วันเวลาปัจจุบัน 20 มิ.ย. 2025, 20:35  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 23 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2010, 18:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 11:59
โพสต์: 105

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทุกข์..ควรกำหนดรู้

สมุทัย...ควรละ

นิโรธ...ควรทำให้แจ้ง

มรรค...ควรที่จะเจริญ


รู้ทุกข์ รู้วิธีทำทุกข์ให้ดับ
แต่การปฏิบัติอาจจะยังไม่ถึงที่สุด อาจจะยังไม่ครบรอบบริบูรณ์
จึงทำให้รู้สึกว่าทุกข์เป็นสิ่งที่แก้ไขได้ยาก :b45:

พระพุทธองค์ทรงบอกเอาไว้ว่า
มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น
มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป

เพราะการเกิดทุกครั้ง เป็นทุกข์ทุกครั้ง
เมื่อมีเกิด ย่อมมีดับตามมา
ไม่มีสิ่งใดที่เกิดขึ้นแล้วไม่ดับ
ทุกข์จึงเป็นสิ่งที่ควรกำหนดรู้
เหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ เป็นสิ่งที่ควรละ เป็นสิ่งควรกำจัดทิ้งลงไป

เหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ คือตัณหา คือความอยาก คือความเพลินกำหนัดยินดี
ช่องทางที่ทำให้เกิดตัณหาได้มีอยู่๖ช่องทาง
คือ ตา หู จมูฏ ลิ้น กาย ใจ
การสำรวมระวัง ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ จึงต้องมีอยู่ตลอดเวลา :b41:


สัญโญชน์มีตั้ง๑๐ข้อ
ทุกข์ ทุกข้อ
เพียงแค่รู้ว่ากายและใจนี้ไม่ใช่อัตตาตัวตนได้แล้ว ใช่ว่าทุกข์จะเหือดแห้งหายไปทั้งหมดเลยเสียเมื่อไร
สักกายะทิฏฐิ ข้ามได้แล้ว ส่วนราคะ โทสะ มานะ ใช่ว่าจะถูกทำลายไปด้วยทันที.

ความไม่ประมาทในสังขารทั้งหลาย จึงเป็นพระวาจาในครั้งสุดท้าย
ตราบใดที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ยังมีอยู่ ทุกข์ ก็จะยังคงมีอยู่

ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ...เป็นของไม่เที่ยง
สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์

สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นไม่สมควรยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเรา ว่าเป็นตัวตนของเรา. :b45:

ทุกข์...กำหนดรู้
สมุทัย...เป็นสิ่งที่ควรละ ควรสลัดทิ้ง

ความยึดมั่นถือมั่น กำหนัดยินดี คือสิ่งที่ควรละ คือสิ่งที่ควรสลัดทิ้งลงไปเสีย. :b45:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2010, 19:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นิดหนึ่ง เขียน:
จันทร์เจ้าขา เขียน:
เป็นทุกข์ก็รู้ว่าทุกข์ วิธีแก้ทุกข์ก็รู้ แต่ทำไมแก้ไม่ได้สักทีนะ หรือว่าไม่รู้จักทุกข์จริงๆ ทุกข์นี้แก้ยากสุดๆ เลยหรือค่ะ :b7: :b10:

แก้ไม่ยากหรอกค่ะ ถ้ามีปัญญาและอยากแก้ทุกข์จริงๆ เพียงแต่คนเรามองเห็นแต่ทุกข์ หาเหตุของทุกข์ไม่ค่อยเจอ เลยแก้ไม่ค่อยถูกจุด ผู้มีปัญญาท่านเห็นเหตุของทุกข์เลยดับเหตุเสีย ทุกข์ท่านก็คลาย เราอยากพ้นทุกข์แต่ปาก ใจไม่ค่อยเอาด้วย เพราะติดใจหลงใหลในกามคุณห้า มานานชั่วนาตาปีหลายกัปป์หลายกัลป์ ยากที่จะถอนตัวไปง่ายๆ เลยกลายเป็นทุกข์นั้นแก้ยากมาก แก้ยากสุดๆ :b16:

:b8:

เห็นด้วยกับคุณนิดหนึ่งครับ :b1: :b48: :b46:

เหตุที่เรามักจะเห็นว่า ทุกข์นี้แก้ยาก เนื่องมาจากว่า จิตเจ้ากรรมไม่ค่อยยอมปล่อยเหตุแห่งทุกข์ จมแช่อยู่กับตัณหาคือความทะยานอยากต่างๆ (อยากได้ อยากมี อยากให้คงอยู่ อยากให้สูญสลาย – กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา) ซึ่งความอยากทั้งหลายนั้น เป็นความอยากที่ฝืนขวางกระแสซึ่งเป็นลักษณะสามัญของธรรมชาติ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เลยทำให้เกิดทุกข์เมื่อไม่เป็นไปตามอยาก :b2:

ดังนั้น เมื่อจิตยังอยาก คือยังจับเหตุแห่งทุกข์ไว้ไม่ยอมปล่อย อาจจะเนื่องด้วยโมหะทำให้ไม่เห็นในเหตุแห่งทุกข์นั้น หรือเห็นเหตุแล้วแต่จิตไม่ตั้งมั่นพอที่จะเป็นเพียงผู้รู้ผู้ดู แต่ทำตัวเป็นผู้จมแช่ - ผู้ถูกกระทำ ทุกข์ก็ไม่ดับให้เห็น จึงมีความรู้สึกว่า ทุกข์นั้นแก้ยากจริงหนอ :b5:

พระพุทธเจ้าท่านตรัสอริยสัจ ๔ ไว้เป็นหนทางของการพ้นทุกข์ (คนละคำกับคำว่า แก้ทุกข์ หรือแก้กรรมนะครับ ซึ่งทั้งทุกข์และ (วิบาก) กรรม เป็นส่วนของผล ไม่สามารถแก้ไขได้ แต่ปฏิบัติให้ “พ้น” ได้) โดยแบ่งเป็น ๒ คู่ ซึ่งเหมือนกับเป็นคนละด้านของเหรียญเดียวกัน ได้แก่ ทุกข์ & เหตุแห่งทุกข์คู่หนึ่ง และ สุข & เหตุแห่งสุข อีกคู่หนึ่ง โดยมีกิจที่ควรทำ ตามที่หลายท่าน post มา นั่นคือ :b46: :b53:

ทุกข์ ให้ รู้ (ปริญญกิจ)
เหตุแห่งทุกข์ (สมุทัย) ให้ ละ (ปหานกิจ)
สุข (นิโรธ) ให้ แจ้ง (สัจฉิกิริยากิจ )
เหตุแห่งสุข (มรรค) ให้ เจริญ (ภาวนากิจ)

ซึ่งในภาคปฏิบัติ เราไม่สามารถทำอะไรได้กับตัวผล (นั่นคือ ทุกข์ และสุข (นิโรธ)) แต่เราต้องไปทำที่ตัว เหตุ (นั่นคือ สมุทัย และมรรค) ซึ่งที่ว่า เหมือนกับคนละด้านของเหรียญเดียวกันก็คือ การละเหตุแห่งทุกข์ ก็คือ การเจริญเหตุแห่งสุข หรืออีกนัยหนึ่ง การเจริญเหตุแห่งสุข ก็คือ การละเหตุแห่งทุกข์ ซึ่งจะทำให้เกิดผลคือ ทุกข์ลด ในขณะที่ สุขเพิ่ม เหมือนกับพลิกเหรียญอันหนึ่ง การบิดหน้าหนึ่งให้หายไป ก็เหมือนกับการบิดอีกหน้าหนึ่งให้ออกมา (เหตุ) สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ด้านหนึ่งค่อยๆหายไป อีกด้านหนึ่งค่อยๆปรากฏออกมา (ผล) :b1: :b16: :b51: :b46: :b41:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2010, 19:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เพิ่มเติมตัวอย่างสักเล็กน้อยเพื่อให้เห็นได้ง่ายขึ้นในทางปฏิบัตินะครับ :b16: :b48: :b46:

(ขออนุญาตใช้ post เดิมในกระทู้เกี่ยวกับความทุกข์ที่เกิดจากการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก มา reuse นะครับ (เพื่อเป็นการอนุรักษ์พลังงานในการเรียบเรียงคำและพิมพ์ใหม่) ซึ่งผมลองปฏิบัติด้วยวิธีนี้กับทุกความทุกข์ที่เกิดขึ้น ตามที่พระพุทธเจ้าท่านทรงสอนไว้แล้วเห็นถึงความอัศจรรย์ของคำสอนของพระองค์จริงๆ)

กระทู้ : ขอวิธีทำใจ เมื่อแฟนตายหน่อยค่ะ

ก่อนอื่น ขอแสดงความเสียใจด้วยครับ :b8:

ทุกท่านในลานฯ (รวมทั้งผมเองด้วยครับ) ผ่านการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักด้วยกันทั้งนั้นนะครับ :b2:

การสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก หรือแม้กระทั่งความทุกข์เนื่องมาจากสาเหตุอื่นใดก็ตามนั้น ถือเป็นสภาวะบีบคั้น (ทุกขัง) ที่มาจากการกระทบภายนอก ซึ่งมีเหตุปัจจัย และกระบวนการเกิดต่างกันไปในแต่ละคน แต่ละเคส :b53: :b48: :b46:

แต่เมื่อการกระทบภายนอกนั้น กระแทกเข้ามาจนเกิดทุกข์ภายในแล้ว (ทุกขทุกข์) ต่างมีเหตุปัจจัย และกระบวนการเกิด เหมือนกันหมดทุกคน (ปฏิจสมุปบาท) :b46: :b48:

ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่สอนให้เราเข้มแข็งและแก้ไขทุกข์ด้วยปัญญานะครับ พระพุทธเจ้าถึงทรงสอนไว้ว่า กิจที่ควรปฏิบัติในทุกข์นั้นคือ ให้รู้เข้าไปตรงๆ (ทุกข์ให้รู้) ไม่ใช่ให้หนีหรือละ แต่สิ่งที่ควรละคือ เหตุแห่งทุกข์ (สมุทัยให้ละ) โดยวิธีที่จะใช้ละเหตุ ก็คือมรรค (มรรคให้เจริญ) แล้วเมื่อทุกข์หมดเหตุ ทุกข์จะดับให้เห็นเอง แล้วความเบิกบานเนื่องมาจากทุกข์ดับ จะตามมา (นิโรธให้แจ้ง) :b46: :b47: :b48: :b41:

ถ้าจะขยายความให้ละเอียดขึ้นสักหน่อย ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเป็นทุกข์เนื่องจากการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไป :b2:

1) ให้ใช้สติและสมาธิที่ตั้งมั่น (มรรคให้เจริญ)

2) ดูตรงๆเข้าไปที่สภาวะทุกข์ คือความคร่ำครวญ สะอื้นร่ำไห้ แน่นในหัวอก (ทุกข์ให้รู้)

3) โดยไม่วกเข้าไปดูเหตุที่ทำให้ทุกข์ คือ อย่าไปจดจ่ออยู่กับภาพความทรงจำเก่าๆที่ผุดขึ้นมา (สมุทัยให้ละ)

4) ถ้ามีสติและสมาธิที่ตั้งมั่นจดจ่อต่อเนื่อง ตามดูสภาวะแห่งทุกข์ได้นานพอที่จะไม่แว๊บไปคำนึงถึงเหตุ จะเห็นสภาวะทุกข์ คือความคร่ำครวญ สะอื้นร่ำไห้ แน่นในหัวอก ดับไปได้เองเพราะหมดเหตุตามลักษณะสามัญของเขา จิตจะเป็นกลาง เบิกบาน (นิโรธให้แจ้ง) ควรค่าแก่การใช้งานเพื่อคิดแก้ไขปัญหาที่มาจากภายนอกโดยไม่เจือไปด้วยกิเลสคือความอยากให้เขากลับมา (ภวตัณหา) ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความโศกเศร้า คร่ำครวญ ความหมดหวังท้อแท้เป็นทุกข์ (โลภะ + โทสะ + โมหะ) :b2:

หัดแรกๆอาจจะดูยากหน่อยนะครับ สภาวะที่จิตเป็นกลางและเบิกบานจะมาเพียงแวบเดียวแล้วหายไป เพราะจิตเจ้ากรรมชอบกลับไปจมแช่อยู่กับเหตุ คือยังไปจดจ่อครวญคร่ำอยู่กับภาพความทรงจำเก่าๆที่ผุดขึ้นมา มากกว่ามีสมาธิจดจ่อตามรู้แต่ในสภาวะทุกข์ ทำให้ทุกข์ไม่ดับให้เห็นเพราะเหตุไม่ดับ แถมยังจะทับถมทวีเพราะจิตไม่ยอมปล่อยเหตุ :b5: :b2:

มีความเพียรเจริญสติด้วยวิธีนี้ไปเรื่อยๆ (หลวงพ่อบางองค์ท่านบอกให้ดูเป็นหมื่น เป็นแสน เป็นล้านครั้งนะครับ ชาตินี้ดูไม่พอ ให้ตามไปดูต่อในชาติหน้า หรือเราเองในชาตินี้อาจจะดูมาในชาติก่อนๆสะสมแต้มเป็นแสนเป็นล้านครั้งแล้วก็ได้น๊ะ :b16: สะสมแต้มอีกนิดเดียวก็อาจจะหลุดพ้นได้ในชาตินี้ก็ได้ :b41: ) สุดท้าย เมื่อจิตรู้ในตัวสภาวะทุกข์ได้ไว ก็จะเห็นการดับได้ไว ระยะที่จิตจับทุกข์ก็จะสั้นลง ๆ จนกระทั่งจิตไม่เข้าไปจับกับสภาวะนั้นเองเพราะมีปัญญารู้ว่าเป็นของร้อนซะแล้ว

ปล. แต่ถ้าสถานการณ์ภายในใจของเรายังไม่เอื้อให้เจริญสติแก้ทุกข์ด้วยปัญญาได้ ก็ต้องออกไปตั้งหลักหาทางแก้ด้วยวิธีอื่นที่พระพุทธเจ้าทรงแนะนำด้วยเหมือนกันก่อนนะครับ เช่น ใช้วิธีกดข่มทำใจ หรือ หาทางทำใจให้สุขและสงบ (วิกขัมภนปหาน) ได้แก่ ทำบุญแผ่เมตตา สวดมนต์นั่งสมาธิ ออกไปเที่ยวเข้าวัดเข้าวา เลิกคิดถึงแต่ภาพเก่าๆให้ได้เสียก่อน จิตถึงจะมีกำลังตั้งมั่นไม่ไหลตามการปรุงแต่งพอที่จะทวนเข้ามาดูสภาวะตรงๆให้เกิดปัญญาที่รู้เท่าทันโลกธรรม (อ่านว่า "โลก - กระทำ" :b4: ) ทั้งหลาย และปัญญาที่จะแก้ไขปัญหาภายนอกได้ (สุขเป็นเหตุใกล้ให้เกิดสมาธิ + สมาธิเป็นเหตุใกล้ให้เกิดปัญญา) :b12:

เข้มแข็ง เข้มแข็ง :b4:

แล้วมันก็จะผ่านไป (อนิจจัง)

เจริญในธรรมครับ :b8:


แก้ไขล่าสุดโดย วิสุทธิปาละ เมื่อ 14 ก.ย. 2010, 00:09, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2010, 20:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


เวทนา 5 (การเสวยอารมณ์ — feeling)
1. สุข (ความสุข ความสบายทางกาย — bodily pleasure or happiness)
2. ทุกข์ (ความทุกข์ ความไม่สบาย เจ็บปวดทางกาย — bodily pain; discomfort)
3. โสมนัส (ความแช่มชื่นสบายใจ, สุขใจ — mental happiness; joy)
4. โทมนัส (ความเสียใจ, ทุกข์ใจ — mental pain; displeasure; grief)
5. อุเบกขา (ความรู้สึกเฉยๆ — indifference)



เมื่อใดมีความเกิด ย่อมมีแก่ ความเจ็บ และความตาย รับเวทนา 5 ข้างบน
จะหนีพ้น ก็เพียง ข้อ 4 คือ โทมนัส (หนีได้ด้วยการบรรลุอรหัตผล หรือสอุปาทิเสสนิพพานนั่นเอง)

เวทนา 5 (การเสวยอารมณ์ — feeling)
1. สุข (ความสุข ความสบายทางกาย — bodily pleasure or happiness)
2. ทุกข์ (ความทุกข์ ความไม่สบาย เจ็บปวดทางกาย — bodily pain; discomfort)
3. โสมนัส (ความแช่มชื่นสบายใจ, สุขใจ — mental happiness; joy)
4. โทมนัส (ความเสียใจ, ทุกข์ใจ — mental pain; displeasure; grief)
5. อุเบกขา (ความรู้สึกเฉยๆ — indifference)

แต่ถ้าจะ หนีเวทนา ให้ครบทั้ง 5 ข้อ ก็ต้อง เป็นผู้ไม่เกิดอีก
(หนีได้ด้วย อนุปาทิเสสนิพพาน)

อ้างคำพูด:
คัมภีร์พระไตรปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตกะกล่าวถึงนิพพาน 2 ประเภท คือ
สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ นิพพานธาตุยังมีอุปาทิเหลือ ยังเกี่ยวข้องกับเบญจขันธ์ กล่าวคือดับกิเลสแต่ยังมีเบญจขันธ์เหลือ
อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ นิพพานธาตุที่ไม่มีอุปาทิเหลือ หรือนิพพานที่ไม่เกี่ยวข้องกับเบญจขันธ์ กล่าวคือดับกิเลสไม่มีเบญจขันธ์เหลืออยู่อีก

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ย. 2010, 17:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ก.ย. 2010, 23:16
โพสต์: 77

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การแก้ทุกข์มันต้องแก้ที่การปฏิบัติจิตทุกข์ทั้งหลายมารวมอยู่ที่จิตที่ใจร่างกายธาตุขันธ์ที่ว่ามันเป็นทุกข์จริงๆแล้วร่างกายธาตุขันธ์มันไม่รู้เรื่องหรอกดูคนที่ตายสิมีทุกข์ไหมเอาไปนอนหรือไปไว้ที่ใหนเขาก็ไม่ว่าเพราะไม่มีจิตใจที่จะรับรู้รับทราบความสุขความทุกข์ต่างๆสิ่งที่จะแก้ไขก็คือแก้ที่ตัวจิตดวงรู้ๆนี่เองเพราะความยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของเราของเขามันอยู่ที่จิตดวงรู้ๆนี่เอง อริยะสัจจ์ ๔ ของจิต
จิต รู้เกิด-รู้ดับ เป็น สมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์
ผลที่เกิดจากจิตที่รู้เกิด รู้ดับ เป็น ทุกข์
จิต รู้ไม่เกิด ไม่ดับเป็น มรรค ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
ผลที่เกิดจากจิตที่รู้ไม่เกิด ไม่ดับ เป็น นิโรธความดับทุกข์
อริยะสัจจ์ ๔ ล้วนแล้วแต่เป็นอาการของจิตทั้งนั้น จิตที่พ้นจากอริสัจจ์ ๔ จึงไม่มีอาการของสมมติใดๆทั้งสิ้น การไปการมา การตั้งอยู่หรือการดับไปของจิตจึงไม่มี สิ่ง ต่างๆเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของสมมติทั้งสิ้น ที่กล่าวกันว่าจิตที่พ้นจากสมมติแล้วเป็นจิตดับความรู้ก็ดับไปด้วยนั้น เป็นความรู้ความเห็นของนักปฏิบัติธรรมประเภทสุ่มเดาต่อให้ด้นเดาเกาหมัดต่อไปอีกนับกัปป์นับกัลป์ไม่ถ้วนก็ไม่มีโอกาสพบพระนิพพานของจริง ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสเอาไว้ เพราะเกาไม่ถูกที่คันมันก็เลยไม่หายคัน จิตที่ถอดถอนกิเลสมีอวิชชา ตัณหา อุปปาทาน ออกไปจากจิตใจจนหมดสิ้นไม่มีเหลือนั่นแหละท่านเรียกว่านิโรธหรือนิพพานนั่นเอง หรือเรียกว่าจิตที่ผ่านการกลั่นกรองจากอริยะสัจจ์ ๔ นั่นเองท่านให้ชื่อให้นามว่า พระนิพพาน ความจริงแล้วจะเรียกว่าอย่างไรก็ไม่มีปัญหาสำหรับจิตที่พ้นแล้วจากสมมติโดยประการทั้งปวง จิตเป็นอกาลิโกตลอดอนันตกาลท่านเรียกว่าวิสุทธิจิต ดังที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสไว้ในปฐมพุทธะวะจะนะ ความว่า วิสังขาระคะตัง จิตตัง จิตของเราได้ถึงสภาพที่ สังขารไม่สามารถปรุ่งแต่งจิตได้อีกต่อไป ตัณหานัง ขะยะมัชฌะคาติ มันได้ถึงความสิ้นไปแห่งตัณหาคือถึงพระนิพพานนั่นเอง สิ่งใดก็ ตามขึ้นชื่อว่าสมมติย่อมตกอยู่ภายใต้กฏอะนิจจัง ทุกขัง อะนัตตา จิตที่อยู่ภายใต้ความเกิดและความดับจึงเป็นจิตที่อยู่กับสมมติของกิเลสดีๆนี่เอง จิตประเภทนี้ย่อมอยู่กับความเกิด-ความดับตลอดอนันตกาลเหมือนกัน เป็นจิตที่อยู่กับความเกิด-ความตายนั่นเอง แล้วจะเสกให้เป็นพระนิพพานได้ยังไง ? ผู้ที่ปัญญาเท่านั้นไม่ไว้วางใจกับจิตประเภทนี้ ยกเว้นพวกที่มีปัญญาอ่อนหรือปัญญาหน่อมแน้มไปหน่อยเท่านั้นเอง จิตที่พ้นจากสมมติจึงเป็นจิตที่บริสุทธิ์ล้วนๆเป็นวิสุทธิจิต พ้นจากกฏอะนิจจัง ทุกขัง อะนัตตา ตลอดอนันตกาล เมื่อถึงที่สุดของจิตแล้วมันไม่มีชื่อเรียกด้วยซ้ำไป ที่กล่าวกันว่า สิ่งสิ่งหนึ่งที่ไม่มีชื่อ ไม่มีฉายา ไม่มีการมา ไม่มีการไป ไม่มีการตั้งอยู่ และไม่มีการดับไป ไม่มีร่องรอยให้กล่าวถึง แต่มีอยู่จริง เห็นอยู่ รู้อยู่ มันเป็นสันติสุขที่รุ่งเรืองและเร้นลับและมีอยู่อย่างสมบูรณ์ภายในจิตใจของทุกๆคนอยู่แล้ว นั่นแหละท่านเรียกว่าที่สุดแห่งทุกข์หรือพระนิพพานนั่นเอง พระนิพพานมีอยู่ตลอดกาล(อะกาลิโก)ไม่เลือกกาลเวลา ปฏิบัติเวลาใหนเห็นเวลานั้นไม่เลือกกาลเวลาและสถานที่ ภิกษุทั้งหลาย อายตนะอันไม่เกิดแล้ว อันปัจจัยไม่ทำแล้วไม่แต่งแล้วมีอยู่(หมายถึงจิตหรือรู้ที่บริสุทธิ์ล้วนๆนั่นเองคืออายตนะนิพาน ) suthee


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ย. 2010, 19:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.ค. 2010, 17:05
โพสต์: 19

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คิดบวก ชีวิตบวก
โดย ท่าน ว.วชิรเมธี

เวลาเจองานหนัก ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือโอกาสในการเตรียมพร้อมสู่ความเป็นมืออาชีพ

เวลาเจอปัญหาซับซ้อน ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือบทเรียนที่จะสร้างปัญญาได้อย่างวิเศษ

เวลาเจอความทุกข์หนัก ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือแบบฝึกหัดที่จะช่วยให้เกิดทักษะในการดำเนินชีวิต

เวลาเจอนายจอมละเมียด ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือการฝึกตนให้เป็นคนสมบูรณ์แบบ (Perfectionist)

เวลาเจอคำตำหนิ ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือการชี้ขุมทรัพย์มหาสมบัติ

เวลาเจอคำนินทา ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือการสะท้อนว่าเรายังคงเป็นคนที่มีความหมาย

เวลาเจอความผิดหวัง ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือวิธีที่ธรรมชาติกำลังสร้างภูมิคุ้มกันให้กับชีวิต

เวลาเจอความป่วยไข้ ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือการเตือนให้เห็นคุณค่าของการรักษาสุขภาพให้ดี

เวลาเจอความพลัดพราก ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือบทเรียนของการรู้จักหยัดยืนด้วยขาตัวเอง

เวลาเจอแฟนทิ้ง ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือความเป็นอนิจจังที่ทุกชีวิตมีโอกาสพานพบ

เวลาเจอคนที่ใช่แต่เขามีคู่แล้ว ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือประจักษ์พยานว่าไม่มีใครได้ทุกอย่างดั่งใจหวัง

เวลาเจอคนกลิ้งกะล่อน ให้บอกตัวเองว่า
นี่คืออุทาหรณ์ของชีวิตที่ไม่น่าเจริญรอยตาม

เวลาเจอคนเลว ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือตัวอย่างของชีวิตที่ไม่พึงประสงค์

เวลาเจออุบัติเหตุ ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือคำเตือนว่าจงอย่าประมาทซ้ำอีกเป็นอันขาด

เวลาเจอศัตรูคอยกลั่นแกล้ง ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือบททดสอบที่ว่า "มารไม่มีบารมีไม่เกิด"

เวลาเจอวิกฤต ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือบทพิสูจน์สัจธรรม "ในวิกฤตย่อมมีโอกาส"

เวลาเจอความจน ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือวิธีที่ธรรมชาติเปิดโอกาสให้เราได้ต่อสู้ชีวิต

เวลาเจอความตาย ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือฉากสุดท้ายที่จะทำให้ชีวิตมีความสมบูรณ์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ย. 2010, 20:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2010, 07:51
โพสต์: 132

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผู้ปฏิบัติธรรมจริงๆ เขาไม่ได้ปฏิบัติเพื่อแก้ทุกข์ในอดีตหรือปัจจุบันนะครับ (เพราะไอ้ทุกข์ปัจจุบันตอนจะแก้มันก็เป็นอดีตไปแล้ว)
แต่เราหาวิธีไม่ให้ทุกข์ที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้นมาในอนาคตครับ

สุดท้ายก็คือ แนวทางแห่งมรรคมีองค์ 8 นั่นเองครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ย. 2010, 04:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


อดีตก็ไม่มี
อนาคตก็ไม่มี
มีแต่ปัจจุบัน

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 23 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร