วันเวลาปัจจุบัน 25 ส.ค. 2025, 02:39  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 30 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ธ.ค. 2017, 17:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทีนี้ “สังขาร” นี่ยุ่งหน่อย อะไรๆมันก็เป็นสังขารทั้งนั้น เช่น เก้าอี้ ก็เป็นสังขาร ไอ้นี่ก็เป็นสังขาร อาสนะ นาฬิกา โรงเรียน ผ้าผ่อน ท่อนไม้ ตัวเรา ก็เป็นสังขารทั้งนั้น

สังขาร นี้ หมายความว่า สิ่งที่เกิดขึ้นจากเครื่องปรุงแต่ง เกิดขึ้นจากเครื่องปรุงแต่ง ฝรั่งเรียกว่า Compounding ไอ้สิ่งที่มารวมกันเข้า อะไรๆ ก็ไม่รู้ เรียกว่าเป็นสังขาร

สังขารนี้ มี ๒ ประเภท เรียกว่า สังขารมีใจครอง กับ สังขารไม่มีใจครอง

สังขารที่มีใจครอง ได้แก่ มนุษย์และสัตว์เดรัจฉาน มีใจรู้สึกอย่างนั้นอย่างนี้ได้

สังขารที่ไมมีใจครอง ได้แก่ โต๊ะ เก้าอี้ ที่คนปรุงแต่งขึ้น แม้แต่ต้นไม้ก็ไม่มีใจครอง แต่นักวิทยาศาสตร์เขาบอกว่า ต้นไม้ก็มีรักมีชังด้วย บางทีเราไปสีซอให้มันฟังบ่อยๆ มันโตแล้ว ชักจะมากไปแล้ว ต้นไม้ชอบเสียง และบอกว่าถ้าทำไปคลำบ่อยๆมันโตไว มันรู้สึกชื่นอกชื่นใจ

ไม่ใช่อะไรดอก ไปดูมันบ่อยๆ เห็นหนอนเห็นใบมันเน่าเปื่อย ก็จับมันทิ้งเสียบ้าง มันเฉาก็ใส่ปุ๋ย รดน้ำ มันก็เจริญไว ไม่ใช่ไปดูมันบ่อยๆ แล้วต้นไม้มันยินดีว่า นี่มาดูฉันบ่อยๆ ไม่ใช่อย่างนั้น
แต่ว่า เขาเที่ยวคิดไปในรูปอย่างนั้น เป็นเรื่องนักวิทยาศาสตร์ ต้นไม้นั้นมันไม่มีใจครอง

สังขารที่มีใจครอง เขาเรียกว่า อุปาทินนกสังขาร สังขารที่ไม่มีใจครอง เรียกว่า อนุปาทินนกสังขาร เขาเรียกกันอย่างนั้น มันเป็นสังขารประเภทหนึ่ง เช่น ร่างกายก็เป็นสังขาร จีวรก็เป็นสังขาร สังขารทั้งนั้นแหละ อะไรๆ ในโลกนี้ ก็คือสังขาร

เพราะฉะนั้น เราสวดมนต์ว่า สัพเพ สังขารา อะนิจจา - สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง สัพเพ สังขารา ทุกขา - สังขารทั้งหลายทั้งปวงเป็นทุกข์ แต่พอมาสวดว่า สัพเพ ธัมมา อะนัตตา ไม่พูดว่า สังขาร ใช้คำว่า ธัมมา ซึ่งมันแตกต่างไปจากคำว่าสังขาร

สังขารในกรณีนั้น หมายถึงสังขารทั่วไป แต่ว่าสังขารในบท ที่เรียกว่า ในตัวขันธ์ ๕ ที่ว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ สังขารในขันธ์ ๕ นั้น มันหมายถึงจิตที่ถูกปรุงแต่งให้เป็นไปในรูปต่างๆ เช่น ปรุงแต่งให้เป็น ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความริษยา ความพอใจ อยากได้ อยากมีอะไรต่างๆ เป็นบุญ ก็ได้ เป็นบาป ก็ได้ สังขารแบบนี้ มันเป็นบุญ ก็ได้ เป็นบาป ก็ได้ ปรุงไปในทางบุญก็มี เช่น เห็นพระพุทธรูปก็รู้สึกชื่นใจ นึกไปถึงพระพุทธเจ้า สังขารนั้นเป็นบุญ

ถ้าเราไปเห็นอะไร ไม่เหมาะไม่ควร สังขารนั้นเป็นอกุศล เป็นบาป นี่คือสังขารที่เกิดขึ้นในใจ มันก็สืบเนื่องมาจากอันอื่นด้วย คือ จากเวทนา จากสัญญา และก็เป็นสังขาร เป็นเครื่องแต่งใจให้เป็นไปในรูปต่างๆ ให้รัก ให้โกรธ ให้ชัง ให้ยินดียินร้าย นั่นเป็นเรื่องของสังขาร ให้เข้าใจอย่างนี้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ธ.ค. 2017, 17:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สังขาร หมายรวม ทั้งเครื่องแต่งคุณภาพของจิต หรือเครื่องปรุงของจิต ซึ่งมีเจตนาเป็นตัวนำ และกระบวนการแห่งเจตจำนงที่ชักจูง เลือกรวบรวมเอาเครื่องแต่งคุณภาพเหล่านั้นมาประสมปรุงแต่งความนึกคิด การพูด การทำ ให้เกิดกรรมทางกาย วาจา ใจ

อย่างไรก็ตาม ในการอธิบาย (สังขาร) ตามแนวขันธ์ ๕ ท่านมุ่งแสดงตัวสภาวะให้เห็นว่า ชีวิตมีองค์ประกอบอะไรมากกว่าจะแสดงกระบวนธรรมที่กำลังดำเนินอยู่ว่า ชีวิตเป็นไปอย่างไร ดังนั้น คำอธิบายเรื่องสังขาร ในขันธ์ ๕ ตามปกติจึงพูดถึงแต่ในแง่เครื่องแต่งคุณภาพของจิต หรือเครื่องปรุงของจิต ว่ามีอะไรบ้าง แต่ละอย่างมีลักษณะอย่างไร เป็นต้น

ส่วนการอธิบายในแง่กระบวนการปรุงแต่ง ซึ่งเป็นขั้นออกโรงแสดง ท่านยกไปกล่าวในหลักปฏิจจสมุปบาท ที่ชี้ให้เห็นว่า ชีวิตเป็นไปอย่างไร

ดังนั้น ในหลักปฏิจจสมุปบาท ความหมายของสังขาร จึงมีรูปร่างแบบปฏิบัติการ คือจำแนกออกเป็น

กายสังขาร] (การปรุงแต่งแสดงเจตจำนงออกทางกาย หรือเจตนาที่ปรุงแต่งการกระทำทางกาย)

วจีสังขาร (การปรุงแต่งแสดงเจตจำนงทางวาจา หรือเจตนาที่ปรุงแต่งการกระทำทางวาจา) และ

จิตตสังขาร (การปรุงแต่งแสดงเจตจำนงทางใจ หรือเจตนาที่ปรุงแต่งการกระทำทางใจ) ต่างจากการอธิบายแนวขันธ์ ๕ ซึ่งจำแนกสังขารเป็นองค์ธรรมเครื่องปรุงแต่งต่างๆมี ศรัทธา สติ เมตตา กรุณา ปัญญา โลภะ โทสะ เจตนา สมาธิ เป็นต้น

ถ้าจะเปรียบเทียบกับเรื่องรถ คำอธิบายแนวขันธ์ ๕ ก็เหมือนรถที่ตั้งแสดงให้ดูส่วนประกอบต่างๆอยู่กับที่

ส่วนคำอธิบายแนวปฏิจจสมุปบาท เป็นเหมือนอธิบายเรื่องรถที่เดินเครื่องออกแล่นใช้งานจริง


บรรดาเครื่องแต่งคุณภาพของจิตทั้งหลายนั้นเจตนาเป็นตัวนำ หรือเป็นหัวหน้า ดังนั้น ไม่ว่าเครื่องแต่งคุณภาพกี่อย่างจะเกิดขึ้นทำหน้าที่ในคราวหนึ่งคราวใด จะต้องมีเจตนาร่วมอยู่ด้วยเป็นแกนนำเสมอไปทุกคราว

บางครั้งท่านถึงกับใช้คำว่าเจตนาเป็นคำแทนหมายถึงสังขารทั้งหมดทีเดียว ด้วยเหตุนี้จึงอาจให้ความหมายคำว่า สังขาร ได้อีกอย่างหนึ่ง ว่า "สังขาร" คือ เจตนาพร้อมทั้งสัมปยุตธรรม (ธรรมที่ประกอบร่วมหรือเครื่องประกอบ) ซึ่งแต่งจิตให้ดี ให้ชั่ว หรือเป็นกลางๆ ปรุงแปรการตริตรึกนึกคิด การพูด การทำ ให้เกิดกรรมทางกาย วาจา ใจ

บางครั้ง ท่านถึงกับใช้คำว่า เจตนาคำเดียวเป็นคำแทน หมายถึงสังขารทั้งหมด หรือแสดงความหมายทำนองจำกัดความคำว่า สังขาร ด้วยคำว่า เจตนา และเจตนาก็เป็นคำจำกัดความของคำว่า กรรม ด้วย ดังนั้น ในกรณีเช่นนี้ คำว่า สังขาร เจตนา และกรรม จึงมีความหมายอย่างคร่าวๆ เท่ากัน

นอกจากความสำคัญที่กล่าวมาแล้ว เจตนายังเป็นตัวแสดงลักษณะพิเศษของสังขาร ที่ทำให้สังขารขันธ์ต่างจากขันธ์อื่นๆ อีกด้วย

เจตนา แปลว่า ความจำนง ความจงใจ ความตั้งใจ ลักษณะพิเศษที่แตกต่างกันระหว่าง สังขารขันธ์ กับ นามขันธ์อื่น ก็คือ นามขันธ์อื่น อันได้แก่ เวทนา สัญญา และวิญญาณ ทำงาน กับ อารมณ์ ที่เข้ามาปรากฏอยู่แล้ว เป็นสภาพที่เนื่องด้วยอารมณ์ เกาะเกี่ยวกับอารมณ์ อาศัยอารมณ์จึงดำเนินไปได้และเป็นฝ่ายรับ แต่สังขารมีการริเริ่มเองได้ จำนงต่ออารมณ์และเป็นฝ่ายกระทำต่ออารมณ์

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ธ.ค. 2017, 17:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


"วิญญาณ” นั้นหมายถึง “ความรู้” รู้อย่างไร ?

รู้ทางตา ตาเห็นรูป รู้ว่ารูป นี้เป็นวิญญาณทางตา
ความรู้ทางเสียง หูได้ยินเสียง รู้ว่าเป็นเสียงอะไร รู้ว่าเป็นเสียงเท่านั้น ไอ้เสียงอะไรรู้อีกทีหนึ่ง รู้ว่าเป็นเสียง
เป็นวิญญาณทางหู วิญญาณทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย เขาเรียกว่า “วิญญาณ”

มีคนเคยถามว่าวิญญาณมีจริงหรือไม่ ? ก็ตอบได้ว่า มีจริง วิญญาณคือสิ่งที่เป็นความรู้ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ

ตาได้เห็นรูป รู้ว่าเป็นรูป หูได้ยินเสียง รู้ว่าเป็นเสียง จมูกได้กลิ่น รู้ว่าเป็นกลิ่น ลิ้นได้รส รู้ว่าเป็นรส รู้ว่าอย่างนั้นอย่างนี้ เรียกว่า วิญญาณ วิญญาณมันอยู่ตรงนี้ วิญญาณัง อนิจจัง วิญญาณมันไม่เที่ยง มันไม่เที่ยง นี่ศัพท์ว่า “วิญญาณ” มันอย่างนี้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ธ.ค. 2017, 17:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วิญญาณ แปลตามแบบว่า ความรู้แจ้ง คือ รู้แจ้งอารมณ์ หมายถึง ความรู้ประเภทยืนพื้น หรือความรู้ที่เป็นตัวยืน เป็นฐานและเป็นทางเดินให้แก่นามขันธ์อื่นๆ เกี่ยวข้องกับนามขันธ์อื่นทั้งหมด เป็นทั้งความรู้ต้น และความรู้ตาม

ที่ว่าเป็นความรู้ต้น คือ เป็นความรู้เริ่มแรก เมื่อเห็น ได้ยิน เป็นต้น (เกิดวิญญาณขึ้น) จึงจะรู้สึกชื่นใจ หรือบีบคั้นใจ (เวทนา)
จึงจะกำหนดได้ว่าเป็นนั่นเป็นนี่ (สัญญา)
จึงจะจำนงตอบและคิดปรุงแต่งไปต่างๆ (สังขาร) เช่น
เห็นท้องฟ้า (วิญญาณ)
รู้สึกสบายตาชื่นใจ (เวทนา)
หมายรู้ว่า ท้องฟ้า สีคราม สดใส ฟ้าสวย ฟ้าบ่าย ฟ้าสวย (สัญญา)
ชอบใจฟ้านั้น อยากเห็นฟ้านั้นนานๆ ไม่อยากให้เวลาผ่านไป โกรธชายคาที่บังไม่ให้เห็นฟ้านั้นเต็มที่ คิดหาวิธีจะทำให้ได้นั่งดูฟ้านั้นได้สบายๆ ชัดเจนและนานๆ ฯลฯ (สังขาร)

ที่รู้ตาม คือรู้ตามไปตามกิจกรรมของขันธ์อื่นๆ เช่น รู้สึกสุขสบาย (เวทนา)
ก็รู้ว่าเป็นสุข (วิญญาณ)
รู้สึกบีบคั้นใจไม่สบาย (เวทนา)
ก็รู้ว่าเป็นทุกข์ (วิญญาณ)
หมายรู้ ว่าอย่างนี้เป็นสุข อย่างนั้นเป็นทุกข์ (สัญญา)
ก็รู้ไปตามนั้น เมื่อคิดนึกปรุงแต่งตั้งเจตจำนงไปอย่างใดๆ (สังขาร)
ก็ย่อมมีความรู้ควบอยู่พร้อมกันด้วยโดยตลอด กระแสความรู้ยืนพื้น ซึ่งเกิดดับต่อเนื่องอยู่ตลอดเวลาควบไปกับนามขันธ์อื่นๆ หรือกิจกรรมทุกอย่างในจิตใจ นี้เรียกว่า วิญญาณ

ลักษณะอีกอย่างหนึ่ง ที่ช่วยความเข้าใจเกี่ยวกับวิญญาณ คือ วิญญาณ เป็นการรู้ความต่างจำเพาะ รู้ความหมายจำเพาะ หรือรู้แยกต่าง

ความหมายนี้พึงเข้าใจด้วยตัวอย่าง เช่น เมื่อเห็นผืนผ้าลาย ที่ว่าเห็นนั้น แม้จะไม่ได้กำหนดหมายว่าอะไรเป็นอะไร ก็ย่อมเห็นลักษณะอาการ เช่น สีสัน เป็นต้น ซึ่งแตกต่างกันเป็นพื้นอยู่พร้อมด้วยเสร็จ นี้เป็นความรู้ขั้นวิญญาณ เพราะวิญญาณรู้เห็นความแตกต่างนั้นอยู่

สัญญา จึงหมายรู้อาการที่แตกต่างกันนั้นได้ว่า เป็นนั่น เป็นนี่ เช่น เป็นเขียว ขาว แดง เป็นต้น หรืออย่างเมื่อรับประทานผลไม้ ถึงจะไม่ได้กำหนดหมายว่าเป็นรสหวาน รสเปรี้ยว ก็รู้รสที่หวาน ที่เปรี้ยวนั้น ซึ่งแตกต่างกัน และแม้ในรสทีเปรี้ยวหรือหวานด้วยกัน แม้จะไม่กำหนดหมายว่า รสเปรี้ยวมะม่วง เปรี้ยวมะปราง เปรี้ยวมะขาม เปรี้ยวมะนาว เปรี้ยวสับปะรด หรือหวานกล้วยหอม หวานกล้วยน้ำว้า หวานกล้วยไข่ หวานแอปเปิ้ล เมื่อลิ้มก็ย่อมรู้รสที่ต่างจำเพาะนั้น ความรู้อย่างนี้ คือ วิญญาณ เป็นความรู้ยืนพื้น

เมื่อรู้แล้ว นามขันธ์อื่นจึงจะทำงานหรือปฏิบัติหน้าที่ได้ เช่น รู้สึกอร่อยไม่อร่อย (เวทนา) จำได้หมายรู้ ว่ารสหวานอะไร รสเปรี้ยวอะไร (สัญญา) เป็นต้น

ส่วนในแง่ที่ว่า รู้ความหมายจำเพาะนั้น อธิบายสั้นๆว่า เมื่อเกิดวิญญาณขึ้น คือ เห็น ได้ยิน เป็นต้น ว่าที่จริงแล้วจะเป็นการเห็น การได้ยินจำเพาะบางแง่ บางความหมาย ของสิ่งที่เห็น สิ่งที่ได้ยิน เท่านั้น

พูดอีกอย่างหนึ่งว่า จะเป็นการเห็น การได้ยิน ตามความหมายจำเพาะแง่ จำเพาะอย่าง ที่เราใส่ให้แก่สิ่งนั้น ทั้งนี้ สุดแต่สังขารที่เป็นปัจจัยให้วิญญาณนั้นเกิดขึ้น

ตัวอย่าง เช่น ในท้องทุ่งแห่งหนึ่ง เป็นที่โล่งกว้าง มีต้นมะม่วงขึ้นอยู่ต้นเดียว เป็นต้นใหญ่มาก
แต่มีผลอยู่เพียงไม่กี่ลูก และใบห่าง แทบจะอาศัยร่มเงาไม่ได้

มีชาย ๕ คน เดินทางมาถึงต้นมะม่วงนั้นในโอกาสต่างๆกัน

คนหนึ่ง วิ่งหนีสัตว์ร้าย

คนหนึ่ง กำลังหิวมาก

คนหนึ่ง ร้อนแดด กำลังต้องการร่มไม้

คนหนึ่ง กำลังหาผักผลไม้ไปขาย

คนหนึ่ง กำลังหาที่ผูกสัตว์เลี้ยงของตนเพราะจะแวะไปธุระในย่านใกล้เคียง

คนทั้ง ๕ นั้น มองเห็นต้นมะม่วงใหญ่ทุกคน แต่จะเป็นการเห็นในแง่ และขอบเขตความหมายต่างๆ กัน วิญญาณเกิดขึ้นแก่ทุกคน แต่วิญญาณของแต่ละคนหาเหมือนกันไม่ เพราะแตกต่างกันไปตามเจตนาของตนๆ ต่อต้นมะม่วง

ในเวลาเดียวกัน สัญญา คือ การกำหนดหมายของแต่ละคนก็จะต่างๆกันไป ภายในขอบเขตแห่งความหมายที่ตนเห็นในขณะนั้นด้วย แม้เวทนาที่เกิดขึ้นก็ไม่เหมือนกัน เช่น

คนที่วิ่งหนีสัตว์ร้าย เห็นต้นมะม่วงใหญ่แล้วดีใจ เพราะเห็นเครื่องช่วยให้หนีรอดปลอดภัย

คนที่หิวมากก็ดีใจ เพราะผลมะม่วงเพียง ๓-๔ ลูก ก็จะช่วยให้ตนอิ่มพ้นอดตายได้

คนที่ร้อนแดด อาจเสียใจ เพราะผิดหวังที่ไม้ใหญ่ไม่มีร่มให้อย่างที่ควรจะเป็น

คนหาผลไม้ไปขาย ก็อาจเสียใจ เพราะผิดหวังต่อจำนวนผลไม้ทีน้อย

ส่วนคนหาที่ผูกสัตว์เลี้ยง อาจจะรู้สึกสบายใจแต่เพียงเล็กน้อย แค่โล่งใจว่า ไม่ต้องจูงสัตว์ไปหรือไปหาที่ผูกที่อื่น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ธ.ค. 2017, 17:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ที่เขาเรียกว่า ทรงวิญญาณ ทรงเจ้าเข้าผี เชิญวิญญาณนี้ วิญญาณนั้นมาเข้าทรง มันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ไม่ใช่เป็นเรื่องของทางพระพุทธศาสนา แต่เป็นเรื่องของทางโน่น เป็นเรื่องของไสยศาสตร์ที่เขาเล่นกันทางผีทางสาง

พวกเล่นทางนั้น เขาทำกันไปตามเรื่องตามราว เราชาวพุทธไม่เกี่ยว ไม่สนใจในเรื่องนั้น เพราะอะไรที่ไม่ให้สนใจ ? เพราะมันไม่ใช่เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ ไม่เป็นไปเพื่อความหน่ายคลายกำหนัด คลายความดับทุกข์ดับร้อน ไม่เป็นไปเพื่อนิพพาน

ถ้ามัวไปทรงเจ้าเข้าผี ก็ไปนิพพานไม่ได้ มันไม่เป็นไปเพื่อความหน่าย คลายกำหนัดอะไร จึงไม่ใช่เรื่องที่ชาวพุทธควรจะสนใจ พุทธศาสนาไม่เกี่ยวข้อง ปฏิเสธได้ ไม่ใช่เป็นเรื่องของพุทธศาสนา เพราะเป็นเรื่องไม่ใช่เบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ ไม่ได้เป็นไปเพื่อความดับทุกข์ เพื่อความไปนิพพาน จึงไม่ใช่เรื่องของพระพุทธศาสนา นี่พูดโดยศัพท์ให้ฟังก่อนว่า นี่คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันเป็นอย่างนี้ๆๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ธ.ค. 2017, 17:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทีนี้ เรามาพูดกันต่อไปว่า เวทนามันเกิดขึ้นได้อย่างไร ?

มันเกิดขึ้นได้อย่างไร ? เราจะเห็นว่า เวทนาที่เกิดขึ้นมันเป็นของผสมแท้ๆเลย

ผสมแท้ๆ มันเกิดขึ้นได้อย่างไร ? เรามาเอาที่ตาก่อน

ตาเรา มี ตา กับ รูป มาเจอะกันเข้าเกิดอะไรขึ้นมา คือเกิดวิญญาณ เกิดวิญญาณทางตา เรียกว่า จักขุวิญญาณ พูดภาษาศัพท์หน่อย เกิดจักขุวิญญาณ ตา รูป รูป กับ ตา มาเจอะกันเข้า เกิดจักขุวิญญาณ อันที่ ๓ เกิดจักขุวิญญาณ คือ ความรู้ทางตา รู้ว่าเป็นรูป

ทีนี้ ตา รูป วิญญาณ ๓ อันนี้มารวมกันเข้า เขาเรียกว่า สัมผัส หรือผัสสะ ผัสสะ ๓ อันนี้ มาประชุมกันเข้าเกิด เวทนา เวทนามันเกิดตรงนี้เอง เวทนามันเกิดตรงนี้

ตัวเวทนามันเกิดที่ ตา รูป ความรู้ทางตา ๓ อันนี้ มารวมกันเข้า เร็วที่สุด เร็วกว่าเสียง เร็วกว่าอะไรทั้งหมด มารวมกันปุ๊บเกิดเวทนา เวทนามันเกิดตรงนี้ นี่เรียกว่า เวทนา มันเกิดทางตา

ทีนี้ หู เสียง มาชนกันเข้า เกิดความรู้ทางหู - โสตวิญญาณ เราพูดเป็นศัพท์ว่า โสตะคือหู และสัททะคือเสียง และก็เกิดโสตวิญญาณ ๓ อันอย่างนี้ มาประชุมกันเข้าเป็น ผัสสะ แล้วเกิดเวทนาทางหูขึ้นมา เวทนามันเกิดตรงนั้น มันเกิดเนื่องกันตามลำดับ เกิดผัสสะ เกิดเวทนา นี่เวทนามันก็เกิดขึ้นจากหู.

ทีนี้ เวทนาเกิดทางจมูก ก็คือว่า จมูก กับ กลิ่น มาเจอะกันเข้ามันก็เกิดความรู้ทางจมูก

จมูก กลิ่น ความรู้ทางจมูก ๓ อย่างมารวมกัน เขาเรียกว่า ผัสสะ พอผัสสะก็เกิดเวทนาทางจมูกขึ้นมา

ลิ้น ก็เหมือนกัน มีลิ้น มีรสอาหาร ที่เราใส่เข้าไปใน (ปาก) ลิ้น เช่น ของเค็ม ลิ้นรู้ เกิดวิญญาณทางลิ้น
แล้วลิ้น รสเค็ม วิญญาณ มารวมกันเข้า เกิดเป็นผัสสะ พอผัสสะแล้วก็เกิดเวทนา

ทางจิตก็เหมือนกัน มีอารมณ์มากระทบจิตคือว่ามีจิต แล้วมีอารมณ์กระทบ เกิดความรู้ทางจิต แล้วก็เกิด ผัสสะ เกิดเวทนา.

ตัวเวทนาเป็นเรื่องผสมแท้ๆ ไม่มีตัวแท้ ตัวจริงอะไร มันเป็นของผสมกันเข้าจึงเกิดเวทนาขึ้นมา นี่ตัวเวทนามันเกิดอย่างนี้

เพราะฉะนั้น ที่เราสวดมนต์กันว่า เวทะนา อะนิจจา มันถูกตรงทีเดียว เพราะเวทนาไม่เที่ยงเกิด ดับ เกิด ดับ อยู่ตลอดเวลา ตัวแท้มันไม่มี มันมีแต่เรื่อง เกิด ดับ ๆๆ ถี่ยิบ จนกระทั่งจับไม่ได้ มันเกิดขึ้นมาอย่างถี่ยิบเหลือเกิน หลายถี่ยิบเกิดอย่างนี้ นี่คือเวทนา นี่อันหนึ่ง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ธ.ค. 2017, 17:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทีนี้ สัญญามันก็เกิดต่อตา พอมีเวทนาเป็นสุข เป็นทุกข์ ไม่สุข ไม่ทุกข์ สัญญาก็ไปเที่ยวดอดจำไว้ เห็นรูปกี่รูปที่ไหนก็ จำไว้

ได้ยินเสียงที่ไหนก็ จำไว้

ได้กลิ่นที่ไหนก็เอามา เก็บไว้

ได้รสอะไรก็เอามา เก็บไว้

ได้สัมผัสนิ่มๆนวลๆ ก็เอามา เก็บไว้

ไอ้ตัวสัญญา ตัวหาเรื่องไปเที่ยวจำมาทั้งนั้นแหละ สุขก็จำ ทุกข์ก็จำ เขาด่าก็ยังเที่ยวเอามาจำไว้ แล้วก็เอามานอนโกรธอยู่คนเดียว คิดจะไปเตะมัน ไปต่อยมัน ไปฆ่ามัน

ไอ้ตัวสัญญามันยุ่งอย่างนั้นแหละ เที่ยวไปจำมาไม่เข้าเรื่อง ไม่รู้อะไรต่ออะไรก็เอามาเก็บไว้ นี่มันเป็นเรื่องของสัญญา ก็มีสังขารตามมา เช่น พอจำมาแล้ว แหม มันทำกูเจ็บนัก กูต้องไปตีมัน ไปประหัตประหารมัน เกิดพยาบาท สังขารเกิดขึ้น

แหม มันทำดี น่ารัก น่าเอ็นดู เกิดความรักขึ้นมา รูปเจ้าหล่อนเข้าที มันเกิดอารมณ์รัก สังขารมันเกิด เกิดความรัก เกิดความชิงชัง เกิดความพยาบาท เกิดความริษยา ฯลฯ เรียกสังขารมันมาปรุงแต่งจิตใจให้เกิดในรูปต่างๆ สิ่งที่มาปรุงแต่งจิตใจนี้ เขาเรียกอีกอย่างหนึ่งก็ได้ เรียกว่า เจตสิก.

เจตสิก แปลว่า สิ่งที่เกิด กับ จิต เช่น ความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นเจตสิก ความริษยา เป็นเจตสิก

เจตสิก เป็นกุศลก็มี เช่น เกิดศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ก็มี เกิดความคิดจะให้ทาน เกิดความคิดจะรักษาศีล เกิดความคิดจะไปเจริญภาวนา นี่มันเป็นกุศล หรือเกิดทางด้านปัญญามองเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อย่างนี้ ก็เป็นเรื่องสังขารที่ปรุงแต่งเหมือนกัน เป็นพวกฝ่ายกุศล เรียกว่า กุศลเจตสิก ก็ได้ นี่คือตัวสังขาร

ทีนี้ วิญญาณ นั้นก็คือ ตัวที่กล่าวเมื่อตะกี้นี้แล้ว แต่เอามาเรียงไว้ตอนท้าย แต่ความจริงมันเป็นข้างต้น มันเกิดก่อน เกิดแล้วมันไปเกิดเวทนา เกิดสัญญา เกิดสังขาร เกิดในร่างกาย

นี่คือเรื่องของตัวเราแท้ ที่เราควรรู้ไว้ว่าอะไรเป็นอะไร

ร่างกายของเรา คือเรื่องของรูป

ความคิดของเรา ก็คือเรื่องเวทนา เรื่องสัญญา เรื่องสังขาร เรื่องวิญญาณ

ถ้าพูดอีกอย่างหนึ่ง เป็นเรื่องขันธ์ ๕ เรื่องของขันธ์

ทีนี้ ในขันธ์นั้น มันมีธาตุ และอายตนะ อยู่ในตัวเราด้วย

อายตนะ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นอายตนะภายใน

รูป รส กลิ่น เสียง ฯลฯ ก็เป็น อายตนะภายนอก

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ธ.ค. 2017, 17:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สิ่งทั้งหมดนี้ ท่านสอนให้พิจารณา คือรู้แล้วให้พิจารณา พิจารณาในหลักว่า เป็นสักแต่ว่า ธาตุ เป็นเรื่อง ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา บ้าง

การพิจารณานั้น เพื่อประโยชน์อะไร ? ก็เพื่อให้มองเห็นว่ามันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันไม่มีเนื้อแท้ มันไม่มีตัวตนอะไร จะได้คลายความยึดถือ เพราะไอ้ความยึดมั่นถือมั่นมันเป็นทุกข์ ความยึดมั่นถือมั่น ภาษาพระเรียกว่า อุปาทาน

ศัพท์นี้ เราต้องจำไว้ให้ดี เพราะอ่านหนังสือธรรมะ เราต้องพบบ่อยๆ ยิ่งธรรมะสูงขึ้นไปแล้ว ท่านจะยิ่งกล่าวถึงบ่อยๆ

อุปาทาน คือ การยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวเป็นตน เป็นเรา เป็นเขา เป็นสัตว์บุรุษขึ้นมา แล้วเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์

อุปาทาน ไม่ว่าเป็นเรื่องอะไร เป็นทุกข์ทั้งนั้น และที่นึกว่าเป็นของเรานั้นเป็นทุกข์ เข็มสักเล่มหนึ่ง เงินหนึ่งบาท ถ้ายึดว่าของเรามันก็เป็นทุกข์ แล้วเอาไปไว้ตรงไหนใจมันอยู่ตรงนั้น เอาอะไรไปตรงไหน จิตใจมันเป็นทุกข์ทั้งนั้นแหละ และนี่มันไปยึดถือมีอุปาทานอยู่ในเรื่องนั้นแล้ว พอมีอุปาทานก็คือ วิตกกังวล มีความทุกข์ใจ เป็นปัญหาขึ้นมาตลอดเวลา เราจึงต้องคลายอารมณ์อย่างนี้

การที่คลายอารมณ์อย่างนี้ มันต้องหมั่นพิจารณาเป็นเรื่องๆไป เช่น พิจารณาเรื่องรูปว่า รูปนี้ เป็นของผสมปรุงแต่ง ไม่มีอะไร เป็นเนื้อแท้ของตัวมันเอง มันเข้ามารวมกันไหลไปตามอำนาจปรุงแต่งเท่านั้น เขาเรียกว่า เป็นกระแส กระแสคลื่น กระแสลม กระแสไฟฟ้า ไอ้ชีวิตเรานี้ก็เป็นกระแสไหลไปอยู่ตลอดเวลา มีแต่ไหลไปไม่มีไหลกลับ ไม่มีไหลกลับเหมือนกับกระแสน้ำ มันไหลเชี่ยวเป็นเกลียวไป ไม่ไหลกลับ พูดไปตามในหนังสือ เขาว่าอย่างนั้น



ร่างกายคนเราก็เหมือนกัน ไหลมาตั้งแต่เกิด ตั้งแต่ออกจากท้องแม่ แล้วมันก็ไหลเรื่อยมาจนถึงบัดนี้ ไหลขึ้นไปเรื่อยไป เจริญขึ้นไปเรื่อยๆ แก่ขึ้นไปเรื่อยๆ

พอพูดว่า แก่ขึ้นไปเรื่อยๆ ชักชอบใจ โตขึ้นเรื่อยๆ ใหญ่ๆ เรื่อยๆ เออ ชอบใจ พอขึ้นถึงที่สุด มันก็เริ่มแก่ลง เริ่มลงอยู่เรื่อยๆ

ไอ้การขึ้นลงอยู่เรื่อยๆนั้น มันก็ขึ้นอยู่กับปัจจุบัน ปัจจุบันปรุงแต่งทำให้มันเจริญขึ้นหรือเจริญลงอยู่เรื่อยๆไปตามวัย ขาดอาหารมันก็ตัวเล็กลง เหมือนกับเณรน้อยตัวนิดเดียว ตัวเล็กนิดเดียวเพราะอะไร เพราะขาดอาหาร ตัวก็เล็กลง กินอาหารประเภทยอดผักยอดไม้ มันไม่มีเนื้อนมไข่มันเลยไม่โต โตช้า

ทีนี้ โตขึ้น มันก็ต้องอาศัยปัจจัย เวลาแก่ก็ต้องอาศัยปัจจัย ได้ปัจจัยปรุงแต่งก็เลยแก่ช้า เช่น เราดูบางคนไม่ค่อยแก่เลย มีเนื้อ ไม่ค่อยแก่ ความจริงมันแก่ แต่ว่าปัจจัยมันดี

พวกอายุมั่นขวัญยืน เพราะปัจจัยปรุงแต่งมันดี ปัจจัยปรุงแต่ดี ปอดดี ตับดี อะไรๆดี ฟันฟางดี ยังกินอาหารได้เรียบร้อย ไม่หลุดไม่ผุ อายุมั่นขวัญยืน แก่ช้าหน่อย แต่มันก็แก่เหมือนกัน หนีไม่พ้นดอก แก้ช้าก็แก่ แก่เร็วก็แก่ และก็ไม่เกินร้อย ถึงเกินไปมันก็ต้องตายด้วยโรคชรา หนีไม่พ้น อันนี้ มันเรื่องธรรมดา ที่เราจะต้องพิจารณารูปร่างกายนี้ ซึ่งมันจะต้องเปลี่ยนแปลงไป

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ธ.ค. 2017, 09:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เวลาเราไปดูกระจกน่ะ อย่าดูให้มันเมา ดูให้มันจริง ดูในรูปความจริง อย่าดูให้มันเมา ดูให้มันเมา แหมกูนี่ยังดูหนุ่มอยู่ ยังสวยอยู่ ยังเตะปี๊บดังอยู่ ถ้าอย่างนั้น มันจะคึกคัก มันจะคึกคักขึ้นมา เพราะดูให้มันเกิดกิเลส แต่ถ้าดูว่าฉันนี้อายุมากแล้ว ผิวหนังมันชักเหี่ยวหย่อนยานไป ฉันแก่แล้วนะ ฉันเป็นพ่อคนแล้วนะ ฉันเป็นตาแล้วนะ ฉันเป็นปู่แล้วนะ ฉันจะไปเที่ยวเลอะเทอะเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้ มันไม่สมกับคนอายุปูนนี้ ดูอย่างนี้ แล้วมันดี ช่วยให้เกิดความยับยั้งชั่งใจ ไม่คิดไปเรื่องเสีย ไม่ดูให้เกิดราคะ ไม่ดูให้เกิดโทสะ ไม่ดูให้เกิดโมหะ

แต่ดูให้เกิดปัญญา ต้องดูให้มันเกิดความรู้จริงๆ ให้เห็นจริงๆ มันแก่ลงแล้ว ไม่แข็งแรง แต่คนเรามันชอบอย่างนั้น

อย่างเขาพูดว่า ดูท่านไม่ค่อยแก่ มักชักจะยิ้ม มันก็ชักชื่นใจ แต่ความจริงมันแก่ มันแก่ลงไปเรื่อยๆแหละ ไอ้ตัวเราผู้เป็นเจ้าของร่างกายนี้ มันก็ชักไม่ยอมแก่เหมือนกัน ยังนึกว่าไม่แก่อยู่นั่นแหละ ผู้มีศีลธรรมประจำจิตใจ ไม่ควรคิดนึกอย่างนั้น แต่ควรจะยอมรักว่าเราแก่แล้ว สังขารมันชำรุดทรุดโทรมลงไปทุกวันแล้ว ไม่ควรจะคิดว่าเป็นคนหนุ่มเรื่อยไป

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ธ.ค. 2017, 09:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มีเรื่องชาดกเล่าเรื่องพระเจ้าแผ่นดินไว้ดี พระเจ้าแผ่นดินนั่นชื่อ มฆะเทพ ท่านเป็นผู้ไม่ประมาท ในเรื่องของชีวิต สั่งนายช่างกัลบกไว้ว่า เวลาแกมาเจริญเกศาของฉัน ให้ตรวจดูนะว่า ผมบนหัวฉันนี่มันหงอกแล้วหรือยัง ถ้าหงอกแล้วบอกฉันด้วย

นายช่างพอเวลามาเจริญเกศาก็ต้องสำรวจดูว่าหงอกแล้วหรือยัง ไม่เจอก็ไม่เป็นไร วันหนึ่งไปเจอผมหงอกเส้นหนึ่ง เลยก้มลงกราบทูลว่า พระเกศาบนศีรษะของพระองค์หงอกแล้วพะยะค่ะ

อ้อ ถอนมาให้ฉันดูหน่อย เอาแหนบมาถอนวางไว้ในพระหัตถ์ เอ้า ไม่ต้องตัด วันนี้โกนเลย ผมฉันหงอกแล้วโกนเลย แล้วนั่งพิจารณาผมหงอก อ้อ ผมฉันหงอกแล้ว มันบอกว่าแกมันแก่แล้ว แกควรจะพักผ่อนได้แล้ว ควรจะออกไปสันยาสีได้แล้ว อย่ามัวอยู่ครองราชย์ให้เด็กมันหัวเราะอยู่เลย พอโกนหัวเสร็จก็นุ่งขาวห่มขาว เรียกเสนาบดี เรียกประชุมเจ้ามกุฎราชกุมาร และพระเครือญาติประชุมหมด

แล้วบอกว่า พ่อนี่ ได้ตั้งใจไว้นานแล้ว คิดไว้ในใจว่า เมื่อเกศาหงอกเมื่อไร พ่อจะออกบวช บัดนี้เกศาของพ่อหงอกแล้ว ดูเอาซิ ผมพ่อหงอกแล้ว มัจจุราชเขาส่งจดหมายมาเตือนพ่อแล้ว เตือนฉันว่าอย่าประมาท จะตายแล้ว ว่าอย่างนั้นเถอะ ฉันจะออกบวช ราชสมบัติเป็นของลูกชายคนหัวปี เสนาบดีและข้าราชการทั้งหลาย จงปฏิบัติหน้าที่ด้วยดีต่อไป และลูกที่ครองราชย์ให้จำพ่อไว้ และเดินตามรอยเท้าพ่อไป เมื่อใดผลหงอกแล้วให้เวียนราชสมบัติให้ลูกต่อไปแล้วออกบวช ทำกันอย่างนี้

พระเจ้าแผ่นดินไม่ประมาท เรียกว่า พิจารณาร่างกายว่าเป็นของแก่ มันไม่ถาวรอะไร ควรจะได้พักผ่อน ไม่ใช่ไปนอนอยู่เฉยๆ ควรจะไปหาความสุขทางจิตต่อไป

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ธ.ค. 2017, 09:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มนุษย์เรานี้ควรจะแบ่งเวลา : วัยเด็ก วัยอยู่ในการเล่าเรียน ผู้ใหญ่ทำงานแก่ลงก็ต้องพักผ่อนบ้าง หรือจะทำอะไรก็ทำที่ไม่มีข้อผูกมัด ไม่เป็นข้อผูกมัดทำให้เกิดความทุกข์ ทำตามสบายใจ ทำตามหน้าที่ที่มันเรียกร้องต้องการ อย่างนี้ก็ดี

เราที่เป็นคนหนุ่มน่ะ นึกว่าเราแก่ขึ้นๆ ถ้าอายุ ๒๐ แล้วก็เรียกว่าเต็มอัตราแล้ว มีแต่จะลงเรื่อยไป วิปริณามธรรม

สังขารทางร่างกายนี้ มันเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ควรจะเอาความเปลี่ยนแปลงนั้นมาเป็นครูคอยเตือนสะกิดใจ ให้รู้สึกนึกคิดไว้อยู่เสมอ ไม่ประมาท จะไปเล่นไปสนุกอะไรก็ให้ควรคิดไว้ว่ามันไม่เหมาะแก่เรา ควรจะคำนึงว่า ตนเองอยู่ในวัยอย่างนี้ ฐานะอย่างนี้ ตำแหน่งอย่างนี้ ควรจะทำตนเองให้เป็นแบบอย่างคนอื่น เช่น เราไปเป็นครูเป็นอาจารย์ นี่ต้องเป็นตัวอย่างแก่ศิษย์ ในทุกแง่ทุกมุม เป็นพ่อต้องทำตัวอย่างแก่ลูก เป็นปู่ต้องทำตัวอย่างแก่หลาน เป็นผู้ใหญ่ต้องทำตัวอย่างแก่ผู้น้อย ชีวิตจะเรียบร้อยก้าวหน้า แต่ไมคิดถึงเรื่องอย่างนี้ ไม่ยอมแก่แต่ยังจะสนุกเรื่อยไป เขาเรียกว่า มันไม่ไหว ชีวิตมันไม่ค่อยก้าวหน้าเท่าใด มัวเมาอย่างนั้น มันไม่เป็นธรรม

เราผู้ประพฤติธรรมะต้องหมั่นพิจารณาสังขารร่างกายให้เห็นว่า มันเปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว แล้วเราควรจะทำอะไร วันนี้ เราควรจะทำอะไร พรุ่งนี้ เราควรจะทำอะไร วางแผนปฏิบัติในหน้าที่ให้เรียบร้อยเป็นไปด้วยดี ชีวิตมันจึงจะมีค่ามีราคา นี่เรื่องนี้ควรจะพิจารณาไว้


เพราะฉะนั้น เราสวดมนต์ตอนเช้า ๆ บทเตือนใจทั้งนั้น พระพุทธเจ้าสอนไว้ว่า รูปปัง อะนิจจัง รูปไม่เที่ยง เวทะนา อะนิจจา เวทนาไม่เที่ยง สัญญา อะนิจจา สัญญาไม่เที่ยง สังขารา อะนิจจา สังขารไม่เที่ยง วิญญาณัง อะนิจจัง วิญญาณไม่เที่ยง

รูปปัง อะนัตตา รูปไม่ใช่ตัวตน เวทะนา อะนัตตา เวทนาไม่ใช่ตัวตน สัญญา อะนัตตา สัญญาไม่ใช่ตัวตน สังขารา อะนัตตา สังขารไม่ใช่ตัวตน วิญญาณัง อะนัตตา วิญญาณไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สวดเฉยๆ ให้เอาไปพิจารณาเป็นเครื่องเตือนใจ เพื่อให้คลายความยึดถือ ทำไมเราเป็นคนขี้โกรธ ทำไมเราเป็นคนอารมณ์แรง นี่เป็นเรื่องความยึดถือ มันอยู่ที่ความยึดถือตัวตน กูมันใหญ่ กูมันต้องอย่างนั้นอย่างนี้ อารมณ์มันแรง เกิดความโกรธแรง ความอะไรมันแรง เพราะมีความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนมาก

และทำไมจึงยึดมั่นถือมั่น ? เพราะไม่ได้แยกตัวตนออกไป ถอดมันออกเสียบ้าง ถอดมันไปวางเสียบ้าง ถอดรูปออกไปวาง เช่น อาการ ๓๒ เกศาทั้งหลาย ผมทั้งหลาย โลมาทั้งหลาย นขา ทันตา ตโจ เล็บ หนัง เนื้อ ฟัน กระดูทั้งหลาย ให้ถอดนั่นเอง ให้ถอดร่างกาย นั่งว่างๆ ให้ถอดเสียหน่อย ถอดผมไปวางไว้ ถอดกระดูกไปวางไว้ ถอดหัวไปวางไว้ ถอดไปหมด เอ๊ะ กูอยู่ไหนนะ หากูไม่เจอะ ตัวกูมันหายไปแล้ว อ้อ ตัวกูนี่มันของผสมทั้งนั้น มันเป็นส่วนผสมของ ผม หนัง เล็บ ฟัน กระดูก เยื่อในสมอง ตับ ไต ไส้พุง อาหารในกระเพาะ ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ มันมีอะไรทั้งนั้น นี่พิจารณาแยกเป็นอาการสามสิบสอง


หรือพิจารณาโดยธาตุ ไอ้ที่เรียกว่าร่างกาย คือธาตุ ๔ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ทีแข็งให้มันเป็นดินไป

ที่เหลวๆยกให้เป็นน้ำไป เช่น น้ำเหลือง น้ำลาย น้ำมูตร นี่ยกให้เป็นน้ำไป

ส่วนใดร้อนๆ ยกให้เป็นไฟไป

ส่วนใดเคลื่อนไหวไปมา ยกให้เป็นลม ยกให้เป็นลมไป แยกไปแยกมา

อ้อ ไอ้ตัวเรามันก็ธาตุทั้ง ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่มีอะไรเป็นตัวเรา ธาตุ ๔ มารวมกันเข้า ไหลไปตามอำนาจของการปรุงแต่ง ไม่เท่าใดก็แตกดับไปแล้ว เราจะไปยึดถืออะไรนักหนา แล้วจะไปสร้างความโกรธ ความเกลียดชังกันทำไม จะไปฆ่ากันทำไม มันก็เหมือนกันเท่านั้น ใครทำให้เราโกรธก็อย่างนั้นแหละ ไม่ต้องไปฆ่ามันดอก ไม่เท่าใดมันก็ตาย ไม่ฆ่าก็ตาย คนเราเกิดมาแล้วต้องตาย ไม่ต้องไปฆ่ากันดอก อารมณ์มันก็ค่อยคลายลงไป ถ้าเราพิจารณาอย่างนี้

พิจารณาในเรื่องอย่างนี้ไว้บ้าง จิตใจมันผ่อนคลายอารมณ์ คือเวลาใจมันเกิดคึกคัก กำหนัดใน รูป เสียง กลิ่น รส ขึ้นมา มันอะไร ร่างกายเรานี้มันน่ารักตรงไหนบ้าง แยกส่วนไป เปิดลำไส้ออกมา เปิดกระเพาะออกมา เปิดออกมาดู ถ้าจะให้ดีต้องไปที่โรงพยาบาล จึงจะดี แผนกกายวิภาคเขาเอาปอดมาดองไว้ กระเพาะผ่าไว้ ตับไตไส้พุงเอามาดองไว้ ไปดูแล้วก็เหมือนกับหมูต้มแต่กินไม่ได้ น้ำลายมันจะไม่ไหลเมื่อเห็นเข้า ไม่ไหวแล้ว ดูให้มันเห็นเสียบ้าง ว่างๆ ให้ไปดูศพเสียบ้าง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ธ.ค. 2017, 09:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เราเรียนธรรมะเพื่อเอาไปใช้ เอาไปใช้เพื่อเป็นเครื่องปราบเครื่องปลอบใจในยามที่มันทุกข์ ถ้ามันคึกคักขึ้นมามันต้องปราบ ความโกรธขึ้นมามันต้องปราบ แต่บางคราวก็ต้องปลอบ จะปลอบเวลาไหน ?

มันขี้เกียจ หดหู่อ่อนอกอ่อนใจ หลับตาไม่อยากจะทำงานอย่างนี้ มันต้องปลอบแล้ว อะไร นอนไปทำไมมันจะได้อะไร เราเกิดมาเพื่ออะไร ? เพื่อทำงานรับผิดชอบในหน้าที่ ทุกอย่างมันต้องปฏิบัติงาน

นกที่มันบินไปบินมานั่นไม่ใช่มันทัศนาจรนะ มันบินไปเที่ยวหาหนอนกิน มันไปทำงาน ต้นไม้ก็ทำงาน ดวงจันทร์ก็ทำงาน ดวงอาทิตย์ก็ทำงาน ทำตามหน้าที่ อะไรๆ มันก็เป็นงานทั้งนั้น เราเรียกว่า กรรมโยคะ หมายความว่า เป็นงาน

ถ้าหยุดอย่างหนึ่งมันก็หยุดหมดแหละ โลกมันต้องสลาย ถ้าหยุดหมดโลกนี้มันแย่นะ มุ่นยุ่งนะ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์มันไม่ทำงาน มันก็ตายกันหมด เราอยู่ไม่ได้ ก็เราเองเป็นส่วนหนึ่งของโลก ต้องทำงาน ต้องตื่นตัว ใครๆเขาก็ทำงาน
ถ้าใครไม่ทำงานก็ไม่มีกิน ไม่มีเกียรติ ไม่มีชื่อเสียง บางคราวมันก็เกิดกิเลส ต้องปราบมันทุบหัวมันเข้าด้วยปัญญา ปัญญาคือกระบองทุบมันเข้า ใช้ปัญญาพิจารณาอะไรต่ออะไรให้เห็นตามสภาพเป็นจริง จิตใจมันก็สงบ ไม่วุ่นวาย ไม่เร่าร้อน คือความหมายของธรรมะที่เราจะเอามาใช้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ธ.ค. 2017, 09:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สำหรับในวันนี้ให้รู้ว่า ส่วนในร่างกายนี้คืออะไร ตัวเราคืออะไร ตัวเราคือเรื่องของขันธ์ ๕ เรื่องของอายตนะ เรื่องของธาตุ มันสัมพันธ์กันอยู่ในตัวเราแล้ว มันเกิดอะไรขึ้นมา เกิดขึ้นเพราะอะไร เป็นมาอย่างไร เป็นเบื้องต้นที่ให้รู้ไว้ก่อน

ในวันต่อไป เราจะได้รู้ว่าอะไรมันเกิดขึ้นในตัวเราบ้าง เรื่องต่อไปคือเรื่องกิเลส กิเลสประเภทต่างๆ ที่มันจะเกิดขึ้นในตัวเรา มันเกิดขึ้นเพราะอะไร แล้วมันเกิดแล้วให้ทุกข์ให้โทษอย่างไร เราควรจะปราบมันด้วยวิธีใด นี่เป็นเรื่องปฏิบัติที่จะต้องนำไปใช้ในชีวิตประจำวันทั้งนั้น เพราะว่าชีวิตเราจะต้องต่อสู้กับข้าศึกภายใน - ภายนอก

ข้าศึกภายในคือประเภทกิเลสที่เกิดขึ้นรบกวนจิตใจ จะต้องปราบให้อยู่หมัด ข้าศึกภายนอก คือ เพื่อนฝูง ดินฟ้าอากาศ อุปสรรคในชีวิตที่ทำให้เร่าอ่อนแอท้อแท้อ่อนอกอ่อนใจ ที่เราจะต้องต่อสู้กับมัน เพื่อเอาชนะให้ได้ ประโยชน์มันอยู่ตรงนี้ เพื่อเอาไปใช้ ไม่ใช่เรียนเพื่อผ่านพ้นไป เราจะได้ใช้ปรับปรุงตัวเราในชีวิต ให้มันก้าวหน้าต่อไปตามสมควรแก่ฐานะ

(จบตอนนี้)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ธ.ค. 2017, 19:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

(ต่อจากหัวข้อนี้ ชาวพุทธบ้านเราพูดอ้างอิงกันบ่อย คือ คำว่า อนัตตา ลงที่ท่านกล่าวนำให้สังเกตหน่อย-ยังไม่ได้พิมพ์)

(สิ่งที่เกิดขึ้นเพื่อทุกข์โทษแก่ตัวเรา)

ตัวเราคือเรื่องสมมติ “ตัวเรา” ตามหลักพระพุทธศาสนานั้น ตัวแท้ตัวจริงไม่มี นั้นพูดตามส่วนลึกของพระพุทธศาสนา เรียกว่าเป็น สัมมาทิฏฐิจริงๆ เห็นตัวแท้ตัวจริงไม่มี มีแต่เป็นตัวเรื่องสมมติ

แต่ถ้าเป็นพวกที่ปัญญาอ่อนๆ นิสัยยังมีความยึดมั่น ที่เรียกว่า สักกายทิฏฐิ อย่างที่อ่านให้ฟังเมื่อวานนี้

พวกสักกายทิฏฐิต้องให้มีตัวไปก่อน เพื่อประโยชน์ทางศีลธรรม เพราะคนผู้ปฏิบัติในทางศีลธรรมนั้น ต้องมีตัวให้บ้างเล็กๆ น้อยๆ เพื่อจะได้ยึดได้แบกไว้

แต่พวกที่จะไปนิพพานต้องการเอาชนะทุกอย่างอย่างแท้จริงนั้น ต้องถือว่าไม่มีตัวตน ไม่ใช่เพียงถือเอาเฉยๆ มันต้องเห็นด้วยปัญญาชัดเจนแจ่มแจ้งว่าตัวตนไม่มี

ถ้าเห็นเอาเฉยๆ มันจะเป็นมิจฉาทิฏฐิได้ง่ายๆ คือเห็นว่าไม่มีอะไรเลยไปเสียก็ได้

อนัตตา ที่มีแต่ปากนี่มันอันตราย ประเดี๋ยวก็ทำอะไรเลอะเทอะไปหมด ขาดศีลธรรม ชอบทำให้เกิดความเสียหาย เพราะฉะนั้น ต้องเห็นชัดด้วยปัญญาแล้ว จิตใจเขาไม่ตกต่ำ ไม่ถอยกลับมาสู่ความชั่ว แต่จะก้าวขึ้นไปสู่ความพ้นทุกข์อย่างแท้จริง อันนี้เป็นเรื่องส่วนลึก ทั้งนี้ แล้วแต่ว่าจิตใจจะเอาขั้นไหน

ถ้าอยู่ขั้นสักกายทิฏฐิ เวียนว่ายตายเกิด ก็ต้องถือว่ามีตัวตนไปก่อน

ถ้าถึงขั้นปัญญาลึกซึ้งจริงๆ เป็นตัวแท้ตัวจริงของพุทธศาสนา เราก็เห็นว่าไม่มีตัวตนอะไร เป็นอนัตตา
ไอ้เรื่องอนัตตามันต้องลึกซึ้งจริงๆ แล้วก็ต้องเลือกสอนเป็นบุคคล

เราจะไปพูดอนัตตา กับ ทุกคนมันก็ไม่ได้ เพราะว่ามันเข้าไม่ถึง

ถ้าเข้าไม่ถึงแล้วจะจับเอาผิด พอไปยึดเอาผิดมันก็วุ่นวาย อันนี้ จึงจะต้องดูอุปนิสัยใจคอของคนนั้นว่า เราจะสอนเขาอย่างไร สอนให้เขารู้เพียงศีลธรรม หรือสอนให้เขาพ้นทุกข์อย่างเนื้อแท้ของพระพุทธศาสนา สุดแล้วแต่ฐานะของบุคคลนั้นๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ม.ค. 2018, 16:53 
 
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ย. 2013, 07:16
โพสต์: 2562

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b39: :b44: ขออนุโมทนา สาธุๆๆ ค่ะ
:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 30 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร