วันเวลาปัจจุบัน 27 ก.ค. 2025, 13:37  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 280 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 7, 8, 9, 10, 11, 12, 13 ... 19  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ต.ค. 2016, 12:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
:b1:
การเข้าใจความจริงตามคำสอนต้องเข้าใจตามธรรมที่จิตตนกำลังมี
ความเห็นไม่ตรงคำสอนมีเป็นปกติในชีวิตประจำวันมีจริงๆเป็นธัมมะ
ความเห็นถูกตรงตามคำสอนเกิดจากการเริ่มคิดไตร่ตรองตามคำสอน
ว่าทุกอย่างเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มีจริงๆไม่มีใครเป็นเจ้าของเลย
มีแต่สภาพธรรมที่มีเกิดขึ้นชั่วคราวและดับไปทีละ1ทางผ่านอายตนะหก
เป็นจิต+เจตสิก+รูป+นิพพานตามที่จิตแต่ละดวงสะสมเป็นอกุศลหรือกุศล
ต้องจำเพราะรู้ตรงความจริงตามเป็นจริงที่จิตตนกำลังมีตรงกับคำไหนในคำสอน
onion onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ต.ค. 2016, 08:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:

ความเห็นผิดยึดผิดว่ารูป นาม กาย ใจนี้เป็นอัตตา ตัวกูของกูนี้ เป็นสิ่งที่ปิดบังความเห็นถูกต้องหรือ อนัตตา อยู่ เปรียบเหมือนสิ่งของที่ทับคลุมหรือปิดบังกันอยู่ คล้ายกะลาครอบกบไว้ คล้ายก้อนเมฆบังพระอาทิตย์ คล้ายโลงที่บังศพอยู่ข้างใน คล้ายฝาชีบังอาหารที่วางไว้ข้างใต้ เมื่อยกสิ่งปิดบังออกก็จะเห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใน


แต่มิจฉาทิฏฐิที่บังสัมมาทิฏฐิไว้นี้มีความซับซ้อนมากกว่าสิ่งของธรรมดาๆที่บังกันอยู่ เพราะมันบังด้วยความปรุงแต่งอันวิจิตรพิสดารจากการทำงานของจิตที่ตกอยู่ใต้อำนาจของอัตตา การจะเพิกถอนอุปาทานความเห็นผิดที่ปิดบังอนัตตาไว้นี้จึงแค่เรียนรู้เอา คิดเอาไม่ได้ ต้องเข้าไปเผชิญหน้ากับความเป็นจริงคือทุกขสัจจะ ที่กำลังแสดงอยู่ภายในกายและจิตแล้วพัฒนาสติปัญญาโดยเฉพาะอย่างยิ่งความสังเกต พิจารณาให้มีความคมกล้าเฉียบแหลมจนไล่ทันมารยาของอัตตาและกิเลสอันเป็นลูกน้องทั้งหลาย จึงจะทันได้เห็นความจริงที่ถูกพวกมันช่วยกันปิดบังไว้

งานเอาสิ่งปิดบังอนัตตาออกนี้ท่านเรียกชื่อรวมไว้ว่า "วิปัสสนาภาวนา" ซึ่งเมื่อขยายความออกมาแล้วคือการเจริญมรรค 8 ...การเจริญสติปัฏฐาน 4 หรือการเจริญโพธิปักขิยธรรม 37 ประการไปตามครรลองแห่งอริยสัจ 4 ขอให้ท่านทั้งหลายพึงสนใจศึกษาสิ่งที่กล่าวมานี้ให้เข้าใจลึกซึ้ง ละเอียดละออ ก็จะเพียงพอแล้วที่จะนำตนให้พ้นวัฏฏะสงสารได้ทันในปัจจุบันชาตินี้


ท่านอโศกควรพูดเสียใหม่ คือ พูดว่า เห็นอนัตตาแล้วนั่นแหละ ภาพอัตตา (อัตตทิฏฐิ,อัตตวาทุปาทาน...) ก็หายไป ต้องเห็นความเป็นอนัตตา

ตราบใดที่ยังไม่เห็นสัจธรรมคือความที่รูปนาม,กายใจเป็นอนัตตาแล้ว ต่อให้คิดจนหัวปูดเป็นลูกมะกรูดมะนาวก็หาเข้าใจไม่ ข้อหนึ่งล่ะ

ข้อสอง ท่านอโศกยังไม่ทำอะไรเลย เพียงแต่อ้าง มรรค 8 ....สติปัฏฐาน 4 โพธิปักขิยธรรม 37...คิกๆ ดูแล้วขำ :b9:

ก็มรรค 8 ที่ว่าก็ดี สติปัฏฐาน 4 ก็ดี มันรวมอยู่ในชื่อโพธิปักขิยธรรม 37 นั่นแหละ เออ

ดู

โพธิปักขิยธรรม 37 ได้แก่

สติปัฏฐาน 4

สัมมัปปธาน 4

อิทธิบาท 4

อินทรีย์ 5

พละ 5

โพชฌงค์ 7

มรรคมีองค์ 8

ท่านอโศกนับสิ ครบ 37 ไหม นี่แหละเขาเรียกโพธิปักขิยธรรม

wink
โธ่เอ้ย!!!!!......นักวิชาการใหญ่ สำคัญว่าผู้อื่นไม่รู้ โง่กว่าตน

ที่ยกเอามรรค 8 สติปัฏฐาน 4 ขึ้นมาชี้ชัดนอกโพธิปักขิยธรรม 37 ประการนั้น ก็เพื่อช่วยให้คนใหม่ที่ไม่รู้จะได้ไม่มองข้ามไป เพราะคนส่วนใหญ่พอพูดเรื่องโพธิปักขิยธรรม 37 ประการแล้วจะทำหน้าเบ้ เลี่ยงหนีไปเรื่องอื่นเพราะนึกว่าเรื่องมันมากตั้ง 37 ประการ
onion
ไม่รู้ดี ไม่คล่องไม่ชำนาญในโพธิปักขิยธรรม 37 ประการ จะไม่มาพูดหรอกนะกรัชกาย

กรัชกายละรู้ละเอียดลึกซึ้งถึงความสัมพันธ์และความเป็นเหตุเป็นผลสนับสนุนกันไปตามลำดับชั้นของธรรมทั้ง 37 อย่างนี้หรือเปล่า?

กรัชกายรู้จัก คีย์เวิร์ด สำหรับการจำ โพธิปักขิยธรรม 37 ประการแล้วหรือยัง

34 25 17 18 สามสี่ สองห้า หนึ่งเจ็ด หนึ่งแปด
onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ต.ค. 2016, 08:08 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
:b1:
การเข้าใจความจริงตามคำสอนต้องเข้าใจตามธรรมที่จิตตนกำลังมี
ความเห็นไม่ตรงคำสอนมีเป็นปกติในชีวิตประจำวันมีจริงๆเป็นธัมมะ
ความเห็นถูกตรงตามคำสอนเกิดจากการเริ่มคิดไตร่ตรองตามคำสอน
ว่าทุกอย่างเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มีจริงๆไม่มีใครเป็นเจ้าของเลย
มีแต่สภาพธรรมที่มีเกิดขึ้นชั่วคราวและดับไปทีละ1ทางผ่านอายตนะหก
เป็นจิต+เจตสิก+รูป+นิพพานตามที่จิตแต่ละดวงสะสมเป็นอกุศลหรือกุศล
ต้องจำเพราะรู้ตรงความจริงตามเป็นจริงที่จิตตนกำลังมีตรงกับคำไหนในคำสอน
onion onion onion

:b8:
สาธุ อนุโมทนากับสูตรสำเร็จเฉพาะตัวเพื่อการปฏิบัติธรรมให้บรรลุธรรมของ คุณ Rosarin นะครับ จงเผยแพร่ไป สักวันหนึ่งก็จะได้บุคคลหรือกลุ่มคนที่มีความเห็นและแนวทางคล้ายกันมารวมกันเป็นกลุ่มก้อนช่วยกันเผยแพร่ธรรมตามแนวทางที่คุณค้นพบนะครับ
:b27:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ต.ค. 2016, 08:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:

ความเห็นผิดยึดผิดว่ารูป นาม กาย ใจนี้เป็นอัตตา ตัวกูของกูนี้ เป็นสิ่งที่ปิดบังความเห็นถูกต้องหรือ อนัตตา อยู่ เปรียบเหมือนสิ่งของที่ทับคลุมหรือปิดบังกันอยู่ คล้ายกะลาครอบกบไว้ คล้ายก้อนเมฆบังพระอาทิตย์ คล้ายโลงที่บังศพอยู่ข้างใน คล้ายฝาชีบังอาหารที่วางไว้ข้างใต้ เมื่อยกสิ่งปิดบังออกก็จะเห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใน


แต่มิจฉาทิฏฐิที่บังสัมมาทิฏฐิไว้นี้มีความซับซ้อนมากกว่าสิ่งของธรรมดาๆที่บังกันอยู่ เพราะมันบังด้วยความปรุงแต่งอันวิจิตรพิสดารจากการทำงานของจิตที่ตกอยู่ใต้อำนาจของอัตตา การจะเพิกถอนอุปาทานความเห็นผิดที่ปิดบังอนัตตาไว้นี้จึงแค่เรียนรู้เอา คิดเอาไม่ได้ ต้องเข้าไปเผชิญหน้ากับความเป็นจริงคือทุกขสัจจะ ที่กำลังแสดงอยู่ภายในกายและจิตแล้วพัฒนาสติปัญญาโดยเฉพาะอย่างยิ่งความสังเกต พิจารณาให้มีความคมกล้าเฉียบแหลมจนไล่ทันมารยาของอัตตาและกิเลสอันเป็นลูกน้องทั้งหลาย จึงจะทันได้เห็นความจริงที่ถูกพวกมันช่วยกันปิดบังไว้

งานเอาสิ่งปิดบังอนัตตาออกนี้ท่านเรียกชื่อรวมไว้ว่า "วิปัสสนาภาวนา" ซึ่งเมื่อขยายความออกมาแล้วคือการเจริญมรรค 8 ...การเจริญสติปัฏฐาน 4 หรือการเจริญโพธิปักขิยธรรม 37 ประการไปตามครรลองแห่งอริยสัจ 4 ขอให้ท่านทั้งหลายพึงสนใจศึกษาสิ่งที่กล่าวมานี้ให้เข้าใจลึกซึ้ง ละเอียดละออ ก็จะเพียงพอแล้วที่จะนำตนให้พ้นวัฏฏะสงสารได้ทันในปัจจุบันชาตินี้


ท่านอโศกควรพูดเสียใหม่ คือ พูดว่า เห็นอนัตตาแล้วนั่นแหละ ภาพอัตตา (อัตตทิฏฐิ,อัตตวาทุปาทาน...) ก็หายไป ต้องเห็นความเป็นอนัตตา

ตราบใดที่ยังไม่เห็นสัจธรรมคือความที่รูปนาม,กายใจเป็นอนัตตาแล้ว ต่อให้คิดจนหัวปูดเป็นลูกมะกรูดมะนาวก็หาเข้าใจไม่ ข้อหนึ่งล่ะ

ข้อสอง ท่านอโศกยังไม่ทำอะไรเลย เพียงแต่อ้าง มรรค 8 ....สติปัฏฐาน 4 โพธิปักขิยธรรม 37...คิกๆ ดูแล้วขำ :b9:

ก็มรรค 8 ที่ว่าก็ดี สติปัฏฐาน 4 ก็ดี มันรวมอยู่ในชื่อโพธิปักขิยธรรม 37 นั่นแหละ เออ

ดู

โพธิปักขิยธรรม 37 ได้แก่

สติปัฏฐาน 4

สัมมัปปธาน 4

อิทธิบาท 4

อินทรีย์ 5

พละ 5

โพชฌงค์ 7

มรรคมีองค์ 8

ท่านอโศกนับสิ ครบ 37 ไหม นี่แหละเขาเรียกโพธิปักขิยธรรม


โธ่เอ้ย!!!!!......นักวิชาการใหญ่ สำคัญว่าผู้อื่นไม่รู้ โง่กว่าตน

ที่ยกเอามรรค 8 สติปัฏฐาน 4 ขึ้นมาชี้ชัดนอกโพธิปักขิยธรรม 37 ประการนั้น ก็เพื่อช่วยให้คนใหม่ที่ไม่รู้จะได้ไม่มองข้ามไป เพราะคนส่วนใหญ่พอพูดเรื่องโพธิปักขิยธรรม 37 ประการแล้วจะทำหน้าเบ้ เลี่ยงหนีไปเรื่องอื่นเพราะนึกว่าเรื่องมันมากตั้ง 37 ประการ

ไม่รู้ดี ไม่คล่องไม่ชำนาญในโพธิปักขิยธรรม 37 ประการ จะไม่มาพูดหรอกนะกรัชกาย

กรัชกายละรู้ละเอียดลึกซึ้งถึงความสัมพันธ์และความเป็นเหตุเป็นผลสนับสนุนกันไปตามลำดับชั้นของธรรมทั้ง 37 อย่างนี้หรือเปล่า?

กรัชกายรู้จัก คีย์เวิร์ด สำหรับการจำ โพธิปักขิยธรรม 37 ประการแล้วหรือยัง

34 25 17 18 สามสี่ สองห้า หนึ่งเจ็ด หนึ่งแปด


เอาอีกแระ มีโค้ตมาอีกแระ คิกๆๆ ฟุ้งซ่านธรรมนะท่านอโศก

บอกให้ไปถ้ำเจียงดาว ไม่เชื่อ :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ต.ค. 2016, 03:59 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b37:
"...สัญญา กับ ปัญญา..."

พระธรรมเจดีย์ (จูม พันธุโล) ถาม : เวลาโลกธรรมทั้ง ๘ อย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น ผู้ที่ได้สดับแล้วเช่นข้าพเจ้าก็จำได้ว่า โลกธรรมทั้ง ๘ นี้ ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา แต่ทำไมในเวลาโลกธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น ใจข้าพเจ้าจึงยินดียินร้ายไปตามโลกธรรมทั้ง ๘ นั้น

ท่านพระอาจารยมั่น ภูริทัตโต ตอบ : ผู้ที่สดับฟังที่จำทรงปริยัติธรรมไว้ได้มากนั้น เป็นแต่จำเรื่องราวในพระพุทธศาสนาที่จะนำมาประพฤติปฏิบัติ แต่ยังไม่ได้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติอย่างพระอริยสาวก จึงละความยินดียินร้าย ในธรรมทั้ง ๘ ไม่ได้

พระธรรมเจดีย์ (จูม พันธุโล) ถาม : ข้าพเจ้าก็ปฏิบัติอยู่ คือเป็นผู้มีศีล มีธรรม และรู้เรื่องราวเข้าใจในคำสอนทั้งหลาย แต่ทำไมจึงละความยินดียินร้ายในโลกธรรมไม่ได้

ท่านพระอาจารยมั่น ภูริทัตโต ตอบ : ท่านรู้แต่ชั้นสัญญา ไม่รู้เห็นในชั้นปัญญา แต่สำคัญตนว่ารู้แล้ว เพราะนึกถึงธรรมเหล่าใดที่ได้จำทรงไว้ ก็ได้ความแจ่มแจ้งในชั้นสัญญา ไม่ใช่รู้เห็นตามความเป็นจริงซึ่งเป็นชั้นปัญญาเหมือนอย่างพระอริยสาวกที่ท่านได้เห็นความจริงคือ ไตรลักษณ์หรืออริยสัจ และได้ทำกิจตามหน้าที่ของอริยสัจทั้ง ๔ ด้วย จึงละความยินดียินร้ายในโลกธรรมทั้ง ๘ ไม่ได้

พระธรรมเจดีย์ (จูม พันธุโล) ถาม : ไตรลักษณ์และอริยสัจจ์นั้นข้าพเจ้าเข้าใจดี และอธิบายให้คนอื่นฟังอีกก็ได้ ทำไมจึงว่าข้าพเจ้าไม่รู้ หรือจะให้ข้าพเจ้าเทศน์ไตรลักษณ์และอริยสัจจ์ ๔ ให้ท่านฟังสักกัณฑ์ใหญ่ก็ได้

ท่านพระอาจารยมั่น ภูริทัตโต ตอบ : ข้าพเจ้าพูดถึงชั้นปัญญาของพระอริยสาวก ท่านก็พูดแต่ชั้นสัญญาอีกร่ำไป ท่านจงใคร่ครวญพิจารณาดูเองเถิด ถ้าความรู้ความเห็นของท่านไม่ใช่ชั้นสัญญา เป็นชั้นปัญญาแล้ว ก็คงละความยินดียินร้ายในโลกธรรมทั้ง ๘ ได้เหมือนอริยสาวก ที่ไหนจะเป็นปุถุชน

พระธรรมเจดีย์ (จูม พันธุโล) ถาม : ข้าพเจ้าไม่เข้าใจว่า ความรู้ชนิดไหนเป็นชั้นปัญญา เพราะข้าพเจ้านึกถึงธรรมทั้งหลายที่จำทรงไว้นั้น ก็ได้ความในคำสอนทั้งหลายอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง จึงสำคัญว่าเป็นชั้นปัญญา

ท่านพระอาจารยมั่น ภูริทัตโต ตอบ : ความจำทรงทั้งหลายไว้ได้มาก นี่เรียกว่าชั้นปริยัติ และนำคำสอนมาประพฤติปฏิบัติเจริญจรณะ ๑๕ จนแก่กล้าบริบูรณ์ขึ้นอีกแล้ว นี่เรียกว่าชั้นปฏิบัติ เมื่อวิชชาและวิมุตติเกิดขึ้น นี่เรียกว่าชั้นปฏิเวธ

พระธรรมเจดีย์ (จูม พันธุโล) ถาม : ข้าพเจ้าเข้าใจผิด และเป็นผู้ประมาทมาก ไม่ได้เจริญจรณะทั้ง ๑๕ ให้บริบูรณ์ ขึ้นในตน จึงไม่ถึงวิชชาและวิมุตติ ความศึกษาของข้าพเจ้า นั้นคงเป็นหมันเสียแล้ว

ท่านพระอาจารยมั่น ภูริทัตโต ตอบ : เมื่อท่านรู้ตัวได้เช่นนี้เป็นความดีสำคัญทีเดียว จะได้ตั้งใจเจริญจรณะ ๑๕ ให้แก่กล้าบริบูรณ์ จะได้ถึงซึ่งวิชชาและวิมุตติ

พระธรรมเจดีย์ (จูม พันธุโล) ถาม : จะทำในใจแยบคายได้อย่างไร จึงจะไม่ประมาทและมีความเพียรตั้งใจเจริญจรณะ ๑๕ ให้บริบูรณ์ขึ้น

ท่านพระอาจารยมั่น ภูริทัตโต ตอบ : ความไม่ประมาทก็มีอยู่ในจรณะ ๑๕ คือ ศรัทธา ศีล วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ก็พอครบสิกขา ๓ อยู่แล้ว แต่ท่านไม่เจริญให้มากขึ้น จึงไม่มีบริบูรณ์ในตน

พระธรรมเจดีย์ (จูม พันธุโล) ถาม : ข้อนั้นจริงอยู่ แต่ข้าพเจ้าคิดว่าจะต้องทำในใจให้แยบคายอย่างไรอีก เพื่อให้มีกำลังใจแข็งแรงและพากเพียรให้ยิ่งขึ้น ขอท่านจงแนะนำให้ข้าพเจ้ายินดีในความไม่ประมาท และเห็นภัยในความประมาท

ท่านพระอาจารยมั่น ภูริทัตโต ตอบ : ต้องพิจารณาให้เห็นภัยในสังสารวัฏฏ์ หรือพิจารณาเห็นภัยในทุคติและกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานว่า
ผู้ที่ประมาทแล้วนั้นต้องเวียนเกิดในวัฏฏะ ๓ เป็นเขตแดนแห่งมัจจุราชคือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ตายแล้วไปเกิดๆ แล้วแก่เจ็บตาย ไม่มีที่สุดเวียนอยู่ใน ๓ ภพ ๓ ภพนั้นลำบากมาก เพราะประกอบด้วยชาติ ชรา มรณะ สมัยใดเสพสัตบุรุษและฟังธรรมก็ทำกรรมเป็นบุญ จึงได้เกิดสุคติ สมัยใดเสพอสัตบุรุษก็ทำกรรมเป็นบาปเพราะผู้ที่ยังละอาสวะไม่ได้ก็ทำกรรมเป็นบาป ต้องไปเกิดในทุคติและกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน เสวยทุกขเวทนาหยาบกล้าเผ็ดร้อน เหลือที่จะพรรณนา เพราะยังไม่ปิดประตูอบาย คือยังไม่บรรลุโสดาปัตติผล เราจะประพฤติปฏิบัติได้ในเวลายังมีชีวิตอยู่เท่านั้น ถ้าความตายมาถึงเข้าก็ไม่มีโอกาสที่จะทำความดีได้ และลมหายใจก็ไม่ได้นัดกับเราว่า จะหยุดลงวันใด เพราะฉะนั้นเราจึงควรพากเพียรให้ถึงซึ่งมรรคและผล จะได้พ้นภัยในอบายและภัยในสงสารวัฏฏ์ ดังพระพุทธสุภาษิตในภัทเทกรัตตสูตร มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ หน้า ๓๔๙ ว่า..

อชฺเชว กิจฺมาตปฺปํ ควรรีบทำความเพียรในวันนี้ทีเดียว
โก ชญฺญา มรณํ สุเว ใครเล่าจะรู้ว่าความตายจะมีมาในวันพรุ่งนี้
น หิ โน สงฺครนฺเตน ความผัดเพี้ยนด้วยพญามัจจุราช
มหาเสเนน มจฺจุนา ผู้มีเสนาใหญ่นั้น ย่อมไม่ได้เลยทีเดียว

พระธรรมเจดีย์ (จูม พันธุโล) ถาม : ข้าพเจ้าฟังท่านบรรยายภัยในสังสารวัฏและภัยในอบายทำให้ข้าพเจ้าสะดุ้งกลัวและตั้งใจละความประมาท เจริญความไม่ประมาทให้สมบูรณ์ขึ้นในตน เพื่อถึงซึ่ง มรรคและผล

ท่านพระอาจารยมั่น ภูริทัตโต ตอบ : สาธุ ข้าพเจ้าขออนุโมทนาความตั้งใจชอบเช่นนั้นของท่านด้วย...

ที่มา : จากหนังสือ ธัมมานุธัมมปฏิบัติ ปฏิปัตติวิภาค
พระธรรมเจดีย์ (จูม พันธุโล) ถาม
ท่านพระอาจารยมั่น ภูริทัตโต ตอบ

onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ต.ค. 2016, 07:59 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


โมทนาสาธุที่เอามาโพสต์.. :b8: :b8: :b8:

โพสต์แล้ว....เข้าใจมั้ยนะ??

ยังจะนิ่งๆ อยู่อีกมั้ย?

การจะนิ่ง...นั้นนะ..นิ่งได้..แต่ต้องกำหนดก่อนว่าจะนิ่งเพื่ออะไร?

ที่ถูก...เพื่อให้เห็นอารมณ์ใจที่เกิดแต่ผัสสะ...

ก่อนที่จะแสดงอะไรตอบโต้กลับต่อผัสสะนั้นมีอะไรเป็นฐานของการตอบโต้นั้น...โกรธ..หงุดหงิด...พอใจหรือไม่พอใจ...กุศลหรืออกุศล?

การนิ่งเพื่อเห็นอารมณ์ต่อผัสสะใดใด...ในขั้นแรกๆ...ดูปฏิกิริยาของกายซึ่งหยาบกว่าเวทนา..จิต..จะง่ายกว่า

อย่างนี้เป็นต้น...จึงจะเรียกว่า..ปฏิบัติในมรรค...ข้อ..สัมมาวายามะด้วย..สติปัฏฐาน 4


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ต.ค. 2016, 08:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จะตั้งโจทก์ให้ท่านอโศกทำนะขอรับ :b14: เอ้า

ถ้าไฟไหม้บ้านตนเองอยู่ ท่านอโศกจะดับเลย หรือรอให้ถึงพรุ่งนี้มะรืนนี้มะเรื่องหนึ่งก่อนจึงค่อยดับ จึงค่อยโทรแจ้งหน่วยดับเพลิงขอรับ :b1:

ตอบสิขอรับ :b13:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ต.ค. 2016, 04:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


[quote="กบนอกกะลา"]โมทนาสาธุที่เอามาโพสต์.. :b8: :b8: :b8:

โพสต์แล้ว....เข้าใจมั้ยนะ??

ยังจะนิ่งๆ อยู่อีกมั้ย?

การจะนิ่ง...นั้นนะ..นิ่งได้..แต่ต้องกำหนดก่อนว่าจะนิ่งเพื่ออะไร?

ที่ถูก...เพื่อให้เห็นอารมณ์ใจที่เกิดแต่ผัสสะ...

ก่อนที่จะแสดงอะไรตอบโต้กลับต่อผัสสะนั้นมีอะไรเป็นฐานของการตอบโต้นั้น...โกรธ..หงุดหงิด...พอใจหรือไม่พอใจ...กุศลหรืออกุศล?

การนิ่งเพื่อเห็นอารมณ์ต่อผัสสะใดใด...ในขั้นแรกๆ...ดูปฏิกิริยาของกายซึ่งหยาบกว่าเวทนา..จิต..จะง่ายกว่า

อย่างนี้เป็นต้น...จึงจะเรียกว่า..ปฏิบัติในมรรค...ข้อ..สัมมาวายามะด้วย..สติปัฏฐาน 4[/quote
:b12:
ก็ยังต้องนิ่งรู้นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์อยู่ดีแหละนะกบ

เพราะการนิ่งรู้นิ่งสังเกตปัจจุบ้นอารมณ์นั้นมันเป็นหน้าที่โดยธรรมชาติของสติ ปัญญาและสมาธิ จะมีเราหรือกูไปสั่งหรือไม่ไปสั่งเขาก็ทำงานโดยธรรมชาติของเขาอย่างนั้น พึงสังเกตและเข้าใจเรื่องนี้ให้ดีๆ การเจริญมรรคจริงๆต้องเข้ามาถึงตรงนี้ มรรค 8 จึงจะเดินหรือหมุนเองตามธรรมชาติ


ในเรื่องที่ยกข้อสนทนาของหลวงปู่มั่นกับท่านจุมพโลนี้ก็เพื่อชี้เน้นในเรื่องบัญญัติกับปรมัตถ์ให้ชัดขึ้นจากปากคำของท่านผู้ปฏิบัติจริงถึงจริงให้กรัชกายและผู้ที่สนใจศึกษาได้รู้ได้สังเกตพิจารณา นอกเหนือจากที่มีในตำราและคัมภีร์
onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ต.ค. 2016, 05:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
จะตั้งโจทก์ให้ท่านอโศกทำนะขอรับ :b14: เอ้า

ถ้าไฟไหม้บ้านตนเองอยู่ ท่านอโศกจะดับเลย หรือรอให้ถึงพรุ่งนี้มะรืนนี้มะเรื่องหนึ่งก่อนจึงค่อยดับ จึงค่อยโทรแจ้งหน่วยดับเพลิงขอรับ :b1:

ตอบสิขอรับ :b13:

:b4:
ดีแล้ว ๆ ที่กรัชกายยกคำถามนี้มาถาม อันเป็นเหตุปัจจัยให้ได้แสดงธรรม

ปุถุชนทั้งหลายเปรียบเหมือนคนที่ไฟทุกข์ ไฟกิเลสตัณหา อัตตา กำลังลุกไหม้อยู่บนศีรษะของตนเองอยู่เลย ไม่ใช่ไฟไหม้บ้านอย่างที่กรัชกายเปรียบเทียบ

มีบุคคลอยู่ 2-3 กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้

กลุ่มที่ 1 คือพวกที่ถูกโมหะอวิชชาปิดบังตามืดบอดจนไม่รู้ตัวว่ากำลังมีไฟไหม้อยู่บนหัวของตัวเอง

กลุ่มที่ 2 ได้เรียนรู้ปริยัติคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วรู้โดยทฤษฎีว่า มีไฟลุกไหม้อยู่บนหัวของปุถุชนทุกคน รวมทั้งตัวเองด้วยแต่ไม่รู้ตัวไม่เจ็บแสบร้อนเพราะพิษไฟเนื่องจากหลงภูมิใจ ดีใจว่าตนได้รู้เรื่องดีๆอย่างนี้ จึงเที่ยววิ่งแล่นไปบอกกล่าวคนโน้นคนนี้ถึงวิธีดับไฟบนหัวตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ตั้ง 21,000 วิธีตามมีในพระสูตร จากนั้นก็มอมเมาตนเองให้ลืมเรื่องไฟไหม้หัว ด้วยความสำคัญผิดคิดว่าตัวเองได้สร้างมหากุศลอันยิ่งใหญ่ด้วยการก้อปปี้คำสอนของพระพุทธเจ้าในคัมภีร์มาบอกกล่าวผู้คน ตนต้องพ้นจากพิษไฟที่ไหม้ลามอยู่บนหัวนี้แน่ๆ

กลุ่มที่ 3 คือกลุ่มคนที่ฉลาดได้เรียนรู้ข้อธรรมแม้เพียงไม่กี่ข้อจากพระบรมศาสดาจนสามารถจับประเด็นธรรม แก่นคำสอน หลักการปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพระพุทธเจ้าได้จึงรีบนำมาใส่ใจลงมือปฏิบัติดัดกายใจตนเองจนไฟที่ลุกไหม้อยู่บนหัวของตัวเองดับไปมอดไป ทุกวี่วันก็มีงานถอนฟืน 1,500 ท่อน ดับไฟ 108 กองให้หมดไป สิ้นไป ลดน้อยถอยลงไปตลอดเวลา ที่ละ 1% 2% 3% ไปจนถึง 25% ก็ได้นั่งแท่นทางธรรม บรรเทาความร้อนจากพิษไฟ ได้พักจิตพักใจรวมพลังดับไฟถอนฟืนต่อไปอีกจนกว่าจะดับได้ 50% 75% และ 100% ในที่สุดคือถึงที่ที่ไฟและเชื้อไฟบนหัวหมดสิ้นดับสนิทไม่ลุกได้อีก

บุคคลกลุ่มที่ 3 นี้ยังต้องมีชีวิตเกี่ยวข้องกับเพื่อนมนุษย์ร่วมโลก ได้เห็นเพื่อนมนุษย์ที่กำลังมีไฟไหม้อยู่เต็มหัวลุกโชนอยู่ไม่รู้ตัว ไม่รู้จักวิธีดับไฟ จึงมีเมตตา กรุณา นำเอาประสบการณ์จริงวิธีการจริงๆที่ตนดับไฟถอนพิษไฟให้เบาบางจางลงได้ มาบอกกล่าวแบ่งปันแก่เพื่อนมนุษย์ผู้จมอยู่ในทุกข์ห้วงเดือดร้อนทั้งให้รู้ตัว รู้วิธีแล้วลงมือดับไฟบนหัวของตัวเองทันที สังเกตง่ายๆคนที่ดับไฟบนหัวตัวเองให้เบาบางได้บ้างหรือดับหมดไปแล้วท่านจะพูดสอนใช้บัญญัติตามภาษาพื้นฐานง่ายๆของชุมชนเชื้อชาตินั้นถ่ายทอดธรรมและวิธีดับไฟไปอาจไม่เหมือนสมมุติบัญญัติในคัมภีร์ที่พระพุทธเจ้าทรงสอน แต่เนื้อหาปรมัตถ์นั่นเป็นอันเดียวกัน
ช่างน่าอัศจรรย์ในธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ว่าเป็นสากล
สามารถสื่อออกได้ทุกภาษาและบัญญัติของโลกปัจจุบัน ไม่มีขีดขั้นใดๆจากใจคนที่ถึงธรรมแล้ว

onion
:b36:
:b37:
:b38:
หมายเหตุ: บุคคลประเภทที่ 1 ได้แก่ชาวโลกทั่วไปที่ไม่มีโอกาสได้พบพุทธศาสนาและศึกษาข้อธรรมคำสอนอันถูกต้องของพระพุทธเจ้า จับประเด็นได้แล้วเอามาใส่ใจลงมือประพฤติปฏิบัติจริงจนได้ถึงฝั่ง นั่งแท่นทางธรรม

บุคคลกลุ่มที่ 2 ก็อย่างเช่นกรัชกาย หรือใครต่อใครที่เป็นนักวิชาการใหญ่ ยึดคัมภีร์แน่นจนไม่ลืมหูลืมตาแล้วหลงตัวเองว่าใช่ ได้ถึงธรรมแล้วโดยคิดเอาตามหลักทฤษฎี มีบุญอันยิ่งใหญ่จากการก้อปปี้คัมภีร์มาบอกกล่าวสอนคนเป็นแรงหนุน
ชาตินี้คงประกันได้ว่าไม่ตกอบายแล้ว....กระหยิ่มใจอยู่ทั้งๆที่ประตูอบายยังเปิดโล่งสำหรับตนเอง

บุคคลกลุ่มที่ 3 มีใครบ้างก็ดู รู้เอาเองตามคุณสมบัติที่บอกแนะไว้
onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ต.ค. 2016, 20:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
จะตั้งโจทก์ให้ท่านอโศกทำนะขอรับ :b14: เอ้า

ถ้าไฟไหม้บ้านตนเองอยู่ ท่านอโศกจะดับเลย หรือรอให้ถึงพรุ่งนี้มะรืนนี้มะเรื่องหนึ่งก่อนจึงค่อยดับ จึงค่อยโทรแจ้งหน่วยดับเพลิงขอรับ :b1:

ตอบสิขอรับ :b13:

:b4:
ดีแล้ว ๆ ที่กรัชกายยกคำถามนี้มาถาม อันเป็นเหตุปัจจัยให้ได้แสดงธรรม

ปุถุชนทั้งหลายเปรียบเหมือนคนที่ไฟทุกข์ ไฟกิเลสตัณหา อัตตา กำลังลุกไหม้อยู่บนศีรษะของตนเองอยู่เลย ไม่ใช่ไฟไหม้บ้านอย่างที่กรัชกายเปรียบเทียบ

มีบุคคลอยู่ 2-3 กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้

กลุ่มที่ 1 คือพวกที่ถูกโมหะอวิชชาปิดบังตามืดบอดจนไม่รู้ตัวว่ากำลังมีไฟไหม้อยู่บนหัวของตัวเอง

กลุ่มที่ 2 ได้เรียนรู้ปริยัติคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วรู้โดยทฤษฎีว่า มีไฟลุกไหม้อยู่บนหัวของปุถุชนทุกคน รวมทั้งตัวเองด้วยแต่ไม่รู้ตัวไม่เจ็บแสบร้อนเพราะพิษไฟเนื่องจากหลงภูมิใจ ดีใจว่าตนได้รู้เรื่องดีๆอย่างนี้ จึงเที่ยววิ่งแล่นไปบอกกล่าวคนโน้นคนนี้ถึงวิธีดับไฟบนหัวตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ตั้ง 21,000 วิธีตามมีในพระสูตร จากนั้นก็มอมเมาตนเองให้ลืมเรื่องไฟไหม้หัว ด้วยความสำคัญผิดคิดว่าตัวเองได้สร้างมหากุศลอันยิ่งใหญ่ด้วยการก้อปปี้คำสอนของพระพุทธเจ้าในคัมภีร์มาบอกกล่าวผู้คน ตนต้องพ้นจากพิษไฟที่ไหม้ลามอยู่บนหัวนี้แน่ๆ

กลุ่มที่ 3 คือกลุ่มคนที่ฉลาดได้เรียนรู้ข้อธรรมแม้เพียงไม่กี่ข้อจากพระบรมศาสดาจนสามารถจับประเด็นธรรม แก่นคำสอน หลักการปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพระพุทธเจ้าได้จึงรีบนำมาใส่ใจลงมือปฏิบัติดัดกายใจตนเองจนไฟที่ลุกไหม้อยู่บนหัวของตัวเองดับไปมอดไป ทุกวี่วันก็มีงานถอนฟืน 1,500 ท่อน ดับไฟ 108 กองให้หมดไป สิ้นไป ลดน้อยถอยลงไปตลอดเวลา ที่ละ 1% 2% 3% ไปจนถึง 25% ก็ได้นั่งแท่นทางธรรม บรรเทาความร้อนจากพิษไฟ ได้พักจิตพักใจรวมพลังดับไฟถอนฟืนต่อไปอีกจนกว่าจะดับได้ 50% 75% และ 100% ในที่สุดคือถึงที่ที่ไฟและเชื้อไฟบนหัวหมดสิ้นดับสนิทไม่ลุกได้อีก

บุคคลกลุ่มที่ 3 นี้ยังต้องมีชีวิตเกี่ยวข้องกับเพื่อนมนุษย์ร่วมโลก ได้เห็นเพื่อนมนุษย์ที่กำลังมีไฟไหม้อยู่เต็มหัวลุกโชนอยู่ไม่รู้ตัว ไม่รู้จักวิธีดับไฟ จึงมีเมตตา กรุณา นำเอาประสบการณ์จริงวิธีการจริงๆที่ตนดับไฟถอนพิษไฟให้เบาบางจางลงได้ มาบอกกล่าวแบ่งปันแก่เพื่อนมนุษย์ผู้จมอยู่ในทุกข์ห้วงเดือดร้อนทั้งให้รู้ตัว รู้วิธีแล้วลงมือดับไฟบนหัวของตัวเองทันที สังเกตง่ายๆคนที่ดับไฟบนหัวตัวเองให้เบาบางได้บ้างหรือดับหมดไปแล้วท่านจะพูดสอนใช้บัญญัติตามภาษาพื้นฐานง่ายๆของชุมชนเชื้อชาตินั้นถ่ายทอดธรรมและวิธีดับไฟไปอาจไม่เหมือนสมมุติบัญญัติในคัมภีร์ที่พระพุทธเจ้าทรงสอน แต่เนื้อหาปรมัตถ์นั่นเป็นอันเดียวกัน
ช่างน่าอัศจรรย์ในธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ว่าเป็นสากล
สามารถสื่อออกได้ทุกภาษาและบัญญัติของโลกปัจจุบัน ไม่มีขีดขั้นใดๆจากใจคนที่ถึงธรรมแล้ว[/size][/color]

หมายเหตุ: บุคคลประเภทที่ 1 ได้แก่ชาวโลกทั่วไปที่ไม่มีโอกาสได้พบพุทธศาสนาและศึกษาข้อธรรมคำสอนอันถูกต้องของพระพุทธเจ้า จับประเด็นได้แล้วเอามาใส่ใจลงมือประพฤติปฏิบัติจริงจนได้ถึงฝั่ง นั่งแท่นทางธรรม

บุคคลกลุ่มที่ 2 ก็อย่างเช่นกรัชกาย หรือใครต่อใครที่เป็นนักวิชาการใหญ่ ยึดคัมภีร์แน่นจนไม่ลืมหูลืมตาแล้วหลงตัวเองว่าใช่ ได้ถึงธรรมแล้วโดยคิดเอาตามหลักทฤษฎี มีบุญอันยิ่งใหญ่จากการก้อปปี้คัมภีร์มาบอกกล่าวสอนคนเป็นแรงหนุน
ชาตินี้คงประกันได้ว่าไม่ตกอบายแล้ว....กระหยิ่มใจอยู่ทั้งๆที่ประตูอบายยังเปิดโล่งสำหรับตนเอง

บุคคลกลุ่มที่ 3 มีใครบ้างก็ดู รู้เอาเองตามคุณสมบัติที่บอกแนะไว้



ไม่เคยตอบตรงคำถามเลย

ถามใหม่นะ ไฟกำลังไหม้บ้านท่านอโศกอยู่จะดับทันทีหรือรอไว้ถึงพรุ่งนี้ก่อนจึงค่อยดับ จึงค่อยแจ้งสถานีดับเพลิง

มีช้อยให้เลือก

1. ดับทันที แจ้งสถานีดับเพลิงทันที

2. พรุ่งนี้ค่อยดับ ค่อยแจ้งสถานีดับเพลิง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ต.ค. 2016, 22:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
:b1:
การเข้าใจความจริงตามคำสอนต้องเข้าใจตามธรรมที่จิตตนกำลังมี
ความเห็นไม่ตรงคำสอนมีเป็นปกติในชีวิตประจำวันมีจริงๆเป็นธัมมะ
ความเห็นถูกตรงตามคำสอนเกิดจากการเริ่มคิดไตร่ตรองตามคำสอน
ว่าทุกอย่างเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มีจริงๆไม่มีใครเป็นเจ้าของเลย
มีแต่สภาพธรรมที่มีเกิดขึ้นชั่วคราวและดับไปทีละ1ทางผ่านอายตนะหก
เป็นจิต+เจตสิก+รูป+นิพพานตามที่จิตแต่ละดวงสะสมเป็นอกุศลหรือกุศล
ต้องจำเพราะรู้ตรงความจริงตามเป็นจริงที่จิตตนกำลังมีตรงกับคำไหนในคำสอน
onion onion onion

:b8:
สาธุ อนุโมทนากับสูตรสำเร็จเฉพาะตัวเพื่อการปฏิบัติธรรมให้บรรลุธรรมของ คุณ Rosarin นะครับ จงเผยแพร่ไป สักวันหนึ่งก็จะได้บุคคลหรือกลุ่มคนที่มีความเห็นและแนวทางคล้ายกันมารวมกันเป็นกลุ่มก้อนช่วยกันเผยแพร่ธรรมตามแนวทางที่คุณค้นพบนะครับ
:b27:

Kiss
:b16:
พระพุทธเจ้าสอนความจริงของสิ่งที่มีจริงที่เป็นธัมมะ
ที่เป็นจิตเกิดดับสืบต่อไม่ขาดสายทีละ1ขณะผ่านขันธ์5
ที่รับรู้ผ่านอายตนะ6ด้วยความไม่ใช่ตัวตนหรือชื่อสิ่งใดๆ
แต่เป็นจิต/เจตสิก/รูปและนิพพานที่พระองค์เข้าถึงทั้งหมด
ทรงแสดงความจริงให้ผู้ฟังรู้ความจริงได้ตามกำลังสติปัญญา
ไม่ว่าจะแสดงคำไหนในพระไตรปิฎกก็คือเดี๋ยวนี้ที่พระองค์มีแล้ว
ผู้ที่ศึกษาพึงรู้ตามเป็นจริงในสิ่งที่ตนมีว่าตรงกับคำไหนของพระองค์
เพราะพระธรรมที่ทรงแสดงต้องคิดและเข้าใจตามทีละคำตอนกำลังมีด้วย
การมีความเห็นถูกเข้าใจถูกตามความเป็นจริงเป็นสัมมาทิฏฐิคือมรรคแรกที่มี
onion onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ต.ค. 2016, 06:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b51:
ตัวอย่างคำสอนนอกพระไตรปิฎกจากผู้ที่ใจถึงธรรม ธรรมถึงใจ

ไม่จำเป็นต้องนั่งภาวนานานนับเป็นหลายชั่วโมง

บางคนคิดว่ายิ่งนั่งภาวนานานเท่าใด ก็ยิ่งจะเกิดปัญญามากเท่านั้น

ปัญญาที่แท้เกิดจากการที่เรามีสติในทุกๆ อิริยาบท

การฝึกปฏิบัติของท่านต้องเริ่มขึ้นทันทีที่ท่านตื่นนอนตอนเช้า

และต้องปฏิบัติให้ต่อเนื่องไปจนกระทั่งนอนหลับไป

อย่าไปห่วงว่าท่านต้องนั่งภาวนาให้นานๆ

สิ่งสำคัญก็คือ ท่านเพียงแต่เฝ้าดู

ไม่ว่าท่านจะเดินอยู่หรือนั่งอยู่ หรือกำลังเข้าห้องน้ำอยู่

แต่ละคนต่างก็มีทางชีวิตของตนเอง

บางคนต้องตายเมื่อมีอายุ ๕๐ ปี บางคนเมื่ออายุ ๖๕ ปี

และบางคนเมื่ออายุ ๙๐ ปี ฉันใดก็ฉันนั้น

ปฏิปทาของท่านทั้งหลายก็ไม่เหมือนกัน

อย่าคิดมากหรือกังวลใจในเรื่องนี้เลย

จงพยายามมีสติ และปล่อยทุกสิ่งให้เป็นไปตามปกติของมัน

แล้วจิตของท่านก็จะสงบมากขึ้นในสิ่งแวดล้อมทั้งปวง

มันจะสงบนิ่งเหมือนหนองน้ำใสในป่า

ที่บรรดาสัตว์ป่าสวยงามและหายาก จะมาดื่มน้ำในสระนั้น

ท่านจะได้เห็นความมหัศจรรย์

และแปลกประหลาดทั้งหลายเกิดขึ้นและดับไป

แต่ท่านก็จะสงบอยู่เช่นเดิม

ปัญหาทั้งหลายจะบังเกิดขึ้น แต่ท่านจะรู้ทันมันได้ทันที

นี่แหละคือศานติสุขของพระพุทธเจ้า

หลวงพ่อชา สุภัทโท

onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ต.ค. 2016, 02:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




1473058893144-600x600.jpg
1473058893144-600x600.jpg [ 131.82 KiB | เปิดดู 2333 ครั้ง ]
:b36:
คำสอนนอกคัมภีร์
onion
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ต.ค. 2016, 07:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




1477771005854.jpg
1477771005854.jpg [ 39.41 KiB | เปิดดู 2329 ครั้ง ]
:b8:
ธรรมะของจริง
onion
:b36:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ต.ค. 2016, 09:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b8:
ธรรมะของจริง
onion
:b36:


เพียงจินตนาการตามคำพูดของเค้า ก็เป็นเพียงคิดๆวาดภาพไป อุปมาเหมือนคนเมากัญชานอนวาดภาพก้อนเมฆที่ลอยไปลอยมาในอากาศเป็นรูปเสือ สิงห์ กระทิง แรด นก หนู เป็นต้นไปตามจินตนาการ= ตัณหา แล้วก็ยึดมั่นถือมั่นว่า นั่นแหละนก หนู จริงๆ = อุปาทาน ต่อนั้นก็สร้างภพ (ภว) ชาติ ชรามรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส แล้วก็หมุนวนเริ่มต้นที่อวิชชา (ความไม่รู้ = โฮ่) เป็นต้นอีก ทั้งปี ทั้งชีวิต :b13: :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 280 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 7, 8, 9, 10, 11, 12, 13 ... 19  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร