วันเวลาปัจจุบัน 14 มิ.ย. 2025, 08:30  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 27 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 เม.ย. 2009, 18:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ค. 2006, 20:52
โพสต์: 1210

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
ก้อทำมาทุกอย่างนะ...เห็นมาหลายแบบ...
แต่ทุกอย่างอยู่ที่ใจ เห็นผ้าเหลืองก็ใจเคารพแล้วนึกถึงสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว..
ส่วนใครสร้างเหตุอะไรไว้ก็ได้รับผลนั้นไปเป็นของตนๆ ตัวใครตัวมัน แทนกันไม่ได้...
ขนาดพญาช้างฉัททัน...แค่งวงคลำไปเจอผ้ากาสาวพัสต์ที่พรานใจบาปเอามาห่มลวงไว้(เพราะตั้งใจมาฆ่าเอางาสวยๆ...แนะนำให้ไปอ่านค่ะ)ยังได้สติ..เห็นแก่ผ้่าเหลืองเลย

.....................................................
สัพเพ สังขารา อนิจจา
สัพเพ ธรรมา อนัตตา...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ค. 2009, 14:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ม.ค. 2009, 09:03
โพสต์: 81


 ข้อมูลส่วนตัว


ทำบุญกับพระทุศีล....ไม่ได้บุญ เล่ม 23 หน้า 409

ได้ยินว่า นายพรานนั้นเมื่อให้ทักขิณา ( ของทำบุญ ) อุทิศถึงผู้ตายได้ให้แก่ภิกษุผู้ทุศีล
( ละเมิดศีล ) รูปหนึ่งนั้นแล ถึง 3 ครั้ง ในครั้งที่ 3 อมนุษย์ (ผู้ตาย) ร้องขึ้นว่า ผู้ทุศีลปล้นฉัน
ในเวลาที่พรานนั้นถวายแก่ภิกษุผู้มีศีลรูปหนึ่งที่มาถึง ผลของทักขิณา ( ของทำบุญ ) ก็ถึงแก่เขา

ระวังนะพวกที่ชอบทำบุญแบบมั่ว ๆ ไม่ศึกษาคำสอนของพระพุทธองค์ให้ถ่องแท้ นับถือพระศาสนาแบบว่านับถือตาม ๆ กันมา ทำพิธีกรรมแบบทำตาม ๆ กันมา คำสอนที่แท้จริงในพระไตรปิฎกไม่เคยอ่านไม่เคยสนใจอะไร ๆ ก็จะถาม ๆ แล้วคนที่ตอบ ก็จะเอาความรู้ของตัวเองที่มีอยู่น้อยนิดมามาบอกกล่าว โดยไม่ใส่ใจคำสอนในพระไตรปิฎกที่เป็นพระพุทธพจน์ที่แท้จริงและยังมีอยู่มากมาย ที่ท่านครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ได้เอามาเขียนเป็นตำราของตัวเอง โดยที่ตัวเองได้บรรลุธรรมขั้นไม่สูงมากเหมือนพระอรหันต์ทั้งหลายในยุคต้น ๆ ได้ทรงจำพระไตรปิฎกและเขียนและจารึกหรือจานไว้ในที่ต่าง ๆ มีผู้ที่ต่อต้านการอ่าน พระไตรปิฎกว่าอ่านยาก (คนโง่ ๆ อ่านไม่รู้เรื่องได้ง่าย)นั่น เพราะชาวพุทธถูกสอนมาว่าพระไตรปิฎกเป็นของสูง ใครอ่านแล้วจะเป็นบ้านั่นเอง...พระไตรปิฎกจึงถูกบรรจุใส่ตู้ไว้อย่างสวยงามให้ปลวกกินเล่น ชาวพุทธที่ไปวัดก็เอาแต่ไปทำพิธีกรรมต่าง ๆ นา ๆ และได้คำสอนจากพระนิดหน่อยที่เทศน์ให้เป็นพิธีแต่โดยส่วนมากแล้วจะสวดเป็นภาษาบาลีให้ฟังแบบไม่รู้เรื่องราว ไปนั่งคุยพบปะสังสรรค์กันโดยไม่ได้สนใจในธรรมะที่จะนำกลับไปปฏิบัติตนเอง ส่วนพระเองก็จะหาแต่เงินเพื่อเรียนหนังสือทางโลกแล้วก็สึกไปมีเมีย พระพวกที่ชอบสังคมก็จะพากันสร้างโน่นนี่ให้วุ่นวายโดยไม่ใส่ใจว่าพระพุทธองค์สอนอะไรไว้ ให้เป็นประโยชน์สูงสุด ในการเป็นมนุษย์ จะสอนกันแต่ทำบุญในพระพุทธศาสนาเป็นบุญสูงสุด โยมก็จะเอาแต่เอาวัตถุทำบุญ โดยไม่สนใจคำสอนของพระพุทธองค์ที่แท้จริง ว่าควรเอาอะไรมาทำบุญกับพระสงฆ์โดยไม่ผิดวินัยพระบ้าง ไม่มีใครตอบได้ ก็จะได้บอกแต่ทำตามบรรพบุรุษ ก็ถ้าเขาทำมาผิดหละ ในพระไตรปิฎกชี้ชัดว่า เงินและทอง ผิดวินัยก็จะหลีกเลี่ยงว่าในครั้งพุทธกาลไม่ได้ใช้ ก็ลองดูพระสูตรนี้นะท่าน

เงิน - ทองไม่ควรถวายภิกษุ เล่ม 3 หน้า 940

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้

พระบัญญัติ

อนึ่ง ภิกษุใด รับก็ดี ให้รับก็ดี ซึ่งทอง - เงิน หรือ ยินดีทอง - เงิน อันเขาเก็บไว้ให้ก็ดี
เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์. (ต้องอาบัตินิสสัคคีย์ ต้องสละสิ่งของนั้นออกไป จึงจะพ้นโทษได้)

และอีกหลาย ๆ พระสูตรที่อ่านเจอ แล้วก็จะพูดว่าทำไมองค์หลวงตาฯไม่บอกบ้างท่านเป็นถึงพระอรหันต์ ไม่รู้เหมือนกันก็ใครก็ได้ในเวปนี้ช่วยไปถามท่านให้หน่อยนะ ถามพระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่ก็ได้อ้างพระสูตรในพระไตรปิฎกนี่แหละ แล้วมาช่วยตอบให้ด้วยว่าท่านว่าอย่างไร แต่สำหรับองค์หลวงตาฯ ท่านเป็นอรหันต์ท่านพ้นบุญบาปแล้วท่านไม่สนหรอกนะว่าคนที่จะถวายเงินท่านจะเดินทางไปไหนตอนสิ้นใจอ่านพระสูตรนี้ก็ได้

เล่ม 16 หน้า 302 , 308

...พระขีณาสพ (อรหันต์) ที่ฟังมาน้อย ย่อมไม่ต้องอาบัติ ( ละเมิด )
ที่เป็นโลกวัชชะ ( การละเมิดที่มีโทษทางโลก ) ก็จริงอยู่

แต่เพราะไม่ฉลาดในพุทธบัญญัติ ก็ย่อมจะต้องอาบัติในกายทวาร ( ทางกาย )
ประเภททำวิหาร ทำกุฏิ ( ให้คลาดเคลื่อนไปจากพุทธบัญญัติ )
อยู่ร่วมเรือน นอนร่วมกันกับอนุปสัมบัน ( ผู้ไม่ใช่ภิกษุ ) เป็นต้น

ย่อมต้องอาบัติในวจีทวาร ( ทางคำพูด ) ในประเภทชักสื่อ
หรือกล่าวธรรมโดยบท หรือพูดเกินกว่า 5 – 6 คำ หรือบอกอาบัติที่เป็นจริง เป็นต้น

ย่อมต้องอาบัติเพราะรับเงินรับทอง
ในทางมโนทวาร ( ความคิด ) ด้วยอำนาจยินดีเงินทองที่เขาเก็บไว้เพื่อตน.

แม้พระขีณาสพ (พระอรหันต์)
ขนาดพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรก็ยังเกิดมโนทุจริต (ความคิดชั่ว) ขึ้นได้
ด้วยอำนาจที่นึกตำหนิ ในมโนทวาร. เมื่อศากยะปาตุเมยยกะ
ขอขมาพระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อประโยชน์แก่พระสารีบุตร และพระโมคคัลลานะ
ในคราวที่ทรงประณามพระเถระทั้งสองนั้น พร้อมกับภิกษุประมาณ 500 รูป.....

ส่วนในคำว่า ทกฺขิเณยฺยคฺคิ ( ไฟอันเกิดจากผู้ควรรับของทำบุญ ) นี้ คำว่า ทกฺขิณา
( ของทำบุญ ) คือปัจจัย 4. ภิกษุสงฆ์ ชื่อว่า ทักขิไณยบุคคล ( ผู้สมควรรับของทำบุญ ).
ภิกษุสงฆ์ ชื่อว่า มีอุปการะมากเเก่คฤหัสถ์ ( โยม ) ด้วยการชักนำ
ให้ประพฤติในกัลยาณธรรม ( ธรรมอันดีงาม ) ทั้งหลายเป็นต้นว่า
สรณะ 3 ศีล 5 ศีล 10 การเลี้ยงดูมารดาบิดา การบำรุงสมณพราหมณ์ผู้มีธรรม.

คฤหัสถ์ (โยม) ที่ปฏิบัติผิดในภิกษุสงฆ์ บริภาษด่าทอภิกษุสงฆ์
ย่อมไปเกิดในอบายมีนรกเป็นต้น
ดังนั้น แม้ภิกษุสงฆ์ท่านก็เรียกว่า ทักขิเณยยัคคิ
ด้วยอรรถว่า ตามเผาไหม้โดยนัยก่อนเช่นกัน.
และเพื่อจะให้ความข้อนี้กระจ่าง
ควรจะแถลงเรื่องเวมานิกเปรต (เปรตที่ได้รับสุขและทุกข์สลับกันไป) โดยละเอียดด้วย

แล้วไม่ต้องถามเรื่องพวกที่เดินเกะกะตามหน้าตลาดหรอก ว่าควรให้ทานอันสะอาดของเราหรือเปล่า(คนที่ทำของไปบุญเองนะไม่เกี่ยวกับกับที่พวกที่ซื้อตามร้านทำบุญ ) ระวังนะการทำบุญกับพวกที่จะพาตัวเองลงนรกด้วย ระวังให้ดี พระสูตรนี้รับรองได้


เล่ม 53 หน้า 202

...ในกาลข้างหน้า โทษเป็นอันมากจักเกิดขึ้นในหมู่สัตวโลก
ก็เพราะภิกษุทั้งหลายผู้ไร้ปัญญา จักทำธรรม (คำสอน) ที่พระศาสดาทรงแสดงแล้วนี้ให้เศร้าหมอง
ทั้งพวกภิกษุที่มีคุณอันเลว โวหารจัด แกล้วกล้า มีกำลังมาก ปากกล้า
ไม่ได้ศึกษาเล่าเรียน (ตามพระไตรปิฎก) ก็จักมีขึ้นในสังฆมณฑล

ภิกษุทั้งหลายในสังฆมณฑล แม้ที่มีคุณความดี มีโวหารโดยสมควรแก่เนื้อความ
มีความละอายบาป ไม่ต้องการอะไรๆ ก็จักมีกำลังน้อย

ภิกษุทั้งหลายในอนาคตที่ทรามปัญญา ก็จะพากันยินดีเงินทอง ไร่นา ที่ดิน แพะ แกะ
และคนใช้หญิงชาย จักเป็นคนโง่มุ่งแต่จะยกโทษคนอื่น
ไม่ดำรงมั่นอยู่ในศีล ถือตัว โหดร้าย เที่ยวยินดีแต่การทะเลาะวิวาท
จักมีใจฟุ้งซ่าน นุ่งห่มแต่จีวรที่ย้อมสีเขียว แดง เป็นคนลวงโลก กระด้าง
เป็นผู้แส่หาแต่ลาภผล เที่ยวชูเขาคือมานะ ทำตนดั่งพระอริยเจ้าท่องเที่ยวไปอยู่.....
จักเป็นผู้มุ่งแต่ลาภผล เป็นคนเกียจคร้าน มีความเพียรเลวทราม
เห็นการอยู่ป่าอันสงัดเป็นความลำบาก จักใคร่อยู่ในเสนาสนะที่ใกล้บ้าน
ภิกษุเหล่าใดยินดีมิจฉาชีพ จักได้ลาภเสมอๆ จักพากันประพฤติตามภิกษุเหล่านั้น
เที่ยวคบหาราชสกุล (คนที่มีหน้าตาในสังคม) เป็นต้น เพื่อให้เกิดลาภแก่ตน ไม่สำรวมอินทรีย์

อนึ่ง ในอนาคตกาล ภิกษุทั้งหลายจะไม่บูชาพวกภิกษุที่มีลาภน้อย
จักไม่สมคบภิกษุที่เป็นนักปราชญ์มีศีลเป็นที่รัก...

ถ้าไม่ถูกใจใครขอประทานอภัยเพราะอ่านพระไตรปิฎกแล้ว พระอรหันต์สมัยก่อนเขียนไว้แบบนี้จริง ๆ อ้อแถมท้ายด้วยเรื่องของพระสงฆ์ทีเรียนทางโลก

พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้าที่ 65

เรื่องเรียนคัมภีร์โลกายตะ
[ ๑๘๑] สมัยนั้น พระฉัพพัคคีย์เรียนคัมภีร์โลกายตะ ชาวบ้าน
เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า...เหมือนคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม ภิกษุทั้งหลาย
ได้ยินชาวบ้านเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ . . . จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่
พระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้า. . .ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ที่เห็นคัมภีร์
โลกายตะ ว่ามีสาระจะพึงถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ในธรรมวินัยนี้หรือ.
ภิ. ไม่อย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. อันผู้ที่เห็นธรรมวินัยนี้ว่ามีสาระ จะพึงเล่าเรียนคัมภีร์โลกายตะ
หรือ.
ภิ. ไม่อย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงเรียนคัมภีร์โลกายตะ รูปใดเรียน
ต้องอาบัติทุกกฏ.

พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้าที่ 66

[๑๘๒] สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์สอนคัมภีร์โลกายตะ ชาวบ้าน
เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า.. .เหมือนพวกคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม. ..ภิกษุ
ทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงสอน
คัมภีร์โลกายตะ รูปใดสอน ต้องอาบัติทุกกฏ.

ท่านที่เป็นพระที่เรียนทางโลกช่วยหาพระสูตรที่พระพุทธองค์อนุญาตให้เรียนมาให้อ่านหน่อยนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ค. 2009, 15:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 เม.ย. 2009, 19:25
โพสต์: 579

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณเจ้าของกระทู้ ช่างใจสูงดีแท้ :b5:

หากเป็นผม รู้ว่าพระรูปไหน กล้าที่จะจับมือผู้หญิง
ที่เขากำลังใส่บาตร ด้วยเจตนาล่วงละเมิด อย่างไร้ยางอาย
และไร้ความเกรงกลัว พระอย่างนี้ไม่น่าจะมีความเป็นพระเหลืออยู่อีกแล้ว

ขนาดในที่โจ่งแจ้ง และกับคนที่ไม่รู้จัก แถมเป็นเวลาที่เขากำลังทำบุญ
ตั้งจิตเพื่อบุญ พระรูปนั้นยังไม่ยอมห้ามใจตัวเอง นับประสาอะไรในที่ลับ
จะไม่กล้าทำบาปที่หนักกว่านี้


ผมจะไม่ยอมใส่บาตรพระรูปนี้อีก เพราะเป็นเหมือนเชื้อโรคทำลายศาสนา
เขาอาศัยร่มเงาศาสนา มีศาสนาเป็นที่พึ่งอาศัย แต่เขากลับทำลาย
ศาสนาเสียเอง คนอย่างนี้ ขนาดเป็นฆราวาสก็ยังคบไม่ได้

หากไม่มีพระดีๆเหลืออยู่ สำหรับจะได้ใส่บาตร
ผมก็จะเลิกใส่ และหาวิธีสร้างกุศลอย่างอื่นแทน


ศาสนานี้ ไม่ต้องการพระเยอะ แต่ต้องการพระแท้

เยอะแต่ไม่แท้ ศาสนามีแต่เสื่อมและมัวหมอง
ผู้คนทั้งหลาย ตลอดถึงลูกหลานในภายภาคหน้า จะหมดศรัทธา
จนพระสงค์ เริ่มไม่มีราคาในสังคม และใครก็ไม่อยากเอาเป็นที่พึ่ง


แท้แต่ไม่เยอะ ศรัทธาจะค่อยๆมั่นคง ลูกหลานก็จะมีที่พึ่งที่เคารพ
ศาสนาก็ยังมีความอบอุ่นร่มเย็น และน่าภาคภูมิใจ


พระรูปไหนไม่ดี ส่งเสริมให้อยู่ในศาสนา ท่านก็มีแรง
สร้างความมัวหมองให้ศาสนาได้มากขึ้น และนานขึ้น

ผมคงใจไม่กว้างพอ ที่จะให้อภัย และทำไม่รู้ไม่ชี้ได้

แต่ยังไงก็ขอสาธุด้วยกับทุกท่านที่ใจสูง ครับ

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ค. 2009, 15:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

กรัชกาย เขียน:
...ตัวเราเองก็เวียนแบบนี้แหละครับ เกิดมา...โต...แล้วก็ตาย...แล้วก็เกิดอีก...โตอีก...ตายอีก นี่พระท่านแสดงธรรมนะครับนี่...


ผมเห็นด้วยครับ
แม่ค่าที่ขายของอยู่ที่ตลาด
ก็ได้พระท่านนี้แหละครับ
จึงขายของได้


ทำไปเถอะครับบุญ
มันมีผลที่เราจะได้รับอยู่แล้ว
อย่างน้อยก็...ทำให้เราสบายใจขึ้นครับ


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ค. 2009, 21:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


บัวศกล เขียน:
คุณเจ้าของกระทู้ ช่างใจสูงดีแท้ :b5:

หากเป็นผม รู้ว่าพระรูปไหน กล้าที่จะจับมือผู้หญิง
ที่เขากำลังใส่บาตร ด้วยเจตนาล่วงละเมิด อย่างไร้ยางอาย
และไร้ความเกรงกลัว พระอย่างนี้ไม่น่าจะมีความเป็นพระเหลืออยู่อีกแล้ว

ขนาดในที่โจ่งแจ้ง และกับคนที่ไม่รู้จัก แถมเป็นเวลาที่เขากำลังทำบุญ
ตั้งจิตเพื่อบุญ พระรูปนั้นยังไม่ยอมห้ามใจตัวเอง นับประสาอะไรในที่ลับ
จะไม่กล้าทำบาปที่หนักกว่านี้


ผมจะไม่ยอมใส่บาตรพระรูปนี้อีก เพราะเป็นเหมือนเชื้อโรคทำลายศาสนา
เขาอาศัยร่มเงาศาสนา มีศาสนาเป็นที่พึ่งอาศัย แต่เขากลับทำลาย
ศาสนาเสียเอง คนอย่างนี้ ขนาดเป็นฆราวาสก็ยังคบไม่ได้

หากไม่มีพระดีๆเหลืออยู่ สำหรับจะได้ใส่บาตร
ผมก็จะเลิกใส่ และหาวิธีสร้างกุศลอย่างอื่นแทน


ศาสนานี้ ไม่ต้องการพระเยอะ แต่ต้องการพระแท้

เยอะแต่ไม่แท้ ศาสนามีแต่เสื่อมและมัวหมอง
ผู้คนทั้งหลาย ตลอดถึงลูกหลานในภายภาคหน้า จะหมดศรัทธา
จนพระสงค์ เริ่มไม่มีราคาในสังคม และใครก็ไม่อยากเอาเป็นที่พึ่ง


แท้แต่ไม่เยอะ ศรัทธาจะค่อยๆมั่นคง ลูกหลานก็จะมีที่พึ่งที่เคารพ
ศาสนาก็ยังมีความอบอุ่นร่มเย็น และน่าภาคภูมิใจ


พระรูปไหนไม่ดี ส่งเสริมให้อยู่ในศาสนา ท่านก็มีแรง
สร้างความมัวหมองให้ศาสนาได้มากขึ้น และนานขึ้น

ผมคงใจไม่กว้างพอ ที่จะให้อภัย และทำไม่รู้ไม่ชี้ได้

แต่ยังไงก็ขอสาธุด้วยกับทุกท่านที่ใจสูง ครับ

:b8: :b8: :b8:



ขออภัยด้วยค่ะ ไม่ใช่พี่วรรณค่ะ แต่เป็น walaiporn เองค่ะ คือเป็นคนมองในแง่ดีค่ะ มองว่า ท่านไม่ได้เจตนา ท่านเองเอื้อมมือมาคว้าของแล้วไม่ทันมอง คือท่านอาจจะขาดการสำรวมไปนิดหนึ่ง ของมันอาจจะพลาดกันได้ค่ะ ก็เลยกลายเป็นรวบมือไปเต็มๆ คิดดูละกัน ถ้าเราตกใจปล่อยของหลุดจากมือของต้องร่วงลงพื้นแน่นอน ไหนของจะเสีย ไหนจิตจะเกิดอกุศล แล้วมีประโยชน์อะไรล่ะคะ แต่ก็มีผลนะคะ ทำให้ท่านสำรวมมากขึ้น เดี๋ยวนี้ท่านรอให้โยมใส่บาตรจนเรียบร้อยก่อน ถึงจะเก็บของใส่ย่าม ...

ตัวผู้ใส่บาตรเองก็ได้บุญไปเต็มๆ เพราะจิตตั้งใจใส่ แล้วจิตไม่เกิดการกระเพื่อมเมื่อเกิดเหตุการณ์นั้น ความคิดที่เป็นอกุศลนิดเดียวก็ไม่มี ..

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ค. 2009, 22:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 เม.ย. 2009, 19:25
โพสต์: 579

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออภัยคุณเจ้าของกระทู้ และคุณwalaipornด้วยนะครับ
ที่บัวศกล จำสับสน แล้วพาทพิงถึงผิดคน ทั้งที่ไม่น่าผิด

เนื่องด้วยว่า บัวศกลมีโรคประจำตัวมาตั้งแต่เล็กยันเกือบจะแก่แล้วคือ
โรคชอบตายน้ำตื้น

ขอบคุณที่ประทานความหน้าแตกให้ ขอรับทราบด้วยความซาบซึ้งครับ

จริงๆแกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้ก็ได้นี่นา หรือไม่แค่บอกใบ้ก็ได้
บัวศกลเขิน และอายเป็นเหมือนกันนะจ๊ะ


หากมีคราวหน้าแค่กระซิบก็พอนะค่ะ คุณwalaiporn

:b15: :b15: :b15:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ค. 2009, 23:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


บัวศกล เขียน:
ขออภัยคุณเจ้าของกระทู้ และคุณwalaipornด้วยนะครับ
ที่บัวศกล จำสับสน แล้วพาทพิงถึงผิดคน ทั้งที่ไม่น่าผิด

เนื่องด้วยว่า บัวศกลมีโรคประจำตัวมาตั้งแต่เล็กยันเกือบจะแก่แล้วคือ
โรคชอบตายน้ำตื้น

ขอบคุณที่ประทานความหน้าแตกให้ ขอรับทราบด้วยความซาบซึ้งครับ

จริงๆแกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้ก็ได้นี่นา หรือไม่แค่บอกใบ้ก็ได้
บัวศกลเขิน และอายเป็นเหมือนกันนะจ๊ะ


หากมีคราวหน้าแค่กระซิบก็พอนะค่ะ คุณwalaiporn

:b15: :b15: :b15:



ขอโทษจริงๆค่ะคุณบัวศกล ไม่มีมีจิตเจตนาที่จะทำให้คุณหน้าแตกแต่อย่างใดจริงๆค่ะ ขออโหสิกรรมมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ :b8:

อื่มมม ... จริงๆแล้ว อยากจะพูดต่อ แต่คิดว่าไม่พูดดีกว่าค่ะ ขอโทษอีกครั้งค่ะ :b8:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ค. 2009, 23:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมชื่อชาติสยามครับ
(เผื่ออยากรู้)
:b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ค. 2009, 06:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ชาติสยาม เขียน:
ผมชื่อชาติสยามครับ
(เผื่ออยากรู้)
:b1:



ยินดีที่รู้จักค่ะคุณชาติสยาม :b1:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ค. 2009, 06:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 พ.ย. 2008, 17:20
โพสต์: 1051

งานอดิเรก: อ่านหนังสือธรรมะ
อายุ: 0
ที่อยู่: Bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


:b16: คุณคามินธรรมเป็นคุณชาติสยาม แล้วเราคงต้องเป็นคุณไพลินนะคะ :b32: :b32:

.....................................................
    มีสิ่งใด น่าโกรธ อย่าโทษเขา.... ต้องโทษเรา ที่ใจ ไม่เข้มแข็ง
    เรื่องน่าโกรธ แม้ว่า จะมาแรง ....ถ้าใจแข็ง เหนือกว่า ชนะมัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2009, 19:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ม.ค. 2009, 09:03
โพสต์: 81


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอให้พิจารณากันอีกที่ว่าพวกที่เดินตามห้างสรรพสินค้า พวกที่เดินถือโน๊ตบุ๊ค พวกที่ยืนตามหน้าตลาดแล้วมีรถเข็น เป็นอะไร ? สมควรให้สึกให้หมดดีกว่าแม้ว่าจะมีเพียงสงฆ์ที่บริสุทธิ์องค์เดียวก็ยังดำรงพระศาสนาได้ต่อไปอย่างบริสุทธิ์ผุดผ่องและยินดีในการเลื่อมใส และอย่าลืมว่าพระพุทธองค์ทรงบำเพ็ญเพียรมา กว่าจะได้ตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้า ผู้รู้แจ้งโลก อย่าอาจเอื้อมนำเอาพระรัตนตรัยมาใช้ผิดทางกันเลย เลิกเสียเถอะท่าน ๆ .....บาปนั้นไม่เคยกลัวใครนะ และพวกโยมที่ไม่ตรวจสอบศีลของพวกนี้ให้ดีจะได้ไปอยู่ด้วยกัน ดังเช่นโยมที่บำรุงเลื่อมใส ในพระเทวทัตนั่นแหละไปด้วยกันโน่น ....

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้าที่ 338

๔. การเคารพยำเกรงต่อบิณฑบาต

เมื่อพิจารณาความเคารพยำเกรงต่อบิณฑบาตอย่างนี้ว่า มนุษย์เหล่าใด

บำรุงเธอด้วยปัจจัยมีบิณฑบาตเป็นต้น มนุษย์เหล่านั้นนี้ ก็ไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่

ทาส และคนงานของเธอเลย ทั้งมนุษย์เหล่านั้นก็มิใช่ถวายปัจจัยมีจีวรเป็นต้น

อันประณีตแก่เธอ ด้วยคิดว่าจักอาศัยเธอเลี้ยงชีวิต โดยที่แท้ เขาหวังให้อุปการะ

ที่ตนทำแล้วมีผลมาก จึงถวาย แม้พระศาสดาก็มิได้ทรงพิจารณาเห็นอย่างนี้

ว่า ภิกษุนี้บริโภคปัจจัยเหล่านี้แล้ว จักมีร่างกายแข็งแรงมากอยู่เป็นสุข ดังนี้

แล้วทรงอนุญาตปัจจัยแก่เธอ โดยที่แท้ พระองค์ทรงพิจารณาเห็นว่า ภิกษุ

บริโภคปัจจัยเหล่านี้ บำเพ็ญสมณธรรม จักพ้นจากทุกข์ในวัฏฏะได้ดังนี้ จึง

ทรงอนุญาตปัจจัยไว้ เดี๋ยวนี้ เธอเกียจคร้านอยู่ ไม่เคารพยำเกรงบิณฑบาต

นั้น ขึ้นชื่อว่าการเคารพยำเกรงต่อบิณฑบาต ย่อมมีแก่ผู้ปรารภความเพียรเท่า

นั้น ดังนี้ วิริยสัมโพชฌงค์ ก็เกิดได้ เหมือนวิริยสัมโพชฌงค์ เกิดแก่ท่าน

พระมหามิตตเถระฉะนั้น.

เรื่องพระมหามิตตเถระ

เล่ากันว่า พระเถระอาศัยอยู่ในถ้ำชื่อ กสกะ. และมหาอุบาสิกาผู้หนึ่ง

ในบ้านเป็นที่โคจรของท่าน บำรุงพระเถระเหมือนบุตร. วันหนึ่ง นางจะไปป่า

จึงสั่งลูกสาวว่า ลูก ข้าวสารเก่าอยู่โน้น น้ำนม เนยใส น้ำอ้อย อยู่โน้น เวลา

ที่พระเป็นเจ้ามิตตะ พี่ชายของเจ้ามาแล้ว จงปรุงอาหารถวายพร้อมด้วยน้ำนม

เนยใส และน้ำอ้อย ด้วยนะลูก. ลูกสาวถามว่า ก็แม่จะรับประทานไหมจ๊ะ.

มหาอุบาสิกาตอบว่า ก็เมื่อวานนี้ แม่รับประทานอาหารสำหรับค้างคืน

(ปาริวาสกภัต) ที่ปรุงกับน้ำส้มแล้วนี้จ๊ะ. ลูกสาวถามว่า แม่จักรับประทาน

กลางวันไหมจ๊ะ. มหาอุบาสิกาสั่งว่า เจ้าจงใส่ผักดองแล้วเอาปลายข้าวสาร


พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้าที่ 339

ต้มข้าวต้มมีรสเปรี้ยวเก็บไว้ให้เถอะลูก. พระเถระครองจีวรแล้ว กำลังนำบาตร

ออก (จากถลก) ได้ยินเสียงนั้นแล้ว ก็สอนตนเองว่า ได้ยินว่า มหาอุบาสิกา

รับประทานแต่อาหารสำหรับค้างคืนกับน้ำส้ม แม้กลางวันก็จักรับประทาน

ข้าวต้มเปรี้ยวใส่ผักดอง นางบอกอาหารมีข้าวสารเก่าเป็นต้น เพื่อประโยชน์

แก่เธอ ก็มหาอุบาสิกานั้นมิได้หวังที่นาที่สวน อาหาร และผ้า เพราะอาศัย

เธอเลย แต่ปรารถนาสมบัติ ๓ ประการ (มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ นิพพาน

สมบัติ) จึงถวาย เธอจักสามารถให้สมบัติเหล่านั้นแก่มหาอุบาสิกานั้นได้หรือ

ไม่เล่า ดังนี้ ท่านคิดว่า บิณฑบาตนี้แล เธอยังมีราคะ โทสะ โมหะ อยู่

ไม่อาจรับได้ดังนี้แล้ว ก็เก็บบาตรเข้าถลก ปลดดุมจีวร กลับไปถ้ำกสกะเลย

เก็บบาตรไว้ใต้เตียง พาดจีวรไว้ที่ราวจีวร นั่งลงอธิษฐานความเพียรว่า เราไม่

บรรลุพระอรหัต จักไม่ออกไปจากถ้ำดังนี้. ภิกษุผู้ไม่ประมาทอยู่มาช้านาน

เจริญวิปัสสนา ก็บรรลุพระอรหัตก่อนเวลาอาหารเช้า เป็นพระมหาขีณาสพ

(สิ้นอาสวะแล้ว) นั่งยิ้มอยู่ เหมือนดอกปทุมที่กำลังแย้มฉะนั้น. เทวดาผู้สิงอยู่

ที่ต้นไม้ใกล้ประตูถ้ำเปล่งอุทานว่า

นโม เต ปุริสาชญฺ นโม เต ปุริสุตฺตม

ยสฺส เต อาสวา ขีณา ทกฺขิเณยฺโยสิ มาริส

ท่านบุรุษอาชาไนย ข้าพเจ้าขอนอบ

น้อมท่าน ท่านยอดบุรุษข้าพเจ้าขอนอบน้อม

ท่าน ข้าพเจ้าขอนอบน้อมท่านผู้มีอาสวะสิ้น

แล้ว ท่านผู้นิรทุกข์ ท่านเป็นผู้ควรทักษิณา-

ทาน ดังนี้

แล้วกล่าวว่า ท่านเจ้าข้า พวกหญิงแก่ถวายอาหารแก่พระอรหันต์ทั้งหลาย เช่น

ท่านผู้เข้าไปบิณฑบาต จักพ้นจากทุกข์ได้ ดังนี้.



พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้าที่ 340
พระเถระลุกขึ้นเปิดประตูดูเวลา ทราบว่า ยังเช้าอยู่ จึงถือบาตร

และจีวรเข้าสู่หมู่บ้าน ฝ่ายเด็กหญิง. จัดเตรียมอาหารเสร็จแล้ว นั่งคอยดูอยู่ตรง

ประตู ด้วยนึกว่า ประเดี๋ยวพี่ชายเราคงจักมา ประเดี๋ยวพี่ชายเราคงจักมา.

เมื่อพระเถระมาถึงประตูเรือนแล้ว เด็กหญิงนั้น ก็รับบาตรบรรจุเต็มด้วยอาหาร

เจือน้ำนม ที่ปรุงด้วยเนยใส และน้ำอ้อยแล้ว วางไว้บนมือ (ของพระเถระ).

พระเถระทำอนุโมทนาว่า จงมีสุขเถิด แล้วก็หลีกไป. เด็กหญิงนั้นยืนจ้องดูท่าน

อยู่แล้ว. ความจริง ในคราวนั้น ผิวพรรณของพระเถระบริสุทธิ์ยิ่งนัก อินทรีย์

ผ่องใส หน้าของท่านเปล่งปลั่งยิ่งนัก ประดุจผลตาลสุกหลุดออกจากขั้วฉะนั้น.

มหาอุบาสิกากลับมาจากป่าถามว่า พี่ชายของเจ้ามาแล้วหรือลูก เด็กหญิงนั้นก็

เล่าเรื่องทั้งหมดให้มารดาฟัง. มหาอุบาสิกาก็รู้ได้ว่า วันนี้ บรรพชิตกิจแห่ง

บุตรของเราถึงที่สุดแล้ว จึงกล่าวว่า ลูก พี่ชายของเจ้ายินดียิ่งนักในพระพุทธ-

ศาสนา ไม่กระสัน (อยากสึก) แล้วละดังนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2009, 23:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

สาธุ สาธุ สาธุ ครับ

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 27 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร