วันเวลาปัจจุบัน 27 ก.ค. 2025, 18:29  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 40 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มี.ค. 2010, 12:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ม.ค. 2010, 11:43
โพสต์: 523

แนวปฏิบัติ: ดูปัจจุบันอารมณ์ เจริญมรรค ๘
งานอดิเรก: ปฏิบัติธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ประทีปแห่งเอเซีย
ชื่อเล่น: อโศกะ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www




b10.jpg
b10.jpg [ 34.34 KiB | เปิดดู 4679 ครั้ง ]
tongue
เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงเกิดธรรมสังเวชหลังจากทรงเห็นเทวทูตทั้ง 4 แล้ว ได้เกิดญาณปัญญาและแรงผลักดันให้พระองค์ใช้ สติ ปัญญา คิดค้นหาทางหลุดพ้นจากความเกิด แก่ เจ็บ ตาย จนที่สุดได้ทรงตัดสินพระทัยที่จะสละราชสมบัติและสุขทางโลกทั้งหลาย หลีกเร้นออกไปศึกษาค้นคว้า ปฏิบัติธรรม ค้นหาโมกขธรรมหรือทางหลุดพ้นโดยสิ้นเชิง จึงตรัสเรียกนายฉันนะสารถี มาเตรียมการเพื่อจะหนีออกไปค้นหาธรรม ทรงเสด็จไปดูพระราหุล แล้วเสด็จออกภิเนษกรมณ์ คือหนีออกบวช ทรงปลงพระเกษาที่ฝั่งแม่น้ำอโนมานที ทรงผ้าย้อมฝาดเยี่ยงฤาษี แล้วแสวงหาพระอาจารย์ที่จะสอนทางหลุดพ้น จนได้ไปเรียนสมถะภาวนากับอาฬารดาบส ได้ถึงรูปฌาณ 4 เรียนกับท่านอุทกดาบส ได้ถึงอรูปฌาณ 4 หมดสิ้นผู้รู้ที่จะสอนพระองค์ต่อไปได้ จึงเสด็จออกค้นคว้าพิสูจน์วิชาของฤาษี ด้วยการบำเพ็ญทุกกรกิริยา ทรมาณพระวรกายอยูเกือบ 6 ปี จนพระวรกายซูบผอมจวนเจียนจะสิ้นพระชนม์ มาทรงได้ยินนักดีดพิณลองเสียงพิณสามสาย ตึง ย่อน พอดี ทรงเกิดปัญญาและสติระลึกได้ถึงทางสายกลาง จึงทรงละวางการทรมาณตน มาทรงทำความเพียรทางจิต เจริญปัญญา อันมาสรุปภายหลังว่ามรรค มีองค์ 8 ค้นคว้าเข้าไปจนพบอริยสัจ 4 อันเป็นหัวใจและสุดยอดสาระธรรมที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงค้นพบ ทำให้จบสิ้นเหตุแห่งทุกข์ความเวียนว่ายตายเกิด ถึงธรรมอันแระเสริฐไม่เกิดไม่ตาย ไม่ทุกข์อีกคือ พระนิพพานโดยสมบูรณ์ แล้วทรงตรัสรู้เป็นอนุตรสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ใต้ต้นโพธิ์ ริมฝั่้่งแม่น้ำเนรัญชรา ในเช้าวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ก่อนพุทธศักราช 45 ปี หรือเมื่อ 2598 ปีที่ผ่านมา

วิเคราะห์และสรุปประเด็นช่วงตอนนี้

1.เพราะอำนาจแห่งสังเวชธรรม จึงเป็นแรงขับดันให้เจ้าชายสิทธัตถะ ดิ้นรนค้นหาทางออกจากทุกข์ ความเวียนว่ายตายเกิด

2.ด้วยปัญญาและพระเมตตาอันเยี่ยมยอดที่มีต่อชาวโลก สัตว์โลก และตัวพระองค์เอง จึงเป็นเหตุให้ทรงตัดสินพระทัยหนีออกบวช

3.พระองค์ได้ทรงพบว่าการทรมาณกายไม่ใช่ทางหลุดพ้น สมถะภาวนาจนถึงชั้นสูงสุดก็ไม่ทำให้หลุดพ้น

4.ทรงค้นพบทางสายกลาง คือการเจริญปัญญา โดยเอาศีล สติ สมาธิมาหนุน ค้นคว้าเข้าไปในรูป นาม กาย ใจ นี้เท่านั้น จึงได้ทรงพบความจริงของทุกข์ เหตุทุกข์ ความดับเหตุทุกข์และทุกข์ดับตาม ด้วยอำนาจแห่การเจริญ ปัญญา ศีล สมาธิ หรือ มรรค มีองค์ 8 อันทรงบัญญัติไว้ว่าเป็น มัชฌืมาปฏิปทา ทางสายกลาง ที่ผู้หวังหลุดท้นจากทุกข์ วัฏสงสาร ความเวียนว่ายตายเกิดทั้งหลาย พึงศึกษาให้เข้าใจให้ดีทั้งหลักทฏษฎีและวิธีการปฏิบัติ จึงจะเอาตัว ใจตน หลุดพ้นจากเหตุทุกข์โดยสิ้นเชิงเข้าถึง อนุปาทิเสสะนิพพานได้
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มี.ค. 2010, 12:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ม.ค. 2010, 11:43
โพสต์: 523

แนวปฏิบัติ: ดูปัจจุบันอารมณ์ เจริญมรรค ๘
งานอดิเรก: ปฏิบัติธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ประทีปแห่งเอเซีย
ชื่อเล่น: อโศกะ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www




b11.jpg
b11.jpg [ 40.38 KiB | เปิดดู 4676 ครั้ง ]
tongue ส่งภาพประกอบการเสด็จออกพิเนษกรมณ์ ครับ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มี.ค. 2010, 12:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ม.ค. 2010, 11:43
โพสต์: 523

แนวปฏิบัติ: ดูปัจจุบันอารมณ์ เจริญมรรค ๘
งานอดิเรก: ปฏิบัติธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ประทีปแห่งเอเซีย
ชื่อเล่น: อโศกะ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www




b12.jpg
b12.jpg [ 45.52 KiB | เปิดดู 4675 ครั้ง ]
tongue
ส่งภาพประกอบการบำเพ็ญทุกกรกิริยา ครับ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มี.ค. 2010, 12:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ม.ค. 2010, 11:43
โพสต์: 523

แนวปฏิบัติ: ดูปัจจุบันอารมณ์ เจริญมรรค ๘
งานอดิเรก: ปฏิบัติธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ประทีปแห่งเอเซีย
ชื่อเล่น: อโศกะ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www




b13.jpg
b13.jpg [ 48.9 KiB | เปิดดู 4673 ครั้ง ]
tongue
ส่งภาพประกอบการบรรลุธรรมหรือตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครับ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มี.ค. 2010, 12:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ม.ค. 2010, 11:43
โพสต์: 523

แนวปฏิบัติ: ดูปัจจุบันอารมณ์ เจริญมรรค ๘
งานอดิเรก: ปฏิบัติธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ประทีปแห่งเอเซีย
ชื่อเล่น: อโศกะ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www




b14.jpg
b14.jpg [ 52.95 KiB | เปิดดู 4672 ครั้ง ]
tongue
ส่งภาพประกอบการบรรลุธรรมหรือตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครับ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มี.ค. 2010, 18:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.พ. 2008, 10:00
โพสต์: 724

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: ปฏิบัติวิปัสสนา
อายุ: 0
ที่อยู่: เกษตร-นวมินทร์ กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ทำไมเจ้าชายสิทธัตถะ จึงทรงออกผนวชเพื่อออกค้นหาโมกขธรรม"

เพราะพระองค์ได้ตั้งความปรารถนาในโพธิญาณไว้
การตั้งความปรารถนาในโพธิญาณเบื้องต้นนั้น เป็นเหตุให้เกิดของความเป็นไปทั้งปวงในภายหลัง

โมกขธรรม
มุจฺจ + ธฺร (มุจจะ + ธะระ)
มุจฺจ หลุด หรือ พ้น
ธฺร สภาวะ , สภาพ

แปลรวม สภาวะที่หลุดพ้น , สภาพที่หลุดพ้น

ในแต่ละศาสนาหรือลัทธิ ก็จะเรียกประสงค์สูงสุดของตนว่าโมกขธรรมได้ โดยความหมายอาจไม่ตรงกับ
ศาสนาพุทธ ทั้งนี้แล้วแต่ความเชื่อ
ในทางศานาพุทธมีนัยคือ หลุดพ้นจากทุกทั้งปวง อันดำเนินการตามหลักวิธี สมดังคำว่า

ส่วนผู้ใด ถือเอาพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ว่าเป็นสรณะ เห็นอริยสัจคือความจริงอันประเสริฐ ๔
ประการคือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค ด้วยปัญญาอันชอบ
นั่นคือสรณะอันเกษม นั่นคือสรณะอันสูงสุด
เขาอาศัยสรณะนั้นแล้ว ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้

สีน้ำเงิน หลักวิธี
สีแดง ผลที่ได้จากการดำเนินตามหลักวิธี(โมกขธรรม)

.....................................................
เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย
ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย ญายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย ยทิทํ
จตฺตาโร สติปฏฺฺฐานา ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มี.ค. 2010, 20:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.พ. 2010, 13:35
โพสต์: 355

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มาเข้าใจbasic ของ โมกษะ โมกขธรรม กันก่อนว่าหมายถึงอะไร?

ในยุคก่อนพุทธกาล มีผู้แสวงหาโมกษะกันมาก แต่ก็ไม่มีผู้ใดเข้าถึงโมกษะ แต่ทว่ามีอาจารย์ 2 ท่าน ที่คนทั้งหลายเชื่อว่า เข้าถึงโมกษะแล้ว คือ อาฬารดาบสและอุทกดาบส เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะออกผนวช ใช้ชิ่อว่า มุนีสมณะ และมุนีสมณะก็ทรงศึกษาจากครูบาอาจารย์ทั้ง 2 ท่านนั้นด้วย

อาฬารดาบส สอนการทำสมาธิให้มุนีสมณะ จนทำสมาธิได้เท่าอาจารย์ คือฌาน 7 หรืออรูปฌาน 3 ส่วนอุทกดาบสก็สอนเจ้าชาย จนทำสมาธิได้เท่าอาจารย์เช่นกัน คือได้ฌาน 8 หรืออรูปฌาน 4 แต่เจ้าชายมุนีสมณะกลับรู้ด้วยตนเองว่า อรูปฌานทั้ง 2 ยังไม่ใช่โมกขธรรมหรือโมกษะ จึงออกจากสำนักแสวงหาโมกขธรรมต่อไป

โมกขธรรมหรือโมกษะ เป็นศัพท์ในศาสนาพราหมณ์ พระพุทธเจ้า( มุนีสมณะ หรือศากยมุนี )ก็เป็นนักบวชในศาสนาพราหมณ์ และก็ทรงแสวงหาโมกขธรรมหรือโมกษะเหมือนบุคคลอื่นๆในยุคนั้น

แล้ว...โมกขธรรมหรือโมกษะซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดของศาสนาพราหมณ์ หมายถึงอะไรล่ะ

โมกขธรรมหรือโมกษะ หมายถึง "ความหลุดพ้น หรือ นิพพาน หรือวิมุติ" ซึ่งเป็นทางไปสู่ความไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย และเป็นอมตะ

ศาสนาพราหมณ์สมัยพุทธกาลมี 6 ลัทธิใหญ่ๆ แต่ละลัทธิสอนใกล้เคียงกันว่า ผู้ที่เข้าไปถึงโมกขธรรม หรือ โมกษะ หรือ หลุดพ้นแล้ว หรือ นิพพาน หรือวิมุติ จิตบริสุทธิ์ที่เรียกว่า อาตมัน(อัตตา)ของผู้นั้น จะเข้าไปรวมกับปรมาตมัน หรือพรหมัน ซึ่งเป็นปฐมวิญญาณ(อมตะ)และเป็นผู้ให้กำเนิดทุกสรรพสิ่งในจักรวาล ปรมาตมันกับพรหมันเป็นสิ่งเดียวกัน พรหมันจะแยกแตกตัวหรือกระจายตัวเองเป็นจำนวนเท่าไร ไปทำหน้าที่ต่างกันอย่างไรก็ตาม แต่แท้จริง สิ่งนั้นก็คือ “พรหมัน”หรือ “องค์พระผู้เป็นเจ้า” นั่นเอง ศาสนาฮินดูเรียกพรหมันที่แตกตัวออกไปทำหน้าที่ใหญ่ 3 หน้าที่ว่า "ตรีมูรติ"

“องค์พระผู้เป็นเจ้า” ที่ทำหน้าที่สร้างหรือทำสรรพสิ่งให้เกิดขึ้น เรียกว่า "พรหม"
“องค์พระผู้เป็นเจ้า” ที่ทำหน้าที่ดำรงรักษาสรรพสิ่งที่ถูกสร้างมา เรียกว่า "นารายณ์"
“องค์พระผู้เป็นเจ้า” ที่ทำหน้าที่ทำลายสรรพสิ่งที่ถูกสร้างมา เรียกว่า "ศิวะ"

"ตรีมูรติ" - พรหม นารายณ์ ศิวะ สะท้อนให้เห็นว่า ทุกสรรพสิ่งในจักรวาลล้วน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป หรือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ทั้งนั้น ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่หลุดพ้น ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย จึงเท่ากับเป็นผู้ที่เข้าไปรวมกับปรมาตมัน หรือพรหมัน ซึ่งเป็นปฐมวิญญาณ(อมตะ)นั่นเอง ศาสนาพุทธเรียกผู้ที่หลุดพ้น ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายว่า "อสังขตธาตุ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มี.ค. 2010, 20:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.พ. 2010, 13:35
โพสต์: 355

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กามโภคี เขียน:
อ้างคำพูด:
แปลรวม สภาวะที่หลุดพ้น , สภาพที่หลุดพ้น

ในแต่ละศาสนาหรือลัทธิ ก็จะเรียกประสงค์สูงสุดของตนว่าโมกขธรรมได้ โดยความหมายอาจไม่ตรงกับ
ศาสนาพุทธ ทั้งนี้แล้วแต่ความเชื่อ
ในทางศานาพุทธมีนัยคือ หลุดพ้นจากทุกทั้งปวง อันดำเนินการตามหลักวิธี ....




คุณกามโภคีครับ


การหลุดพ้นความทุกข์ทั้งปวง ในศาสนาพราหมณ์นั้นคุณต้องเข้านิพพาน ซึ่งหมายถึงจิตบริสุทธิ์(อาตมันหรืออัตตา)ไปรวมกับปรมาตมัน(พระผู้เป็นเจ้าที่เป็นพระบิดา)

พระพุทธเจ้าไม่เคยปฎิเสทความจริงเรื่องนี้เลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่กลับยืนยัน และตรัสว่า พระพุทธองค์คือปรมาตมันหรือพรหมัน

...... ควรเรียกบุคคลผู้นั้นว่าเป็นบุตร เป็นโอรส เกิดแต่โอษฐ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้เกิดจากธรรม เป็นธรรมนิรมิต (ผู้ที่ธรรมสร้าง) เป็นธรรมทายาท (ทายาทแห่งธรรม) ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะคำว่า " ธรรมกาย " ก็ดี " พรหมกาย " ก็ดี " ธรรมภูต " ก็ดี " พรหมภูต " ก็ดี เป็นชื่อของตถาคต "
(ที.ปา. 11/51/91)


แก้ไขล่าสุดโดย คนดีที่โลกลืม เมื่อ 09 มี.ค. 2010, 20:18, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2010, 11:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.พ. 2008, 10:00
โพสต์: 724

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: ปฏิบัติวิปัสสนา
อายุ: 0
ที่อยู่: เกษตร-นวมินทร์ กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


คนดีที่โลกลืม เขียน:
คุณกามโภคีครับ
การหลุดพ้นความทุกข์ทั้งปวง ในศาสนาพราหมณ์นั้นคุณต้องเข้านิพพาน ซึ่งหมายถึงจิตบริสุทธิ์(อาตมันหรืออัตตา)ไปรวมกับปรมาตมัน(พระผู้เป็นเจ้าที่เป็นพระบิดา)

พระพุทธเจ้าไม่เคยปฎิเสทความจริงเรื่องนี้เลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่กลับยืนยัน และตรัสว่า พระพุทธองค์คือปรมาตมันหรือพรหมัน

...... ควรเรียกบุคคลผู้นั้นว่าเป็นบุตร เป็นโอรส เกิดแต่โอษฐ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้เกิดจากธรรม เป็นธรรมนิรมิต (ผู้ที่ธรรมสร้าง) เป็นธรรมทายาท (ทายาทแห่งธรรม) ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะคำว่า " ธรรมกาย " ก็ดี " พรหมกาย " ก็ดี " ธรรมภูต " ก็ดี " พรหมภูต " ก็ดี เป็นชื่อของตถาคต "
(ที.ปา. 11/51/91


ดูอรรถกถาที่เขาอธิบายไว้บ้างครับ

เพราะพระตถาคตทรงคิดพระพุทธพจน์คือพระไตรปิฎกด้วยพระหทัยแล้ว ทรงนำออกแสดงด้วยพระวาจา
ด้วยเหตุนั้น พระวรกายของพระผู้มีพระภาคจึงจัดเป็นธรรมแท้เพราะ
สำเร็จด้วยธรรม.
พระธรรมเป็นกายของพระผู้มีพระภาคนั้นดังพรรณนา.
มานี้ ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคจึงชื่อว่าธรรมกาย. ชื่อว่าพรหมกายเพราะ
มีธรรมเป็นกายนั่นเอง
แท้จริง พระธรรมท่านเรียกว่าพรหมเพราะเป็น
ของประเสริฐ.

บทว่า ธมฺมภูโต ได้แก่สภาวธรรม.
ชื่อว่าพรหมภูตเพราะเป็นผู้เกิดจากพระธรรมนั่นเอง


ไม่ได้มีความหมายไปทางศาสนาพรามณ์ซักนิดเลย ทั้งนิพพานของพรามณ์ก็หาใช่มีความหมายที่เป็น
อันเดียวกับของทางศาสนาพุทธเลย ในทางศาสนาพุทธสอนให้ละอัตตา ในทางพรามณ์ก็สอนให้อัตตา
เหตุไม่ตรงกัน ผลก็ออกมาไม่ตรงกันอยุ่แล้ว

อนึ่ง พรหมในพระสูตรนี้แปลว่าประเสริฐ แม้รากศัพท์แล้ว ก็แปลว่าประเสริฐ หาใช่แปลหมายถึงองค์
พรหมในศาสนาพราหมณ์ไม่
โดยที่แท้ หมายถึงธรรมอันประเสริฐเท่านั้น

ผู้ที่สนใจเรื่องนี้ หาอ่านการอธิบายสูตรนี้ได้ที่ ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค
อย่าไปจับเอามาบรรทัดสองบรรทักมาโมเมเอาเองนะครับ

.....................................................
เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย
ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย ญายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย ยทิทํ
จตฺตาโร สติปฏฺฺฐานา ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2010, 13:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.พ. 2010, 13:35
โพสต์: 355

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กามโภคี เขียน:
คนดีที่โลกลืม เขียน:
คุณกามโภคีครับ
การหลุดพ้นความทุกข์ทั้งปวง ในศาสนาพราหมณ์นั้นคุณต้องเข้านิพพาน ซึ่งหมายถึงจิตบริสุทธิ์(อาตมันหรืออัตตา)ไปรวมกับปรมาตมัน(พระผู้เป็นเจ้าที่เป็นพระบิดา)

พระพุทธเจ้าไม่เคยปฎิเสทความจริงเรื่องนี้เลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่กลับยืนยัน และตรัสว่า พระพุทธองค์คือปรมาตมันหรือพรหมัน

...... ควรเรียกบุคคลผู้นั้นว่าเป็นบุตร เป็นโอรส เกิดแต่โอษฐ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้เกิดจากธรรม เป็นธรรมนิรมิต (ผู้ที่ธรรมสร้าง) เป็นธรรมทายาท (ทายาทแห่งธรรม) ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะคำว่า " ธรรมกาย " ก็ดี " พรหมกาย " ก็ดี " ธรรมภูต " ก็ดี " พรหมภูต " ก็ดี เป็นชื่อของตถาคต "
(ที.ปา. 11/51/91


ดูอรรถกถาที่เขาอธิบายไว้บ้างครับ

เพราะพระตถาคตทรงคิดพระพุทธพจน์คือพระไตรปิฎกด้วยพระหทัยแล้ว ทรงนำออกแสดงด้วยพระวาจา
ด้วยเหตุนั้น [color=#400000]พระวรกายของพระผู้มีพระภาคจึงจัดเป็นธรรมแท้เพราะ
สำเร็จด้วยธรรม.

พระธรรมเป็นกายของพระผู้มีพระภาคนั้นดังพรรณนา.
มานี้ ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคจึงชื่อว่าธรรมกาย. ชื่อว่าพรหมกายเพราะ
มีธรรมเป็นกายนั่นเอง

แท้จริง พระธรรมท่านเรียกว่าพรหมเพราะเป็น
ของประเสริฐ.

บทว่า ธมฺมภูโต ได้แก่สภาวธรรม.
ชื่อว่าพรหมภูตเพราะเป็นผู้เกิดจากพระธรรมนั่นเอง[/color]

ไม่ได้มีความหมายไปทางศาสนาพรามณ์ซักนิดเลย ทั้งนิพพานของพรามณ์ก็หาใช่มีความหมายที่เป็น
อันเดียวกับของทางศาสนาพุทธเลย ในทางศาสนาพุทธสอนให้ละอัตตา ในทางพรามณ์ก็สอนให้อัตตา
เหตุไม่ตรงกัน ผลก็ออกมาไม่ตรงกันอยุ่แล้ว

อนึ่ง พรหมในพระสูตรนี้แปลว่าประเสริฐ แม้รากศัพท์แล้ว ก็แปลว่าประเสริฐ หาใช่แปลหมายถึงองค์
พรหมในศาสนาพราหมณ์ไม่
โดยที่แท้ หมายถึงธรรมอันประเสริฐเท่านั้น

ผู้ที่สนใจเรื่องนี้ หาอ่านการอธิบายสูตรนี้ได้ที่ ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค
อย่าไปจับเอามาบรรทัดสองบรรทักมาโมเมเอาเองนะครับ


1. "พระวรกายของพระผู้มีพระภาคจึงจัดเป็นธรรมแท้เพราะสำเร็จด้วยธรรม". ถูกต้องแล้ว วรกายของพระอรหันต์เป็นกายที่ไม่มีธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ และไม่มีธาตุที่เกิดอวิชชาอยู่

2. มีธรรมเป็นกาย คุณก็ยังไม่เข้าใจ

3. พรหมกาย นั่นแหละคือ พรหมมัน หรือปรมาตมัน พรหมกายไม่ใช่พรหมในชั้นโลกีย์ พรหมในชั้นโลกีย์ เช่น กายของพกาพรหมไม่ใช่พรหมมัน หรือปรมาตมัน และไม่ใช่ธรรมกาย

4. พรหมกาย หรือธรรมกาย ต่างจากกายของพรหมในชั้นโลกีย์ ตรงที่มันเป็นอมตะนิรันดร

5. "ไม่ได้มีความหมายไปทางศาสนาพรามณ์ซักนิดเลย ทั้งนิพพานของพรามณ์ก็หาใช่มีความหมายที่เป็นอันเดียวกับของทางศาสนาพุทธเลย ในทางศาสนาพุทธสอนให้ละอัตตา ในทางพรามณ์ก็สอนให้อัตตา เหตุไม่ตรงกัน ผลก็ออกมาไม่ตรงกันอยุ่แล้ว"

- อัตตา ในอนัตตลักขณะสูตร สิ่งที่เป็นอัตตาต้องเที่ยง ไม่ทุกข์ ไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา
- อัตตา ของพราหมณ์เขาเข้าใจผิดเรื่อง อัตตานุทิฏฐิ หรืออัตตาอุปทานเป็นอัตตาเท่านั้น แต่อัตตาในระดับสูงสุด พราหมณ์เขาเข้าใจถูกต้องแล้ว พระพุทธเจ้าก็ยอมรับ และกล่าวไว้ในอนัตตลักขณะสูตร
- นิพพานของพราหมณ์ก็มีความหมายที่เป็นอันเดียวกับของทางศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าไม่เคยปฏิเสทความเชื่อของพราหมณ์ในระดับสูงสุดนี้เลยแม้แต่ครั้งเดียว ผมพยายามลงกระทู้อธิบายเรื่องนี้ไป 4 ครั้งในช่วง 4 วันนี้ กระทู้โดนทีมงานดูแลเว็บลบทิ้งหมด ทำหมาๆแบบนี้ แล้วเราจะศึกษาพระธรรมกันได้อย่างไร

มีอะไรคุณกรัชกายตั้งกระทู้มาถามดีกว่า เพราะเว็บนี้กีดกันความรู้ทางธรรมระดับสูงสุด ผมเสนอกระทู้ออกไป เขาก็ลบหมด แทนที่จะหาพระสูตร หรือพุทธพจน์มาแย้ง เป็นเพราะเขาแย้งไม่ได้นั่นเอง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2010, 14:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ม.ค. 2010, 11:43
โพสต์: 523

แนวปฏิบัติ: ดูปัจจุบันอารมณ์ เจริญมรรค ๘
งานอดิเรก: ปฏิบัติธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ประทีปแห่งเอเซีย
ชื่อเล่น: อโศกะ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www




b15.jpg
b15.jpg [ 48.46 KiB | เปิดดู 4631 ครั้ง ]
tongue
อนุโมทนากับความคิดเห็นอันหลากหลายของเพื่อนกัลยาณมิตร

สนทนาธรรมกันฉันมิตรฉันเพื่อน เตือนบอกกันให้เดินบนเส้นทางอันเรียบง่าย
พากันออกจากความยุ่งยากและวุ่นวาย สู่ที่หมายสูงสุด หยุดปรุงแต่ง

ธรรมทัศนะย่อมมีได้หลากหลาย มิพึงตัดสินว่าใครผิด ใครถูก เสียทันที ทิ้งไว้ให้เพื่อนพ้อง น้องพี่
ได้ใช้ปัญญา พาที วินิจฉัย เลือกแต่ดี ไว้สอนใจ

ส่งภาพเกี่ยวกับการตรัสรู้มาให้ชมอีกนะครับ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2010, 14:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ม.ค. 2010, 11:43
โพสต์: 523

แนวปฏิบัติ: ดูปัจจุบันอารมณ์ เจริญมรรค ๘
งานอดิเรก: ปฏิบัติธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ประทีปแห่งเอเซีย
ชื่อเล่น: อโศกะ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www




b16.jpg
b16.jpg [ 48.19 KiB | เปิดดู 4630 ครั้ง ]
tongue

ถึงตอนพุทธองค์ผจญมารพอดีครับ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2010, 15:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.พ. 2008, 10:00
โพสต์: 724

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: ปฏิบัติวิปัสสนา
อายุ: 0
ที่อยู่: เกษตร-นวมินทร์ กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


คนดีที่โลกลืม เขียน:
ถูกต้องแล้ว วรกายของพระอรหันต์เป็นกายที่ไม่มีธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ และไม่มีธาตุที่เกิดอวิชชาอยู่ [/b][/color]

พระอรหันต์ยังต้องรับบิณฑบาต ฉันอาหารเพื่อประครองสังขาร(ดิน) มีปีติในธรรม(น้ำ) มีการขยับหรือก้าวเดิน(ลม) มีปวดหัวตัวร้อน(ไฟ) จากเหตุผลนี้ไม่อาจกล่าวได้กว่าวรกาย หรือกายของพระอรหันต์ไม่มีธาตดิน น้ำ ลม ไฟ
คนดีที่โลกลืม เขียน:
2. มีธรรมเป็นกาย คุณก็ยังไม่เข้าใจ

เป็นสิ่งที่ผมวินิจฉัยได้เอง ไม่มีใครมาตัดสินผมได้ ว่าผมจะเข้าใจหรือไม่ นอกจากพุทธญาณ
ธรรมกาย หมายถึงกายที่สำเร็จเพราะธรรม ในพระสูตรนี้ ท่านอรรถกถาจารย์ท่านวินิจฉัยทำนองว่า
เพราะการบรรลุพระสัพพัญญูในธรรมทั้งปวง จึงมีพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ เหตุนี้ ที่เราเรียกพระพุทธเจ้า เพราะบรรลุธรรม ถ้าไม่บรรลุธรรม ก็เรียกว่าพุทธะหรืออรหันต์ไม่ได้นั่นเองหาได้มีนัยมากกว่านี้ไม่ อธิบายแบบนี้ ไม่เหลือวิสัยที่จะเข้าใจได้และสอดรับกัยอรรถกถาที่เกิดไกล้ชิดกาลนั้นมากกว่าเรา
คนดีที่โลกลืม เขียน:
3.พรหมกาย นั่นแหละคือ พรหมมัน หรือปรมาตมัน พรหมกายไม่ใช่พรหมในชั้นโลกีย์ พรหมในชั้นโลกีย์ เช่น กายของพกาพรหมไม่ใช่พรหมมัน หรือปรมาตมัน และไม่ใช่ธรรมกาย

ไม่มีพระสูตรไหนบอกว่าพรหมกายคือพรหมมันหรือปรมาตมัน
ในการแสดงธรรมแต่ละครั้ง หากสิ่งใดสำคัญยิ่ง พระพุทธเจ้าท่านจะทรงตรัสย้ำตรัสบ่อย และ ตรัสโดยเปิดเผย โดยไม่ต้องมาแปลความมากเลย
อนึ่ง เรื่องภพภูมิต่างๆ พระองค์ท่านก็ตรัสไว้จนหมดแล้ว หากมีพรหมมันหรือ ปรมาตมันซึ่งพ้นจากพรหมโลกีย์ พระองค์ก็จะตรัสไว้อีก ไม่มีมานั่งตีความแบบนี้ได้หรอก
คนดีที่โลกลืม เขียน:
4.พรหมกาย หรือธรรมกาย ต่างจากกายของพรหมในชั้นโลกีย์ ตรงที่มันเป็นอมตะนิรันดร

ไม่มีอะไรหรือสิ่งไหนที่อมตะได้ ในเมื่อพระองค์ยืนยันแล้วว่า ธรรมทั้งหลายทั้งปวง ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่หรือไม่มีตัวตน ฉนั้น จะไม่มีอะไรที่เป็นอมตะได้เลย

คนดีที่โลกลืม เขียน:
5.อัตตาในอนัตตลักขณะสูตร สิ่งที่เป็นอัตตาต้องเที่ยง ไม่ทุกข์ ไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา

ไม่มีนะครับซักที่เลยที่บอกว่าสิ่งที่เป็นอัตตามี
การที่คุณพูดเช่นนี้เพราะคุณไปตีความกลับจากคำสอนตามแบบวิธีคิดยุคก่อน (วิธีนี้คุณเคยใช้ที่เวบพันทิปมาครั้งนึงแล้วเนี่ย)

ยุคก่อนวิธีคิดแบบนี้ครับ
สัตว์ทุกตัวกลัวไฟ คนเป็นสัตว์ คนต้องกลัวไฟ(ความจริงไม่ทุกคนที่กลัวไฟ)
คุณก็เลยมาอนุมานพระสูตรว่า ถ้ามีสิ่งที่เที่ยง ก็ต้องมีอัตตา หรือถ้าสิ่งใดถือเป็นอัตตา สิ่งนั้นต้องเที่ยงแท้

ให้สำเนียกนิดนึง ถ้ามีจริงๆ ท้ายพระสูตรพระพุทธเจ้าท่านต้องตรัสไว้แล้ว เพราะสำคัญมากเลยถ้ามี พระองค์จะไม่เฉยไม่นิ่งเลย และทั้ง ๘๔๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ไม่มีตรัสเลยว่ามีสิ่งที่เรียกว่าเที่ยงหรืออัตตา มีแต่พูดถึงเรื่องอนัตตาฝ่ายเดียวเลย

คนดีที่โลกลืม เขียน:
-อัตตาของพราหมณ์เขาเข้าใจผิดเรื่อง อัตตานุทิฏฐิ หรืออัตตาอุปทานเป็นอัตตาเท่านั้น แต่อัตตาในระดับสูงสุด พราหมณ์เขาเข้าใจถูกต้องแล้ว พระพุทธเจ้าก็ยอมรับ และกล่าวไว้ในอนัตตลักขณะสูตร

ไม่มีกล่าวไว้ถึงเรื่องอัตตาเลยในอนัตตลักขณะสูตร กล่าวถึงเรื่องอนัตตาล้วนๆ เกิดจากการแปลความที่ผิดของคุณเอง ลองอ่านดูได้นะครับ blog/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%82%E0%B8%A0%E0%B8%84%E0%B8%B5/index_b-71.html
ไม่มีกล่าวถึงสิ่งที่เป็นอัตตาซักนิดเลย
คนดีที่โลกลืม เขียน:
- นิพพานของพราหมณ์ก็มีความหมายที่เป็นอันเดียวกับของทางศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าไม่เคยปฏิเสทความเชื่อของพราหมณ์ในระดับสูงสุดนี้เลยแม้แต่ครั้งเดียว

ในทางศาสนาพรามณ์อาจจะมีนิพพานของเขา แต่คนละเรื่องกับของทางพุทธแน่ๆ จากเหตุผล
๑.พระพุทธเจ้าท่านปฏิเสธการสอนความเชื่อแบบเก่าๆในลัทธิพรามณ์มาโดยตลอดพระชนม์ชีพ เช่น เรื่องวรรณะต่างๆ เป็นต้น
๒.ถ้าในศาสนาพรามณ์มีนิพพานที่นัยเดียวกันกับศาสนาพุทธแล้ว พระองค์คงไม่ต้องแยกมาปฏิบัติเองตามลำพัง จนสามารถบรรลุพระโพธิญาณด้วยพระองค์เอง เพราะถ้ามีอยู่แล้วในศาสนาพรามณ์ พระองค์ก็คงแค่
ปฏิบัติตามแนวทางของพรามณ์แล้วก็บรรลุไป พระองค์ปฏิเสธตรงๆเลยว่า เราไม่มีครู เราตรัสรูชอบโดยลำพัง (หาอ่านเรื่องบุคคลแรกที่พบพระพุทธเจ้าแล้วไม่บรรลุธรรม)
๓.ในอนัตตลักขณสูตร พระองค์ไม่กล่าวถึงเรื่องนิพพานหรืออัตตาของพรามณ์เลย หากแม้มีทางไปได้ตามวิธีของพรามณ์ หรือมีที่เหมือนกัน พระองค์คงต้องยกอุปมามาอธิบายบ้าง
๔.พระองค์ปฏิเสธแนวทางที่เป็นไปเพื่ออัตตาทุกครั้งที่แสดงธรรม แม้จะเริ่มด้วยการทำบุญอย่างง่ายๆ เช่นเรื่องทาน ก็จะสรุปจบลงด้วยการสำรอกอัตตาทุกครั้งในแทบจะทุกพระธรรมเทศนา ลองไล่ๆศึกษาดูครับ ตีใจตัวเองให้เข้ากับคำสอน อย่าตีความคำสอนให้เข้ากับใจตัวเอง จะพลาดมาก
คนดีที่โลกลืม เขียน:
ผมพยายามลงกระทู้อธิบายเรื่องนี้ไป 4 ครั้งในช่วง 4 วันนี้ กระทู้โดนทีมงานดูแลเว็บลบทิ้งหมด ทำหมาๆแบบนี้ แล้วเราจะศึกษาพระธรรมกันได้อย่างไร

ก็ควรพิจารณานะครับว่าทำไมเขาถึงกล้าลบออกไป มองที่คติความเห็นของเรามากๆครับ อย่าเพิ่งคิดว่าคนอื่นที่มีความเห็นไม่ตรงกับเราเขาผิดเสมอ แค่ประโยคที่คุณเขียนมาข้างบนนี้ ความจริงไม่แค่ลบด้วยนะครับ สุภาพชนไม่มีเลย
คนดีที่โลกลืม เขียน:
มีอะไรคุณกรัชกายตั้งกระทู้มาถามดีกว่า เพราะเว็บนี้กีดกันความรู้ทางธรรมระดับสูงสุด ผมเสนอกระทู้ออกไป เขาก็ลบหมด แทนที่จะหาพระสูตร หรือพุทธพจน์มาแย้ง เป็นเพราะเขาแย้งไม่ได้นั่นเอง

ต้องขอประทานโทษนะครับ ผม "กามโภคี" ไม่ใช่คุณกรัชกาย
อีกอย่าง ถ้าเวบเขากีดกันความรู้สูงสุด ก็คงไม่ตั้งเวบมาให้เมื่อยใจเขาหรอกครับ ไหนๆจะไม่ให้รู้ เขาก็ไม่ต้องทำเวบธรรมะมาเลยไม่ดีกว่าหรือ ไม่ใช่เขาไม่มีปัญญาหาพระสูตรมาแย้งหรอกครับ เขาเบื่อที่จะแย้งกับคุณ เพราะคุณไม่เอา ไม่รับฟัง พอจนมุมก็บอกว่ามารไปอีก ก็แบบนี้ละครับ เขาถึงลบไม่พูดไม่จา
ผมเองไม่กี่โพสหรอกกับคุณ เดี๋ยวผมก็ทำตัวสูญหายแล้ว นี่เห็นว่าเรื่องอนัตตาเป็นส่วนหนึ่งของแกนหลักของคำสอนเลย ถึงได้ออกมาแย้งพองาม
ถ้ามิบังควร ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้

.....................................................
เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย
ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย ญายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย ยทิทํ
จตฺตาโร สติปฏฺฺฐานา ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2010, 18:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.พ. 2010, 13:35
โพสต์: 355

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กามโภคี เขียน:

คนดีที่โลกลืม เขียน:
3.พรหมกาย นั่นแหละคือ พรหมมัน หรือปรมาตมัน พรหมกายไม่ใช่พรหมในชั้นโลกีย์ พรหมในชั้นโลกีย์ เช่น กายของพกาพรหมไม่ใช่พรหมมัน หรือปรมาตมัน และไม่ใช่ธรรมกาย

ไม่มีพระสูตรไหนบอกว่าพรหมกายคือพรหมมันหรือปรมาตมัน


โง่จริงหรือแกล้งโง่กันนี่ หรือว่าจะแค่กวนโอ้ย นิยามของพรหมมัน หรือปรมาตมัน คือ ผู้เป็นอมตะนิรันดร มีมาก่อนสิ่งอื่นทั้งหมด และเป็นผู้สร้างสรรพสิ่ง แต่ไม่ได้บอกว่าสร้างแบบใด แล้วในที.ปา. 11/51/91 พระพุทธเจ้าบอกว่าใครสร้างล่ะ

....(เราเป็น)บุตร เป็นโอรส เกิดแต่โอษฐ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้เกิดจากธรรม เป็นธรรมนิรมิต (ผู้ที่ธรรมสร้าง)

แล้วพระพุทธเจ้ายังบอกต่อไปด้วยว่า ท่านเป็นพรหมกาย หรือ พรหมภูต คือ มนุษย์แม้แต่เทวดา พรหมชั้นอื่นก็มองไม่เห็น

เชิญแกล้งโง่และกวนโอ้ยต่อไป ประเด็นอื่นผมคงไม่ตอบ ผมตอบอีกประเด็นเดียว

คนดีที่โลกลืม เขียน:
4.พรหมกาย หรือธรรมกาย ต่างจากกายของพรหมในชั้นโลกีย์ ตรงที่มันเป็นอมตะนิรันดร

กามโภคี เขียน:
ไม่มีอะไรหรือสิ่งไหนที่อมตะได้ ในเมื่อพระองค์ยืนยันแล้วว่า ธรรมทั้งหลายทั้งปวง ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่หรือไม่มีตัวตน ฉนั้น จะไม่มีอะไรที่เป็นอมตะได้เลย


“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความกำจัดราคะ โทสะ ความกำจัดโมหะ นี้เป็นชื่อแห่ง นิพพานธาตุ ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ นี้เรียกว่า อมตภาพ"

ไปหาชื่อพระสูตรเอาเอง แล้วอย่าแกล้งโง่และกวนโอ้ยอีกนะว่า อมตภาพ ไม่ใช่อมตะ และไม่ใช่นิรันดร


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 09:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ม.ค. 2010, 11:43
โพสต์: 523

แนวปฏิบัติ: ดูปัจจุบันอารมณ์ เจริญมรรค ๘
งานอดิเรก: ปฏิบัติธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ประทีปแห่งเอเซีย
ชื่อเล่น: อโศกะ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www




b17.jpg
b17.jpg [ 42.2 KiB | เปิดดู 4673 ครั้ง ]
tongue
อนิจจัง วัฏสังขารา อุปัทวยะ ธัมมิโน อุปัตชิตวา นิรุชันติ เตสัง วูปสโม สุโข

อนิจจัง วัฏสังขารา สังขาร ความปรุงแต่งทั้งหลาย ไม่เที่ยง หนอ
อุปัทวยะ ธัมมิโน มีเกิดขึ้นแล้ว ก็ดับไป ๆ ๆ

อุปัตชิตวา นิรุชันติ ปรากฏขึ้นมาแล้ว ก็สูญสลายหายไป

เตสัง วูปสโม สุโข ความเข้าไปสงบรำงับสังขาร คือความปรุงแต่งเสียได้ เป็นสุขยิ่งหนอ ๆ ๆ ๆ
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 40 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร