วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 22:54  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 31 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2018, 10:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปฐวีธาตุ ๔ อย่าง คือ

๑. ลักษณะปฐวี ปฐวีโดยลักษณะ ได้แก่ ภาวะแข้นแข็งแผ่ไป เป็นที่ตั้งอาศัยให้ปรากฏตัวของประดารูปที่เกิดร่วม (เรียก ปรมัตถปฐวี บ้าง กักขฬปฐวี บ้างก็มี)

๒. สสัมภารปฐวี ปฐวีโดยพร้อมด้วยเครื่องประกอบภายในกาย เช่น ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง
ภายนอกตัว เช่น ทอง เงิน เหล็ก กรวด ศิลา ภูเขา

๓. อารัมมณปฐวี ปฐวีโดยอารมณ์ คือ ดินเป็นอารมณ์ในกรรมฐาน โดยเฉพาะมุ่งเอาปฐวีกสิณที่เป็นปฏิภาคนิมิต (เรียกนิมิตปฐวีบ้าง กสิณปฐวี บ้างก็มี)

๔. สมมติปฐวี ปฐวีโดยสมมติเรียกกันไปตามที่ตกลงบัญญัติ เช่น ที่นับถือแผ่นดินเป็นเทวดาว่าแม่พระธรณี (บัญญัติปฐวี ก็เรียก)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2018, 10:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อาโปธาตุ ๔ อย่าง คือ

๑. ลักขณอาโป อาโปโดยลักษณะ ได้แก่ ภาวะไหลซ่าน เอิบอาบ ซาบซึม เกาะกุม (เรียกปรมัตถอาโป ก็ได้)

๒. สสัมภารอาโป อาโปโดยพร้อมด้วยเครื่องประกอบภายในกาย เช่น ดี เสมหะ หนอง เลือด เหงื่อ
ภายนอกตัว เช่น น้ำดื่ม น้ำชา น้ำยา น้ำผลไม้ น้ำฝน น้ำผึ้ง น้ำตาล ห้วยละหาน แม่น้ำ คลอง บึง

๓. อารัมมณอาโป อาโปโดยเป็นอารมณ์ คือน้ำที่เป็นนิมิตในกรรมฐาน (เรียกนิมิตตอาโปบ้าง หรือกสิณอาโป ก็ได้)

๔. สมมติอาโป อาโปโดยสมมติเรียกกันไปตามที่ตกลงบัญญัติ เช่น ที่นับถือน้ำเป็นเทวดา เรียกว่า แม่พระคงคา พระพิรุณ เป็นต้น (บัญญัติอาโป ก็เรียก)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2018, 10:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เตโชธาตุ ๔ อย่าง คือ

๑. ลักขณเตโช เตโชโดยลักษณะ ได้แก่ สภาวะที่ร้อน ความร้อน ภาวะที่แผดเผา สภาวะที่ทำให้ย่อยสลาย (เรียกปรมัตถเตโช ก็ได้)

๒. สสัมภารเตโช เตโชโดยพร้อมด้วยเครื่องประกอบ ภายในกาย เช่น ไอร้อนของร่างกาย ไฟที่เผาผลาญย่อยอาหาร ไฟที่ทำกายให้ทรุดโทรม
ภายนอกตัว เช่น ไฟถ่าน ไฟฟืน ไฟน้ำมัน ไฟป่า ไฟหญ้า ไฟฟ้า ไอแดด

๓. อารัมมณเตโช เตโชโดยเป็นอารมณ์ คือไฟที่เป็นนิมิตในกรรมฐาน (เรียกนิมิตตเตโช หรือกสิณเตโช ก็ได้)

๔. สมมติเตโช เตโชโดยสมมติเรียกกันไปตามที่ตกลงบัญญัติ เช่น ที่นับถือไฟเป็นเทวดาเรียกว่า แม่พระเพลิง แม่พระอัคนีเทพ เป็นต้น (บัญญัติเตโช ก็เรียก)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2018, 11:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วาโยธาตุ ๔ อย่าง คือ

๑. ลักขณวาโย วาโยโดยลักษณะ ได้แก่ สภาวะที่สั่นไหว ค้ำจุน เคร่งตึง (เรียกปรมัตถวาโย ก็ได้)

๒. สสัมภารวาโย วาโยโดยพร้อมด้วยเครื่องประกอบ ภายในกาย เช่น ลมหายใจ ลมในท้อง ลมในไส้ ลมหาว ลมเรอ
ภายนอกตัว เช่น ลมพัดลม ลมสูบยางรถ ลมเป่าไฟให้โชน ลมร้อน ลมหนาว ลมพายุ ลมฝน ลมเหนือ ลมใต้

๓. อารัมมณวาโย วาโยโดยเป็นอารมณ์ คือลมที่เป็นนิมิตในกรรมฐาน (เรียกนิมิตตวาโย หรือกสิณวาโย ก็ได้)

๔. สมมติวาโย วาโยโดยสมมติเรียกกันไปตามที่ตกลงบัญญัติ เช่น ที่นับถือลมเป็นเทวดา เรียกว่าพระมารุต พระพาย เป็นต้น (บัญญัติวาโย ก็เรียก)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2018, 16:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อุปาทายรูป ๒๔ รูปอาศัย, รูปที่เกิดสืบเนื่องจากมหาภูต, อาการของภูตรูป, อุปาทารูป ๒๔ ก็เรียก มี ๒๔ คือ

ก. ประสาท หรือ ปสาทรูป ๕ ได้แก่ จักขุ ตา, โสต หู, ฆานะ จมูก, ชิวหา ลิ้น, กาย กาย, มโน ใจ,

ข. โคจรรูป หรือวิสัยรูป (รูปที่เป็นอารมณ์) ๕ ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (โผฏฐัพพะไม่นับเข้าจำนวน เพราะตรงกับปฐวี เตโช วาโย ซึ่งเป็นมหาภูตรูป)

ค. ภาวรูป ๒ ได้แก่ อิตถีภาวะ ความเป็นหญิง และ ปุริสภาวะ ความเป็นชาย

ง. หทัยรูป คือ หทัยวัตถุ หัวใจ

จ. ชีวิตรูป ๑ คือ ชีวิตินทรีย์ ภาวะที่รักษารูปให้เป็นอยู่

ฉ. อาหารรูป ๑ คือ กวฬิงการาหาร อาหารที่กินเกิดเป็นโอชา

ช. ปริจเฉทรูป ๑ คือ อากาศธาตุ ช่องว่าง

ญ. วิญญัตติรูป ๒ คือ กายวิญญัตติ ไหวกายให้รู้ความ วจีวิญญัตติ ไหววาจาให้รู้ความ คือ พูด

ฏ. วิการรูป ๕ อาการตัดแปลงต่างๆ ได้แก่ ลหุตา ความเบา มุทุตา ความอ่อน กัมมัญญตา ความควรแก่งาน (อีก ๒ คือ วิญญัตติรูป ๒ นั่นเอง ไม่นับอีก)

ฎ. ลักขณรูป ๔ ได้แก่ อุปจยะ ความเติบขึ้นได้ สันตติ สืบต่อได้ ชรตา ทรุดโทรมได้ อนิจจตา ความสลายไม่ยั่งยืน (นับโคจรรูปเพียง ๔ วิการรูปเพียง ๓ จึงได้ ๒๔)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2018, 16:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูป ๒๘ นั้น นอกจากจัดเป็น ๒ ประเภทหลักอย่างนี้แล้ว ท่านจัดแยกประเภทเป็นคู่ๆ อีกหลายคู่ พึงทราบโดยสังเขป ดังนี้

คู่ที่ ๑ นิปผันนรูป (รูปที่สำเร็จ คือ เกิดจากปัจจัยหรือสมุฏฐาน อันได้แก่ กรรม จิต อุตุ อาหาร โดยตรง มีสภาวลักษณะของมันเอง) มี ๑๘ คือ ที่มิใช่ อนิปผันนรูป (รูปที่มิได้สำเร็จจากปัจจัยหรือสมุฏฐานโดยตรง ไม่มีสภาวะลักษณะของมันเอง เป็นเพียงอาการสำแดงของนิปผันนรูป) ซึ่งมี ๑๐ คือ ปริจเฉทรูป ๑ วิญญัตติรูป ๒ วิการรูป ๓ ลักขณรูป ๔

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2018, 16:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คู่ที่ ๒ อินทรียรูป (รูปที่เป็นอินทรีย์ คือ เป็นใหญ่ในหน้าที่) มี ๘ คือ ปสาทรูป ๕ ภาวรูป ๒ ชีวิตรูป ๑
อนินทรียรูป (รูปที่มิใช่อินทรีย์) มี ๒๐ คือ ที่เหลือจากนั้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2018, 16:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คู่ที่ ๓ อุปาทินนรูป (รูปที่ตัณหาและทิฏฐิยึดครอง คือ รูปซึ่งเกิดแต่กรรม ที่เป็นอกุศลและโลกียกุศล) ได้แก่ กัมมชรูป มี ๑๘ คือ อินทรีย์รูป ๘ นั้น หทัยรูป ๑ อวินิพโภครูป ๘ ปริจเฉทรูป ๑
อนุปาทินนรูป (รูปที่ตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดครอง มิใช่กัมมชรูป) ได้แก่ รูป ๑๐ อย่างที่เหลือ (คือ สัททรูป ๑ วิญญัตติรูป ๒ วิการรูป ๓ ลักขณรูป ๔)

สำหรับข้อที่ ๓ นี้ มีข้อที่ต้องทำความเข้าใจซับซ้อนสักหน่อย คือ ที่กล่าวมานั้น เป็นการอธิบายตามคัมภีร์อภิธัมมัตถวิภาวินี แต่ในโมหวิจเฉทนี ท่านกล่าวว่า อุปาทินนรูป มี ๙ เท่านั้น ได้แก่ อินทรียรูป ๘ และหทัยรูป ๑
อนุปาทินนรูป ได้แก่ รูป ๑๙ อย่างที่เหลือ (คือ อวินิพโภครูป ๘ ปริจเฉทรูป ๑ สัททรูป ๑ วิญญัตติรูป ๒ วิการรูป ๓ ลักขณรูป ๔)


ที่ท่านว่าอย่างนี้ มิได้ขัดกัน ดังที่ปัญจิกา ชี้แจงว่า ที่นับอุปาทินนรูปเป็น ๙ ก็เพราะเอาเฉพาะเอกันตกัมมชรูป คือ รูปที่เกิดจากกรรมอย่างเดียวแท้ๆ (ไม่มีในอุตุชรูป เป็นต้น) ซึ่งมีเพียง ๙ อย่างดังที่กล่าวแล้ว (คือ อินทรียรูป ๘ และหทัยรูป ๑)
ส่วนกัมมชรูป อีก ๙ อย่าง (อวินิพโภครูป ๘ ปริจเฉทรูป ๑) ไม่นับเข้าด้วย เพราะเป็น อเนกันตกัมมชรูป คือ มิใช่เป็นรูปที่เกิดจากกรรมอย่างเดียวแท้ (จิตตชรูปก็ดี อุตุชรูปก็ดี อาหารชรูปก็ดี ล้วนมีรูป ๙ อย่าง นี้เหมือนกับกัมมชรูปทั้งนั้น)


โดยนัยนี้ เมื่อนับอเนกันตกัมมชรูป (ยอมนับรูปที่ซ้ำกัน) รวมเข้ามาด้วย ก็จึงมีวิธีพูดแสดงความหมายของรูปคู่ที่ ๓ นี้แบบปนรวมว่า อุปาทินนรูป ได้แก่ กัมมชรูป ๑๘ คือ อินทรียรูป ๘ หทัยรูป ๑ อวินิพโภครูป ๘ ปริจเฉทรูป ๑

อนุปาทินนรูป ได้แก่ จิตตชรูป ๑๕ (รูปที่เกิดแต่จิต วิญญัตติรูป ๒ วิการรูป ๓ สัททรูป ๑ อวินิพโภครูป ๘ ปริจเฉทรูป ๑)
อุตุชรูป ๑๓ (รูปที่เกิดแต่อุตุ วิการรูป ๓ สัททรูป ๑ อวินิพโภครูป ๘ ปริจเฉทรูป ๑) อาหารรูป ๑๒ (รูปที่เกิดแก่อาหาร วิการรูป ๓ อวินิพโภครูป ๘ ปริจเฉทรูป ๑)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2018, 16:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คู่ที่ ๔ โอฬาริกรูป (รูปหยาบ ปรากฏชัด) มี ๑๒ คือ ปสาทรูป ๕ วิสัยรูป ๗
สุขุมรูป (รูปละเอียด รับรู้ทางประสาททั้ง ๕ ไม่ได้ รู้ได้แต่ทางมมโนทวาร) มี ๑๖ คือ ที่เหลือจากนั้น

คู่ที่ ๕ สันติเกรูป (รูปใกล้ รับรู้ง่าย) มี ๑๒ คือ ประสาท ๕ วิสยรูป ๗
ทูเรรูป (รูปไกล รับรู้ยาก) มี ๑๖ คือ ที่เหลือจากนั้น (เหมือนคู่ที่ ๔)

คู่ที่ ๖ สัปปฏิฆรูป (รูปที่มีการกระทบให้เกิดการรับรู้) มี ๑๒ คือ ประสาท ๕ วิสยรูป ๗
อัปปฏิฆรูป (รูปที่ไม่มีการกระทบ ต้องรู้ด้วยใจ) มี ๑๖ คือ ที่เหลือจากนั้น (เหมือนคู่ที่ ๔)

คู่ที่ ๗ สนิทัสสนรูป ] (รูปที่มองเห็นได้) มี ๑ คือ วัณณะ ๑ ได้แก่ รูปารมณ์
อนิทัสสนรูป (รูปที่มองเห็นไม่ได้) มี ๒๗ คือ ที่เหลือจากนั้น

(คุณโรสชอบอ้างอิงบ่อยๆ สังเกตคู่ที่ ๗ (วัณณะ) สี นั่น สีนี่ ซึ่งก็ได้แก่ รูปารมณ์ นั่นเอง)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2018, 17:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คู่ที่ ๘ วัตถุรูป (รูปเป็นที่ตั้งอาศัยของจิตและเจตสิก) มี คือ ปสาทรูป ๕ หทัยรูป ๑
อวัตถุรูป (รูปอันไม่เป็นที่ตั้งอาศัยของจิต และเจตสิก) มี ๒๒ คือ ที่เหลือจากนั้น

คู่ที่ ๙ ทวารรูป (รูปเป็นทวาร คือเป็นทางรับรู้ของวิญญาณห้า และทางทำกายกรรม และวจีกรรม) มี ๗ คือ ปสาทรูป ๕ วิญญัตติรูป ๒
อทวารรูป (รูปอันมิใช่เป็นทวาร) มี ๒๑ คือ ที่เหลือจากนั้น

คู่ที่ ๑๐ อัชฌัตติกรูป (รูปภายใน ฝ่ายของตนที่จะรับรู้โลก) มี คือ ปสาทรูป ๕
พาหิรรูป (รูปภายนอก เหมือนเป็นพวกอื่น) มี ๒๓ คือ ที่เหลือจากนั้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2018, 17:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คู่ที่ ๑๑ โคจรัคคาหิกรูป (รูปที่รับโคจร คือ รับรู้อารมณ์ห้า) มี ๕ คือ ปสาทรูป ๕ (แยกย่อยเป็น ๒ พวก ได้แก่ สัมปัตตโคจรัคคาหิกรูป รูปซึ่งรับอารมณ์ที่ไม่มาถึงตนได้ มี ๒ คือ จักขุ และโสตะ กับ อสัมปัตตโคจรัคคาหิกรูป รูปซึ่งรับอารมณ์ที่มาถึงตน มี ๓ คือ ฆานะ ชิวหา และกาย)
อโคจรัคคาหิกรูป (รูปที่รับโคจรไม่ได้) มี ๒๓ คือ ที่เหลือจากนั้น (เหมือนคู่ที่ ๑๐)

คู่ที่ ๑๒ อวินิพโภครูป (รูปที่แยกจากกันไม่ได้) มี ๘ คือ ภูตรูป ๔ วัณณะ ๑ คันธะ ๑ รสะ ๑ โอชา (คืออาหารรูป) ๑ (ที่ประกอบกันเป็นหน่วยรวมพื้นฐานของรูปธรรม ที่เรียกว่า สุทธัฏฐกกลาป)
วินิพโภครูป (รูปที่แยกจากกันได้) มี ๒๐ คือ ที่เหลือจากนั้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2018, 17:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นอกจากรูปที่จัดประเภทเป็นคู่ดังที่กล่าวมานี้แล้ว ในพระไตรปิฎกกล่าวถึงรูปชุดที่มี ๒ ประเภท ซึ่งเทียบได้กับที่แสดงข้างต้น คือ (เช่น ที.ปา.11/228/229)

สนิทัสสนสัปปฏิฆรูป (รูปที่มองเห็นและมีการกระทบให้เกิดการรับรู้ได้) มี ๑ ได้แก่ รูปารมณ์ คือ วัณณะ
อนิทัสสนสัปปฏิฆรูป (รูปที่มองเห็นไม่ได้ และไม่มีการกระทบให้เกิดการรับรู้ ต้องรู้ด้วยใจ) ได้แก่ สุขุมรูป ๑๖

รูปอีกชุดหนึ่งที่กล่าวถึงบ่อย และควรทราบ คือ ชุด ที่จัดตามสมุฏฐาน เป็น ๔ ประเภท ได้แก่ กัมมชรูป ๑๘ จิตตชรูป ๑๕ อุตุชรูป ๑๓ และอาหารชรูป ๑๒ พึงทราบตามที่กล่าวแล้วในคู่ที่ ๓ ว่าด้วยอุปาทินนรูป และ อนุปาทินนรูป ข้างต้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2018, 17:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นี่คือการจำแนกชีวิตตามหลักพุทธธรรมทั้งพระสูตรและพระอภิธรรม พระสูตรจำแนกโดยขันธ์ เป็นต้น ส่วนพระอภิธรรมป่นซอยละเอียดยิบ จนคุณโรสว่าในอภิธรรมไม่มีอิริยาบถ (ยืน เดิน นั่ง นอน) :b12:

อ้างคำพูด:
Rosarin
รูปตามอภิธรรม 28 รูปไม่มีอิริยาบททั้ง 4 เลย
แนะนำผิดๆทำให้ผู้อื่นคิดเห็นผิดโทษมาก

viewtopic.php?f=1&t=56256&start=30


"อิริยาบท" ผิด ที่ถูก "อิริยาบถ"

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2018, 17:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปกาย ประชุมแห่งรูปธรรม, กายที่เป็นส่วนรูป โดยใจความได้แก่ รูปขันธ์ หรือร่างกาย เทียบ นามกาย

นามกาย "กองแห่งนามธรรม", หมายถึงเจตสิกทั้งหลาย


นาม ๓ ความหมาย

นาม ธรรมที่รู้จักกันด้วยชื่อ กำหนดรู้ด้วยใจเป็นเรื่องของจิตใจ, สิ่งที่ไม่มีรูปร่าง ไม่ใช่รูปแต่น้อมมาเป็นอารมณ์ของจิตได้, 1. ในที่ทั่วไป หมายถึงรูปขันธ์ ๔ คือ เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ 2. บางแห่ง หมายถึงอรูปขันธ์ ๔ นั่น และ นิพพาน (รวมทั้งโลกุตรธรรมอื่นๆ) 3. บางแห่ง เช่น ในปฏิจจสมุปบาท บางกรณีหมายเฉพาะเจตสิกธรรมทั้งหลาย, เทียบ รูป


รูปธรรม สิ่งที่มีรูป, สภาวะที่เป็นรูป คู่กับ นามธรรม

นามธรรม สภาวะที่น้อมไปหาอารมณ์, ใจและอารมณ์ที่เกิดกับใจ คือ จิต และเจตสิก, สิ่งของที่ไม่มีรูป, คือ รู้ไม่ได้ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่รู้ได้ทางใจ


นามรูป นามธรรม และรูปธรรม นามธรรม หมายถึง สิ่งที่ไม่มีรูป คือรู้ไม่ได้ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่รู้ได้ด้วยใจ ได้แก่ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
รูปธรรม หมายถึง สิ่งที่มีรูป สิ่งที่เป็นรูป ได้แก่ รูปขันธ์ ทั้งหมด


นามรูปปริจเฉทญาณ ญาณกำหนดแยกนามรูป, ญาณหยั่งรู้ว่าสิ่งทั้งหลายเป็นแต่เพียงนามและรูป และกำหนดจำแนกได้ว่า สิ่งใดเป็นรูป สิ่งใดเป็นนาม

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ค. 2018, 03:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
จำแต่ความหมายนั่นน่ะปัญญาตถาคต
ปัญญาตนเองสะสมความเข้าใจได้ทีละคำ
จำไว้ทำไมวางทุกคำเพื่อตามรู้สัจจะตามเสียง
รูปธรรมนามธรรมธาตุ4ขันธ์5อายตนะ6มีแล้ว
กำลังเกิดดับทุกคำคือเดี๋ยวนี้ปัจจุบันขณะคือ
ขณะที่ยังไม่ดับ(กะพริบตาแล้วดับนับไม่ถ้วน)
คิดทุกคำในพระไตรปิฎกได้พร้อมกันหมดผิด
เพราะกะพริบตาสั้นนิดเดียวไม่รู้ตรงที่กายใจมี
คือความจริงกำลังปรากฏกับอวิชชาตนจนกว่า
จะเริ่มฟังเพื่อให้เข้าใจความจริงถูกตรงขณะค่ะ
:b4: :b4:
onion onion onion


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 31 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร