วันเวลาปัจจุบัน 09 มิ.ย. 2025, 16:17  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 18 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ม.ค. 2018, 17:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


๓. สติ ความระลึกได้ นับเป็นกำลังสำคัญอีกตัวหนึ่ง

สติหมายความว่าอย่างไร ? หมายความว่า นึกได้อยู่เสมอ นึกได้ในเรื่องอะไร นึกได้อยู่ว่าฉันมีหน้าที่จะไปทำอะไร ก็นึกอยู่เสมอว่าฉันมีงาน ฉันจะมานั่งโขกหมากรุกอยู่ไม่ได้ ฉันจะไปเล่นสนุกอยู่ไม่ได้ ฉันจะมาคุยนานๆ ก็ไม่ได้ มีอะไรก็รีบทำ เพราะว่านึกอยู่เสมอ สติมันคอยเตือนคอยบอก คนเรามันมีสติคอยบอกอยู่เสมอ

แต่บางทีก็ทำหูทวนลมเสียอย่างนั้นแหละ ไม่เอาใจใส่ มันคอยสะกิด ตัวสตินี่คือความรู้สึกผิดชอบชั่วดี มันคอยสะกิดอยู่ตลอดเวลา เราจะไปไหน เราจะทำอะไรหรือเราจะคิดอะไร ธรรมชาติฝ่ายสูงมันคอยเตือนว่าอย่านะ แต่ว่าเรามันดื้อ คนเราเป็นอย่างนั้น ชอบดื้อ ไม่เชื่อฟังเขาเตือนแล้วก็ไม่เชื่อ

ควรหมั่นฟังเสียงข้างใน เสียงภายในตัวเรา เรียกว่า เสียงข้างใน มันคอยบอกคอยเตือน เช่นว่า เราไปไหน มันคอยบอกว่ากลับได้แล้วนะ ไปอ่านหนังสือเสียบ้าง เราไม่ค่อยได้ยินเสียงนั้น เพลินอยู่กับเสียงอะไรๆ ข้างนอก เลยไม่กลับ

แต่ถ้าได้ยินเสียงข้างในบอกกลับได้แล้วนะ ต้องกลับทันที มันดีขึ้นเรื่อย คนนั้นดีขึ้นเรื่อย เพราะรู้จักฟังเสียงข้างใน เป็นคนไม่ดื้อไม่ดัน ฟังเสียงที่มันคอยเตือน เมื่อเราคิดจะทำอะไร ความคิดอันหนึ่งก็เกิดขึ้นว่า ไม่ได้นะ อย่าไปทำนะเรื่องนี้มันผิดนะ ทำให้เสียหาย เราไม่เชื่อ มันจะไปเชื่อมาร ไม่เชื่อพระ ความคิดดีนั้นแหละพระ ตัวสติเกิดขึ้นแล้ว ไม่ได้นะเรื่องนี้ทำแล้วจะเสียหาย ไม่เป็นไร แน่ะ ไอ้ตัวนั้นมันเกิดมาคัดค้าน และมันก็ชนะเสียด้วย เราจึงเสียคนกัน เสียกันตรงนี้

เพราะฉะนั้น เราต้องฟังเสียเขาหน่อย เสียงความรู้สึกที่มันเกิดขึ้นในใจ เรื่องอะไรต่างๆ มันเกิดบอกว่าอย่านะ ไม่เหมาะ ไม่ดีนะ ถึงเวลาที่จะต้องกลับไปบ้านละนะ กลับไปทำหน้าที่ละนะ มันคอยเตือน เช่น สมมติว่าเราเป็นข้าราชการ เพื่อนมาชวนว่า เฮ้ย ไปดูหนังกันนะ เขาเรียกว่า “กระโดดร่ม” ภาษาข้าราชการเขาเรียกอย่างนั้น พอเพื่อนมาชวน ความคิดอันหนึ่งก็เกิดขึ้น มนุษย์เราต้องคิดทุกคน ว่านี่มันเวลาราชการจะไปดูหนังได้อย่างไร เพื่อนก็คะยั้นคะยอว่า ไปเถอะนะ งานไม่หนักหนาอะไร ทิ้งไว้ก่อนก็ยังได้ แล้วก็ไป ที่ไปน่ะแสดงว่าเราไม่เชื่อเสียงข้างใน ไม่เชื่อพระที่อยู่ข้างใน เชื่อผีที่มาชวนอยู่ข้างนอก แล้วก็ไปกับคนนั้น และถ้าทำอย่างนั้นบ่อยๆ ผลที่สุดก็ถูกจับว่ากระโดดร่มบ่อยๆ ก็เลยถูกคัดออกจากราชการไป

เราต้องหัดฟังไว้บ้าง ต้องหัดฟังเสียงข้างในไว้บ้าง เวลาเขาสะกิดเขาเตือนต้องคอยฟังเอาไว้ พอเกิดขึ้นต้องคอยฟัง มีอยู่เสมอ ขอให้สังเกตเถอะ ทำอะไรๆ ไม่ดี มันคอยบอกนะ สมมติว่า เราร่วมกลุ่มกันทำอะไรไม่เหมาะ มันบอกข้างในว่า เฮ้ยไม่เหมาะน่ะ ไม่ดีนะ แล้วเราไม่เอาเรื่อง ไม่ฟังเสียง ดื้ออยู่ตลอดเวลา เราก็เสียหาย อันนี้ เรียกว่าสติ สติเกิดขึ้นมาเตือนจิตสะกิดใจเราให้เราเกิดความรู้สึกนึกได้ ว่าสิ่งที่เราทำอยู่นี่ไม่ดี ไม่เหมาะไม่ควร มันจะเสียหายสร้างความทุกข์ ความเดือดร้อน เราไม่ฟังเสียงนั้น เรากลับไปฟังเสียงมาร ทำไมจึงได้ฟังเสียงมาร เพราะเสียงมารมันสนุก มันยั่ว มันตื่นเต้น ซู่ซ่าดี เราก็หลงใหลไปกับเสียงนั้น

เพราะฉะนั้น ให้คอยกำหนดสักหน่อย กำหนดว่าอะไรมันเกิดขึ้นในจิตใจของเรา เมื่อคิดว่า จะทำอะไรแล้ว ก็คิดว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ถ้ามีความรู้สึกว่าไม่ได้นะ ไม่ดีนะ แสดงว่าธรรมชาติฝ่ายสูงมันคอยเตือนแล้ว มาสะกิดเราแล้ว เราก็ต้องคิดว่า เอ้อ มันไม่ดีจริงๆ ไอ้นั่นมันเสียหายจริงๆ คิดให้รอบคอบ พิจารณาเหตุผล ชั่งดูฝ่ายหนึ่งว่าให้ทำ อีกฝ่ายหนึ่งว่าไม่ให้ทำ เราก็ต้องใช้ปัญญาพิจารณาดูว่า สองอยางนี้ อันไหนมันจะเป็นอย่างไร

ถ้าเราไปอย่างนั้น มันจะดีไหม ทำอย่างนี้มันจะดีไหม เมื่อพิจารณาอย่างนั้นก็จะเกิดความยับยั้งชั่งใจ มันก็ไม่เสียหาย เรียกว่า มีสติเกิดขึ้น ตัวสตินี้ จึงเป็นกำลังสำหรับหักห้ามใจ เหนี่ยวรั้งจิตใจไม่ให้ไหวไปในทางชั่วทางต่ำ จึงเป็นกำลังที่สำคัญอีกแล้ว เรียกว่า กำลังสติที่จะหักห้ามใจไว้ เราจึงควรจะได้ใช้ตัวนี้ไว้บ่อยๆ คอยใช้ ธรรมะเรียนแล้วต้องเอาไปใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ชีวิตของเรา ถ้าเราไม่ใช้ก็ไม่ได้ประโยชน์คุ้มค่ากัน

สติ มีหน้าที่ดึงอารมณ์มาสู่จิต เหนี่ยวอารมณ์ไว้กับจิต คุมหรือกำกับจิตไว้กับอารมณ์ ตรึงเอาไว้ไม่ยอมให้ลอยผ่านหรือคลาดกันไป จะเป็นการดึงมาซึ่งอารมณ์ที่ผ่านไปแล้ว หรือดึงไว้ซึ่งอารมณ์ที่จะผ่านไปก็ได้

สติ จึงมีขอบเขตความหมายคลุมถึง การระลึก นึกถึง นึกไว้ นึกได้ ระลึกได้ ไม่เผลอ

สติ เป็นการริเริ่มเองจากภายใน โดยอาศัยพลังแห่งเจตนาหรือเจตจำนง ในเมื่ออารมณ์อาจจะไม่ปรากฏอยู่ต่อหน้า เป็นฝ่ายจำนงต่ออารมณ์ จึงจัดอยู่ในพวกสังขาร

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2018, 09:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


๔. สมาธิ สมาธิหมายความว่า ตั้งใจมั่น ตั้งใจลงไปอย่างเด็ดเดี่ยว ว่าเราจะทำสิ่งนั้น เราจะทำสิ่งนี้ให้สำเร็จ ถ้าทำไม่สำเร็จเราจะไม่เลิกละ เรียกว่า สมาธิ หรือว่ากำลังจิตรวมเพื่อเพ่งพินิจพิจารณาเรื่องนั้นเรื่องนี้ เพื่อให้สำเร็จเป็นไปด้วยดี เรียกว่า มีกำลังสมาธิ

กำลังสมาธินี้ เป็นกำลังใหญ่เหมือนกัน เช่นว่า เราเรียนหนังสือต้องมีสมาธิในการอ่าน เขียนคิดค้นในเรื่องอะไรต่างๆ ถ้าไม่มีสมาธิแล้ว การกระทำนั้นคงง่อนแง่นคลอนแคลน

การกระทำจิตให้เป็นสมาธิต้องฝึก

พวกเราที่บวชเข้ามามีเวลา อยู่บ้านไม่มีเวลา มาบวชมีเวลาที่จะอบรมฝึกฝนสมาธิให้เกิดขึ้นในใจของเรา ให้มีกำลังสมาธิขึ้นไว้ในใจของเรา คือการฝึกภาวนา ที่ไปฝึกกันอยู่ทุกวันนั้นแหละ เมื่อใดเรามีกำลังสมาธิเกิดขึ้น ปฏิบัติงานก็ประหยัดเวลา ประหยัดเรี่ยวแรง และสำเร็จรวดเร็วด้วย

ยกตัวอย่างให้เห็นง่ายๆ เช่น เราอ่านหนังสือ ถ้าเรามีสมาธิอ่านไปก็รู้เรื่องทันที จำได้เพราะว่าจิตมันอยู่ตรงนั้น

แต่ถ้าเราไม่มีกำลังสมาธิ อ่านไปแล้ว เอ๊ะ ไม่รู้เรื่อง อ่านใหม่ก็ไม่รู้ อ่านอีก อ่านไปอ่านมาเสียเวลาไปเท่าไร เวลามีค่าเราต้องใช้ให้เกิดประโยชน์

ทีนี้ มันจะเกิดประโยชน์ก็ต้องอาศัยกำลังสมาธิในการเรียน การเขียน การคิด การค้น หรือว่าในการทำงานก็เหมือนกัน ถ้ามีสมาธิก็ไม่ผิดพลาด

คนบางคนเขียนหนังสือเขาเขียนไม่ผิดเลย หน้าหนึ่งไม่มีผิดเลยเรียบร้อย วรรคตอนเรียบร้อย ตัวหนังสือสวยงามเรียบร้อย แสดงว่ามีสมาธิดี ใจอยู่กับเรื่องนั้น จึงเขียนไม่ผิดพลาด เขียนแล้วใช้ได้เลย ไม่ต้องไปอ่านทานอีก มันเสร็จไปในตัว แสดงว่าจิตไม่ฟุ้งซ่านมีสมาธิอยู่ในการเขียน จึงเขียนได้เรียบร้อย ประหยัดเวลา

ถ้าเราร่างหนังสือ ร่างแล้ว ไม่ได้ความ ขยำกระดาษทิ้ง เปลืองกระดาษเปลืองเวลา เปลืองแรงงาน ไม่มีอะไรคุ้มค่า

ถ้าหากว่าจิตเราเป็นสมาธิเขียนเสร็จเรียบร้อยแล้วเซ็นชื่อได้เลย พร้อมจะเอาไปพิมพ์ คนพิมพ์ก็ต้องมีสมาธิด้วย ดังนั้น จึงต้อง เอาสมาธิเข้าเกี่ยวข้องด้วยตลอดเวลาไม่ว่าเรื่องอะไร

แม้แต่การฟังก็ต้องเอาสมาธิอยู่กับเสียงที่ฟัง ถ้าใจฟุ้งซ่านก็ฟังไม่รู้เรื่องว่าเขาพูดอะไรไป ได้บ้างไม่ได้บ้าง เขาพูดไป ๑๐ เปอร์เซ็นต์ ก็ได้เพียง ๒ เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง เพราะขาดสมาธิ จะต้องมีกำลังตัวนี้เข้าประกอบ ทุกเรื่องทุกแง่ทุกมุม จิตที่ไม่มีสมาธิต้องรู้จึงฝึกให้มีสมาธิขึ้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2018, 13:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


๕. ปัญญา แปลว่า ความรอบรู้ ปัญญาที่เป็นกำลังนี้ หมายความว่าเป็นเครื่องพิจารณาในสิ่งต่างๆ ในการกระทำอะไรทุกอย่าง ต้องมีสติ และปัญญาควรคู่กันไป มีสตินึกได้ พอนึกได้ ก็มีปัญญาพิจารณาแล้ว ว่าอันใดถูกผิด หรือควรไม่ควร ต้องใช้ปัญญาพิจารณาคู่กันกับตัวสติ และต้องมีสมาธิคู่กันไปด้วย ต้องพิจารณาด้วยสมาธิ ไม่ใช้สมาธิ ปัญญามันจะไม่เกิดกำลังกล้า

ขอให้เราสังเกตว่า คนที่คิดค้นอะไรขึ้นทางวัตถุ ทางวิทยาศาสตร์ เช่น จรวด ดาวเทียม พวกเหล่านี้ต้องมีกำลังศรัทธา กำลังความเพียร มีกำลังสติ กำลังสมาธิ มีกำลังปัญญา ทั้ง ๕ ประการนี้ให้สมดุลกันจึงจะสำเร็จได้ พระพุทธเจ้าท่านใช้กำลัง ๕ นี้ พร้อมบริบูรณ์จึงได้ตรัสรู้

ถ้าขาดกำลัง ๕ ประการนี้แล้วก็ไม่สำเร็จ

แม้เราจะสอบไล่ก็ต้องมีกำลังอยู่ในตัว เรายังไม่ได้เรียนเรื่องกำลัง ๕ นี้ แต่เราบังเอิญไปค้นพบมันเข้า เราก็มีความเชื่อ มีความเพียร มีสติ มีสมาธิ ปัญญา แล้วก็สำเร็จ

ทีนี้ พอมารู้เครื่องประกอบของกำลังความสำเร็จมันอยู่ตรงนี้ สร้างกำลังให้เกิดขึ้นในเรื่องนี้ เราก็สร้างศรัทธา สร้างความเพียร สร้างสติ สร้างสมาธิ สร้างปัญญา ขึ้น การปฏิบัติงานก็ก้าวหน้าไปด้วยดี

ปัญญา * แปลกันว่า ความรอบรู้ เติมเข้าอีกว่า ความรู้ทั่ว ความรู้ชัด คือ รู้ทั่วถึงความจริงหรือรู้ตรงตามความเป็นจริง

ท่านอธิบายขยายความกันออกไปต่างๆ เช่นว่า รู้เหตุรู้ผล รู้ดีรู้ชั่ว รู้ถูกรู้ผิด รู้ควรไม่ควร รู้คุณรู้โทษ รู้ประโยชน์มิใช่ประโยชน์ รู้เท่าทันสังขาร รู้องค์ประกอบ รู้เหตุปัจจัย รู้ที่ไปที่มา รู้ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งทั้งหลาย รู้ตามความเป็นจริง รู้ถ่องแท้ เข้าใจถ่องแท้ รู้เข้าใจสภาวะ รู้คิด รู้พินิจพิจารณา รู้วินิจฉัย รู้ที่จะจัดแจงจัดการหรือดำเนินการอย่างไรๆ แปลกันอย่างง่ายๆ พื้นๆ ปัญญา คือความเข้าใจ (หมายถึงเข้าใจถูก เข้าใจชัด หรือเข้าใจถ่องแท้) เป็นการมองทะลุสภาวะหรือมองทะลุปัญหา

ปัญญา ตรงข้ามกับ โมหะ ซึ่งแปลว่า ความหลง ความไม่รู้ ความเข้าใจผิด

* (ปัญญา มักแปลกันว่า wisdom หรือ understanding)

จบตอน จากหนังสือนี้ (หน้า ๔๖๑)

รูปภาพ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 18 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร