ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
วิสยรูป 7 http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=56203 |
หน้า 8 จากทั้งหมด 9 |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 28 ก.ค. 2018, 21:22 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วิสยรูป7 |
อ่านคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วน้ำตาจะไหล |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 28 ก.ค. 2018, 21:30 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วิสยรูป7 |
เมื่อดูเรื่องพื้นๆเห็นๆไม่เข้าใจ ต่อไปนี้ คงยากเข้าใจ แต่ไม่เป็นไรไหนๆก็ไหนๆแล้ว ดูฟรีไม่เสียเงิน สำหรับเรื่องนามธรรมที่ลึกลงไปกว่านั้น ก็ดังเช่น เรื่องในอปัณณกสูตร * (ม.ม.13/656/601) ซึ่งแสดงถึงการใช้หลักเลือกเอาที่ไม่พลาดไว้ก่อน หรือทำสิ่งที่ไม่พลาดเห็นชัดอยู่แน่ๆ แม้แต่ในการที่จะประพฤติปฏิบัติธรรม ดังนี้ พระพุทธเจ้า เสด็จจาริกถึงหมู่บ้านพราหมณ์ชื่อ สาลา พวกพราหมณ์คหบดีชาวหมู่บ้านนี้ ได้ทราบกิตติศัพท์ของพระองค์ จึงพากันไปเฝ้า แสดงอาการต่างๆ ในฐานะ อาคันตุกะที่ยังไม่ได้นับถือกัน พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า พระพุทธเจ้า: คหบดีทั้งหลาย พวกท่านมีศาสดาท่านใดท่านหนึ่งที่ถูกใจ ซึ่งท่านทั้งหลายมีศรัทธาอย่างมีเหตุผล (อาการวตีสัทธา) อยู่บ้างหรือไม่ ? พราหมณ์คหบดี: ไม่มีเลย ท่านผู้เจริญ พระพุทธเจ้า เมื่อ ท่านทั้งหลาย ยังไม่ได้ศาสดาที่ถูกใจ ก็ควรจะถือปฏิบัติหลักการที่ไม่ผิดพลาดแน่นอน (อปัณณกธรรม) ดังต่อไปนี้ ด้วยว่า อปัณณกธรรมนี้ เมื่อถือปฏิบัติถูกถ้วน จักเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขสิ้นกาลนาน หลักการที่ไม่ผิดพลาดแน่นอนนี้เป็นไฉน ?” สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีวาทะ มีทิฐิว่า ทานที่ให้แล้วไม่มีผล การบำเพ็ญทานไม่มีผล การบูชาไม่มีผล ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำไว้ดีทำไว้ชั่วไม่มี โลกนี้ไม่มี ปรโลกไม่มี มารดาไม่มี บิดาไม่มี ฯลฯ ส่วนสมณพราหมณ์ อีกพวกหนึ่ง มีวาทะ มีทิฐิ ที่เป็นข้าศึกโดยตรงกับสมณพราหมณ์พวกนั้นทีเดียวว่า ทานที่ให้แล้วมีผล การบำเพ็ญทานมีผล การบูชามีผล ฯลฯ ท่านทั้งหลายเห็นเป็นไฉน สมณพราหมณ์เหล่านี้ มีวาทะเป็นข้าศึกโดยตรงต่อกันมิใช่หรือ “ พราหมณ์คหบดี: ใช่อย่างนั้น พระพุทธเจ้า: สมณพราหมณ์ ๒ พวกนั้น พวกที่มีทิฐิว่า ทานที่ให้แล้วไม่มีผล การบำเพ็ญทาน ไม่ มีผล ฯลฯ สำหรับพวกนี้ เป็นอันหวังสิ่งต่อไปนี้ได้ คือ พวกเขาจะละทิ้ง กายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต อันเป็นกุศลธรรมทั้ง ๓ อย่างเสีย แล้วจะยึดถือประพฤติกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ซึ่งเป็นอกุศลธรรมทั้ง ๓ อย่าง ข้อนั้น เป็นเพราะเหตุอะไร ? ก็เพราะท่านสมณพราหมณ์เหล่านั้น ย่อมไม่มองเห็นโทษ ความทราม ความเศร้าหมอง แห่งอกุศลธรรม และอานิสงส์ในเนกขัมมะ อันเป็นคุณฝ่ายสะอาดผ่องแผ้วของกุศลธรรม” ในเรื่องนั้น คนที่เป็นวิญญูชน ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า “ถ้าปรโลกไม่มี ท่านผู้นี้ เมื่อแตกกายทำลายขันธ์ไป ก็ทำตนให้สวัสดี (ปลอดภัย) ได้ แต่ถ้าปรโลกมี ท่านผู้นี้ เมื่อแตกกายทำลายขันธ์ ก็จะเข้าถึง อบาย ทุคติ วินิบาต นรก เอาเถอะ ถึงว่าให้ปรโลกไม่มีจริงๆ ให้คำ ของท่านสมณพราหมณ์เหล่านั้น เป็นความจริงก็เถิด ถึงกระนั้น บุคคลผู้นี้ ก็ถูกวิญญูชนติเตียนได้ในปัจจุบันนี้เองว่า เป็นคนทุศีล มี มิจฉาทิฐิ เป็นนัตถิกวาท ก็ถ้าปรโลกมีจริง บุคคลผู้นี้ก็เป็นอันได้แต่ ข้อเสียหายทั้งสองด้าน คือ ปัจจุบันก็ถูกวิญญูชนติเตียน แตกกายทำลายขันธ์ไปแล้ว ก็เข้าถึง อบาย ทุคติ วินิบาต นรก อีกด้วย ฯลฯ สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีวาทะมีทิฐิว่า "ความดับภพหมดสิ้นไม่มี" ส่วนสมณพราหมณ์อีกพวกหนึ่ง ซึ่งมีวาทะมีทิฐิ ที่เป็นข้าศึกโดยตรงกับสมณพราหมณ์พวกนั้น กล่าวว่า "ความดับภพหมดสิ้นมีอยู่" ฯลฯ ในเรื่องนั้น คนที่เป็นวิญญู ย่อมพิจารณาดังนี้ว่า ที่ท่านสมณพราหมณ์ผู้มีวาทะมีทิฐิว่า “ความดับภพหมดสิ้นไม่มี” นี้ เรา ก็ไม่ได้เห็น แม้ที่ท่านสมณพราหมณ์ผู้มีวาทะมีทิฐิว่า “ความดับภพหมด สิ้นมีอยู่จริง” นี้ เราก็ไม่ทราบเหมือนกัน ก็เมื่อเราไม่รู้ไม่เห็นอยู่ จะกล่าวยึดเด็ดขาดลงไปว่า อย่างนี้เท่านั้นจริง อย่างอื่นเท็จ ดังนี้ ย่อมไม่เป็นการสมควรแก่เรา ก็ถ้าคำของสมณพราหมณ์ที่มีวาทะมีทิฐิว่า “ความดับภพหมดสิ้นไม่มี” เป็นความจริง การที่เราไปเกิดในหมู่เทพ ผู้ไม่มีรูปผู้เป็นสัญญามัย ได้ แม่นมั่นไม่พลาด ก็ย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ ถ้าคำของพวกสมณพราหมณ์ที่มีวาทะมีทิฐิว่า “ความดับภพหมดสิ้นมีอยู่” เป็นความจริง การที่เราจะปรินิพพานได้ในปัจจุบัน ก็ย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ แลก็ ทิฐิของสมณพราหมณ์ฝ่ายที่มีวาทะมีทิฐิว่า “ความดับภพหมดสิ้นไม่มี” นี้ อยู่ข้างของการมีความติดใคร่ อยู่ข้างของ การผูกพัดรัดตัว อยู่ข้างของการมัวเพลิน อยู่ข้างของการสยบหมกมุ่น อยู่ ข้างของการถือค้างถือคา ส่วน ทิฐิพวกสมณพราหมณ์ฝ่ายที่มีวาทะมีทิฐิว่า “ความดับภพหมดสิ้นมีจริง ” นั้น อยู่ข้างจะไม่ติดใคร่ อยู่ข้างจะไม่ผูกพัดรัดตัว อยู่ข้างจะ ไม่มัวเพลิน อยู่ข้างจะไม่สยบหมกมุ่น อยู่ข้างจะไม่ถือค้างถือคา เขาพิจารณาเห็นดังนี้แล้ว ย่อมเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อนิพพิทา วิราคะ นิโรธ แห่งภพทั้งหลายเป็นแท้ |
เจ้าของ: | Rosarin [ 29 ก.ค. 2018, 03:13 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วิสยรูป7 |
กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: Kiss นัยยะเดียวกันถ้าตถาคตบอกว่าภิกษุในพระธรรมและพระวินัย ห้ามรับเงินไม่ยินดีในเงินและทองไม่รับแม้แต่สิ่งที่ใช้แทนเงิน แล้วคิดสิคะว่าคนที่ถวายก็คือถวายสิ่งไม่สมควรแปลว่าทำผิด ในเมื่อไม่รู้ว่าผิดก็คิดว่าดีและถูกก็ทำต่อถวายต่อรู้ไหมส่งผู้รับ ให้ไปลำบากในแดนนรกเห็นโทษไหมว่าตนไม่มีกาลามสูตร10 ทำตามๆกันคิดว่าเป็นบุญเกณฑ์กันไปเรี่ยไรแจกซองขาวไงคะ เรากำลังพูดเรื่องกาลามสูตร ของชาวบ้านกาลาามชน พูดเรื่องกาลามสูตร ของชาวบ้านกาลาามชน พูดเรื่องกาลามสูตร ของชาวบ้านกาลาามชน กัน เกิดเป็นคนแล้วอย่าให้เสียชาติที่ได้เกิดเป็นชายค่ะคิดตรงไม่เป็นจริงๆเลยเอ้าจะให้ว่าไงคะ ตถาคตไม่ได้สอนวิชาการทางโลกค่ะทรงสอนความจริงเดี๋ยวนี้ก็คิดให้ถูกตามตรงคำที่อ่าน ไม่สอดแทรกความคิดเห็นของตนเองเพิ่มเข้าไปในข้อความที่อ่านคืออ่านและคิดตามเท่านั้น อ่านใหม่สิคะข้างบนนั้นน่ะแล้วน้อมจิตไปดูพฤติกรรมผู้ที่ทำผิดทั่วเมืองกำลังมีเกิดขึ้นจริงไหม มีความจริงตามที่มีคนมาบอกกล่าวเล่าให้อ่านตรงตามที่เขาเขียนไหมเขาพูดคำจริงแทนตถาคตไหม ถ้าบวชแล้วสละเงินทองไม่ได้แสดงว่ามีอัธยาศัยแบบคฤหัสถ์นะคะต้องมาอยู่ทำมาหากินแบบคฤหัสถ์ค่ะ |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 29 ก.ค. 2018, 06:03 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วิสยรูป7 |
Rosarin เขียน: กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: Kiss นัยยะเดียวกันถ้าตถาคตบอกว่าภิกษุในพระธรรมและพระวินัย ห้ามรับเงินไม่ยินดีในเงินและทองไม่รับแม้แต่สิ่งที่ใช้แทนเงิน แล้วคิดสิคะว่าคนที่ถวายก็คือถวายสิ่งไม่สมควรแปลว่าทำผิด ในเมื่อไม่รู้ว่าผิดก็คิดว่าดีและถูกก็ทำต่อถวายต่อรู้ไหมส่งผู้รับ ให้ไปลำบากในแดนนรกเห็นโทษไหมว่าตนไม่มีกาลามสูตร10 ทำตามๆกันคิดว่าเป็นบุญเกณฑ์กันไปเรี่ยไรแจกซองขาวไงคะ เรากำลังพูดเรื่องกาลามสูตร ของชาวบ้านกาลาามชน พูดเรื่องกาลามสูตร ของชาวบ้านกาลาามชน พูดเรื่องกาลามสูตร ของชาวบ้านกาลาามชน กัน เกิดเป็นคนแล้วอย่าให้เสียชาติที่ได้เกิดเป็นชายค่ะคิดตรงไม่เป็นจริงๆเลยเอ้าจะให้ว่าไงคะ ตถาคตไม่ได้สอนวิชาการทางโลกค่ะทรงสอนความจริงเดี๋ยวนี้ก็คิดให้ถูกตามตรงคำที่อ่าน ไม่สอดแทรกความคิดเห็นของตนเองเพิ่มเข้าไปในข้อความที่อ่านคืออ่านและคิดตามเท่านั้น อ่านใหม่สิคะข้างบนนั้นน่ะแล้วน้อมจิตไปดูพฤติกรรมผู้ที่ทำผิดทั่วเมืองกำลังมีเกิดขึ้นจริงไหม มีความจริงตามที่มีคนมาบอกกล่าวเล่าให้อ่านตรงตามที่เขาเขียนไหมเขาพูดคำจริงแทนตถาคตไหม ถ้าบวชแล้วสละเงินทองไม่ได้แสดงว่ามีอัธยาศัยแบบคฤหัสถ์นะคะต้องมาอยู่ทำมาหากินแบบคฤหัสถ์ค่ะ ได้อีกกระทู้แระ คิกๆๆ นี่คือมิจฉาทิฏฐิตัวแม่ ตัวย่าคือเจ้าสำนัก คุณโรสคุณไม่ได้เข้าใจพระพุทธศาสนาอะไรเลย |
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 29 ก.ค. 2018, 06:23 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วิสยรูป7 |
กรัชกาย เขียน: อ่านคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วน้ำตาจะไหล |
เจ้าของ: | Rosarin [ 17 ธ.ค. 2018, 00:17 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วิสยรูป7 |
กบนอกกะลา เขียน: กรัชกาย เขียน: อ่านคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วน้ำตาจะไหล รู้ทุกข์แล้วไม่มีใครเขาร้องไห้หรอกนะมีแต่ผู้ไม่รู้แหละที่ร้องไห้นะคะก็ไม่มีใครเลยมีแต่ธัมมะ |
เจ้าของ: | Rosarin [ 22 ธ.ค. 2018, 05:20 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วิสยรูป7 |
กรัชกาย เขียน: กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: Kiss ทุกคำในพระไตรปิฎกคือเดี๋ยวนี้กำลังมี ต้องรู้ความจริงที่กายใจตน คือกรรมฐานตอนฟัง เพื่อคิดถูกตรงคำ ตรงจริงทันที มีแต่ความคิดผิดไปทำตามสิ่งที่เห็น คือเห็นผิดเป็นคนสัตว์วัตถุ มีแต่ทำตามๆกันลืม ว่าต้องคิดตามน คำสอน ขาดการฟังจึงไม่มีปัญญาเพิ่ม การมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งมี ตอนคิดตามฟังคำจริงเท่านั้น พึ่งคิดตามคำสัจจะคือ ฝึกระลึกตามคำตถาคต แยกนาม_รูปตามวิสยรูป7 คือสิ่งที่ปรากฏให้รู้ได้ ตามปกติประจำวัน ตอนลืมตาตื่นรู้ 1เห็น_แสงสี 2ยิน_เสียง 3ดม_กลิ่น 4ลิ้ม_รส กายปสาทะอีก3ธาตุ ธาตุน้ำไม่ปรากฏกระทบ แต่ทำให้ดินไฟลมเกาะกลุ่ม 5อ่อน_แข็งคือธาตุดิน2ลักษณะ 6เย็น_ร้อนคือธาตุไฟ2ลักษณะ 7ตึง_ไหวคือธาตุลม2ลักษณะ รู้ชัดทีละ1คำตรงจริง ที่รู้สึกที่กายจิตตน ผ่านอายตนะ6ตอนตื่น คือวิปัสสนาภาวนาของจริงระลึกที่กายจิตตน รู้ชัดทีละคำ รู้ทีละธาตุละธาตุ มันยังไง เอาชัดๆแบบนี้สิคุณโรส จะทำให้ดูเป็นตัวอย่าง -ตา เห็นหนอ -หู เสียงหนอ -จมูก กลิ่นหนอ -ลิ้น ขณะนั้นรู้สึกเปรี้ยว หวาน มัน เค็ม อะไรก็ว่าไปตาม เช่น เปรี้ยวหนอ เป็นต้น -กาย สัมผัสอ่อนแข็งอะไรยังก็กำหนดไปตามนั้น รู้อ่อนก็อ่อน รู้สึกแข็งก็แข็ง -ใจ ขณะนั้นมันคิดอะไรยังไงก็ว่าไปตามนั้น เช่น มันฟุ้งซ่าน ก็ฟุ้งซ่านหนอ รู้สึกเป็นสุข ก็สุขหนอ รู้สึกทุกข์ ก็ทุกข์หนอ เป็นต้น คุณว่าให้ชัดสิ เอ้าว่าไป เพื่อที่ฟังผู้ดูเขาจะได้นำไปใช้ได้ ระลึกตามตอนฟังพระพุทธพจน์สมาธิต้องมั่นคงไม่วอกแวก ฝึกใหม่ๆกำหนดรู้ตรงคำตรงที่กายใจมีทีละ1คำที่ละจุด คิดตรง1คำยังไม่ถึงสติเพราะต้องชำนาญจนเร็วขึ้น จนรู้ทั่วตัว6ทาง7รูปรูปที่8คือรูปพิเศษที่ตาเห็นด้วย เพราะปัจจุบันขณะต้องทันรูปที่เกิดแล้วมีก่อนดับค่ะ เพราะกะพริบตานั้นดับครบ6ทางนับไม่ถ้วนเลย ไม่ทันก็ให้ทราบว่าสติยังไม่เกิดคือยังมีกิเลส ดีไม่ได้เพราะไม่รู้ความจริงฟังเพื่อเข้าใจค่ะ จนกว่ารู้ตรงตลอดจนไม่รู้แทรกเข้าไม่ได้ และรู้ชัดตรงฐานที่เกิดแล้วโดยอนัตตา มันไม่ชัด เอาใหม่ ทาง ตา (จักขุ) ทาง หู (โสต) ทาง จมูก (ฆาน) ทาง ลิ้น (ชิวหา) ทาง กาย (กาย) ทาง ใจ (จิตต์, มโน, วิญญาณ) คุณโรสนำวิธีอะไรของคุณใส่เข้าไปให้ตรงช่องแต่ละช่องตามนั้น สาธุ ๓ คร้ั้ง ๕ ครั้งก็ได้เอ้า คุณโรสแห่งโฮมสะเตย์ จัดวิธีปฏิบัติแบบวิสยรูป 7 อะไรที่ว่า ให้ลงที่ ตา หู จมูก เป็นต้นนั่นสิ สาธุ ๕ ครั้ง ๙ ครั้งก็ได้เอ้า สมาธิตั้งมั่นลืมตาดูหูฟังไปจิตต้องมั่นคงไม่วอกแวกน๊า ก็บอกแล้วว่าตาเนื้อเฉยๆน่ะไม่เห็นเพราะคนตาบอดก็มีตา ส่วนคนตาดีที่ชอบไปทำหลับตาเพราะทำตามๆกันด้วยไม่รู้ จะรู้ถูกตามคำสอนได้ต้องใช้จิตได้ยินฟังเรื่องเห็นที่กำลังเห็น เพื่อดูลักษณะของเห็นที่ตนเห็นว่าคิดตามแล้วเห็นที่กำลังปรากฏ มีลักษณะที่ทางตาเนื้อเห็นมีอะไรบ้างต่างจากเห็นที่ทรงแสดงยังไง ลืมตาตื่นรู้เป็นผู้คิดตรงทางตามรูปที่กำลังปรากฏตามปกติเป็นปัจจุบัน ก็ที่ถามมาอยู่เนี่ยเรียกว่ามีนิวรณธรรมคือลังเลสงสัยถามอยู่นั่นไม่ไปใช้หูฟังเองสะสมปัญญาจริงๆไงคะ |
เจ้าของ: | Rosarin [ 18 ก.พ. 2019, 21:27 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วิสยรูป7 |
วิสยรูป7คือคำวาจาสัจจะตรง1สัจจะที่คิดถูกตามตรงที่กายใจตนกำลังมีได้ตรงจริงคือพึ่งคำตถาคตตรงจริง คือการน้อมนำคำวาจาสัจจะมาใส่ตัวตนรู้ตรงสิ่งที่กำลังมีกำลังปรากฏตามปกติตามเป็นจริงตามรู้สิ่งที่มีแล้ว ตรงกับบาลีว่า โยนิโสมนสิการะ |
เจ้าของ: | Rosarin [ 10 เม.ย. 2019, 09:48 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วิสยรูป7 |
ยกไปต่อกระทู้ใหม่ค่ะ viewtopic.php?f=1&t=57457 |
เจ้าของ: | Rosarin [ 20 ก.ค. 2019, 11:41 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วิสยรูป7 |
Rosarin เขียน: cool วิสยรูป7คือรูปที่ปรากฏให้สติระลึกตามได้ให้ตรงทีละ1คำตรงจริงที่กายใจตนกำลังมี เป็นรูปที่ปรากฏตามปกติในชีวิตประจำวันทุกขณะที่ตื่นขึ้นมาลืมตาดูโลกจนกระทั่งหลับไป แค่ระลึกคำเหล่านี้ให้ตรงความจริงทั่วตัวบ่อยๆตรงความจริงที่มีนี้แหละคือความจริงที่ปัญญาตนมี จิ เจ รุ นิ...ที่ทรงเมตาแสดงไว้โดยละเอียดเพื่อให้ศึกษาละเอียดรอบคอบตรงสัจจะที่กำลังมีเป็นปกติ รวมลงมาเหลือที่รู้รูปที่กำลังปรากฏตามปกติวิสัยของคนที่คิดตรงตามได้ตามปกติเป็นปกติทีละคำ |
เจ้าของ: | Rosarin [ 11 ธ.ค. 2019, 09:55 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วิสยรูป 7 |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 14 ธ.ค. 2019, 19:54 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วิสยรูป7 |
Rosarin เขียน: Rosarin เขียน: cool วิสยรูป7คือรูปที่ปรากฏให้สติระลึกตามได้ให้ตรงทีละ1คำตรงจริงที่กายใจตนกำลังมี เป็นรูปที่ปรากฏตามปกติในชีวิตประจำวันทุกขณะที่ตื่นขึ้นมาลืมตาดูโลกจนกระทั่งหลับไป แค่ระลึกคำเหล่านี้ให้ตรงความจริงทั่วตัวบ่อยๆตรงความจริงที่มีนี้แหละคือความจริงที่ปัญญาตนมี จิ เจ รุ นิ...ที่ทรงเมตาแสดงไว้โดยละเอียดเพื่อให้ศึกษาละเอียดรอบคอบตรงสัจจะที่กำลังมีเป็นปกติ รวมลงมาเหลือที่รู้รูปที่กำลังปรากฏตามปกติวิสัยของคนที่คิดตรงตามได้ตามปกติเป็นปกติทีละคำ รูปตามที่คุณพูดนี่อะไร ไหนยกตัวอย่างให้ดูสิ เอ้า |
เจ้าของ: | Rosarin [ 18 ธ.ค. 2019, 13:43 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วิสยรูป7 |
กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: Rosarin เขียน: cool วิสยรูป7คือรูปที่ปรากฏให้สติระลึกตามได้ให้ตรงทีละ1คำตรงจริงที่กายใจตนกำลังมี เป็นรูปที่ปรากฏตามปกติในชีวิตประจำวันทุกขณะที่ตื่นขึ้นมาลืมตาดูโลกจนกระทั่งหลับไป แค่ระลึกคำเหล่านี้ให้ตรงความจริงทั่วตัวบ่อยๆตรงความจริงที่มีนี้แหละคือความจริงที่ปัญญาตนมี จิ เจ รุ นิ...ที่ทรงเมตาแสดงไว้โดยละเอียดเพื่อให้ศึกษาละเอียดรอบคอบตรงสัจจะที่กำลังมีเป็นปกติ รวมลงมาเหลือที่รู้รูปที่กำลังปรากฏตามปกติวิสัยของคนที่คิดตรงตามได้ตามปกติเป็นปกติทีละคำ รูปตามที่คุณพูดนี่อะไร ไหนยกตัวอย่างให้ดูสิ เอ้า รู้จักคำว่า จิตเกิดดับนับไม่ถ้วนไหม เดี๋ยวนี้ไม่รู้ว่ามันเกิดเร็วจนนับไม่ได้ ไม่รู้จักตัวจริงธัมมะที่ปรากฏตามปกติตามคำสอน จะระลึกถูกตรงตามคำสอนได้ไหมคะมันดับกลายเป็นอดีตไปแล้ว เกิดจิตขณะใหม่ตลอดเวลาไม่เคยทันสมัยตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเลยจะให้ว่าไง เดี๋ยวนี้ความจริงของจิตเห็น1ขณะคือสีที่เห็นตอนลืมตาดูมีสีล้วนแค่สีเดียวเห็นความไม่รู้ไหมอยากได้อะไร กุฏิศาลาโบสถ์วิหารลานเจดีย์นั้นน่ะกายนี้ยาววากว้างศอกหนาคืบนอนได้แค่หลังติดพื้นสร้างใหญ่โตมาทำไม พระพุทธเจ้าให้สละวัตถุเพื่อมาหาเงินสร้างวัตถุเพิ่มมากเหรอคะกิเลสไม่ถลอกเลยหนากว่าเดิมบอกไม่ฟังด้วย คลิปนี้เขาสนทนากันตั้งแต่ปี2557ฟังสิว่ามันตรงปัจจุบันเดี๋ยวนี้ยังไงบ้างไม่รู้จักพระพุทธเจ้ารู้ยังคะ https://youtu.be/w17oAS9OenA |
เจ้าของ: | Rosarin [ 18 ธ.ค. 2019, 13:50 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วิสยรูป7 |
Rosarin เขียน: Kiss ทุกคำในพระไตรปิฎกคือเดี๋ยวนี้กำลังมี ต้องรู้ความจริงที่กายใจตน คือกรรมฐานตอนฟัง เพื่อคิดถูกตรงคำ ตรงจริงทันที มีแต่ความคิดผิดไปทำตามสิ่งที่เห็น คือเห็นผิดเป็นคนสัตว์วัตถุ มีแต่ทำตามๆกันลืม ว่าต้องคิดตาม คำสอน ขาดการฟังจึงไม่มีปัญญาเพิ่ม การมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งมี ตอนคิดตามฟังคำจริงเท่านั้น พึ่งคิดตามคำสัจจะคือ ฝึกระลึกตามคำตถาคต แยกนาม_รูปตามวิสยรูป7 คือสิ่งที่ปรากฏให้รู้ได้ ตามปกติประจำวัน ตอนลืมตาตื่นรู้ 1เห็น_แสงสี 2ยิน_เสียง 3ดม_กลิ่น 4ลิ้ม_รส กายปสาทะอีก3ธาตุ ธาตุน้ำไม่ปรากฏกระทบ แต่ทำให้ดินไฟลมเกาะกลุ่ม 5อ่อน_แข็งคือธาตุดิน2ลักษณะ 6เย็น_ร้อนคือธาตุไฟ2ลักษณะ 7ตึง_ไหวคือธาตุลม2ลักษณะ รู้ชัดทีละ1คำตรงจริง ที่รู้สึกที่กายจิตตน ผ่านอายตนะ6ตอนตื่น คือวิปัสสนาภาวนาของจริงระลึกที่กายจิตตน รูปที่ปรากฏให้จิตรู้ตามปกติในชีวิตที่ลืมตาดูตามปกติทุกวันคือวิสัยปกติ=วิสยรูป7 |
เจ้าของ: | Rosarin [ 23 ธ.ค. 2019, 21:51 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วิสยรูป7 |
กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: Rosarin เขียน: cool วิสยรูป7คือรูปที่ปรากฏให้สติระลึกตามได้ให้ตรงทีละ1คำตรงจริงที่กายใจตนกำลังมี เป็นรูปที่ปรากฏตามปกติในชีวิตประจำวันทุกขณะที่ตื่นขึ้นมาลืมตาดูโลกจนกระทั่งหลับไป แค่ระลึกคำเหล่านี้ให้ตรงความจริงทั่วตัวบ่อยๆตรงความจริงที่มีนี้แหละคือความจริงที่ปัญญาตนมี จิ เจ รุ นิ...ที่ทรงเมตาแสดงไว้โดยละเอียดเพื่อให้ศึกษาละเอียดรอบคอบตรงสัจจะที่กำลังมีเป็นปกติ รวมลงมาเหลือที่รู้รูปที่กำลังปรากฏตามปกติวิสัยของคนที่คิดตรงตามได้ตามปกติเป็นปกติทีละคำ รูปตามที่คุณพูดนี่อะไร ไหนยกตัวอย่างให้ดูสิ เอ้า รูป28ตามพระอภิธรรม เอาแค่รูปที่เห็นได้แค่1รูปก่อน ตราบใดที่ยังเห็นไม่ตรงสีสันวรรณะ ตราบนั้นจะมองข้ามการมองเห็นเพื่อไปรู้อย่างอื่นเป็นไปไม่ได้ เข้าใจเห็นที่กำลังเห็น ตรงตามคำสอนแล้วคือ เห็นแค่สีทีละ1สีได้เองแล้ว แสดงว่าคนๆนั้นคือตถาคต ถ้ารู้ตัวว่าตัวเองไม่ใช่ตถาคต ก็ต้องฟังว่าเห็นที่กำลังเห็น มีอะไรปรากฏให้รู้ได้บ้าง และต้องฟังจนกว่าจะคิดถูก และจำได้ว่าตาเนื้อเราเห็นผิด เพราะเห็นตรงหน้ามีตรงตามตถาคตไหม ฟังจากคนอื่นกล่าวตามคำของตถาคตนะ ไม่ใช่ไปอ่านเองเพราะปัญญาเพิ่มเองไม่ได้ ต้องมีปัญญาเพิ่มขึ้นมาจากการฟังจากผู้อื่นบอกตรงตามคำของตถาคตนะคะ https://youtu.be/J8r6QRknX2w |
หน้า 8 จากทั้งหมด 9 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |