาสังฆรัตนะ
ที่เฉยเพราะไม่รู้ไงคะถ้ารู้ทุกข์ไม่ทุกข์เพราะตรงขณะรู้ทุกข์ละสมุทัยถึงมรรคผลนิพพานตามลำดับปัญญา
:b32: :b32:

สิกขาคือศึกษาตรงแล้วสำหรับสังฆรัตนะใครนะคะ
สังฆรัตนะคือผู้ตรงต่ออริยสัจ4อริยมรรค8
ได้แก่บุคคล8จำพวกที่รู้ตรงสัจจะแล้ว
มีอเสขะ1จำพวกคือพระอรหันตาปัตติผลคือพระอรหันต์นิโรธ1เดียวที่พ้นเกิด
และเสขะบุคคล7จำพวก(ปัตติ=ถึง)
1โสตาปัตติมรรค
2โสดาปัตติผล
3สกิทาคามีปัตติมรรค
4สกิทาคามีปัตติผล
5อนาคามีปัตติรรค
6อนาคามีปัตติผล
7อรหันตาปัตติมรรค
ปุถุชนยังสะสมอกุศลศีลไม่ปิดอบายภูมิค่ะต้องรู้น๊าว่าตนตรงสัจจะหรือยังไม่รู้เป็นอวิชชาไง
:b12:
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ส.ค. 2018, 05:33 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


คำพระสอน...

อ้างคำพูด:
จงอย่าสงสัยในธรรมปฏิบัติ
รักษาอารมณ์จิตด้วยการพิจารณาให้เกิดปัญญาในธรรมปฏิบัตินั้น ๆ
แล้วจิตจักคลายความสงสัยไปเอง
ให้พิจารณาให้รู้แจ้งตามความเป็นจริงเท่านั้น จิตก็จักไม่อิงไปด้วยกิเลส
ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย แต่จิตมักจักฝืนความจริงอยู่เสมอ
จึงได้ระแวงสงสัยไปต่าง ๆ นานา อย่ากังวลใจในเหตุต่าง ๆ ทั้งปวง
ตัดภาระของจิตห่วงทิ้งไป
ให้คิดพิจารณาตามความเป็นจริง
โลกนี้ไม่มีอะไรเหลือ ทุกอย่างพังหมด
มีความสลายตัวไปในที่สุด ความสลายตัวอย่าไปคิดว่าอีกนาน
จงเห็นความสลายตัวเกิดขึ้นทุก ๆ ขณะจิต

ให้เห็นเป็นธรรมดาอยู่อย่างนี้ พิจารณาอยู่อย่างนี้
จิตจักได้ไม่หลงเกาะติดในสภาวะต่าง ๆ ว่าทรงตัว ทั้ง ๆ ที่ไม่มีความทรงตัว
แม้กระทั่งอารมณ์ก็ไม่มีความทรงตัว พิจารณาตามนี้เอาไว้ให้ดี
การพิจารณาแล้วเบื่อหน่ายนั้นเป็นของดี
แต่การเบื่อหน่ายที่ดีอย่าให้บังเกิดอารมณ์ปฏิฆะขึ้นมา
ให้ลงธรรมดาเข้าไว้จิตจักเป็นสุข เพราะยอมรับนับถือกฎของธรรมดา



:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ส.ค. 2018, 21:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ม.ค. 2018, 00:09
โพสต์: 203

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คำพระสอน... :b8:
.
.
.
ยังกลัวตายอยู่ไหมคะ? :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ส.ค. 2018, 21:55 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เตรียมตัวเตรียมใจตายเสมอๆแหละคับ..

แต่ถามว่า..
กลัวตายมั้ย?...

ถ้ามีคนเอาปืนมาจ่อยิงผม...หากอยู่ใกล้ก็สู้ละคับ..หากอยู่ไกล..ก็กระโด่ดหลบละคับ..ไม่อยู่เฉยแน่ :b9:
แสดงว่ายังกลัวตายอยู่..
คนไม่กลัวตาย..คงไม่ทำอย่างนี้มั้งคับ.. :b12: :b12:

คำพระสอน...

อ้างคำพูด:
อย่าปล่อยปละละเลยในเรื่องของการพิจารณา
อะไรผ่านเข้ามาทางทวารทั้ง ๖ หรืออายตนะทั้ง ๖
คือ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ก็ให้นำมาพิจารณาเป็นกรรมฐาน
คิดให้เป็นลงในอริยสัจ คือ ทุกข์ หรือเข้าสู่ไตรลักษณ์ก็ได้
อย่าสักแต่ว่าเห็นแล้วคิด แต่หาจุดลงไม่ได้ คิดไปเหมือนคนฟุ้ง
พอเลิกคิดแล้วก็ลืมไปด้วย ปัญญาไม่เกิด

ร่างกายทรุดโทรมแปรปรวนไป ก็เป็นปกติของร่างกาย
ฝืนก็ฝืนไม่ได้ ยิ่งฝืนยิ่งทุกข์ ให้ยอมรับนับถือกฎของธรรมดา จิตจักได้ไม่ทุกข์
แล้วทำการเบื่อหน่ายในร่างกายนี้ไปเสียให้ได้ จักได้ไม่ต้องกลับมามีร่างกายอีก
การวางเฉยของจิต ด้วยการยอมรับนับถือกฎของธรรมดา
จักทำให้เข้าถึงอารมณ์สังขารุเบกขาญาณได้โดยง่าย


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ส.ค. 2018, 22:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ม.ค. 2018, 00:09
โพสต์: 203

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
เตรียมตัวเตรียมใจตายเสมอๆแหละคับ..

แต่ถามว่า..
กลัวตายมั้ย?...

ถ้ามีคนเอาปืนมาจ่อยิงผม...หากอยู่ใกล้ก็สู้ละคับ..หากอยู่ไกล..ก็กระโด่ดหลบละคับ..ไม่อยู่เฉยแน่ :b9:
แสดงว่ายังกลัวตายอยู่..
คนไม่กลัวตาย..คงไม่ทำอย่างนี้มั้งคับ.. :b12: :b12:

คำพระสอน...

อ้างคำพูด:
อย่าปล่อยปละละเลยในเรื่องของการพิจารณา
อะไรผ่านเข้ามาทางทวารทั้ง ๖ หรืออายตนะทั้ง ๖
คือ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ก็ให้นำมาพิจารณาเป็นกรรมฐาน
คิดให้เป็นลงในอริยสัจ คือ ทุกข์ หรือเข้าสู่ไตรลักษณ์ก็ได้
อย่าสักแต่ว่าเห็นแล้วคิด แต่หาจุดลงไม่ได้ คิดไปเหมือนคนฟุ้ง
พอเลิกคิดแล้วก็ลืมไปด้วย ปัญญาไม่เกิด

ร่างกายทรุดโทรมแปรปรวนไป ก็เป็นปกติของร่างกาย
ฝืนก็ฝืนไม่ได้ ยิ่งฝืนยิ่งทุกข์ ให้ยอมรับนับถือกฎของธรรมดา จิตจักได้ไม่ทุกข์
แล้วทำการเบื่อหน่ายในร่างกายนี้ไปเสียให้ได้ จักได้ไม่ต้องกลับมามีร่างกายอีก
การวางเฉยของจิต ด้วยการยอมรับนับถือกฎของธรรมดา
จักทำให้เข้าถึงอารมณ์สังขารุเบกขาญาณได้โดยง่าย


:b8: :b8: :b8:



:b8:
.
.
.
ร้อยล้านคำพูด พันล้านเหตุผล คำธรรมกว้างใหญเท่าภูเขา...ไม่เท่ากับผลที่เกิดขึ้นในจิต..เพียงเสี้ยววินาทีเดียวคะ..เป็นกำลังใจให้นะคะ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ส.ค. 2018, 22:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ม.ค. 2018, 00:09
โพสต์: 203

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


(ร้อยล้านมรรค...ค่าไม่เท่า1อริยผล :b8: )


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ส.ค. 2018, 22:21 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b16: :b16: :b16:

คำพระสอน..

อ้างคำพูด:
จงอย่าประมาทในกรรม ร่างกายที่อ่อนแอลงไปก็เพราะกฎของกรรม
จงระลึกนึกเข้าไว้เสมอว่า ความตายกำลังจักใกล้เข้ามา
ความป่วยก็ย่อมเข้ามาเมื่อเวลาร่างกายอ่อนแอลง นี่เป็นเรื่องธรรมดาอีก
เพราะฉะนั้นจงอย่ากังวลใจกับอาการของร่างกาย
ให้หันมารีบทำความดีเอาไว้เสมอ ๆ
เจริญอยู่ในทาน - ศีล - ภาวนา อย่าให้บกพร่องไปจากจิต
ชีวิตนี้อยู่ได้ไม่นาน ความตายจักมาตัดรอนชีวิตเมื่อไหร่ก็ได้
จงรีบชำระล้างกิเลสเสีย



:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ส.ค. 2018, 06:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


คำพระสอน..

อ้างคำพูด:
ให้หมั่นสังเกตอารมณ์ของใจเอาไว้เสมอ
ดังที่เจ้าเห็นว่ามันกระสับกระส่ายออกนอกลู่นอกทางอยู่ตลอดเวลานั้นถูกต้องแล้ว
ตัวสติ - สัมปชัญญะเป็นตัวกำหนด จิตเป็นผู้รู้
จักเห็นอารมณ์ที่แลบไปสู่นิวรณ์ ๕ อยู่ตลอดเวลา นั่นแสดงว่าจิตไม่สงบแล้ว ตกเป็นทาสของกิเลสแล้ว
ให้รีบระงับเสีย กำหนดรู้ลมหายใจเข้า - ออกเข้าไว้ แล้วให้รู้สึกสบาย
จึงพิจารณาหาความจริง จิตจึงจักสงบ ให้พยายามทำให้มาก
ก่อนที่จักทำอะไรลงไปให้ใคร่ครวญพิจารณาก่อนแล้วจึงทำ
ความผิดพลาดก็จักเกิดขึ้นได้น้อย ความเสียหายก็จักไม่มี
การทำอะไรก็ควรจักพิจารณาให้เห็นตามความเป็นจริง งานออกมาก็จักดี


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ส.ค. 2018, 06:28 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


คำพระสอน..

อ้างคำพูด:

การเตรียมตัวเตรียมใจรับความตายเป็นของดี เพราะนั่นเป็นวิถีจิตของผู้ไม่ประมาทในชีวิต
ทราบสภาวะการตายได้ของร่างกายอยู่ตลอดเวลา
เรียกว่ารู้เท่าทันสภาวะของร่างกายตามความเป็นจริง
ที่ว่าชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง
อีกทั้งความตายไม่มีนิมิตเครื่องหมาย จักตายลงไปเมื่อไหร่ก็ได้
การมีชีวิตอยู่ก็ต้องรู้จักการถนอมสุขภาพของร่างกาย ทำอะไรจงอย่าเบียดเบียนร่างกายให้มากจนเกินไป
รักษาสุขภาพอย่าให้ทรุดโทรมจนเกินไป
ความแก่-ความเจ็บ-ความตายอันเกิดกับร่างกายห้ามไม่ได้ก็จริงอยู่
แต่ความแก่-ความเจ็บชะลอได้ในการรู้เท่าทันกองสังขารนี้
และถ้ารักษาจิตใจให้เป็นสุข กายก็จักเป็นสุขด้วย


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ส.ค. 2018, 06:52 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ถ้าตั้งใจไว้ว่าจะกลับมาเกิดเป็น มนุษย์ ใหม่ก็ปฏิบัติใน กรรมบถ ๑๐ ประการ
.
ถ้าตั้งใจว่าจะไป สวรรค์ ก็ให้ถือธรรมะของสวรรค์ ๒ ประการคือ หิริและโอตตัปปะ ที่เรียกว่า เทวธรรม หิริ ความละอายต่อความชั่ว โอตตัปปะ เกรงกลัวผลของความชั่วจะให้ผล ถ้ามีอารมณ์อย่างนี้เกิดเป็น เทวดา หรือ นางฟ้า แน่
.
ถ้าคิดว่าเราจะไปเป็น พรหม ก็ทรงอารมณ์ของความเป็นฌานไว้ ให้รักษากำลังของความเป็นปฐมฌานบ้าง ทุติยฌานบ้าง ตติยฌานบ้าง จตุตถฌานบ้างตามกําลัง ถ้าเราทรงอารมณ์ปฐมฌานได้อย่างหยาบเราก็เป็นพรหมชั้นที่ ๑ ทรงอารมณ์ฌานอย่างกลางก็เป็นพรหมชั้นที่ ๒ ถ้าทรงอารมณ์ปฐมฌานอย่างละเอียดก็เป็นพรหมชั้นที่ ๓ อย่างนี้เป็นต้น
.
หรือว่าเราต้องการไป นิพพาน ถ้าเราคิดว่าวันนี้เราตายเราจะไปนิพพาน ก็ตั้งความรู้สึกว่าขึ้นชื่อว่า การเกิดเป็นมนุษย์ก็เต็มไปด้วยความทุกข์ ความทุกข์ที่มีกับเราจริงๆ ก็คือร่างกายเป็นเหตุ ถ้าเราไม่มีร่างกายเสียอย่างเดียว ความหิวที่มันเป็นทุกข์ก็ไม่มีกับเรา ความหนาวเกินไปร้อนเกินไปที่เป็นปัจจัยของความทุกข์ก็ไม่มีกับเรา ความเหนื่อยยากในการประกอบกิจการงานต่างๆ ก็ไม่มีกับเรา ความปรารถนาไม่สมหวังก็ไม่มีกับเรา ถ้าไม่มีร่างกายการป่วยไข้ไม่สบายก็ไม่มีกับเรา ในที่สุดความตายก็จะไม่มีกับเรา เพราะเราไม่มีร่างกาย.



:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ส.ค. 2018, 07:12 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ส.ค. 2018, 08:00 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


คำพระสอน..

อ้างคำพูด:
มัชฌิมาปฏิปทานี้เป็นสิ่งที่จำเป็นมาก
เพราะหากไม่ประคองอารมณ์จิตเข้าไว้ในส่วนนี้ ก็จักเข้าสู่ส่วนสุด ๒ อย่างได้โดยง่าย
กรรมฐานแต่ละกองก็เป็นอัตตกิลมถานุโยค (ตึงไป) หรือกามสุขขัลลิกานุโยค (หย่อนไป) ได้ทุกกอง

ให้สังเกตเอาไว้ให้ดี เรียนรู้คำว่ามัชฌิมาปฎิปทาเข้าไว้
ถ้าทำได้ กาย - วาจา - ใจก็จักสงบเยือกเย็นได้เป็นลำดับไป
อารมณ์ของจิตก็จักเจริญได้ถึงที่สุด
การสอนเป็นอนุโลม - ปฏิโลม เพราะจิตของผู้ปฏิบัติละเอียดไม่พอ
รู้จักมัชฌิมาปฏิปทาไม่พอ การสอนจึงต้องย้อนซ้ำที่เก่าเสมอ
(เพราะพระองค์เป็นสัพพัญญู ย่อมรู้ได้ทุกอย่าง)
การนึกสงสัยนั่นแหละดี ดีกว่าฟังส่งเดชไปโดยไม่คิด
ฟังแล้วคิดจักรู้สึกตัวว่าปฏิบัติได้หรือไม่ได้
เป็นการโจทย์จิตของตนเองว่าปฏิบัติไปถึงไหนแล้ว
มิใช่เอาแต่อุปาทานว่าเราได้แล้ว ไม่รู้จักคิดย้อนหน้า - ย้อนหลังว่าทำได้นั้นทำได้จริงหรือไม่

คำว่าทรงตัว คืออารมณ์ของจิตให้อยู่ในความดีได้ขนาดไหน
ทรงตัวตัดสังโยชน์ได้ระดับใด นี่จักต้องรู้จักจิตของตนเอง
อย่าหลอกตัวเอง - หลอกผู้อื่น หาความดีไม่ได้ ดูจุดนี้เอาไว้ให้ดี
เวลาของร่างกายหรืออายุของร่างกายมีการเหลือน้อยเต็มที
จงอย่าประมาทในชีวิต ให้หมั่นเพียรทำจิตให้พ้นทุกข์อย่างแท้จริง



:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ส.ค. 2018, 22:35 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


คำพระสอน..

อ้างคำพูด:
ยารักษาโรคเป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ เป็นปัจจัยสำคัญแห่งชีวิต
การมีโรคเป็นของธรรมดา การกินยาก็ให้เห็นเป็นของธรรมดาไปด้วย
เป็นการกินเพื่อระงับทุกขเวทนา เป็นการยังอัตภาพให้เป็นไป
ไม่ได้กินเพื่อกิเลส หรือกินเพื่อความอ้วนพีผ่องใส กินเพื่อไม่ให้ตาย อย่างนี้เป็นต้น
ให้เห็นโทษของการมีร่างกายซึ่งเป็นรังของโรค
การกินยาถ้าปรารถนาให้โรคหาย หวังความไม่เจ็บไม่ไข้ ก็เท่ากับมีความทะยานอยาก
ปรารถนาในร่างกาย อารมณ์ใจพึงระวังตัณหาให้มาก
รักษาเป็นการระงับทุกขเวทนาเท่านั้น เพื่อไม่ให้กายเกิดทุกขเวทนามาถึงจิต
แล้วจิตนี้ก็พึงอยู่ด้วยความไม่ประมาท รักษาร่างกายไปตามหน้าที่ แต่จิตจงอย่ามีอารมณ์ปรารถนา
จงหน่ายในร่างกายนี้เสีย จิตวางกังวลในร่างกายนี้เสีย ให้เห็นโทษ ให้เห็นธรรมดาในร่างกายนี้เสีย
เห็นธาตุ ๔ ที่มาประชุมกันอยู่นี้ มีความไม่เที่ยงเป็นปกติ จิตจงอย่าไปฝืน
ให้ยอมรับว่ามันเป็นธรรมดาของมัน แล้วไม่ช้าไม่นานมันก็ต้องตายสลายตัวไป
มันเป็นธรรมดาของมัน จงรักษาอารมณ์ใจให้เป็นสุข อย่าไปกังวลกับมัน



โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ส.ค. 2018, 20:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
เรื่องความใจร้อน ในเมื่อรู้ว่าความเร่งรีบนั้นไม่ดี ก็จงอย่าเร่งรีบทำอะไร ให้ใจเย็น ๆ
อย่าให้เวลาหรือความร้อนใจเข้ามาเป็นเครื่องบังคับ
จงให้อารมณ์ที่เป็นกุศลมาอยู่กับจิตเสมอ เป็นการสร้างความสุขให้เกิดกับจิตใจ
ประการนี้สำคัญมาก ทำอะไรทุกอย่างให้เป็นสุขกับจิต
แต่ต้องเป็นสุขที่แท้จริง เป็นความเยือกเย็นของจิตที่ไม่เร่าร้อนไปด้วยกิเลสทั้งปวง
อาทิ อย่าสนใจในจริยาของผู้อื่น เมื่อรู้ทราบสิ่งใดมาก็วางไป จิตอย่าได้ไปติดข้องอยู่
ให้เห็นเป็นโลกธรรมดา โลกมันก็เป็นอย่างนี้แหละ ธรรมดาของโลกก็เป็นอย่างนี้แหละ
ไม่นำเอาไปว่า ไม่นำเอาไปปรุงแต่งอีกต่อไป ทำจิตให้สุขสบาย
มองทุกอย่างตามความเป็นจริง แล้วก็จักไม่วุ่นวาย
จงทำเป็นคนโง่ ดีกว่าเป็นคนฉลาดในทางด้านวาจา
อย่าทำเป็นคนฉลาดในทางด้านวาจา
อย่าทำตนเป็นคนฉลาดรู้ไปเสียทุกอย่าง
ทำเป็นไม่รู้นั่นแหละดี



:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 116 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 8  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร