วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 00:52  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 264 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 18  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2011, 20:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2010, 21:56
โพสต์: 56

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทักษา เขียน:
ไร้นา เขียน:
ใช้หลัก กาลามสูตร ในเบื้อนต้น
ของจริง ปฏิบัติจริงจะรู้จะเห็นของจริง อย่าคิดเอาเอง อย่าคล้อยตามความคิดของตัวเอง และผู้อื่น ของจริงอยู่เหนือความคิด และสิ่งใดๆ...



ใช้หลัก กาลมสูตร แล้วเราจะพิสูจน์อย่างไรครับ ก็นั่งสมาธิเกือบทุกวัน
ไม่เห็นจะมีมาร ไม่เห็นสติฟั่นเฟือน เป็นบ้าเป็นบอ ตามที่เขาว่าเลย


:b10: :b34: :b34: :b34:


ไม่รู้ว่าตนเองไม่รู้
ไม่รู้ว่าตนเองรู้
รู้ว่าตนเองไม่รู้
รู้ว่าตนเองรู้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2011, 20:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2010, 21:56
โพสต์: 56

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทักษา เขียน:
ไร้นา เขียน:
ไม่รู้ว่าตนเองไม่รู้
ไม่รู้ว่าตนเองรู้
รู้ว่าตนเองไม่รู้
รู้ว่าตนเองรู้



งงหนักกว่าเดิมอีกครับ ขอเป็นภาษามนุษย์ได้ป่าวครับ
เอาแบบธรรมดาให้อ่านแล้วเข้าใจง่ายๆน่ะครับ
เล่นคุยภาษาเทพ งี้ผมงงตายแน่ๆ
:b34: :b34: :b4:


จริงๆ ก็คือภาษาที่ใช้สื่อสารกัน
ไม่ใช่ภาษาเทพ อะไรหรอก

เอาเป็นว่า คุณ ทักษา หายสงสัย หรือยัง เรื่องการฝึกสมาธิเป็นบาปมหันต์ เป็นที่สถิตของเปรต


:b5:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2011, 21:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


เจ้าชายสิทถธะ บำเพ็ญบารมีมา ๔ อสงไขย์กับแสนกัป ยังนั่งสมาธิให้เกิดปัญญาที่เอามาดับดับทุกข์ไม่ได้ อยากจะรู้ว่าใลกนี้หรือโลกใหนๆ ใครหน้าใหนจะทำได้ :b38:

พระพุทธเจ้าทำสมาธิ รู้เห็นโลก พิจารณาจนเห็นความจริง และยกจิตขึ้นพ้นจากอาสวะได้ เพราะเป็นวิสัยของผู้ที่จะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า นอกจากนั้น หน้าใหนๆ ก็ทำไม่ได้

วิธีการของเทวปุตมาร โดยเฉพาะพวกเจ้ากรรมนายเวร ที่เข้ามาทำร้ายคน มีหลายรูปแบบ พวกนี้ก็ตายไปจากคน ไม่ได้โง่ซื่อบื้อเหมือนกับที่เราคิด วิธีการมันแนบเนียนกว่าที่พวกท่านคิดเยอะ ตอนนี้พวกถูกเปรตครอบมีเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด ... พวกที่คิดว่าตัวเองได้ตาทิพย์หูทิพย์ส่วนมากได้รับภาพนิมิตรจากเปรตเกือบทั้งนั้น ทั้งพระทั้งฆราวาส หาของจริงแทบไม่ได้เลย ไม่เชื่อก็พามาได้ พอจับเปรตออกจะไม่รู้ไม่เห็นอะไรเลย นิ่งซื่อบื้อเป็นแมว

วิธีการที่เห็นบ่อย คือ มันจะค่อยๆ ลากให้คนถูกครอบออกไปจากธรรมวินัย หลอกให้แสดงอธรรมวาที หรือยืมปากด่าพระพุทธเจ้า ฯ

พวกที่ทำสมาธิมานาน ทำไม่ถึงใหน ไม่รู้ไม่เห็นอะไร ถือว่ายังมีบุญรักษา

สมาธิที่เป็นฌานจริงๆ ทำยากมาก ผู้ที่ไม่เคยได้ฌานมาก่อน จะต้องใช้เวลาทั้งชีวิต นอกจากพวกที่เคยเป็นฤาษีพราหมณ์มาก่อน จะใช้เวลาฟื้นไม่นาน เพราะฌานมันเสื่อมได้ แต่มันก็ไม่ได้หายไปใหน ... พวกที่คิดว่าตนเองได้ฌาน เกือบร้อยเปอร์เซ็น อุปจาระยังไม่ถึงเลย เพราะแค่ขณิกกะขั้นปลายๆ เปรตก็ครอบได้แล้ว โดยเฉพาะลูกที่แท้ง มันเล่นแรง กะเอาถึงตาย คนที่แท้งลูก หรือมีส่วนร่วมกับการแท้ง พอไปนั่งสมาธิ จะรู้สึกว่า ได้สมาธิเร็ว เห็นโน่นเห็นนี่ บางคนได้ยินเสียงในหู บางคนเห็นเหตการณ์ล่วงหน้า .. แก้ไปได้หลายคน แต่พวกที่ยังหลงก็ ก็ทำอะไรไม่ได้ ปล่อยให้เขาไปตามกรรม

เหมือนกับเวลาจ้องนาฬิกาตอนหมอสะกดจิตพอจิตจับอารมณ์เดียว พวกจิตแข็งกว่าจะเข้ามาครอบได้

สมาธิในธรรมวินัยนี้ เกิดจาก อุปธิวิเวก เป็นสมาธิของพระอริยะสงฆ์ หมายถึง เมื่อจิตว่างจากการยึดมั่นถือมั่น ไม่มีการปรุงแต่งแล้ว จิตก็เป็นสมาธิ แปลง่ายๆว่า สำเร็จเป็นอริยบุคคลก่อน แล้วสมาธิที่เป็นอัปนาสมาธิเกิดทีหลัง

สัมมาสมาธิในมรรค ๘ แปลว่า ตั้งมั่นชอบ ไม่ได้แปลว่าฌาน


วิปัสสนา คือ รู้จริง ตามจริง เท่าทันปัจจุบันอารมณ์ รู้ด้วยโลกุตตระปัญญา คือ รู้ด้วยปัญญาที่ดับทุกข์ได้ จึงถือเป็นความรู้ที่ทำให้พ้นโลก มีการการปล่อยวางและความสงบของจิตเป็นผล

สมาธิ คือ ความสงบของจิต เกิดจากการเอาจิตไปรับรู้อารมณ์เดียว และปิดการรับรู้ทางอื่นหมด เรียกแบบไม่เกรงใจว่า นิ่ง ซื่อบื้อ ไม่มีปัญญา ไม่รู้อะไรเลย เพ่ง จ้อง จนสามารถบังคับให้จิตสงบได้ชั่วคราวเมื่ออยู่ในสมาธิ พอออกจากสมาธิ ก็เหมือนเดิม เสียงด่าเข้าหูเกิดหน้าดำหน้าแดง ฯ เพราะไม่เคยฝึกทางหูมาก่อยเลย ฯ เกิดอะไรขึ้นก็พากันหลบไปอยู่ข้างหลังความสงบเหมือนคนขี้ขลาด บางคนทำจนชำนาญ จนเข้าใจว่าตนบรรลุโสดาบันก็มี ... พอจิตสงบได้ที่ จิตก็แสดงอิทธฤทธิ์ได้ พวกนั่งสมาธิก็พากันไปหลงในฤทธิ์ บ้างเข้าใจว่าตนบรรลุอรหันต์ก็มี

ถ้าอุปมาจิตเหมือนน้ำใจ แล้วขุ่นมัวด้วยโคลนตม วิปัสสนา คือการเอาน้ำใสเติมเข้าไปในน้ำขุ่น เติมมากๆ เข้า น้ำก็กลับมาใสเป็นปกติ สมาธิคือการเอาแก้วน้ำขุ่นวางไว้นิ่งๆ จนดินโคลนตกตะกอน น้ำก็ใสได้ แต่พออกจากสมาธิ น้ำก็จะใสต่ออยู่ได้สักพัก แล้วก็กลับมาขุ่นเหมือนเดิมเมื่อได้รับกระทบสัมผัส น้ำมีเท่าเดิม ดินโคลนก็มีอยู่เท่าเดิม ถ้าจะตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดา ก็ต้องเข้าสมาธิตาย หรือตายหลังจากออกจากสมาธิในชั่วระยะเวลาสั้นๆ

พวกทำสมาธิ จะพยายามถือศีลบริสุทธิ์ เพราะไม่ฉลาดในธาตุ ไม่ฉลาดในอายตนะ ไม่ฉลาดในปกิจจสมุปบาท เลยไม่รู้ว่าอะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัยของศีล เลยพากันไปถือศีลเพราะศีลจะทำให้เกิดสมาธิได้ง่าย และหวังว่าจะเกิดปัญญาในสมาธิ พอมีอะไรมาทำให้ผิดศีล จะไม่พอใจ ถ้าติดสงบมากๆ จะหนีสังคมไปอยู่ตามวัด ตามป่า ตามเขา หนีโลกไปหาความสงบ กลายเป็นฤาษีสมบูรณ์แบบ กลุ่มพวกนี้จะเป็นคนดี ไม่ทำร้ายใคร แต่ทำร้ายตนเองได้เจ็บแสบที่สุด

ศีล เกิดจากนิสัย นิสัยเกิดจากการสะสมความรู้ความคิดประสบการณ์ที่มาจากการรับรู้มาข้ามชาติข้ามภพ ศีลที่เป็นอุภศล เกิดมาจากอวิชชา หรือ ความพอใจไม่พอใจและความหลง (อกุศลเหตุ ๓) ศีลที่เป็นกุศลเกิดมาจาก วิชชา หรือการรู้เท่าทันความพอใจไม่พอใจ (กุศลเหตุ ๓) เพราะฉะนั้น พวกถือศีล จึงถือได้เป็นพักๆ เท่านั้น เหมือนการถือกฏหมาย ไม่สามารถทำให้คนเป็นคนดีได้จริงๆ เพราะความเลวมันเป็นนิสัยหรือความเคยชินที่ละเอียด เป็นกิเลสอันนอนเนื่องในกมลสันดาน วันใหนแพ้มาร ก็เลวได้ทันที มารก็จะมาพาให้หลง ๖ ทาง คือ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ตลอดเวลา

วิปัสสนาทำให้เกิดศีลที่ถาวร เรียกว่า การมีศีล ศีลแบบนี้เรียกว่าอริยศีลขันธ์ เพราะไปทำที่เหตุของการเกิดนิสัยที่ดี คือ เอาชนะความพอใจไม่พอใจจนเคยชิน เมื่อตาเห็นรูป เราวิปสัสสนาว่า รูปไม่เที่ยง ความอยากได้ในรูปไม่เกิดก็ไม่มีอทินาทาน เจอหน้าคู่อริ วิปัสสนาว่า มึงก็ตาย กูก็ตาย มันด่ามาก็พิจารณาเสียงด่าไม่เที่ยง ความโกรธไม่เกิด ปานาติบาทก็เกิดไม่ได้ ฯ ใครมีศีลแบบนี้ พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า พ้นทุคติภูมิแน่นอน

ศีลจริงๆ เป็นเพียงเครื่องประดับ หรือผลพลอยได้จากความพยายามที่จะพ้นโลก เมื่อมีปัญญาก็มีศีล (หรือเกิดมีนิสัยที่ดีตามมา) มีศีลก็มีสมาธิ (หรือจิตสงบไม่ฟุ้งซ่านเป้นปกติ) มีสมาธิก็เกิดญานทัศนะมีญานทัศนะก็เกิดนิพพาทะญานทัศนะ เมื่อมีนิพพาทะญานทัศนะ ก็จะเกิดวิมุตติญานทัศนะ

ทั้งหมดนี้ เริ่มจาก วิปัสสนา หรือ การคุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย เมื่อมีชีวิตประกอบด้วยวิปัสสนา (หรือเป็นผู้ไม่ประมาท) พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า จะเป็นผู้ไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา

ปัญญาที่พวกนั่งสมาธิหวัง คือ ปัญญาที่จะรู้ว่า สิ่งทั้งปวงไม่เที่ยงได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องมีใครมาสอน หรือพวกนี้กำลังฝึกตนเองให้เป็นพระพุทธเจ้า มองลึกๆ ก็คือ พวกนี้อิจฉาพระพุทธเจ้า อยากจะเป็นพระพุทธเจ้าเสียเอง เลยพากันไปปฏิบัติตามเจ้าชายสิทธถะ ไม่ได้ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าโคตมะ พวกนี้จะสอนว่า ให้ถือศีลให้บริสุทธิ์ ทำสมาธิจนได้ฌาน แล้วจะเกิดปัญญารู้แจ้ง ต้องสั่งสมบารมี ๑๐ ทัศ ๓๐ ทัศให้ครบ ฯ ซึ่งก็คือ การไปฝึกตนเองเป็นฤาษีพราหมณ์นั่นเอง .... ส่วนปัญญาจะเกิดหรือเปล่า ก็ต้องดูว่า บำเพ็ญมาได้ ๔ อสงไขย์แสนกัปหรือยัง

สิ่งที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายพบในสมาธิ ก็คือ รู้ว่า ปัญญาในสมาธิไม่ได้ทำให้พ้นโลก มีแต่ปัญญาที่ทำให้รู้ให้เห็น มีตาทิพย์ หูทิพย์ ระลึกชาติได้ อ่านใจคนออก รู้การเกิดตายของสัตว์ ฯ ถ้าไม่มีปัญญาบารมีพิจารณาอย่างพระพุทธเจ้า ก็จะไม่เห็นความไม่เที่ยงของโลกและชีวิต ไม่สามารถหาสาเหตุได้ว่าอะไรคือเหตุของการเกิดตาย และไม่มีทางรู้ได้ด้วยตนเองง่ายๆ ว่า อะไรคือวิธีการดับทุกข์ ดับชาติ ดับภบ ... สรุปว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลาย พบความไม่เที่ยงของธรรมชาติ รู้เหตุปัจจัยของความไม่เที่ยง รู้ว่าดับทุกข์ก็ดับชาติดับภพได้ด้วยการวิปัสสนา ... เท่านั้นเอง


..... มีเฉลยในมือแล้ว จะไปหาคำตอบเองทำไมกัน .......




ความจริงชีวิตของคนเรามันสั้น ๑๐๐ ปีไม่ได้มากมายอะไรเลย จะไปหลงทางลองผิดลองถูกเดินทางอ้อมไปทำไมถ้ารู้จักทางตรงแล้ว วิปัสสนาก็ลองง่ายๆ เมื่อรับกระทบสัมผัสอะไรก็พิจารณาว่ามันไม่เที่ยง เวทนาก็ดับ ทีนี้ก็รู้เองเห็นเองแล้ว

อะไรที่ทำไปแล้ว ไม่ใช่เหตุของมรรคผลนิพพาน ไม่ส่งเสริมมรรคผลนิพพาน เอาทิ้งไปเถอะไครับ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้เกิดขึ้นมาได้ง่ายๆ นะครับ พ้นจากสมัยของพรพุทธเจ้าโคตมะ รอไม่รู้อีกที่ล้านล้านปี กว่าจะเกิดพระศรีอริยะเมไตร แล้วจะได้มาเกิดเจอศาสนาพุทธอีกหรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มี.ค. 2011, 00:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


ทักษา เขียน:
FLAME เขียน:
บทส่งท้าย
คนเราทะเลาะเบาะแว้งกันเพราะมีทิฏฐิที่แตกต่างกัน พระพุทธเจ้าสอนเรื่องที่พ้นจากทิฏฐิทั้งหลายคืออริยสัจสี่
คือทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ ความล่วงพ้นทุกข์ และอริยมรรค มีองค์แปดประการ

ขอให้เจริญในธรรม


หมายความว่ายังไงครับทะเลาะกัน ใครทะเลาะกับใคร งงนะครับ



ก็คนนี่หล่ะครับ มีทิฏฐิต่างกันจึงทะเลาะกัน พระพุทธองค์ปราศจากทิฏฐิแล้วท่านจึงไม่ทะเลาะกับใคร แต่ผู้อื่นต่างหากที่มาทะเลาะกับท่าน ส่วนเรื่องทิฏฐิมีก็หลายอย่าง พระพุทธเจ้าผู้เป็นสรรพพัญญูท่านจำแนกไว้หลายอย่างครับลองดูข้างล่าง

ทิฏฐิ 62
http://topicstock.pantip.com/religious/ ... 69279.html

ทิฏฐิ 3
http://www.firodosia.com/showdetail.asp?boardid=3055

บทส่งท้ายนะครับส่งท้ายแล้วจริงๆ

สุดท้าย ผมไปดูลิงค์นี้มาเค้า สนทนาเรื่องฌานกัน คุณทักษาลองไปอ่านดูสิครับ ควรอ่านให้หมดทุกข์บล็อกนะครับ อ่านละเอียดละเอียดหลายๆรอบยิ่งดี
แล้วลองพิจารณาดู http://www.dhammahome.com/front/webboar ... hp?id=8589

ขอให้เจริญในธรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มี.ค. 2011, 02:29 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ไหน ๆ ต้นต่อท่านก็มาเองแล้ว...ก็คุยกับเขาหน่อยซิครับ

คิดเห็นอย่างไร..สงสัยตรงไหน..ก็เว้าตรง ๆ กับคุณ Supareak Mulpong ไปเลย.. :b12: :b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มี.ค. 2011, 11:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 เม.ย. 2010, 09:39
โพสต์: 219

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สุขในฌาณมีอยู่ สุขในรูปฌาณมีอยู่ สุขในอรูปฌาณมีอยู่
แต่บรมสุข คือ พระนิพพาน

ผู้ที่ดำรงตน ตั้งอยู่ ในฌาณทั้งหลายก็ดี และ ยังไม่สามารถก้าวสู่
ภูมิแห่งโลกุตตระ เพราะท่านเหล่านั้น ยังเป็นผู้ข้องอยู่ ติดอยู่
เพลิดเพลินอยู่ ในที่ตั้ง ที่ดำรงอยู่ ในฌาณนั้นๆตามกาลสมัย

แต่กระนั้น ในองค์ฌาณทั้งหลาย พระไตรลักษณ์ ก็ยังคงแสดงความจริง
อยู่อย่างนั้น ไม่ได้หยุด ไม่ได้เว้นแต่อย่างใดเลย ด้วยความละเอียดขึ้น
ตามลำดับ จึงยากแก่การเห็นถึงความจริง ในสมัยกาลนั้น

ใน อรูปฌาณ4 พระสุตตันตปิฎก

ดูกรคฤหบดี อีกประการหนึ่ง ภิกษุเข้าถึงชั้นอากาสานัญจายตนะ
ด้วยมนสิการ ว่า อากาศหาที่สุดมิได้ เพราะล่วงรูปสัญญา เพราะดับปฏิฆสัญญา
เพราะไม่มนสิการนานัตตสัญญา โดยประการทั้งปวงอยู่ เธอพิจารณาอยู่อย่างนี้
ย่อมรู้ชัดว่า แม้อากาสานัญจายตนสมาบัตินี้อันเหตุปัจจัยปรุงแต่งขึ้น ก่อสร้างขึ้น
ก็สิ่งใดสิ่งหนึ่ง อันเหตุปัจจัยปรุงแต่งขึ้น ก่อสร้างขึ้นสิ่งนั้นไม่เที่ยง
มีความดับไปเป็นธรรมดา ดังนี้ เธอตั้งอยู่ในธรรม คือ
สมถะและวิปัสสนา นั้นย่อมถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย

ถ้าไม่ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย เพราะความยินดีเพลิดเพลินในธรรม คือ
สมถะและวิปัสสนานั้น เพราะความสิ้นไปแห่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕
เธอย่อมเป็นโอปปาติกะ จะปรินิพพานในที่นั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา

อันพระผู้มี พระภาคผู้รู้ ผู้เห็น เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ พระองค์นั้น ตรัสไว้.
นี้คือทาง ที่พระองค์ทรงชี้ทาง แก่ผู้ดำรงอยู่ ตั้งอยู่ ในอรูปฌาณหนึ่ง ในสมัยกาลนั้น

พระองค์ไม่ได้ทรงบอกให้หยุดทำเสีย ให้เลิกทำเสีย แต่อย่างใดเลย
แต่ด้วยพระปรีชา ผู้ตรัสรู้ แจ้งในธรรมทั้งปวง พระองค์ทรงแสดงถึงเป็นความเป็นจริง
ที่ปรากฏอยู่ พิจารณารู้ชัดในทางเดิน ของผู้ดำรงตน ตั้งอยู่ ในทางอันนั้น
ให้ถึงที่สุดแห่งทาง คือ ความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลายนั้น นี้คือ ตถาคต

สมาธิก็ดี ฌาณสมาบัติก็ดี ก็เป็นแต่ทาง เป็นแต่ที่ตั้งอยู่ เป็นที่ดำรงอยู่
เพื่อพิจารณาถึงความเป็นจริง พึงรู้ชัด ในทางนั้น
ย่อมชื่อว่า เป็นผู้มีปัญญาในสมาธิ เป็นผู้มีปัญญาในทางของตน
เป็นผู้ฉลาดในจิตของตน

ส่วนที่เหลือ ที่ท่านวิจารณ์ กล่าวไว้นั้น ก็เป็นด้วยเหตุและผลของท่านเอง
จะมองอย่างไร ก็แล้วแต่การเห็น การรู้ ก็ว่ากันไป ตามสบาย :b25:

.....................................................
.................................................ธ ทรงครองแผ่นดินโดยทศพิธราชธรรม
........................................................พระปฐมบรมราชโองการว่า
.......................“ เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม “

........................ขอพ่อเจ้าอยู่หัว ทรงพระเจริญ มีพระชนย์มายุ ยิ่งยืนนาน พระพุทธเจ้าข้า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มี.ค. 2011, 12:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


สิ่งที่ทำให้เกิดชาติเกิดภพ คือ กองทุกข์ทั้งปวงที่เราสร้างขึ้นมา ทุกข์ทั้งหลายเกิดจากการประชุมกันของธรรม ๓ ประการ คือ อายตนะ ผัสสะ และเวทนา พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า เป็นการเกิดของกองทุกข์ทั้งปวง

เวทนามี ๓ คือ ทุกข์ สุข และเฉยๆ หรือ อุเบกขา พวกที่ทำสมาธิ ไปทำให้จิตเสวยอุเบกขาเวทนา จึงไม่พ้นชาติ ชรา มรณะ ไปได้ ... ปัญญาที่บอกว่า ไม่มีประกอบ คือ ปัญญาที่เอาไปดับชาติดับภพได้ ไม่ใช่ปัญญาที่หมายถึงควาามรอบรู้ ถ้าได้รู้อย่างนี้แล้ว ไม่มีใครไปทำสมาธิให้เสียเวลา ที่ไปทำกัน ก็เพราะไม่รู้นั่นแหละ

พระพุทธเจ้า ระลึกชาติได้เป็นอันมาก เห็นการเกิดตายของสัตว์ เห็นการเกิดดับของจักรวาล จนสามารถสรุปกฏธรรมชาติ ๒ กฏออกมาได้ เหมือนกับลูกแอปเปิลหล่นใส่หัวคนเป็นร้อยในช่วงล้านปี แต่มีคนเดียวที่สงสัยว่า มันหล่นมาไ้ไงฟะ

ปัญญา คือ ความรู้ที่เอามาดับทุกข์ ดับชาติดับภพได้ ไม่ได้หมายถึงความรอบรู้อื่นใด

ผู้ที่จะรู้เห็นปัญญาที่วิเศษนี้ได้ด้วยตนเอง ต้องเป็นคนที่ฉลาดที่สุด เป็นเอกบุคคลในโลก เป็นสุดยอดอัจฉริยะ ถึงจะหาคำตอบของคำถามที่ยากที่สุดในโลกนี้ได้ ซึ่งในโลกหนึ่งใบจะปรากฏได้ไม่กี่คน คือ พระสัมมาสัมพุทธเ้จ้า และปัญเจกพระพุทธเจ้า ... ความจริงก็เป็นเช่นนี้

สาวกคือผู้รู้ตามเห็นตาม ปัญญาของสาวกเกิดจากการได้สดับรับฟังแต่บุคคลอื่นแล้วสำรวมไว้ จากนั้นก็ปฏิบัติให้ได้มรรคผล ในสมัยพุทธกาล ไม่มีฆราวาสที่ใหนไปทำสมาธิ นอกจากจะได้มาเอง หรือเป็นของเก่าสะสมมา ต่อเมื่อได้บวช จึงจะปฏิบัติเพื่อบรรลุอรหันตผล ซึ่งมีทั้งสมถะและวิปัสสนา

แล้วทำไมชาวพุทธถึงพากันไปเอววัตรปฏิบัติของพราหมณ์มาพันกว่าปีล่ะ ... ไม่มีใครเอะใจบ้างเลยหรือ ทำไมไม่มีใครรู้ เรื่องนี้มีเฉลย

๑) ในขั้นพยานเอกสาร พระพุทธองค์ตรัสไว้กับพระอานนท์ว่า ศาสนาพุทธจะรุ่งเรืองอยู่ได้ไม่นาน ถ้ามีมาตุคาม หรือ มีผู้หญิงมาบวชในธรรมวินัยนี้ และในมิลินปัญา พระนาคเสนพยากรณ์ไว้กับพระยามิลินว่า พุทธจะมีอายุเพียง ๑๐๐๐ เท่านั้น เพราะมีภิกษุณีเกิดในธรรมวินัย

๒) ราวๆ พ.ศ. ๙๔๕ ศาสนาพุทธหมดไปจากอินเดีย ในช่วงนี้ พวกตันตระรุ่งเรืองมาก เอาคำสอนของพราหมณ์มาปนกับพุทธ กลืนพุทธในอินเดียได้สำเร็จ โดยเฉพาะศีลและวัตร แต่ยังคงรูปแบบพุทธไว้ และตามไปทำลายที่ลังกาด้วย ราวๆ พ.ศ. ๑๒๐๐ สมัยสุโขทัย เราก็ไปเชิญพุทธมาจากลังกามาเป็นศาสนาประจำชาติ ... คิดต่อเอาเองก็แล้วกัน

๓) ในบ้านเรามีอยู่ ๒ พวก คือพวกแรก เรียนโดยไม่ปฏิบัติ อีกพวกหนึ่งปฏิบัติโดยไม่เรียน เลยกลายเป็นตาบอดจูงมือตาบอดเดินมาพันกว่าปีแล้ว

พระและฆราวาสบ้านเราไม่ได้อ่านพระไตรปิฏก ไม่ได้เรียนพระธรรมคำสอนโดยตรงจากพระไตรปิฏก แต่ไปเรียนคำอธิบายพระไตรปิฏก แล้วเอาความคิดของอรรถกถามาแปลพระไตรปิฏกอีกที พอเห็นว่าพระไตรปิฏกไม่เหมือนอรรถกถา บ้างก็ทิ้งพระไตรปิฏก บ้างก็ไปแก้ไขธรรมวินัย ยกตัวอย่าง มรรค ๘ พระพุทธองค์เรียงตามเหตุปัจจัย ตามลำดับการเกิด คือ ความเห็น ความคิด การพูด การกระทำ การดำรงค์ชีพ ความพยายาม การระลึก ความตั้งมั่น ก็ไปแก้ เอาความเห็น ความคิด ไปต่อท้ายความตั้งใจมั่น แล้วแปลความตั่งใจมั่นว่า สมาธิขั้นแน่วแน่ ให้เป็น ศีล สมาธิ ปัญญา ตามคำสอนในอรรถกถาให้ได้ ... เท่าที่ดู พวกนี้ ไม่พ้นมหานรกไปได้ซักชีวิตเดียว

พระบางรูปไปอ่านพระสูตร เห็นเขียนว่า "ดูก่อนภิกษุ" ท่านก็เห็นว่า เราก็บวชเป็นภิกษุ น่าจะเอาสูตรนี้มาปฏิบัติได้นะ แต่ท่านคงลืมนึกไปว่า สมัยนั้น มีแต่ผู้ที่มีดวงตาเห็นธรรมเท่านั้นที่ไปขอบวช (ไม่นับรวมสมมุติสงฆ์ที่เกิดปลายพุทธสมัย) เป็นพระอริยะ ท่านเป็นเพียงสมมุติสงฆ์ ท่านก็หยิบมาปฏิบัติเลย กลายเป็นว่า ไปเอาหลักสูตรมหาลัยมาให้เด็กประถมปฏิบัติ ... หนักไปกว่านั้น ฆารวาสบางคนก็บอกว่า ฉันก็เป็นภิกษุนะ ก็ต้องปฏิบัติได้ ... ยังแยกความต่างของบุคคลไม่ได้เลยครับ ทั้งๆ ที่ในพระไตรปิฏกเขียนมาเป็นสูตรแรกในพระสูตรกลาง

อริยะสาวก เรียนอย่างเดียวกัน เห็นอย่างเดียวกัน ย่อมแสดงธรรมอย่างเดียวกัน เพราะสัจจะมีหนึ่งเดียว อยู่ร่วมกันเป็นสังคมอริยะ หรือ สังฆะ สมัยนี้ พวกสำคัญว่าตนบรรลุ แยกเป็นสำนัก พูดไม่เหมือนกัน สอนไม่เหมือนกัน ฯ แล้วยังอวดอุตริว่าตนบรรลุ ...

ตอนนี้พุทธบ้านเราเป็นแบบนี้ สรุปง่ายๆ ว่า พุทธล้มไปตั้งนานแล้ว เป็นระยะเวลา ๑๔๐๐ ปี เพิ่งจะเริ่มฟื้นเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๕ นี้เอง

สมาธิ ถ้าได้เรียนรู้จริงๆ แล้ว อันตรายมาก การทำสมาธิให้เป็นอัปปนา จิตต้องไม่ประกอบด้วย โลภะ โทสะ โมหะ เลย ซึ่งในปุถุชน อวิชชามีกำลังมาก จะสู้มันไม่ได้ง่าย พวกฤาษีถึงต้องให้ไปถือศีลให้บริสุทธิ์ เป็นการหักด้ามพร้าด้วยเข่า หนีไปอยู่ตามป่าตามเขาเพื่อหลบผัสสะ ใช้เวลาทั้งชีวิต ส่วนพวกที่ทำๆ กันเอง มันไม่ได้เป็นสมาธิ เป็นเพียงขณิกกะ ก็โดนเปรตครอบแล้ว ... ถึงตอนนี้ก็เสร็จเปรต

สมาธิที่ทำกันตามบ็านตามวัดตอนนี้ ไม่ได้ต่างอะไรกับคนนั่งตกปลา เกิดความพอใจในความสงบ เป็นอุเบกขาที่มีโละภะ จิตดวงนี้เป็นอกุศล หรือ เป็นบาป ... แปลว่า คนทำสมาธิบำเพ็ญเหตุที่ทำให้ตัวเองตกนรกอย่างสมัครใจ

ถึงพ้นเปรต ก็ยังไม่พ้นมาร ถึงพ้นมาร ก็ยังเจอพยามาร พวกนี้จะลงมาดูและพวกทำสมาธิ ทำให้หลง ถึงจะได้ฌานจริงๆ ก็ต้องอยู่ใต้การบังคับบัญชาของมาร สูงสุดอย่างมากก็ได้ไปเป็นพรหม ติดตาข่ายดักพรหมของมาร ก็เท่านั้น

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มี.ค. 2011, 12:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 เม.ย. 2010, 09:39
โพสต์: 219

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สมาธิ อะไรของท่านละเนี่ย เอาแต่ดิ่งลงเหวอย่างเดียว :b25:

.....................................................
.................................................ธ ทรงครองแผ่นดินโดยทศพิธราชธรรม
........................................................พระปฐมบรมราชโองการว่า
.......................“ เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม “

........................ขอพ่อเจ้าอยู่หัว ทรงพระเจริญ มีพระชนย์มายุ ยิ่งยืนนาน พระพุทธเจ้าข้า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มี.ค. 2011, 18:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2010, 21:56
โพสต์: 56

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
เจ้าชายสิทถธะ บำเพ็ญบารมีมา ๔ อสงไขย์กับแสนกัป ยังนั่งสมาธิให้เกิดปัญญาที่เอามาดับดับทุกข์ไม่ได้ อยากจะรู้ว่าใลกนี้หรือโลกใหนๆ ใครหน้าใหนจะทำได้ :b38:

พระพุทธเจ้าทำสมาธิ รู้เห็นโลก พิจารณาจนเห็นความจริง และยกจิตขึ้นพ้นจากอาสวะได้ เพราะเป็นวิสัยของผู้ที่จะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า นอกจากนั้น หน้าใหนๆ ก็ทำไม่ได้



การที่มนุษย์เกิดมา แล้วปฏิบัติธรรม จนเกิดผล สัมมาสมาธิ พาตนเองข้ามพ้นวัฎฏะ เป็นสาวกขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่เป็นพระพุทธเจ้า มนุษย์ตนนั้นย่อมข้ามวัฎฏะได้ ด้วยการปฏิบัติตามคำสั่งสอนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า

การที่จะเกิดปัญญาเห็นตามความเป็นจริง ต้องมีมรรครับรอง เป็นฐาน ด่านแรก สัมมาฑิฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจามะ สัมมากัมมัตตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ เป็นมรรครวม จึงจะเรียกได้ว่ารู้จริงเห็นตามเป็นจริง นั้นเรียกได้ว่าผลของการเจริญในธรรม ในมรรค ในการปฏิบัติ ทั้ง กาย วาจา ใจ อันบริสุทธิ์ ทั้งภายในและภายนอก ทั้งในที่ลับและที่แจ้ง มิเช่นนั้นแล้วจะเป็นคิดเอง นึกเอาเอง ตามเหตุผล คำว่าคิดเองนี้ ก็เป็นผลจากสัญญาจำ นำมาใช้ เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งที่ต้องรู้ ต้องตามให้ทัน ไม่เช่นนั้นแล้วเราจะหลงว่าสิ่งที่เราคิด ตามเหตุผลของสัญญาจำ เป็นความจริง

การจะกล่าวขานเรื่องใดควรพิจารณา ว่าเราบริสุทธิ์ ทั้ง กาย วาจา ใจ แล้วหรือ เป็นสำคัญ เพราะว่า บริสุทธิ์ เป็นด่านแรก ที่บอกตัวมันเองอยู่แล้ว หากไม่เป็นตามนี้ ควรพิจารณาถึงโทษแก่ตนและผู้อื่น ให้มาก

การจะกล่าวเพื่อถาม-ตอบปัญญาธรรม เป็นเรื่องที่ดี แต่จงพิจารณาถึงผลได้-เสีย เพราะว่ามนุษย์มีสติปัญญาแยก
แยะไม่เท่ากัน เขาอาจเข้าใจคลาดเคลื่อนจากที่เป็นจริง ได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มี.ค. 2011, 20:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
ปัญญา คือ ความรู้ที่เอามาดับทุกข์ ดับชาติดับภพได้ ไม่ได้หมายถึงความรอบรู้อื่นใด

:b8: :b8: :b8: :b8:

Supareak Mulpong เขียน:

มรรค ๘ พระพุทธองค์เรียงตามเหตุปัจจัย ตามลำดับการเกิด คือ ความเห็น ความคิด การพูด การกระทำ การดำรงค์ชีพ ความพยายาม การระลึก ความตั้งมั่น ก็ไปแก้ เอาความเห็น ความคิด ไปต่อท้ายความตั้งใจมั่น แล้วแปลความตั่งใจมั่นว่า สมาธิขั้นแน่วแน่ ให้เป็น ศีล สมาธิ ปัญญา ตามคำสอนในอรรถกถาให้ได้ ... เท่าที่ดู พวกนี้ ไม่พ้นมหานรกไปได้ซักชีวิตเดียว

:b12: ผมว่า...คนข้างบน..ยังไม่ชัวร์..เท่าคนข้างล่างนี้นะ..

คนที่คิดว่า...

อ้างคำพูด:
สมาธิที่ทำกันตามบ็านตามวัดตอนนี้ ไม่ได้ต่างอะไรกับคนนั่งตกปลา เกิดความพอใจในความสงบ เป็นอุเบกขาที่มีโละภะ จิตดวงนี้เป็นอกุศล หรือ เป็นบาป ... แปลว่า คนทำสมาธิบำเพ็ญเหตุที่ทำให้ตัวเองตกนรกอย่างสมัครใจ

อันนี้ใกล้นรกกว่า... :b32:

อุตส่าพูดถึงมรรค 8 ด้วยตัวเองแท้ ๆ..กลับมาเหยียบมรรค 8 ด้วยเท้าตัวเอง...จริงอยู่..มิจฉาสมาธินั้นมันมีได้..แต่..สัมมาสมาธิมันก็มีได้เข่นกัน...

มิจฉา..กับ..สัมมา..มันต่างกันตรงไหนนะ..ติ๊กต๊อต ๆ :b13: :b13:

มันไม่ได้วัดกันที่ว่าคนทำสมาธิ...ยังมีหรือไม่มี..โลภะ..โทษะ..โมหะ...หรอก

คนที่ยังไม่หมดกิเลสนี้แหละ...ก็มีสัมมาสมาธิได้...นี้มันเป็นมรรคนะ..มรรคคือหนทางในการปฏิบัติ...ไม่ใช่ผล...ผลคือ..นิโรธ..จ้า.. :b12:


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 08 มี.ค. 2011, 20:39, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มี.ค. 2011, 20:36 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ไร้นา เขียน:
การจะกล่าวขานเรื่องใดควรพิจารณา ว่าเราบริสุทธิ์ ทั้ง กาย วาจา ใจ แล้วหรือ เป็นสำคัญ เพราะว่า บริสุทธิ์ เป็นด่านแรก ที่บอกตัวมันเองอยู่แล้ว หากไม่เป็นตามนี้ ควรพิจารณาถึงโทษแก่ตนและผู้อื่น ให้มาก

การจะกล่าวเพื่อถาม-ตอบปัญญาธรรม เป็นเรื่องที่ดี แต่จงพิจารณาถึงผลได้-เสีย เพราะว่ามนุษย์มีสติปัญญาแยกแยะไม่เท่ากัน เขาอาจเข้าใจคลาดเคลื่อนจากที่เป็นจริง ได้


แหม่ม...ชั่งนุ่มนวลชวนฟังเสียกระไร.. :b8: :b8: :b8:

ไอ้เราเป็นกบเน๊าะ...เลยกระโด่กกระเด่ก.. :b34: :b34: :b34:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มี.ค. 2011, 22:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมชาติเป็นไปตามเหตุปัจจัย เหตุตรงตรงผลไม่มีบิดเบี้ยว ทำเหตุอะไรไว้ก็จะได้ผลเช่นนั้น ไปคิดเองเออเองไม่ได้ ความจริงเป็นเช่นไรก็เป็นเช่นนั้น รู้ไม่รู้ เข้าใจไม่เข้าใจ ถ้าไปทำเหตุให้ลงนรก ก็คือได้ไปนรกสถานเดียว เอาข้ออ้างอะไรมาแก้ตัวก็ไม่ได้ ... บอกความจริงให้ฟัง ไม่ได้บอกให้เชื่อ

จิตที่มีเจตสิกธรรม ๓ ดวงประกบ ได้แก่ โลภะ โทสะ โมหะ หรือ ความพอใจ ไม่พอใจ และความหลง เป็นอกุศล หรือ บาป คนที่พยายามทำจิตให้นิ่งด้วยการอาการข่ม เกิดเอคทัตตา อุเบกขา แต่มีโละภะเจือ ก็เหมือนการได้กินอาหารชั้นเลิศปนยาพิษ

ความเห็นผิด ดับเมื่อมีดวงตาเห็นธรรม โทสะดับสิ้นเมื่อได้อนาคามี นอกจากนั้น จะดับได้เมื่อบรรลุอรหันต์ ปุถุชนคนธรรมดา คิดจะเอาขนะ โลภะ โมหะ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย อริยะที่ไม่ถึงอรหันต์ยังทำไม่ได้ ถึงจะเพียงแค่ชั่วอึดใจเดียว ก็ยังยากยิ่งกว่ายาก พวกอยากได้สมาธิ ถึงต้องหนีสังสมไปหาที่สงบ .. ไม่เห็นรถ ก็ไม่อยากได้รถ พอใจคิดไปก็ข่มเอา ฯ ... ต้องข่มสุดชีวิต จนโลภะ โทสะ โมหะ ไม่เกิด ฌานจึงจะเกิดตามมาได้ ผิดกับอริยะบุคคล นิ่งหน่อยก็เป็นสมาธิได้ เพราะ โลภะ โทสะ โมหะ เบาบางเป็นปกติ แต่ไม่ได้บวช ก็ไม่มีอริยบุคคลที่ใหนไปทำสมาธิให้เสียเวลา เพราะรู้แล้วว่า แม้นปัญญาในสมาธิก็ไม่เที่ยงฯ เอามาเป็นแก่นสารไม่ได้

สัมมา คือ ประกอบด้วย วิชชา หรือ ประกอบด้วยปัญญาอันชอบ ความเห็นที่ประกอบด้วยความรู้ที่ดับทุกข์ได้ คือ เห็นว่า ธรรมชาติมันไม่เที่ยงฯ ความเห็นแบบนี้ พาดับชาติดับภพได้ เมื่อเกิดความเห็นว่า อะไรๆ มันไม่เที่ยง องค์ธรรมในมรรค ๘ อื่นๆ ก็จะเกิดตามมาเองตามเหตุปัจจัย ที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ ดังนี้

Quote Tipitaka:
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ส่วนวิชชา เป็นหัวหน้าในการยังกุศลธรรมให้ถึงพร้อม เกิดร่วมกับความละอายบาป ความสะดุ้งกลัวบาป ความเห็นชอบย่อมเกิดมีแก่ผู้รู้แจ้ง ประกอบด้วยวิชชา ความดำริชอบย่อมเกิดมีแก่ผู้มีความเห็นชอบ เจรจาชอบย่อมเกิดมีแก่ผู้มีความดำริชอบการงานชอบย่อมเกิดมีแก่ผู้เจรจาชอบ การเลี้ยงชีพชอบย่อมเกิดมีแก่ผู้ทำการงานชอบ พยายามชอบย่อมเกิดมีแก่ผู้เลี้ยงชีพชอบ ระลึกชอบย่อมเกิดมีแก่ผู้พยายามชอบ ตั้งใจชอบย่อมเกิดมีแก่ผู้ระลึกชอบ แล


ผู้ที่รู้แจ้งคือรู้จักธรรมชาติตามความเป็นจริง เป็นปัญญาสัมมาทิฐิที่เกิดจากการสดับรับฟังแต่บุคคลอื่นจนเกิดมีดวงตาเห็นธรรม นับแต่วินาทีนั้น ผู้นั้นก็ได้ชื่อว่ารู้แล้ว ตื่นแล้ว เป็นสาวกของพระศาสดา เป็นชาวพุทธ นอกจากนั้นยังไม่ถือว่าเป็นพุทธ

เพราะฉะนั้น ความตั้งมั่นชอบ คือ มีจิตใจมั่นคงว่า อะไรๆ มันก็ไม่เที่ยง หรือ เป็นไปตามความเห็นที่ว่า ธรรมชาติมันไม่เที่ยง ฯ เท่านั้นเอง ไม่ได้ให้ไปนั่งซื้อบื้อหลบทุกข์อยู่ข้างหลังความสงบเหมือนคนขี้ขลาด ...

สัมมาสมาธิในมรรค ๘ ที่ถูกแปลว่า เป็นฌาน ไม่มีในพระไตรปิฏก มีแต่การพูดถึงสมาธิของพระอริยะ ที่เป็นผลมาจากการที่บุคคลมีมรรค ๘ บริบูรณ์ จนเกิดการไม่ปรุงแต่งไม่ยึดติด (อุปธิวิเวก) จิตก็สงบเป็นสมาธิ ฯ สมาธิแบบนี้จะทำให้เกิดธรรมเอกผุดขึ้น คือ เกิดปัญญาในสมาธิ เป็นความรอบรู้ ไม่ได้เอามาดับทุกข์ได้ เช่น ระลึกชาติ เป็นต้น

คนที่เห็นอะไรๆ ว่าไม่เที่ยง รู้เห็นอะไรก็รู้จักพิจารณาว่ามันไม่เที่ยง เท่านี้แหละ ที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า กำลังเดินตามมรรค หรือปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ อยู่ นอกจากนั้น เป็นมิจฉามรรค ไปทำเหตุไม่ตรงผลที่ต้องการ

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มี.ค. 2011, 19:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ทักษา เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
:b12: ผมว่า...คนข้างบน..ยังไม่ชัวร์..เท่าคนข้างล่างนี้นะ..


หมายถึงใครอ่ะ คนข้างบน :b10: หมายถึงผมหรือเปล่า เพราะผมอยู่บนสุด
.....
:b9: :b9: :b6: :b6: :b6:

ชะอุ้ยย....ขออภัย..ทำให้เข้าใจผิด :b9: :b9:

อ้างคำพูด:
Supareak Mulpong เขียน:

มรรค ๘ พระพุทธองค์เรียงตามเหตุปัจจัย ตามลำดับการเกิด คือ ความเห็น ความคิด การพูด การกระทำ การดำรงค์ชีพ ความพยายาม การระลึก ความตั้งมั่น ก็ไปแก้ เอาความเห็น ความคิด ไปต่อท้ายความตั้งใจมั่น แล้วแปลความตั่งใจมั่นว่า สมาธิขั้นแน่วแน่ ให้เป็น ศีล สมาธิ ปัญญา ตามคำสอนในอรรถกถาให้ได้ ... เท่าที่ดู พวกนี้ ไม่พ้นมหานรกไปได้ซักชีวิตเดียว


ผมว่า...คนข้างบน..ยังไม่ชัวร์..เท่าคนข้างล่างนี้นะ..

คนที่คิดว่า...

สมาธิที่ทำกันตามบ็านตามวัดตอนนี้ ไม่ได้ต่างอะไรกับคนนั่งตกปลา เกิดความพอใจในความสงบ เป็นอุเบกขาที่มีโละภะ จิตดวงนี้เป็นอกุศล หรือ เป็นบาป ... แปลว่า คนทำสมาธิบำเพ็ญเหตุที่ทำให้ตัวเองตกนรกอย่างสมัครใจ

อันนี้ใกล้นรกกว่า...


(คนข้างบน...คนที่แปลความตั้งมั่นว่า..สมาธิขั้นแน่วแน่..นะครับ)

(คนข้างล่าง...คนที่ว่าทำสมาธิบำเพ็ญเหตุที่ทำให้ตัวเองตกนรกอย่างสมัครใจ...นะครับ)

สะมาเต้อะจ้าว.. smiley smiley บ่ได๋ตั้งจั้ย :b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มี.ค. 2011, 21:08 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
.... ผิดกับอริยะบุคคล นิ่งหน่อยก็เป็นสมาธิได้ เพราะ โลภะ โทสะ โมหะ เบาบางเป็นปกติ แต่ไม่ได้บวช ก็ไม่มีอริยบุคคลที่ใหนไปทำสมาธิให้เสียเวลา เพราะรู้แล้วว่า แม้นปัญญาในสมาธิก็ไม่เที่ยงฯ เอามาเป็นแก่นสารไม่ได้


ดูท่าคุณ ซุปฯ...จะเกลียดสมาธิจนเกินเหตุ...เพราะรู้ไม่จริงโดยแท้

ต้องเป็นอริยะก่อนรึ..ถึงจะทำสมาธิได้..นะหึ

ถามหน่อย..อริยะ..มาจากไหน?...ก็มาจากปุถุชน

ปุถุชน...อยู่อย่างโลก..เห็นอย่างโลก..ก็เป็นปุถุชน
ปุถุชน...เริ่มจะเห็นทุกข์..แล้วก็อยากออกจากทุกข์...นี้มันเริ่มมีสัมมาทิฐิแล้ว...แต่ก็ยังเป็นปุถุชนอยู่...ตราบใดที่ยังละสังโยชน์ 3 ข้อแรกไม่ได้...ก็ยังเป็นปุถุชนแต่เริ่มคิดจะออกจากทุกข์แล้ว..สัมมามันเริ่มมีแล้ว...

แต่การฝึกสมาธิ....เป็นการเตรียมความพร้อม...สมาธิไม่ได้มีแต่นั่งนิ่ง ๆ เด้อท่านซุปฯ...ฝึกละนิวรณ์...เมื่อถึงอารมณ์ที่นิวรณ์ไม่มากวนได้..นี้นะ..มันก็เริ่มจะรู้จักความสงบ...ความสุขแบบที่จิตไม่เคยเจอมาก่อน...บางคนจึงมีกำลังใจเดินทางในสายเพื่อการพ้นทุกข์ต่อไป...บางคนจะหลงนั่งพักผ่อนหย่อนใจนิดหน่อยในสุขแบบนี้บาง..ก็ไม่เสียหายอะไรนี้...ครูบาอาจารย์ท่านก็บอกแล้วว่า...มันติดกันทุกคนที่ได้พบมันนะ...ออกเร็วบ้าง..ออกช้าบ้าง..ก็เป็นไปตามจริตนิสัยบุญพาวาสนาส่ง...แต่ถึงจะเร็วจะช้ายังงัยมันก็ต้องออกกันทุกคนนั้นแหละ....อย่าลืมว่า..ไม่มีอะไรในโลกนี้จะเที่ยงนะ...อัตตภาพก็ไม่ได้มีอัตภาพนี้อัตตภาพเดียวนี้นา..

(บางคนบางจริต..เมื่อพบกับความสงบแล้ว...มันถึงจะลงใจเชื่อว่า..พระธรรมที่พระพุทธองค์สอนนั้นมีจริง...ความลังเลสงสัยในพระพุทธ..พระธรรม..ก็เลยไม่มี..ก็เท่ากับว่า...วิจิกิจฉา..ไม่มีในพระพุทธ..พระธรรม..พระสงฆ์..ละสังโยชน์ข้อที่2 ได้นี้นะ..ของน้อยซะเมื่อไร...จริงอยู่..ไม่ได้ละด้วยสมาธิ..แต่สมาธิทำให้เห็นธรรมะ...แล้วปัญญาก็ทำงานต่อ..คือตัดสินใจว่า..ใช่..แค่นั้นเอง

แต่บางคนไม่ต้องเจอความสงบแบบนี้..แต่ก็ใช้ปัญญาเชื่อในธรรมะ..ก็ละวิจิกิจฉาได้เหมือนกัน)

อย่าไปซีเรียส..จนถึงขนาดไปว่า..พวกนี้ตกนรกกันทุกคน...เลยท่านซุปฯ...ความเห็นที่ท่านเห็นต่างหาก...มันเส้นผมบังภูของเรา...มันเหมือนติดอะไรนิด ๆ นะ...สวดมนต์แล้วก็ขอขมาพระรัตนตรัยทุกครั้งด้วย..จะดี

อ้างคำพูด:
สัมมา คือ ประกอบด้วย วิชชา หรือ ประกอบด้วยปัญญาอันชอบ ความเห็นที่ประกอบด้วยความรู้ที่ดับทุกข์ได้ คือ เห็นว่า ธรรมชาติมันไม่เที่ยงฯ ความเห็นแบบนี้ พาดับชาติดับภพได้ เมื่อเกิดความเห็นว่า อะไรๆ มันไม่เที่ยง องค์ธรรมในมรรค ๘ อื่นๆ ก็จะเกิดตามมาเองตามเหตุปัจจัย ที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ ดังนี้

ปุถุชน..ก็มีปัญญา...แต่ย่อมไม่ใช่ปัญญาแบบโสดา
โสดา..ก็ต้องมีปัญญาของโสดา...แต่ย่อมไม่ใช่ปัญญาแบบสกทาคามี
สกทาคามี..ก็ต้องมีปัญญาของสกทาคามี...แต่ย่อมไม่ใช่ปัญญาแบบอนาคามี
อนาคามี..ก็ต้องมีปัญญาของอนาคามี...แต่ย่อมไม่ใช่ปัญญาแบบอรหันต์

ปัญญา..มันก็มีหยาบมีละเอียด...สัมมาในแต่ละระดับก็หยาบละเอียดไม่เหมือนกัน..

ปัญญาของปุถุชนที่เห็นทุกข์จนเกิดสัมมาทิฐิ...นี้ก็ปัญญา..นี้ก็สัมมา...แต่มันไม่ใช่ในระดับอรหันต์

แต่ก็เห็นด้วย...ที่ต้องมีทิฐิเป็นสัมมาซะก่อน...คือเห็นทุกข์..เห็นเหตุทำให้ทุกข์..แล้วก็อยากออกจากทุกข์...การฝึกสมาธิจึงจะมีหลักหรือธงอยู่ในทิศทางที่ถูกต้อง...สมาธิก็เป็นสมาธิแบบสัมมาไปโดยอัตโนมัต

อ้างคำพูด:
ผู้ที่รู้แจ้งคือรู้จักธรรมชาติตามความเป็นจริง เป็นปัญญาสัมมาทิฐิที่เกิดจากการสดับรับฟังแต่บุคคลอื่นจนเกิดมีดวงตาเห็นธรรม นับแต่วินาทีนั้น ผู้นั้นก็ได้ชื่อว่ารู้แล้ว ตื่นแล้ว เป็นสาวกของพระศาสดา เป็นชาวพุทธ นอกจากนั้นยังไม่ถือว่าเป็นพุทธ

เพราะฉะนั้น ความตั้งมั่นชอบ คือ มีจิตใจมั่นคงว่า อะไรๆ มันก็ไม่เที่ยง หรือ เป็นไปตามความเห็นที่ว่า ธรรมชาติมันไม่เที่ยง ฯ เท่านั้นเอง ไม่ได้ให้ไปนั่งซื้อบื้อหลบทุกข์อยู่ข้างหลังความสงบเหมือนคนขี้ขลาด ...


การสดับรับฟัง..ธรรมดาไม่คิดพิจารณาตาม..มันก็ไม่ได้อะไร...แต่การคิดตาม..เห็นตามขณะที่ฟังธรรมแบบไม่ขาดสาย..ไม่ได้ไปคิดเรื่องอื่นอยู่นั้น...นี้แหละสมาธิแล้ว...

บางคนจะหลบทุกข์ก่อนแล้ว...ออกมาใช้ปัญญาทีหลัง..หลังจากมีแรงแล้ว...ก็ไม่แปลกอะไร..ไม่ถึงขั้นจะเรียกเขาว่าซื่อบื้อ..หรอกมั้ง???

สงสัย..คุณซุปฯ..ชอบเที่ยวว่าใครซื่อบื้อนี้ละมั้ง...เส้นผมถึงยังบังภูเขาอยู่..ไม่หายซะที...

ทำให้นึกถึงใครรู้มั้ย????
ผมนึกถึง..อดีตชาติของท่านจุฬบันถก..นะครับ

อ้างคำพูด:
สัมมาสมาธิในมรรค ๘ ที่ถูกแปลว่า เป็นฌาน ไม่มีในพระไตรปิฏก มีแต่การพูดถึงสมาธิของพระอริยะ

ดูตอนพระพุทธเจ้าจะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน..ซิ...
พระอนุรุท..บอกได้หมดเลยว่า...ตอนนี้ตอนนั้นจิตพระพุทธองค์อยู่ที่ไหนบ้าง..
ทั้งณานทั้งญาณ...มีในนั้นหมดแหละ :b12: :b12:

อ้างคำพูด:
คนที่เห็นอะไรๆ ว่าไม่เที่ยง รู้เห็นอะไรก็รู้จักพิจารณาว่ามันไม่เที่ยง เท่านี้แหละ ที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า กำลังเดินตามมรรค หรือปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ อยู่ นอกจากนั้น เป็นมิจฉามรรค ไปทำเหตุไม่ตรงผลที่ต้องการ
[/quote]
คนที่เที่ยวพูด...เรื่องนั้นเรื่องนี้..แถมใส่ร้ายไปทั่ว..ทั้ง ๆ ที่ตัวเองไม่รู้..จริง...พวกนี้ก็เดินนอกทางมรรค..เหมือนกัน...

อย่าคิดว่า..เห็นอะไรไม่เที่ยงแล้ว...เท้าจะอยู่บนทางมรรค..ครบไปหมด..นะจ๊ะ..สังวรระวังให้มาก ๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มี.ค. 2011, 23:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


ที่พยายามจะบอกนี่แหละครับว่า การไปนั่งสมาธิ ไม่ใช่เหตุปัจจัยให้สาวกอย่างพวกเรารู้เห็นความจริงของโลกและชีวิตได้ สมาธิที่เรามีประกอบกับการใช้ชีวิต (ขณิกะสมาธิ) หรือความตั้งใจธรรมดาๆ นี่แหละ เอาไปวิปัสสนาได้เลย ถ้าไปนั่งสมาธิ ก็คือ ไม่ได้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม หรือปฏิบัติผิดเหตุปัจจัย ผลมันก็ออกมาผิด คือ ดับทุกข์ไม่ได้ ได้แต่หลบทุกข์ชั่วคราวเท่านั้น

คำสอนแบบนี้หายไป เพราะพระไตรปิฏกถูกทิ้งมาพันกว่าปีแล้ว ไม่มีใครสนใจ เลยมีแต่คำสอนที่ผิดๆ ถูกๆ ปนกันมาถึงปัจจุบัน ... ผู้ที่ปฏิบัติจนบรรลุอริยะบุคคล ก็เลยไม่มีมาพันกว่าปีเหมือนกัน โสดาปัตติมรรคก็ยังไม่มี เพราะความจริงเรื่องวิธีการดับทุกข์ ผิดนิดเดียวก็จะกลายเป็นหลบทุกข์ทันที

หลังจากที่พระพุทธองค์ดับขันธ์ฯ ยังไม่พบว่า คนที่ติดในสมาธิแล้วได้มรรคผลนิพพานเลย ส่วนทำสมาธิแล้วลงนรก ตายไปท่านก็รู้เองเห็นเอง แล้วอย่ามาว่าไม่มีใครบอก

ปัญญาที่มองเห็นไตรลักษณ์ ไม่ได้มาจากการนั่งสมาธิ สมาธิคือความสงบของจิต ได้มาจากการไปบังคับให้จิตรับรู้อารมณ์เดียว คือ ไปบังคับให้จิตไม่คิดไม่รู้อะไร สาวกได้ปัญญามาจากการได้รับฟังความจริงของโลกและชีวิตอย่างเดียว ไม่มีทางอื่น ในธรรมวินัยบันทึกมาไว้อย่างนี้ และมันก็เป็นไปตามนี้ ไม่มีเป็นประการอื่น เพราะพระไตรปิฏกบันทึกแต่ความจริง

สัมมาก็คือตัวปัญญา ต้องมีปัญญาก่อน แล้วถึงจะเกิดเป็นสัมมาสมาธิได้

ปัญญาของอริยะบุคคลเหมือนกัน เพราะเห็นความจริงเหมือนกัน ต่างกันตรงอินทรีย์ของปัญญาว่ามีมากน้อยต่างกันแค่ใหน ... คนที่ได้บรรลุเป็นอริยะ ถือว่าได้ตายจากความเป็นคนไปแล้ว ไปเกิดใหม่ในโคตรอริยะ

พระพุทธองค์ไม่ให้อริยะบุคคลที่ไม่ได้บวชทำสมาธิ เพราะจะไปติดสมาธิ จะทำให้ไปเกิดเป็นพรหม ไม่สามารถดับชาติภพได้ ถ้าไปค้างอยู่สุทธาวาส อายุเป็นมหากัป ถ้าไปติดที่แค่ปฐมฌานไม่พัฒนาต่อเป็นอรหันต์ก็จะได้ไปเกิดเป็นเทพ อายุก็เป็นกัปเหมือนกัน ฯ แต่ถ้าได้บวช สมาธิของพระอริยะจะทำให้บรรลุอรหันต์เร็วขึ้น ส่วนมากไม่กี่เดือนก็ได้อรหันตผล สมาธิจึงเป็นเรื่องของพระอริยะ ฆราวาสที่เป็นอริยบุคคลก็ไม่มีใครไปทำสมาธิ พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า เป็นฆราวาสคับแคบ มีกิจมาก มีธุระมาก จะปฏิบัติธรรมให้บรรลุเพียงส่วนเดียวนั้นยากเหมือนหอยสังข์ที่เขาเอามาขัดให้เรียบ

ผมก็เคยนั่งสมาธิ ตอนที่ยังไม่มีปัญญา พอรู้แล้วเห็นแล้ว ก็เลิก ใครยังไม่มีปัญญาก็นั่งต่อไป ... ถ้าไม่ศึกษาให้รู้ความจริง เอาความเห็นไปจับ คิดไปว่า มันจะเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ ไม่ได้รู้เห็นตามความเป็นจริงที่แท้จริง ก็ได้แต่หลงทางเท่านั้น ... ความจริงมีไว้ให้เรียนรู้ได้อย่างเดียว ไม่ได้มีให้วิพากษ์วิจารณ์ เพราะการวิวิจารณ์เป็นเพียงความเห็น ความเห็นเอาไปแก้ความจริงไม่ได้ ... ไฟมันร้อน เราเผลอไปจับเพราะเห็นว่ามันไม่น่าจะร้อนมาก ก็ต้องโดนไฟลวกเป็นแผลพุพอง เป็นอื่นไปไม่ได้ ธรรมชาติมันก็เป็นเช่นนี้

พวกที่ตั้งหน้าตั้งตาทำสมาธิ จึงไปเป็นสาวกของศาสนาพราหมณ์โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว แล้วถ้ายังไปทำสมาธิผิดอีก ก็ดิ่งลงนรกสถานเดียว ... บาปมหันต์จะเกิดตอนไปบอกใครๆ ว่า นี่เป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อดับทุกข์ ...

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 264 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 18  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร