วันเวลาปัจจุบัน 20 มิ.ย. 2025, 15:48  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 223 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 15  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2013, 05:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:


กรัชกาย เขียน:
สิ่งที่มองเห็นทางจักขุทั้งหมด เรียกว่า รูป (รวมทั้งตนเองด้วยก็เรียกว่ารูป หรือร่างกาย) เคยได้ยินไหม รูปธรรม นามธรรม :b1: หรือเรียกสั้นๆว่า รูป - นาม


ปฏิบัติธรรมด้วยวิธีท่องจำเอาจากความคิดคนอื่น ผลก็คือเอาคำศัพท์คนนั้นที่คนนี้ที
มาผสมกันวุ่นวาย จนคำพูดของตนกลายเป็นหัวมังกุท้ายมังกร

ถ้ากล่าวถึงรูปปรมัตถ์ สิ่งที่มากระทบจักขุปสาทรูป เขาไม่เรียกว่ารูป
เขาเรียกว่า...อายตนะภายนอก


แล้ววิธีการปฏิบัติธรรมของโฮฮับล่ะ ปฏิบัติอย่างไร เอาความคิดมาจากใคร?

ถามนะ อายตนะ แปลว่าอะไร มีกี่อย่าง อะไรบ้าง ?

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2013, 09:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


nongkong เขียน:
คุนน้องไม่เข้าใจตรงแผนผัง ภาวรูป๒ ลงมาจนถึงล่างสุดคืออยากทราบว่ามีความสัมพันธ์กับขันธ์ห้ายังไง รบกวนผู้รู้มาอธิบายให้เข้าใจด้วยค่ะ :b8:

บังเอิญ ยังไม่ใช่ผู้รู้ครับ กำลังศึกษา อยู่เหมือนกัน

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2013, 09:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปายตนะ เป็น รูปทั้งหมดที่มีหรือเปล่า ไม่แน่ใจ แต่

โดยแยกแยะ เป็น สอง ลักษณะคือ

1 เห็นได้และกระทบได้ด้วย
2 เห็นไม่ได้แต่กระทบได้

สรุป รูปที่เห็นได้เท่านั้น ที่มาเป็นรูปารมณ์ให้กับ ตา ได้

รูปารมณ์ กับ รูปายตนะ จึงต่างกัน ด้วยประการฉะนี้

คือ รูปารมณ์ นั้นจำกัดจำเพาะกว่า แต่ รูปายตนะ นั้นครอบคลุมกว่า กว้างกว่า นั่นเอง

อ้างคำพูด:
[๕๒๑] รูปที่เรียกว่า รูปายตนะ นั้น เป็นไฉน ?

รูปใด เป็นสี อาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นสิ่งที่เห็นได้และกระทบได้

ได้แก่ สีเขียวคราม สีเหลือง สีแดง สีขาว สีดำ สีหงสบาท สีคล้ำ สีเขียว

ใบไม้ สีม่วง ยาว สั้น ละเอียด หยาบ กลม รี สี่เหลี่ยม หกเหลี่ยม

แปดเหลี่ยม สิบหกเหลี่ยม ลุ่ม ดอน เงา แดด แสงสว่าง มืด เมฆ

หมอก ควัน ละออง แสงจันทร์ แสงอาทิตย์ แสงดาว แสงกระจก แสง

แก้วมณี แสงสังข์ แสงมุกดา แสงแก้วไพฑูรย์ แสงทอง แสงเงิน หรือรูป

แม้อื่นใด เป็นสี อาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นสิ่งที่เห็นได้และกระทบได้ มีอยู่,

สัตว์นี้ เห็นแล้ว หรือเห็นอยู่ หรือจักเห็น หรือพึงเห็น ซึ่งรูปใด อันเป็น

สิ่งที่เห็นได้แล้วกระทบได้ด้วยจักขุ อันเป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้, นี้

เรียกว่า รูปบ้าง รูปายตนะบ้าง รูปธาตุบ้าง รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปายตนะ.

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2013, 11:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


govit2552 เขียน:
รูปายตนะ เป็น รูปทั้งหมดที่มีหรือเปล่า ไม่แน่ใจ แต่

โดยแยกแยะ เป็น สอง ลักษณะคือ

1 เห็นได้และกระทบได้ด้วย
2 เห็นไม่ได้แต่กระทบได้

สรุป รูปที่เห็นได้เท่านั้น ที่มาเป็นรูปารมณ์ให้กับ ตา ได้

รูปารมณ์ กับ รูปายตนะ จึงต่างกัน ด้วยประการฉะนี้

คือ รูปารมณ์ นั้นจำกัดจำเพาะกว่า แต่ รูปายตนะ นั้นครอบคลุมกว่า กว้างกว่า นั่นเอง

เราจะเอา รูปารมณ์กับรูปายตนะ มันเทียบในเชิงแตกต่างกันไม่ได้
เพราะว่ารูปารมณ์มีเหตุปัจจัยมาจาก รูปายตนะ

ความหมายของรูปายตนะก็คือ สิ่งที่มากระทบกับจักขุปสาทรูป เราเรียกสิ่งนั้นว่าแสงหรือสี
พูดง่ายๆก็คือ จักขุปสาทรูปเป็นอายตนะภายใน แสงสีเป็นอายตนะภายนอก
รูปายตนะก็คือ การกระทบระหว่าง จักขุปสาทรูปกับแสงสี

ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า คำว่า ตาไปเห็นแท้จริงแล้วมันก็คือการกระทบ
มันไม่ได้แตกต่างจากการกระทบของปสาทรูปตัวอื่นๆเลย
เราจะพูดว่า เห็น ได้กลิ่น ได้ยิน ได้ลิ้มรส ได้สัมผัส...ทั้งหมดมันก็คือการกระทบเหมือนกัน

ส่วนรูปารมณ์ก็คือ อารมณ์หรือกระบวนการขันธ์อันเกิดจากการกระทบกัน
ระหว่างจักขุปสาทและแสงสีครับ จึงพูดได้ว่า รูปายตนะเป็นเหตปัจจัยให้เกิดรูปารมณ์

ต้องทำความเข้าใจให้ดี ความหมายของรูปายตนะหรือรูปารมณ์ให้ดี
ไม่ใช่ว่า ตาเราไปเห็นรูป ในความเป็นจริง ตาเราก็คือรูป และสิ่งที่มากระทบกับตา
ไม่ใช่รูป มันเป็นสีหรือแสง ที่เรียกมันว่ารูปายตนะก็เพราะ แสงหรือสีได้มากระทบกับตาแล้ว
ถ้าเราแยกรูปายตนะออกจากกัน ตาก็คือรูป เห็นคือการกระทบ และสิ่งที่ถูกเห็นหรือมากระทบ
เรียกว่า แสงหรือสี


ส่วนรูปารมณ์ ก็เกิดจากรูปายตนะ นั้นก็คือเวทนา สัญญา และสังขารนั้นเอง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2013, 11:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ่านแล้วก็ได้แต่ปลง นี่คือการไม่เข้าใจความหมายภาษาของเขา ตัวอย่าง "อายตนะ" "อารมณ์" คือเมื่อศัพท์และความหมายดังกล่าว ไปต่อกับศัพท์อื่นๆ เช่น รูปายตนะ รูปารมณ์ ฯลฯ ถึงได้บอกว่าไปเรียนบ้าง มิใช่เพียงอ่านๆแล้วเดา แล้วก็ภาคภูมิใจว่า ข้ารู้ธรรม คิกๆๆ สงสารนะแบบนี้ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2013, 11:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


govit2552 เขียน:
อ้างคำพูด:
[๕๒๑] รูปที่เรียกว่า รูปายตนะ นั้น เป็นไฉน ?

รูปใด เป็นสี อาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นสิ่งที่เห็นได้และกระทบได้

ได้แก่ สีเขียวคราม สีเหลือง สีแดง สีขาว สีดำ สีหงสบาท สีคล้ำ สีเขียว

ใบไม้ สีม่วง ยาว สั้น ละเอียด หยาบ กลม รี สี่เหลี่ยม หกเหลี่ยม

แปดเหลี่ยม สิบหกเหลี่ยม ลุ่ม ดอน เงา แดด แสงสว่าง มืด เมฆ

หมอก ควัน ละออง แสงจันทร์ แสงอาทิตย์ แสงดาว แสงกระจก แสง

แก้วมณี แสงสังข์ แสงมุกดา แสงแก้วไพฑูรย์ แสงทอง แสงเงิน หรือรูป

แม้อื่นใด เป็นสี อาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นสิ่งที่เห็นได้และกระทบได้ มีอยู่,

สัตว์นี้ เห็นแล้ว หรือเห็นอยู่ หรือจักเห็น หรือพึงเห็น ซึ่งรูปใด อันเป็น

สิ่งที่เห็นได้แล้วกระทบได้ด้วยจักขุ อันเป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้, นี้

เรียกว่า รูปบ้าง รูปายตนะบ้าง รูปธาตุบ้าง รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปายตนะ.


พระอภิธรรมบทนี้ บอกให้รู้ว่า อะไรคือมหาภูติรูป อะไรคือ อุปาทายรูป

ความหมายของคำว่า... เห็นได้และกระทบได้ ก็คือรูปอันเกิดจากมหาภูติรูปสี่นั้นเอง
เรียกอีกอย่างว่า อุปาทายรูป มหาภูติรูปสี่ถูกปรุงแต่งแล้ว นั้นก็คือเกิดการกระทบแล้ว
จิตไปจิตปรุงแต่งให้เกิดสภาพต่างๆขึ้น

ส่วนเห็นไม่ได้แต่กระทบได้ก็คือ เมื่อเกิดการกระทบขึ้นที่จักขู ก็รู้เพียงแต่ว่า เกิดการกระทบขึ้น
ที่มหาภูติรูปสี่แล้วก็หยุดอยู่แค่นั้น ไม่ได้ปรุงแต่งมหาภูติรูปสี่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2013, 15:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เขียน เลียบๆเคียงๆ ไม่มีใครสนใจ อิๆๆๆ เอาตรงๆทีนี้ นายโฮฮับ อายตนะ กับ อารมณ์แปลว่า อะไร หรือหมายถึงอะไรก็ได้อ้าว

ให้ได้ความหมายนี้ก่อน แล้วจะร้องอ๋อไอ้ที่พูดที่เดานั่นนะมันผิด ที่พูดนั่น เหมือนคนเมากัญชานอนดูก้อนเมฆ แล้วจินตนาการว่าเป็นรูปภูเขาบ้าง เป็นรูปสัตว์ต่างๆบ้าง เป็นรูปเทวดาบ้าง เป็นวิมานบ้านเรือนบ้าง ฯลฯ คิกๆๆ เอา ตอบหน่อย อายตนะ กับอารมณ์ หมายถึงอะไร (แปลว่าอะไร)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2013, 16:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8571


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
คิกๆๆ เอา ตอบหน่อย อายตนะ กับอารมณ์ หมายถึงอะไร (แปลว่าอะไร)
ขอแย่งตอบครับ
อายตนะ แปลว่า เชื่อม หรือ ต่อ หมายถึง สิ่งภายนอก มาเชื่อมต่อกับ สิ่งภายใน มีจักขุปสาท กับ รูป เป็นต้น จึงเรียกว่า จักขายตนะ กับ รูปายตนะ ทวารอื่นๆ ก็ในทำนองเดียวกัน

อารมณ์ แปลว่า สิ่งที่ถูกจิตรู้ มี รูปารมณ์. สัททารมณ์. คันทารมณ์. รสารมณ์. โผฏฐัพพารมณ์. และ ธัมมารมณ์

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2013, 22:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


Quote Tipitaka:
[๖๘๘] ธรรมที่เห็นได้และกระทบได้ เป็นไฉน ? รูปายตนะ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า

ธรรมที่เห็นได้และกระทบได้.

ธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ เป็นไฉน ? จักขายตนะ โสตายตนะ ฆานายตนะ

ชิวหายตนะ กายายตนะ สัททายตนะ คันธายตนะ รสายตนะ โผฏฐัพพายตนะ

สภาวธรรมเหล่านี้ ชื่อว่า ธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้.

ธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้ เป็นไฉน ? เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์

วิญญาณขันธ์, รูปที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้ซึ่งนับเนื่องในธรรมายตนะ และอสังขตธาตุ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้.


รู้สึกว่า คำว่า กระทบ นี่ใช้ไม่ได้ กับใจ นะท่านโฮฮับ
มันไม่เหมือน ผัสสะ ที่สามารถ ใช้กับใจได้

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2013, 22:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


Quote Tipitaka:
ธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ เป็นไฉน ? จักขายตนะ โสตายตนะ ฆานายตนะ

ชิวหายตนะ กายายตนะ สัททายตนะ คันธายตนะ รสายตนะ โผฏฐัพพายตนะ

สภาวธรรมเหล่านี้ ชื่อว่า ธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้.

ธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้ เป็นไฉน ? เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์

วิญญาณขันธ์, รูปที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้ซึ่งนับเนื่องในธรรมายตนะ และอสังขตธาตุ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้.


วิเคราะห์ วิจารณ์ กันอีกที
อายตนภายใน ทั้งหมด ตาไม่สามารถมองเห็นได้เลย
สิ่งเหล่านั้นคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

ตา เป็น สิ่งที่คนเรามองไม่เห็น
หู เป็น สิ่งที่มองไม่เห็นได้ด้วยตา
จมูก เป็น สิ่งที่มองไม่เห็นได้ด้วยตา
ลิ้น เป็น สิ่งที่มองไม่เห็นได้ด้วยตา
กาย เป็นสิ่งที่มองไม่เห็นได้ด้วยตา
ใจ เป็นสิ่งที่มองไม่เห็นได้ด้วยตา

:b12: เชิญมะรุมมะตุ้มครับ :b12:

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2013, 03:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
กรัชกาย เขียน:
คิกๆๆ เอา ตอบหน่อย อายตนะ กับอารมณ์ หมายถึงอะไร (แปลว่าอะไร)
ขอแย่งตอบครับ
อายตนะ แปลว่า เชื่อม หรือ ต่อ หมายถึง สิ่งภายนอก มาเชื่อมต่อกับ สิ่งภายใน มีจักขุปสาท กับ รูป เป็นต้น จึงเรียกว่า จักขายตนะ กับ รูปายตนะ ทวารอื่นๆ ก็ในทำนองเดียวกัน

อารมณ์ แปลว่า สิ่งที่ถูกจิตรู้ มี รูปารมณ์. สัททารมณ์. คันทารมณ์. รสารมณ์. โผฏฐัพพารมณ์. และ ธัมมารมณ์

เสริมความเห็น เรื่องอายตนะ
อายตนะ เป็นคุณสมบัติล้วนๆ ของจิต
อายตนะภายใน หรืออายตนะภายนอก ก็ตาม
จิตจะรับรู้สิ่งใดก็ผ่านสิ่งที่เรียกว่า อายตนะ
ถ้าไปยุ่งเกี่ยวกับอารมณ์ภายนอก ก็เรียกอายตนะที่ทำงานขณะนั้นเป็นสองส่วน
โดยที่จำแนกตามส่วนที่ประกอบกับอัตตภาพนี้ ว่า อายตนะภายใน
และส่วนที่เป็นอารมณ์ภายนอกว่า อายตนะภายนอก
V
เขียนคร่าวว่า

ภายใน-อายตนะ-ภายนอก
V
กล่าวว่า ผัสสะก็ตามกระทบก็ตาม ของสิ่งภายใน กับภายนอก ต้องมาผัสสะ หรือกระทบที่อายตนะของจิต
จิตจึงจะไปรับรู้ทางอายตนะนั้นๆ
V
ดังนั้น วัตถุต่างๆ เช่น แสง สี เสียง ฯลฯ ระบบประสาทในร่างกาย ต่างๆ ไม่มีอายตนะ
แต่ อายตนะของจิต จะเรียกไปตามวัตถุต่างๆ เหล่านั้น
V
อธิบาย แบบนี้ เชิญท่านทั้งหลายลองพิจารณา เป็นอีกทางหนึ่งในการทำความรู้จักอายตนะ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2013, 04:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
กรัชกาย เขียน:
คิกๆๆ เอา ตอบหน่อย อายตนะ กับอารมณ์ หมายถึงอะไร (แปลว่าอะไร)
ขอแย่งตอบครับ
อายตนะ แปลว่า เชื่อม หรือ ต่อ หมายถึง สิ่งภายนอก มาเชื่อมต่อกับ สิ่งภายใน มีจักขุปสาท กับ รูป เป็นต้น จึงเรียกว่า จักขายตนะ กับ รูปายตนะ ทวารอื่นๆ ก็ในทำนองเดียวกัน

อารมณ์ แปลว่า สิ่งที่ถูกจิตรู้ มี รูปารมณ์. สัททารมณ์. คันทารมณ์. รสารมณ์. โผฏฐัพพารมณ์. และ ธัมมารมณ์

การคุยธรรมไม่ใช่มานั่งเปิดพจนานุกรมแปลคำศัพท์แบบนี้
แล้วคุยอย่างไรจึงจะเรียกว่าธรรม นั้นก็คือการหาเหตุปัจจัยของธรรมที่กำหนดขึ้นมานั้นๆ

คำศัพท์ที่กรัชกายกับลุงหมานพูดถึง มันเป็นแค่สิ่งที่สมมุติขึ้น ในความเป็นจริงที่เรียก
สภาวะในกายใจ มันไม่มี ถ้าเราแยกคำออกมาเป็นคำศัพท์เดียวๆ สภาวะธรรมแท้ๆมันก็ไม่มี

อย่างเช่น"อายตนะ" มันไม่ใช่สภาวะ ที่ต้องเรียกมันว่า อายตนะก็เพราะ
สภาวะธรรมนั้นๆ เกิดด้วยเหตปัจจัยร่วมกัน
สมมุติเกิดสภาวะธรรมที่เรียกว่า"เวทนา" สภาวะนี้มันก็เป็นสภาวะเดียวแต่มันมี
เหตุปัจจัยมากกว่าหนึ่ง นั้นคือมีหลายเหตุปัจจัยมารวมกัน จนเกิดเวทนา
ดังนั้น "อายตนะ" คืออาการรวมกันของปัจจัย แต่อายตนะไม่ใช่ปัจจัย


อยู่ดีๆเราจะเรียก หู ตา จมูก ลิ้น กายและใจว่า อาตนะภายในไม่ได้
หรือจะเรียก เสียง กลิ่น รส สัมผัส คิดว่า อายตนะภายนอกก็ไม่ได้

จะเรียกอายตนะภายนอกหรือภายในได้ ต้องมีการกระทบจนเกิดผัสสะขึ้นก่อน
เราจึงจะเรียกธรรมเหล่านั้นว่าอายตนะ


เพิ่มเติมให้อีกหน่อย ไอ้หู ตา จมูก ลิ้น กายและใจ ถ้ามันไม่มีปสาทในตัวของมัน
มันก็ไม่สามารถทำให้เกิดอายตนะได้ ธรรมที่สามารถเป็นอายตนะได้ จะต้องเป็น สฬารยตนะเท่านั้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2013, 04:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


govit2552 เขียน:
Quote Tipitaka:
[๖๘๘] ธรรมที่เห็นได้และกระทบได้ เป็นไฉน ? รูปายตนะ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า

ธรรมที่เห็นได้และกระทบได้.

ธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ เป็นไฉน ? จักขายตนะ โสตายตนะ ฆานายตนะ

ชิวหายตนะ กายายตนะ สัททายตนะ คันธายตนะ รสายตนะ โผฏฐัพพายตนะ

สภาวธรรมเหล่านี้ ชื่อว่า ธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้.

ธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้ เป็นไฉน ? เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์

วิญญาณขันธ์, รูปที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้ซึ่งนับเนื่องในธรรมายตนะ และอสังขตธาตุ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้.


รู้สึกว่า คำว่า กระทบ นี่ใช้ไม่ได้ กับใจ นะท่านโฮฮับ
มันไม่เหมือน ผัสสะ ที่สามารถ ใช้กับใจได้

ลักษณะมันเหมือนกัน แต่ถ้าว่าให้ละเอียดกว่านั้น
กระทบมันก็คือผัสสะที่มาพร้อมกับกิเลสสังโยชน์
แต่ผัสสะจะมีกิเลสสังโยชน์หรือไม่มีกิเลสสังโยชน์ก็ได้

คุณโกวิท เคยได้ยินคำว่าปฏิฆะมั้ยล่ะ มันก็คือกิเลสสังโยชน์ที่มากระทบใจเรานั้นเอง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2013, 04:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


govit2552 เขียน:
Quote Tipitaka:
ธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ เป็นไฉน ? จักขายตนะ โสตายตนะ ฆานายตนะ

ชิวหายตนะ กายายตนะ สัททายตนะ คันธายตนะ รสายตนะ โผฏฐัพพายตนะ

สภาวธรรมเหล่านี้ ชื่อว่า ธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้.

ธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้ เป็นไฉน ? เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์

วิญญาณขันธ์, รูปที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้ซึ่งนับเนื่องในธรรมายตนะ และอสังขตธาตุ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้.


วิเคราะห์ วิจารณ์ กันอีกที
อายตนภายใน ทั้งหมด ตาไม่สามารถมองเห็นได้เลย
สิ่งเหล่านั้นคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

ตา เป็น สิ่งที่คนเรามองไม่เห็น
หู เป็น สิ่งที่มองไม่เห็นได้ด้วยตา
จมูก เป็น สิ่งที่มองไม่เห็นได้ด้วยตา
ลิ้น เป็น สิ่งที่มองไม่เห็นได้ด้วยตา
กาย เป็นสิ่งที่มองไม่เห็นได้ด้วยตา
ใจ เป็นสิ่งที่มองไม่เห็นได้ด้วยตา

:b12: เชิญมะรุมมะตุ้มครับ :b12:

ทิ้งการบ้านไว้ก่อน .....เห็น รู้ กระทบ วิญญาณ อนิจจัง ปัจจุบันขณะ ฯลฯ
ใช้สมาธิพิจารณาให้ดีก่อน :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2013, 06:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8571


 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
เสริมความเห็น เรื่องอายตนะ
อายตนะ เป็นคุณสมบัติล้วนๆ ของจิต
อายตนะภายใน หรืออายตนะภายนอก ก็ตาม
จิตจะรับรู้สิ่งใดก็ผ่านสิ่งที่เรียกว่า อายตนะ
ถ้าไปยุ่งเกี่ยวกับอารมณ์ภายนอก ก็เรียกอายตนะที่ทำงานขณะนั้นเป็นสองส่วน
โดยที่จำแนกตามส่วนที่ประกอบกับอัตตภาพนี้ ว่า อายตนะภายใน
และส่วนที่เป็นอารมณ์ภายนอกว่า อายตนะภายนอก
V
เขียนคร่าวว่า

ภายใน-อายตนะ-ภายนอก
V
กล่าวว่า ผัสสะก็ตามกระทบก็ตาม ของสิ่งภายใน กับภายนอก ต้องมาผัสสะ หรือกระทบที่อายตนะของจิต
จิตจึงจะไปรับรู้ทางอายตนะนั้นๆ
V
ดังนั้น วัตถุต่างๆ เช่น แสง สี เสียง ฯลฯ ระบบประสาทในร่างกาย ต่างๆ ไม่มีอายตนะ
แต่ อายตนะของจิต จะเรียกไปตามวัตถุต่างๆ เหล่านั้น
V
อธิบาย แบบนี้ เชิญท่านทั้งหลายลองพิจารณา เป็นอีกทางหนึ่งในการทำความรู้จักอายตนะ


มารู้จักคำว่าอายตนะ และเข้าใจแบบง่ายๆ
v
อายตนะ เป็นของสองสิ่ง คือ ภายนอก กับ ภายใน มากระทบกันเรียกว่าอายตนะ ๆ มี ๖ คู่
จึงมี ๑๒ อายตนะ ดังนี้
จักขายตนะ คู่กับ รูปายตนะ
โสตายตนะ คู่กับ สัททายตนะ
ฆานายตนะ คู่กับ คันทายตนะ
ชิวหายตนะ คู่กับ รสายตนะ
กายายตนะ คู่กับ โผฎฐัพพายตนะ
มนายตนะ คู่กับ ธัมมายตนะ

ถ้ามีจิตเข้ามาเกี่ยวข้องกับ อายตนะ ทั้งสองด้วย จึงเรียกว่า ผัสสะ
เรียกว่าของสามสิ่งมาประชุมพร้อมกัน เช่น
v
จักขุปสาท + รูปารมณ์ + วิญญาณ = ผัสสะ
โสตปสาท + สัททารมณ์ + วิญญาณ = ผัสสะ
ฆานปสาท + คันทารมณ์ + วิญญาณ = ผัสสะ
ชิวหาปสาท + รสารมณ์ + วิญญาณ = ผัสสะ
กายายปสาท + โผฎฐัพพารมณ์ + วิญญาณ = ผัสสะ
หทยวัตถุ + ธัมมารมณ์ + มโนวิญญาน = ผัสสะ

อายตนะ กับ ผัสสะ จึงแตกต่างกันดังนี้

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 223 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 15  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร