วันเวลาปัจจุบัน 24 มิ.ย. 2025, 02:11  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 247 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 5, 6, 7, 8, 9, 10, 11 ... 17  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ส.ค. 2012, 20:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.ค. 2012, 13:44
โพสต์: 23


 ข้อมูลส่วนตัว


31 ภพภูมินี้ ล้วนอยู่ภายใต้ กฏของไตรลักษณ์
ทุกอย่างไม่คงอยู่ แค่ชั่วคราว และจางหายไป
มันจึงยึดไม่อยู่ ด้วยเหตุที่มันยึดไม่อยู่นี่แหละ มันจึงทุกข์
ทุกข์ที่ควบคุมสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้ตลอด
เปลี่ยนไปมา แล้วก็จางหายไป
ทุกข์ที่ทำแล้วต้องทำอีก ด้วยเหตุที่มันจางหายไปเอง

เราจึงเพียร พยายาม ทำ ตั้งใจ ตั้งมั่น ในการทำ
ปรารถนาให้มันเป็นดังที่ตั้งไว้
ขยายทำ หมั่นฝึกฝน ทำบ่อย ๆ ทำให้ต่อเนื่อง
ให้เกิดความชำนาญ เพื่อให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดนั้น
สำเร็จ คงอยู่ หรือเป็นตามที่ปรารถนา

เหมือนดั่ง เราเป่าฟองสบู่ เมื่อเป่าแล้ว
ฟองสบู่นั้นลอยกระทบแสงดูสวยงาม น่าจับต้อง
แต่เมื่อไปจับมัน มันก็สลายไป เมื่อไม่ไปจับมัน
มันก็สลายไปในไม่ช้าเช่นกัน
เมื่อไม่อยากให้มันสลายหมด ก็ต้องเป่าไปเรื่อยๆ
เพื่อให้ดูสวยงามไปตลอด
แต่สุดท้ายก็ไม่อาจหนีพ้น อนิจจัง
สลายหมด เป็นอนัตตาให้เห็น

ด้วยเหตุนี้ ใน 31 ภพภูมินี้ จึงเนื่องด้วยการกระทำ
เนื่องด้วยขันธ์ สำเร็จได้ด้วยการกระทำ จึงเป็นสิ่งทีสำคัญ
แต่กลับหลงลืมไปว่า มันฝืนไตรลักษณ์ไหม
ไปเข้าทาง โมหะ ตัณหา อุปาทาน หรือเปล่า
หลงสร้างอัตตาตัวตน เข้าไปทำ ให้ต่อเนื่อง
ในสิ่งที่เป็นได้แค่ชั่วคราว และจางหายในที่สุด ยึดอะไรไม่ได้

ถามว่าทำแล้วได้ไหม ได้ครับ ได้ตรงต่อ 31 ภพภูมิ
แต่ยังไม่ตรงต่อนิพพาน และผลจากที่เราทำ ๆ ไว้
มันก็เกิดเป็นนิสัย มากเข้าก็กลายเป็นจริต
สุดท้ายก็รวมเป็น อนุสัยความเคยชิน
ที่เคยทำอย่างไรก็ชอบทำอย่างนั้น
ข้ามภพขามชาติมาทำต่อ ซึ่งมันก็คือ กรรม
อันเกิดจาก การทำกาย ทำวาจา และทำจิต
กลายเป็นว่าเรามีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์
เป็นทายาทแห่งกรรม ไปเสีย

นิพพานนี้ ไม่เนื่องด้วยขันธ์
จึงไม่เนื่องด้วยการกระทำใด ๆ ที่มาจากขันธ์
เพราะขันธ์นี้มันเป็นผลแห่งกรรม แต่นิพพานนี้นอกเหนือกรรม
นิพพานนี้นอกเหนือเหตุและปัจจัย เพราะเหตุและปัจจัย
มันเป็นวัฎฎะของสังสารวัฎ มีนี่จึงมีโน่น มีโน่นจึงมีนี่
มันเป็นวังวนของสังสารวัฏ เมื่อหลงเข้าไปแล้วก็ถูกพัดพาไป
ตามเหตุและปัจจัยไปเรื่อย ๆ
เหมือนวังวนที่หลงเข้าไปแล้วออกไม่ได้
ท่านจึงให้ยุติเหตุ ไม่ใช่ไปสร้างเหตุ
ยุติสมุทัย ไม่ไปต่อเหตุก่อกรรมเพิ่มอีก

ไตรลักษณ์นี้เป็นธรรมชาติของสรรพสิ่ง ธาตุขันธ์ก็ไม่ยกเว้น
ดังนั้นจะธาตุหนึ่งขันธ์ใด เมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว
มันไม่ยึดในตัวมันเอง แล้วๆ ไปตลอดเวลา
แล้วมันก็ไม่ยึดกับอะไร เป็นอนัตตาในตัวมันเอง
นื่คือธรรมชาติเดิมแท้ของธาตุขันธ์
ที่ตรงต่อกฏของไตรลักษณ์ อยู่ตลอดเวลา

รู้แล้วก็แล้วไป ดับไป ดับหายไป แล้วก็รู้ใหม่อีก และดับไปอีก
ไม่ยึดรู้อยู่กับสิ่งหนึ่งตลอดเวลา ทุกขันธ์ล้วนเช่นนี้
ไม่ยึดกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งตลอด
คือมันผ่านตลอด ไม่ยึด ไม่คา ไม่ค้างกับสิ่งที่กระทบ
ไม่จม ไม่แช่อยู่กับตัวมันเอง
วัน ๆ ธาตุขันธ์นี้จึงสามารถสัมผัสสิ่งต่าง ๆ มากมาย
ที่มันเข้า ๆ ออกๆ อยู่ตลอดเวลาได้

เหมือนกาลเวลาที่มันผ่านตลอด ทุกวินาที
ไม่ค้าง ไม่คาในตัวมันเอง ผ่านตลอด
นี่แหละ ปัจจุบันธรรม ทุกธาตุขันธ์ที่ปราศจากกิเลสครอบงำ
มันจะเป็นปัจจุบันธรรม ของมันเองตลอด
เวลาผ่าน ทุกธาตุขันธ์ก็ผ่าน
ไม่มีค้างในสิ่งใด ไม่ค้างอยู่ที่เวลาใดเวลาหนึ่ง
เห็นผ่าน รู้ผ่าน ๆ สัมผัสทุกอย่าง ผ่าน ๆ ทุกเวลา

ดังนั้น ธาตุขันธ์จะมีความอิสระ ว่องไว้ ไร้การกดทับ
ไม่เป็นหุ่นยนต์ ไม่เป็นสมองกลวง ไม่เป็นหัวตอ ไม่ซื่อบื้อ
เมื่อจะหยิบธาตุขันธ์ขึ้นมาใช้ก็พร้อมใช้งาน
เมื่อใช้เสร็จก็พร้อมวาง ไม่ข้องไม่คาในธาตุขันธ์นั้น ๆ แล้ว ๆ ไป

แต่เมื่อกิเลสเข้าซ้อน เวลามองสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
หรือสัมผัสแล้วมันไม่ผ่าน ไม่ปล่อย ยังอยากมองต่อ
ดูต่อ มันค้างอยู่ จมอยู่ แช่อยู่ที่ตัวดู ตัวรู้
ไม่ปล่อยตัวดู ตัวรู้ แต่กาลเวลาไม่ค้างด้วย อนิจจังตลอด ไม่มีค้าง
มันค้างดูนานแค่ไหน ก็คือจมอยู่ในอดีตนานแค่นั้น ไม่ได้ตรงต่อปัจจุบัน
เพราะธรรมชาติของขันธ์ไม่คางอยู่แล้ว แล้ว ๆ ไปตลอด ปัจจุบันตลอด
แต่กิเลสชอบค้าง ชอบแช่ ชอบจม ชอบเอา และยึดอยู่กับตัวเอง

ขณะที่ค้างดู ค้างรู้นั้น คือการเสวยผลแห่งกรรม
เพราะมีเหตุ จึงมีผล
เมื่อผลเกิดแล้วเราก็หลงเข้าดู เข้าไปรู้
และต่อ ๆ ไปอีก ก็คือเข้าไปเสวยผลแห่งกรรมนั้น ๆ
และขณะเดียวกันก็เป็นการสร้างกรรมใหม่ขึ้นอีก
เพราะเจตนาเข้าไปดู เข้าไปรู้
และเข้าไปเสวยผลนั้น กรรมใหม่ย่อมเกิดขึ้นอีก

เพราะฉะนั้นเจตนาหยิบเอาธาตุขันธ์ไหน ไปเสวยผล
มันก็ไปสร้างกรรมต่อกับธาตุขันธ์นั้นอีก
เมื่อเสวยผลแห่งกรรมนั้น แล้วทนเวทนาไม่ไหว
จากที่มันอยู่แค่ในมโน สร้างกรรมแค่มโนกรรม
มันก็ขยายออกสู่ วจีกรรม และกายกรรม ต่อมาอีก
แล้ววัน ๆเราก็ทำๆ ๆ และสร้าง ๆ ๆ กรรมไม่รู้เท่าไหร่

นอกจากนั้นแล้วยังมีการ ริเริ่มไปสร้างกรรมใหม่ ๆ อีก
ยิ่งเรามีความพิศดานในการสร้างกรรมใหม่ ๆ มากแค่ไหน
ผลแห่งกรรมมันก็พิศดานตามไปด้วย
มันจึงไม่แปลกเลย ที่คนเราทุกวันนี้ จะหลงกันมากมายขนาดนี้
และมีผลแห่งกรรมแปลกๆให้เห็นอยู่เรื่อยไป

ทุกวันนี้คนเราก็มีแต่เสวยแล้วเสวยอีก สร้างแล้วสร้างอีก
กรรมนี้มันจึงมีมาก มากจนยากที่จะใช้หมด
มากเสียจนกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่แห่ง 31 ภพภูมินี้
แต่จะใหญ่แค่ไหน ก็อนิจจัง อนัตตา
นี่แหละความน่ากลัวของโมหะ ที่หลอกสรรพสัตว์ทั้งหลาย
ให้หลงวนเวียนอยู่ในวัฏฏะนี้

ท่านจึงให้สละออก ไม่ใช่เอา สละออกทั้งกายและจิต
ไม่จม ไม่แช่ ในกายและจิต
ให้เกิดเป็นเหตุ และหลงเข้าไปเสวยผลแห่งกรรมอีก
ดังนั้นสิ่งใดที่เข้าไป กำ สิ่งนั้นไม่ใช่
สิ่งใดที่เข้าไปต่อ เข้าไปแต่ง เข้าไปเติม เข้าไปแช่
เข้าไปจม หรือ เข้าไปยึด สิ่งเหล่านั้นยังไม่ตรงต่อพระนิพพาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ส.ค. 2012, 21:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ค. 2012, 14:46
โพสต์: 67


 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่มีอะไร เขียน:
31 ภพภูมินี้ ล้วนอยู่ภายใต้ กฏของไตรลักษณ์
ทุกอย่างไม่คงอยู่ แค่ชั่วคราว และจางหายไป
มันจึงยึดไม่อยู่ ด้วยเหตุที่มันยึดไม่อยู่นี่แหละ มันจึงทุกข์
ทุกข์ที่ควบคุมสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้ตลอด
เปลี่ยนไปมา แล้วก็จางหายไป
ทุกข์ที่ทำแล้วต้องทำอีก ด้วยเหตุที่มันจางหายไปเอง

เราจึงเพียร พยายาม ทำ ตั้งใจ ตั้งมั่น ในการทำ
ปรารถนาให้มันเป็นดังที่ตั้งไว้
ขยายทำ หมั่นฝึกฝน ทำบ่อย ๆ ทำให้ต่อเนื่อง
ให้เกิดความชำนาญ เพื่อให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดนั้น
สำเร็จ คงอยู่ หรือเป็นตามที่ปรารถนา

เหมือนดั่ง เราเป่าฟองสบู่ เมื่อเป่าแล้ว
ฟองสบู่นั้นลอยกระทบแสงดูสวยงาม น่าจับต้อง
แต่เมื่อไปจับมัน มันก็สลายไป เมื่อไม่ไปจับมัน
มันก็สลายไปในไม่ช้าเช่นกัน
เมื่อไม่อยากให้มันสลายหมด ก็ต้องเป่าไปเรื่อยๆ
เพื่อให้ดูสวยงามไปตลอด
แต่สุดท้ายก็ไม่อาจหนีพ้น อนิจจัง
สลายหมด เป็นอนัตตาให้เห็น

ด้วยเหตุนี้ ใน 31 ภพภูมินี้ จึงเนื่องด้วยการกระทำ
เนื่องด้วยขันธ์ สำเร็จได้ด้วยการกระทำ จึงเป็นสิ่งทีสำคัญ
แต่กลับหลงลืมไปว่า มันฝืนไตรลักษณ์ไหม
ไปเข้าทาง โมหะ ตัณหา อุปาทาน หรือเปล่า
หลงสร้างอัตตาตัวตน เข้าไปทำ ให้ต่อเนื่อง
ในสิ่งที่เป็นได้แค่ชั่วคราว และจางหายในที่สุด ยึดอะไรไม่ได้

ถามว่าทำแล้วได้ไหม ได้ครับ ได้ตรงต่อ 31 ภพภูมิ
แต่ยังไม่ตรงต่อนิพพาน และผลจากที่เราทำ ๆ ไว้
มันก็เกิดเป็นนิสัย มากเข้าก็กลายเป็นจริต
สุดท้ายก็รวมเป็น อนุสัยความเคยชิน
ที่เคยทำอย่างไรก็ชอบทำอย่างนั้น
ข้ามภพขามชาติมาทำต่อ ซึ่งมันก็คือ กรรม
อันเกิดจาก การทำกาย ทำวาจา และทำจิต
กลายเป็นว่าเรามีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์
เป็นทายาทแห่งกรรม ไปเสีย

นิพพานนี้ ไม่เนื่องด้วยขันธ์
จึงไม่เนื่องด้วยการกระทำใด ๆ ที่มาจากขันธ์
เพราะขันธ์นี้มันเป็นผลแห่งกรรม แต่นิพพานนี้นอกเหนือกรรม
นิพพานนี้นอกเหนือเหตุและปัจจัย เพราะเหตุและปัจจัย
มันเป็นวัฎฎะของสังสารวัฎ มีนี่จึงมีโน่น มีโน่นจึงมีนี่
มันเป็นวังวนของสังสารวัฏ เมื่อหลงเข้าไปแล้วก็ถูกพัดพาไป
ตามเหตุและปัจจัยไปเรื่อย ๆ
เหมือนวังวนที่หลงเข้าไปแล้วออกไม่ได้
ท่านจึงให้ยุติเหตุ ไม่ใช่ไปสร้างเหตุ
ยุติสมุทัย ไม่ไปต่อเหตุก่อกรรมเพิ่มอีก

ไตรลักษณ์นี้เป็นธรรมชาติของสรรพสิ่ง ธาตุขันธ์ก็ไม่ยกเว้น
ดังนั้นจะธาตุหนึ่งขันธ์ใด เมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว
มันไม่ยึดในตัวมันเอง แล้วๆ ไปตลอดเวลา
แล้วมันก็ไม่ยึดกับอะไร เป็นอนัตตาในตัวมันเอง
นื่คือธรรมชาติเดิมแท้ของธาตุขันธ์
ที่ตรงต่อกฏของไตรลักษณ์ อยู่ตลอดเวลา

รู้แล้วก็แล้วไป ดับไป ดับหายไป แล้วก็รู้ใหม่อีก และดับไปอีก
ไม่ยึดรู้อยู่กับสิ่งหนึ่งตลอดเวลา ทุกขันธ์ล้วนเช่นนี้
ไม่ยึดกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งตลอด
คือมันผ่านตลอด ไม่ยึด ไม่คา ไม่ค้างกับสิ่งที่กระทบ
ไม่จม ไม่แช่อยู่กับตัวมันเอง
วัน ๆ ธาตุขันธ์นี้จึงสามารถสัมผัสสิ่งต่าง ๆ มากมาย
ที่มันเข้า ๆ ออกๆ อยู่ตลอดเวลาได้

เหมือนกาลเวลาที่มันผ่านตลอด ทุกวินาที
ไม่ค้าง ไม่คาในตัวมันเอง ผ่านตลอด
นี่แหละ ปัจจุบันธรรม ทุกธาตุขันธ์ที่ปราศจากกิเลสครอบงำ
มันจะเป็นปัจจุบันธรรม ของมันเองตลอด
เวลาผ่าน ทุกธาตุขันธ์ก็ผ่าน
ไม่มีค้างในสิ่งใด ไม่ค้างอยู่ที่เวลาใดเวลาหนึ่ง
เห็นผ่าน รู้ผ่าน ๆ สัมผัสทุกอย่าง ผ่าน ๆ ทุกเวลา

ดังนั้น ธาตุขันธ์จะมีความอิสระ ว่องไว้ ไร้การกดทับ
ไม่เป็นหุ่นยนต์ ไม่เป็นสมองกลวง ไม่เป็นหัวตอ ไม่ซื่อบื้อ
เมื่อจะหยิบธาตุขันธ์ขึ้นมาใช้ก็พร้อมใช้งาน
เมื่อใช้เสร็จก็พร้อมวาง ไม่ข้องไม่คาในธาตุขันธ์นั้น ๆ แล้ว ๆ ไป

แต่เมื่อกิเลสเข้าซ้อน เวลามองสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
หรือสัมผัสแล้วมันไม่ผ่าน ไม่ปล่อย ยังอยากมองต่อ
ดูต่อ มันค้างอยู่ จมอยู่ แช่อยู่ที่ตัวดู ตัวรู้
ไม่ปล่อยตัวดู ตัวรู้ แต่กาลเวลาไม่ค้างด้วย อนิจจังตลอด ไม่มีค้าง
มันค้างดูนานแค่ไหน ก็คือจมอยู่ในอดีตนานแค่นั้น ไม่ได้ตรงต่อปัจจุบัน
เพราะธรรมชาติของขันธ์ไม่คางอยู่แล้ว แล้ว ๆ ไปตลอด ปัจจุบันตลอด
แต่กิเลสชอบค้าง ชอบแช่ ชอบจม ชอบเอา และยึดอยู่กับตัวเอง

ขณะที่ค้างดู ค้างรู้นั้น คือการเสวยผลแห่งกรรม
เพราะมีเหตุ จึงมีผล
เมื่อผลเกิดแล้วเราก็หลงเข้าดู เข้าไปรู้
และต่อ ๆ ไปอีก ก็คือเข้าไปเสวยผลแห่งกรรมนั้น ๆ
และขณะเดียวกันก็เป็นการสร้างกรรมใหม่ขึ้นอีก
เพราะเจตนาเข้าไปดู เข้าไปรู้
และเข้าไปเสวยผลนั้น กรรมใหม่ย่อมเกิดขึ้นอีก

เพราะฉะนั้นเจตนาหยิบเอาธาตุขันธ์ไหน ไปเสวยผล
มันก็ไปสร้างกรรมต่อกับธาตุขันธ์นั้นอีก
เมื่อเสวยผลแห่งกรรมนั้น แล้วทนเวทนาไม่ไหว
จากที่มันอยู่แค่ในมโน สร้างกรรมแค่มโนกรรม
มันก็ขยายออกสู่ วจีกรรม และกายกรรม ต่อมาอีก
แล้ววัน ๆเราก็ทำๆ ๆ และสร้าง ๆ ๆ กรรมไม่รู้เท่าไหร่

นอกจากนั้นแล้วยังมีการ ริเริ่มไปสร้างกรรมใหม่ ๆ อีก
ยิ่งเรามีความพิศดานในการสร้างกรรมใหม่ ๆ มากแค่ไหน
ผลแห่งกรรมมันก็พิศดานตามไปด้วย
มันจึงไม่แปลกเลย ที่คนเราทุกวันนี้ จะหลงกันมากมายขนาดนี้
และมีผลแห่งกรรมแปลกๆให้เห็นอยู่เรื่อยไป

ทุกวันนี้คนเราก็มีแต่เสวยแล้วเสวยอีก สร้างแล้วสร้างอีก
กรรมนี้มันจึงมีมาก มากจนยากที่จะใช้หมด
มากเสียจนกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่แห่ง 31 ภพภูมินี้
แต่จะใหญ่แค่ไหน ก็อนิจจัง อนัตตา
นี่แหละความน่ากลัวของโมหะ ที่หลอกสรรพสัตว์ทั้งหลาย
ให้หลงวนเวียนอยู่ในวัฏฏะนี้

ท่านจึงให้สละออก ไม่ใช่เอา สละออกทั้งกายและจิต
ไม่จม ไม่แช่ ในกายและจิต
ให้เกิดเป็นเหตุ และหลงเข้าไปเสวยผลแห่งกรรมอีก
ดังนั้นสิ่งใดที่เข้าไป กำ สิ่งนั้นไม่ใช่
สิ่งใดที่เข้าไปต่อ เข้าไปแต่ง เข้าไปเติม เข้าไปแช่
เข้าไปจม หรือ เข้าไปยึด สิ่งเหล่านั้นยังไม่ตรงต่อพระนิพพาน


:b8: ขอบพระคุณคะ :b8:

ปวดหัวมากคะ ปวดมากจริง ปวดมา 2 วัน แล้ว ไม่หาย..ได้สำรวจตัวเองแล้ วคิดตัวเองว่าได้ทำผิดไปและทราบแล้วว่าผิดตรงไหน มันผิดตรงทุกอย่างมันค้างไว้.. ทราบตั้งแต่ตอนบ่ายๆแล้วคะว่าทำผิด เพราะมันไม่เป็นไปตามธรรมชาติ ตามครรลองของมัน กราบขอบพระคุณนะคะ ที่มายืนยันให้ว่าได้ทำผิดจริงๆ

ส่วนเรื่องปวดหัวนั้น แก้ไม่ได้ พยายามแก้อยู่ ถ้าเผลอ ก็จะปวดขึ้นมาอีก หลังจากสำรวจแล้ว ทราบว่าตัวเองเครียดไป ตั้งใจมากไป...โดยปกติแล้ว ในส่วนตัวเป็นคนไม่มีตรงกลาง มันเป็นคุณสมบัติประจำตัวมาตั้งแต่เกิด ถ้าทำก็มุ่งมั่นจริงจัง คือมากไป ถ้าผ่อนก็คือ ไม่สนใจและไม่ทำเลย ไม่แยแสเลย เป็นคนหาตรงกลางไปเจอ...รู้ข้อเสียตัวเองและรู้แล้วว่าเราต้องผ่อนลง ถ้าไม่ผ่อนลงมาตรงกลางมันจะเป็นอย่างที่เป็น..ตอนนี้รู้แต่แก้ไม่ได้ ปวดหัวมาก ปกติความปวดนั้นจะอยู่กับตัวเองตั้งแต่เด็กแล้ว เลยค่อนข้างที่จะทนกับความปวดได้อย่างไม่ยากเย็นนัก แต่คราวนี้ ค่อนข้างรับมือกับความปวดได้ยาก ถึงแม้ ใจจะไม่ป่วยตามความปวดก็ตาม แต่มันเป็นมากจน ทำอะไรไม่ได้ นึกอะไรไม่ออก ถ้าเผลอ ยิ่งปวด ถ้ามีสติจะบอกตัวเองผ่อนคลาย ลดลง มันก็คลายได้ แต่นี่ปวดมาก จน..พูดไม่ออก..จนไม่มีอารมณ์นะคะ..มันเลยปวดตลอดเวลา.......บ่นมานาน กราบขอโทษด้วยนะคะ ที่หาสาระไม่เจอนอกจากพูดแต่ความปวดของตัวเอง :b8:

:b8: กราบขอบพระคุณที่ได้แนะนำมาอีกครั้งคะ แต่คราวนี้ ต้องขอผ่อนผันออกไปก่อนนะคะ สมองรับไม่ได้ คือ มันปวดจน รับไม่ได้ อ่านไม่เข้าใจ มันไม่ซึม...ดิฉันต้องแก้ไขเรื่องปวดหัวของดิฉันก่อน จึงจะเริ่มต่อได้...

ถ้าพร้อมแล้ว ดิฉันจะมาอ่านบทความนี้อีกครั้งคะ....จะมาเรียนรู้ต่อคะ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ส.ค. 2012, 23:29 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.ค. 2012, 13:44
โพสต์: 23


 ข้อมูลส่วนตัว


ท่าน จขกท อาการปวดหัว ไม่ได้เป็นที่ท่านคนเดียวหรอกครับ
มันเป็นกับทุกคนที่ ตั้งใจเกิน เรียกว่าตึงเกินไปครับ
ความอยากมันพาไปยืด กดทบธาตุขันธ์จนธาตุขันธ์รับไม่ไหว
อยากเข้าใจ อยากสำเร็จ
ทางโลกเค้าเรียกว่า เครียด

ผู้ที่ปฏิบัติธรรมที่มีความมุ่งมั่นและตั้งมากเกินไป ก็มักมีอาการเช่นนี้
ซึ่งก็ไม่ต่างกับชาวโลกทั้งหลายที่ตั้งมาก เพื่อความสำเร็จใจชีวิต การงาน

ก็ไม่ต้องรีบ มันจะเข้าทางตัณหา
และก็ไม่ต้องไปแก้อะไร ไม่ต้องไปต่อกรรม
ให้เป็นกรรมซ้อนกรรมขึ้นมาอีก
มันเป็นวิบาก เป็นกรรมอนุสัยความเคยชิน ที่สร้างสะสมไว้
ก็ปล่อย ปล่อยให้มันมาเอง และผ่านไปเอง
ไม่ต้องไปอยากให้หาย ยิ่งอยากหาย ยิ่งกดทับซ้ำเติมเข้าไปอีก

ทุกครั้งที่รู้ตัว ว่าเข้าไปรู้ปวด ก็ปล่อย ช่าง และดำเนินชีวิตไปตามปกติ
ในขณะนั้น เช่นล้างชามอยู่ แล้วรู้สึกปวดหัว ก็ช่างความรู้สึกนั้น
แล้วก็ล้างชามตามปกติให้เสร็จ
แล้วก็ทำกิจที่ควรทำในชีวิตประจำวันต่อไป
เอาที่มันรู้ของมันเอง ไม่ต้องไปตั้งใจรู้ ไม่ต้องไปกำหนดรู้
และยุติกิจของเหตุที่เกิดการปวดหัว ท่านคงรู้ดี
ว่าเหตุเกิดจากอะไร หยุดเลยกิจนั้นและกิจที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
เป็นการคลาย ตัณหา และอุปาทานในกิจนั้นลงเสีย
ส่วนมันจะหายปวด หรือไม่ปวด
ก็ช่างมันเช่นเดิม ก็คือไม่ต้องไปสนใจ ไม่ต้องไปถามหามัน
ความตึงนั้นจะคลายออกเอง

แต่ถ้าเป็นมาตั้งแต่เด็ก ๆ ก็ให้หมอเช็คบ้างก็ดีนะ
ว่ามีอะไรแทรกซ้อนหรือเปล่า

ดูแลธาตุขันธ์ตามอัตภาพ สมควร
ไม่ใช่ทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ หรือใช้แบบเกิน ๆ

หากมีเวลาว่าง ให้ขอขมากรรม ต่อคุณพระศรีรัตนไตร
และกรวดน้ำ บ้าง

ไม่ให้อ่านธรรมที่ เล่าให้ฟังนี้ จนกว่าจะหายปวดหัว
ถ้าจะอ่านเมื่อหายแล้วค่อยอ่านใหม่
ค่อย ๆ อ่าน ไม่ต้องรีบ ปล่อยให้จิตรู้ ประมวดผลเอง
ไม่ต้องไปตีความ ตรงไหนใช่ ก็ตรงตามไป ตรงไหนไม่ใช่ก็ผ่านไป
ตรงไหนเหมือนจะใช่หรือไม่ใช่ ถามได้
ไม่ต้องรีบ ไม่ต้องรีบ ไม่ต้องรีบ
ธรรมทั้งหลายก็อยู่ในชีวิตประจำวันนั่นแหละ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ส.ค. 2012, 07:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


การปฎิบัติธรรมไม่มีใครไม่ปวดหัวหรอกครับปวดกันทุกคน เพราะการนั่งสมาธินั้นเป็นการพิจารณาความเป็นจริง และความเป็นจริงนั้นร่างกายถูกบีบคั้น มองตามกายภาพแล้วเป็นแรงบีบคั้นที่ต้องการหาทางออกต้องการเปลี่ยนแปลงอริยบถ มันเป็นบทพิสูจน์ของใจตรงนี้แหละกล้าหรือไม่กล้า ส่วนใหญ่แล้วก็ถอย ตีความหมายกันไปต่างๆ เพราะความกลัว กลัวเส้นเลือดแตกบ้าง กลัวเคลียดบ้าง ตรงนีแหละถ้าท่านผ่านได้ ทางกายภาพปวดหัวไมเกรนก็จะหาย แต่ทางธรรมแล้ว ท่านจะพบสิ่งต่างๆหายสงสัยในธรรมมะ ลดละกิเลสได้จริง มันไม่มีใครเป็นอะไรหรอก ภรรยาผมเป็นไมเกรนมาก กว่าจะผ่านตรงนี้ได้มันก็ต้องสู้ในที่สุดเขาก็ผ่านได้ไมเกรนหายแล้ว มันเป็นบทพิสูจน์ รับรองได้ ผ่านมาแล้ว สู้ :b4:

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ส.ค. 2012, 10:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ค. 2012, 14:46
โพสต์: 67


 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่มีอะไร เขียน:
ท่าน จขกท อาการปวดหัว ไม่ได้เป็นที่ท่านคนเดียวหรอกครับ
มันเป็นกับทุกคนที่ ตั้งใจเกิน เรียกว่าตึงเกินไปครับ
ความอยากมันพาไปยืด กดทบธาตุขันธ์จนธาตุขันธ์รับไม่ไหว
อยากเข้าใจ อยากสำเร็จ
ทางโลกเค้าเรียกว่า เครียด

ผู้ที่ปฏิบัติธรรมที่มีความมุ่งมั่นและตั้งมากเกินไป ก็มักมีอาการเช่นนี้
ซึ่งก็ไม่ต่างกับชาวโลกทั้งหลายที่ตั้งมาก เพื่อความสำเร็จใจชีวิต การงาน

ก็ไม่ต้องรีบ มันจะเข้าทางตัณหา
และก็ไม่ต้องไปแก้อะไร ไม่ต้องไปต่อกรรม
ให้เป็นกรรมซ้อนกรรมขึ้นมาอีก
มันเป็นวิบาก เป็นกรรมอนุสัยความเคยชิน ที่สร้างสะสมไว้
ก็ปล่อย ปล่อยให้มันมาเอง และผ่านไปเอง
ไม่ต้องไปอยากให้หาย ยิ่งอยากหาย ยิ่งกดทับซ้ำเติมเข้าไปอีก

ทุกครั้งที่รู้ตัว ว่าเข้าไปรู้ปวด ก็ปล่อย ช่าง และดำเนินชีวิตไปตามปกติ
ในขณะนั้น เช่นล้างชามอยู่ แล้วรู้สึกปวดหัว ก็ช่างความรู้สึกนั้น
แล้วก็ล้างชามตามปกติให้เสร็จ
แล้วก็ทำกิจที่ควรทำในชีวิตประจำวันต่อไป
เอาที่มันรู้ของมันเอง ไม่ต้องไปตั้งใจรู้ ไม่ต้องไปกำหนดรู้
และยุติกิจของเหตุที่เกิดการปวดหัว ท่านคงรู้ดี
ว่าเหตุเกิดจากอะไร หยุดเลยกิจนั้นและกิจที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
เป็นการคลาย ตัณหา และอุปาทานในกิจนั้นลงเสีย
ส่วนมันจะหายปวด หรือไม่ปวด
ก็ช่างมันเช่นเดิม ก็คือไม่ต้องไปสนใจ ไม่ต้องไปถามหามัน
ความตึงนั้นจะคลายออกเอง

แต่ถ้าเป็นมาตั้งแต่เด็ก ๆ ก็ให้หมอเช็คบ้างก็ดีนะ
ว่ามีอะไรแทรกซ้อนหรือเปล่า

ดูแลธาตุขันธ์ตามอัตภาพ สมควร
ไม่ใช่ทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ หรือใช้แบบเกิน ๆ

หากมีเวลาว่าง ให้ขอขมากรรม ต่อคุณพระศรีรัตนไตร
และกรวดน้ำ บ้าง

ไม่ให้อ่านธรรมที่ เล่าให้ฟังนี้ จนกว่าจะหายปวดหัว
ถ้าจะอ่านเมื่อหายแล้วค่อยอ่านใหม่
ค่อย ๆ อ่าน ไม่ต้องรีบ ปล่อยให้จิตรู้ ประมวดผลเอง
ไม่ต้องไปตีความ ตรงไหนใช่ ก็ตรงตามไป ตรงไหนไม่ใช่ก็ผ่านไป
ตรงไหนเหมือนจะใช่หรือไม่ใช่ ถามได้
ไม่ต้องรีบ ไม่ต้องรีบ ไม่ต้องรีบ
ธรรมทั้งหลายก็อยู่ในชีวิตประจำวันนั่นแหละ


:b8: กราบขอบพระคุณคะที่มาแนะนำเพิ่มเติมให้ :b8:

ตอนนี้หายปวดหัวแล้วคะ..ตื่นมาพอรู้สึกตัว ลืมตา เห็นสิ่งๆหนึ่งในกาย ไม่ทราบว่าจะเรียกว่าอะไร เมื่อลืมตา เห็นมันพุ่งขึ้นไป เหมือนขึ้นลิฟต์ขึ้นไปชั้นสูงสุด แล้วหยุดกึก...มันเป็นของมันเองตามสัญชาตญาน พอนึกได้ก็รู้ว่า ไอ้นี่แหละที่ทำให้เราปวดหัวทั้งวันทั้งคืน มันเป็นของมันเองอัตโนมัติ ไม่ได้ตั้งใจหรือตั้งท่าอะไรมาก แต่มันเป็นเอง..พูดได้ยากนะคะ..พอมีสติเห็นเลยผ่อนๆมันลงมา มันผ่อนได้เพราะมันยังไม่ปวดหัว เพราะเมื่อมันถึงจุดสูงสุดและหยุดกึก เราก็เห็นมันทันที เลยผ่อนๆลงได้คะ

แต่ก่อนถ้าดิฉันรู้ว่า ถ้ามันตึงเกินไปดิฉันต้องลดลงเพื่อให้ถึงตรงกลางของตัวเอง..ดิฉันจะบอกตัวเองว่า..ทำแบบเดินเล่น ชิวๆ สบายๆ ไม่ต้อง ตั้งท่าอะไร...ชมนกชมไม้ไปเรื่อยๆ...นั่นแหละคือตรงกลางของเรา...แต่ตอนนี้ตรงกลางของดิฉันไม่ได้เป็นแบบนั้นแล้ว ตรงกลางกลับเป็นว่า ไม่ต้องทำอะไร แค่อ่านให้แจ้งแก่ใจ แล้วทุกอย่างมันจะเป็นไปตามครรลองของมันเอง...สิ่งนี้เพิ่งรู้ในวันนี้คะ คือไม่ต้องทำอะไร ทุกอย่างมันจะเป็นไปตามทางของมัน...แต่ยังไง เรื่องที่เพิ่งรู้ในวันนี้ต้องใช้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ต่อไปค่ะว่าจะจริงอย่างที่รู้ไหม....

บทความอันก่อนก็ยังจะไม่อ่าน เพราะต้องรักษาความเป็นกลางของตัวเองให้เสถียรก่อน ตอนนี้ยังไม่เสถียร...เมื่อเผลอมันจะไปของมันเองคือตึงเกินไป..ตอนนี้เลยอยู่เฉยๆ..เพราะการอยู่เฉยๆนั่นแหละมันจะเป็นไปในทางของมัน..ไปในทางที่ถูก...ลึกๆดิฉันรู้สึกแบบนี้....ดิฉันเลยทำตามความรู้สึกคือ อยู่เฉยๆไม่ต้องทำอะไรไปก่อน...

ตอนนี้ขณะพิมพ์ก็สบายดีนะคะ อยู่เฉยๆ เมื่ออยู่เฉยๆแบบนี้ ทุกอย่างมันก็หยุดของมันเอง โดยธรรมชาติ อธิบายได้ยากคะ..แต่จะลอง อยู่เฉยๆแบบนี้ก่อน...ถ้ามันผิดอีกสัก2-3วัน อาการมันคงโผล่มาให้เห็นเอง.. :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ส.ค. 2012, 10:59 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ค. 2012, 14:46
โพสต์: 67


 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
การปฎิบัติธรรมไม่มีใครไม่ปวดหัวหรอกครับปวดกันทุกคน เพราะการนั่งสมาธินั้นเป็นการพิจารณาความเป็นจริง และความเป็นจริงนั้นร่างกายถูกบีบคั้น มองตามกายภาพแล้วเป็นแรงบีบคั้นที่ต้องการหาทางออกต้องการเปลี่ยนแปลงอริยบถ มันเป็นบทพิสูจน์ของใจตรงนี้แหละกล้าหรือไม่กล้า ส่วนใหญ่แล้วก็ถอย ตีความหมายกันไปต่างๆ เพราะความกลัว กลัวเส้นเลือดแตกบ้าง กลัวเคลียดบ้าง ตรงนีแหละถ้าท่านผ่านได้ ทางกายภาพปวดหัวไมเกรนก็จะหาย แต่ทางธรรมแล้ว ท่านจะพบสิ่งต่างๆหายสงสัยในธรรมมะ ลดละกิเลสได้จริง มันไม่มีใครเป็นอะไรหรอก ภรรยาผมเป็นไมเกรนมาก กว่าจะผ่านตรงนี้ได้มันก็ต้องสู้ในที่สุดเขาก็ผ่านได้ไมเกรนหายแล้ว มันเป็นบทพิสูจน์ รับรองได้ ผ่านมาแล้ว สู้ :b4:


:b8: ขอบคุณคะ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ส.ค. 2012, 10:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ค. 2012, 14:46
โพสต์: 67


 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่มีอะไร เขียน:
31 ภพภูมินี้ ล้วนอยู่ภายใต้ กฏของไตรลักษณ์
ทุกอย่างไม่คงอยู่ แค่ชั่วคราว และจางหายไป
มันจึงยึดไม่อยู่ ด้วยเหตุที่มันยึดไม่อยู่นี่แหละ มันจึงทุกข์
ทุกข์ที่ควบคุมสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้ตลอด
เปลี่ยนไปมา แล้วก็จางหายไป
ทุกข์ที่ทำแล้วต้องทำอีก ด้วยเหตุที่มันจางหายไปเอง

เราจึงเพียร พยายาม ทำ ตั้งใจ ตั้งมั่น ในการทำ
ปรารถนาให้มันเป็นดังที่ตั้งไว้
ขยายทำ หมั่นฝึกฝน ทำบ่อย ๆ ทำให้ต่อเนื่อง
ให้เกิดความชำนาญ เพื่อให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดนั้น
สำเร็จ คงอยู่ หรือเป็นตามที่ปรารถนา

เหมือนดั่ง เราเป่าฟองสบู่ เมื่อเป่าแล้ว
ฟองสบู่นั้นลอยกระทบแสงดูสวยงาม น่าจับต้อง
แต่เมื่อไปจับมัน มันก็สลายไป เมื่อไม่ไปจับมัน
มันก็สลายไปในไม่ช้าเช่นกัน
เมื่อไม่อยากให้มันสลายหมด ก็ต้องเป่าไปเรื่อยๆ
เพื่อให้ดูสวยงามไปตลอด
แต่สุดท้ายก็ไม่อาจหนีพ้น อนิจจัง
สลายหมด เป็นอนัตตาให้เห็น

ด้วยเหตุนี้ ใน 31 ภพภูมินี้ จึงเนื่องด้วยการกระทำ
เนื่องด้วยขันธ์ สำเร็จได้ด้วยการกระทำ จึงเป็นสิ่งทีสำคัญ
แต่กลับหลงลืมไปว่า มันฝืนไตรลักษณ์ไหม
ไปเข้าทาง โมหะ ตัณหา อุปาทาน หรือเปล่า
หลงสร้างอัตตาตัวตน เข้าไปทำ ให้ต่อเนื่อง
ในสิ่งที่เป็นได้แค่ชั่วคราว และจางหายในที่สุด ยึดอะไรไม่ได้

ถามว่าทำแล้วได้ไหม ได้ครับ ได้ตรงต่อ 31 ภพภูมิ
แต่ยังไม่ตรงต่อนิพพาน และผลจากที่เราทำ ๆ ไว้
มันก็เกิดเป็นนิสัย มากเข้าก็กลายเป็นจริต
สุดท้ายก็รวมเป็น อนุสัยความเคยชิน
ที่เคยทำอย่างไรก็ชอบทำอย่างนั้น
ข้ามภพขามชาติมาทำต่อ ซึ่งมันก็คือ กรรม
อันเกิดจาก การทำกาย ทำวาจา และทำจิต
กลายเป็นว่าเรามีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์
เป็นทายาทแห่งกรรม ไปเสีย

นิพพานนี้ ไม่เนื่องด้วยขันธ์
จึงไม่เนื่องด้วยการกระทำใด ๆ ที่มาจากขันธ์
เพราะขันธ์นี้มันเป็นผลแห่งกรรม แต่นิพพานนี้นอกเหนือกรรม
นิพพานนี้นอกเหนือเหตุและปัจจัย เพราะเหตุและปัจจัย
มันเป็นวัฎฎะของสังสารวัฎ มีนี่จึงมีโน่น มีโน่นจึงมีนี่
มันเป็นวังวนของสังสารวัฏ เมื่อหลงเข้าไปแล้วก็ถูกพัดพาไป
ตามเหตุและปัจจัยไปเรื่อย ๆ
เหมือนวังวนที่หลงเข้าไปแล้วออกไม่ได้
ท่านจึงให้ยุติเหตุ ไม่ใช่ไปสร้างเหตุ
ยุติสมุทัย ไม่ไปต่อเหตุก่อกรรมเพิ่มอีก

ไตรลักษณ์นี้เป็นธรรมชาติของสรรพสิ่ง ธาตุขันธ์ก็ไม่ยกเว้น
ดังนั้นจะธาตุหนึ่งขันธ์ใด เมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว
มันไม่ยึดในตัวมันเอง แล้วๆ ไปตลอดเวลา
แล้วมันก็ไม่ยึดกับอะไร เป็นอนัตตาในตัวมันเอง
นื่คือธรรมชาติเดิมแท้ของธาตุขันธ์
ที่ตรงต่อกฏของไตรลักษณ์ อยู่ตลอดเวลา

รู้แล้วก็แล้วไป ดับไป ดับหายไป แล้วก็รู้ใหม่อีก และดับไปอีก
ไม่ยึดรู้อยู่กับสิ่งหนึ่งตลอดเวลา ทุกขันธ์ล้วนเช่นนี้
ไม่ยึดกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งตลอด
คือมันผ่านตลอด ไม่ยึด ไม่คา ไม่ค้างกับสิ่งที่กระทบ
ไม่จม ไม่แช่อยู่กับตัวมันเอง
วัน ๆ ธาตุขันธ์นี้จึงสามารถสัมผัสสิ่งต่าง ๆ มากมาย
ที่มันเข้า ๆ ออกๆ อยู่ตลอดเวลาได้

เหมือนกาลเวลาที่มันผ่านตลอด ทุกวินาที
ไม่ค้าง ไม่คาในตัวมันเอง ผ่านตลอด
นี่แหละ ปัจจุบันธรรม ทุกธาตุขันธ์ที่ปราศจากกิเลสครอบงำ
มันจะเป็นปัจจุบันธรรม ของมันเองตลอด
เวลาผ่าน ทุกธาตุขันธ์ก็ผ่าน
ไม่มีค้างในสิ่งใด ไม่ค้างอยู่ที่เวลาใดเวลาหนึ่ง
เห็นผ่าน รู้ผ่าน ๆ สัมผัสทุกอย่าง ผ่าน ๆ ทุกเวลา

ดังนั้น ธาตุขันธ์จะมีความอิสระ ว่องไว้ ไร้การกดทับ
ไม่เป็นหุ่นยนต์ ไม่เป็นสมองกลวง ไม่เป็นหัวตอ ไม่ซื่อบื้อ
เมื่อจะหยิบธาตุขันธ์ขึ้นมาใช้ก็พร้อมใช้งาน
เมื่อใช้เสร็จก็พร้อมวาง ไม่ข้องไม่คาในธาตุขันธ์นั้น ๆ แล้ว ๆ ไป

แต่เมื่อกิเลสเข้าซ้อน เวลามองสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
หรือสัมผัสแล้วมันไม่ผ่าน ไม่ปล่อย ยังอยากมองต่อ
ดูต่อ มันค้างอยู่ จมอยู่ แช่อยู่ที่ตัวดู ตัวรู้
ไม่ปล่อยตัวดู ตัวรู้ แต่กาลเวลาไม่ค้างด้วย อนิจจังตลอด ไม่มีค้าง
มันค้างดูนานแค่ไหน ก็คือจมอยู่ในอดีตนานแค่นั้น ไม่ได้ตรงต่อปัจจุบัน
เพราะธรรมชาติของขันธ์ไม่คางอยู่แล้ว แล้ว ๆ ไปตลอด ปัจจุบันตลอด
แต่กิเลสชอบค้าง ชอบแช่ ชอบจม ชอบเอา และยึดอยู่กับตัวเอง

ขณะที่ค้างดู ค้างรู้นั้น คือการเสวยผลแห่งกรรม
เพราะมีเหตุ จึงมีผล
เมื่อผลเกิดแล้วเราก็หลงเข้าดู เข้าไปรู้
และต่อ ๆ ไปอีก ก็คือเข้าไปเสวยผลแห่งกรรมนั้น ๆ
และขณะเดียวกันก็เป็นการสร้างกรรมใหม่ขึ้นอีก
เพราะเจตนาเข้าไปดู เข้าไปรู้
และเข้าไปเสวยผลนั้น กรรมใหม่ย่อมเกิดขึ้นอีก

เพราะฉะนั้นเจตนาหยิบเอาธาตุขันธ์ไหน ไปเสวยผล
มันก็ไปสร้างกรรมต่อกับธาตุขันธ์นั้นอีก
เมื่อเสวยผลแห่งกรรมนั้น แล้วทนเวทนาไม่ไหว
จากที่มันอยู่แค่ในมโน สร้างกรรมแค่มโนกรรม
มันก็ขยายออกสู่ วจีกรรม และกายกรรม ต่อมาอีก
แล้ววัน ๆเราก็ทำๆ ๆ และสร้าง ๆ ๆ กรรมไม่รู้เท่าไหร่

นอกจากนั้นแล้วยังมีการ ริเริ่มไปสร้างกรรมใหม่ ๆ อีก
ยิ่งเรามีความพิศดานในการสร้างกรรมใหม่ ๆ มากแค่ไหน
ผลแห่งกรรมมันก็พิศดานตามไปด้วย
มันจึงไม่แปลกเลย ที่คนเราทุกวันนี้ จะหลงกันมากมายขนาดนี้
และมีผลแห่งกรรมแปลกๆให้เห็นอยู่เรื่อยไป

ทุกวันนี้คนเราก็มีแต่เสวยแล้วเสวยอีก สร้างแล้วสร้างอีก
กรรมนี้มันจึงมีมาก มากจนยากที่จะใช้หมด
มากเสียจนกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่แห่ง 31 ภพภูมินี้
แต่จะใหญ่แค่ไหน ก็อนิจจัง อนัตตา
นี่แหละความน่ากลัวของโมหะ ที่หลอกสรรพสัตว์ทั้งหลาย
ให้หลงวนเวียนอยู่ในวัฏฏะนี้

ท่านจึงให้สละออก ไม่ใช่เอา สละออกทั้งกายและจิต
ไม่จม ไม่แช่ ในกายและจิต
ให้เกิดเป็นเหตุ และหลงเข้าไปเสวยผลแห่งกรรมอีก
ดังนั้นสิ่งใดที่เข้าไป กำ สิ่งนั้นไม่ใช่
สิ่งใดที่เข้าไปต่อ เข้าไปแต่ง เข้าไปเติม เข้าไปแช่
เข้าไปจม หรือ เข้าไปยึด สิ่งเหล่านั้นยังไม่ตรงต่อพระนิพพาน


:b8: กราบขอบพระคุณคะ :b8:

วันนี้มาอ่านได้แล้วคะ..ไม่ใช่ว่าหายปวดหัวเลยหรอกคะ แต่ยอมรับความเป็นตัวของตัวเอง ยอมรับสภาพของตัวเอง ยอมรับจริตของตัวเอง ยอมรับกรรมที่เป็นของตัวเอง..ยอมรับทุกๆอย่างที่เป็นตัวเอง..ทำให้ทุกอย่างดีขึ้นเป็นลำดับ..บอกตัวเองว่า เราไม่สามารถฝืนความเป็นตัวเองได้หรอก เรามันเป็นพวกไม่มีตรงกลาง เป็นพวกบ้าพลัง จะมาควบคุมการผ่อนตลอดเวลา มันก็ไม่ใช่ตัวเอง เผลอก็ต้องเป็นอีกอยู่ดี..การเป็นตัวเองนั้นดีที่สุด แสดงความเป็นตัวเองออกมา เมื่อเราเป็นตัวของตัวเองโดยไม่หลอกตัวเอง..เราก็จะเห็นข้อเสียของตัวเองได้ง่าย เมื่อเห็นข้อเสียแล้ว เราก็จะได้แก้ไข ง่ายกว่าการควบคุมตัวเอง หรือฝืนตัวเอง ไม่ปล่อยให้ตัวเองเป็นไปตามธรรมชาติตามความเป็นไปที่ตัวเองเคยเป็น

เมื่อยอมรับตัวเอง บางอย่างในตัวก็คลายออก อาการป่วยปวดเป็นธรรมชาติของร่างกาย และ เป็นคุณสมบัติส่วนตัวของตัวเองตั้งแต่เด็ก..เราจับมือเป็นเพื่อนกันมาตั้งนานแล้ว :b32:...หลังจากนั้นทุกอย่างก็คลายออก..อาการปวดหัวหนักๆ ตลอดเวลา ก็หายไป ทำให้สามารถกลับมาอ่านข้อความบทนี้ได้

อ่านแล้วได้ใจความทั้งหมดว่า...เฮ้อ บรรยายไม่เก่งแต่จะเอาข้อความที่ต้วเองเข้าใจมาแทนสิ่งที่ดิฉันเข้าใจแล้วกันนะคะ..เพราะไม่แน่ใจว่าตรงกับจุดประสงค์ของบทความนี้หรือไม่แต่ดิฉันเข้าใจอย่างนี้

ดิฉันเข้าใจว่า... ทุกอย่างมันเป็นอย่างนี้

มันไม่ยึดในตัวมันเอง แล้วๆ ไปตลอดเวลา
แล้วมันก็ไม่ยึดกับอะไร เป็นอนัตตาในตัวมันเอง
นื่คือธรรมชาติเดิมแท้ของธาตุขันธ์
ที่ตรงต่อกฏของไตรลักษณ์ อยู่ตลอดเวลา


และ ทุกๆวัน ธาตุขันธ์ สามารถสัมผัสสิ่งต่างๆได้มากมายตลอดเวลา แต่ใจเราจะไม่ติด ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติของความเป็นจริงในกฎของไตรลักษณ์

ตอนนี้ดิฉันได้แค่นี้ แต่ดิฉันจะอ่านซ้ำๆเพื่อให้มันซึมเข้าไปในใจคะ..ตอนนี้อ่านแล้วเข้าใจแต่ใจมันปล่อยออกอย่างไรไม่รู้ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ส.ค. 2012, 11:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ค. 2012, 14:46
โพสต์: 67


 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่มีอะไร เขียน:
ท่าน จขกท อาการปวดหัว ไม่ได้เป็นที่ท่านคนเดียวหรอกครับ
มันเป็นกับทุกคนที่ ตั้งใจเกิน เรียกว่าตึงเกินไปครับ
ความอยากมันพาไปยืด กดทบธาตุขันธ์จนธาตุขันธ์รับไม่ไหว
อยากเข้าใจ อยากสำเร็จ
ทางโลกเค้าเรียกว่า เครียด

ผู้ที่ปฏิบัติธรรมที่มีความมุ่งมั่นและตั้งมากเกินไป ก็มักมีอาการเช่นนี้
ซึ่งก็ไม่ต่างกับชาวโลกทั้งหลายที่ตั้งมาก เพื่อความสำเร็จใจชีวิต การงาน

ก็ไม่ต้องรีบ มันจะเข้าทางตัณหา
และก็ไม่ต้องไปแก้อะไร ไม่ต้องไปต่อกรรม
ให้เป็นกรรมซ้อนกรรมขึ้นมาอีก
มันเป็นวิบาก เป็นกรรมอนุสัยความเคยชิน ที่สร้างสะสมไว้
ก็ปล่อย ปล่อยให้มันมาเอง และผ่านไปเอง
ไม่ต้องไปอยากให้หาย ยิ่งอยากหาย ยิ่งกดทับซ้ำเติมเข้าไปอีก

ทุกครั้งที่รู้ตัว ว่าเข้าไปรู้ปวด ก็ปล่อย ช่าง และดำเนินชีวิตไปตามปกติ
ในขณะนั้น เช่นล้างชามอยู่ แล้วรู้สึกปวดหัว ก็ช่างความรู้สึกนั้น
แล้วก็ล้างชามตามปกติให้เสร็จ
แล้วก็ทำกิจที่ควรทำในชีวิตประจำวันต่อไป
เอาที่มันรู้ของมันเอง ไม่ต้องไปตั้งใจรู้ ไม่ต้องไปกำหนดรู้
และยุติกิจของเหตุที่เกิดการปวดหัว ท่านคงรู้ดี
ว่าเหตุเกิดจากอะไร หยุดเลยกิจนั้นและกิจที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
เป็นการคลาย ตัณหา และอุปาทานในกิจนั้นลงเสีย
ส่วนมันจะหายปวด หรือไม่ปวด
ก็ช่างมันเช่นเดิม ก็คือไม่ต้องไปสนใจ ไม่ต้องไปถามหามัน
ความตึงนั้นจะคลายออกเอง

แต่ถ้าเป็นมาตั้งแต่เด็ก ๆ ก็ให้หมอเช็คบ้างก็ดีนะ
ว่ามีอะไรแทรกซ้อนหรือเปล่า

ดูแลธาตุขันธ์ตามอัตภาพ สมควร
ไม่ใช่ทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ หรือใช้แบบเกิน ๆ

หากมีเวลาว่าง ให้ขอขมากรรม ต่อคุณพระศรีรัตนไตร
และกรวดน้ำ บ้าง

ไม่ให้อ่านธรรมที่ เล่าให้ฟังนี้ จนกว่าจะหายปวดหัว
ถ้าจะอ่านเมื่อหายแล้วค่อยอ่านใหม่
ค่อย ๆ อ่าน ไม่ต้องรีบ ปล่อยให้จิตรู้ ประมวดผลเอง
ไม่ต้องไปตีความ ตรงไหนใช่ ก็ตรงตามไป ตรงไหนไม่ใช่ก็ผ่านไป
ตรงไหนเหมือนจะใช่หรือไม่ใช่ ถามได้
ไม่ต้องรีบ ไม่ต้องรีบ ไม่ต้องรีบ
ธรรมทั้งหลายก็อยู่ในชีวิตประจำวันนั่นแหละ


:b8: กราบขอบพระคุณในความเมตตาคะ :b8: (วันนี้ดีขึ้นแล้วคะ)

ป้วยนี่เป็นตั้งแต่เด็กคะ เป็นมาจนถึงเดี๋ยวนี้..ป่วยก็รักษากินยาเช็คร่างกายตามสภาพคะ..แต่เป็นทุกวัน บางทีก็ 2 วันเป็นที บางทีก็ อาิทิตย์นึงเป็นที แล้วแต่มันจะเป็น :b32: ..คนในบ้านเค้าเรียกการป่วยของดิฉันว่า..เป็นโรคกรรมนะคะ :b9: เพราะเป็นเกือบทุกวัน บ้างก็ คลื่นไส้จนทำงานไม่ได้ ปวดท้อง บ้างก็ปวดหัว บ้างก็ท้องเสีย บ้างก็ปวดกล้ามเนื้อ ปวดกระดูก บ้างก็อยู่ๆพลังงานในกายก็หมด เป็นไม่ซ้ำ แต่ละครั้งที่เป็นก็จะเป็นหนักๆ เป็นอย่างนี้ประจำ ทั้งๆที่ไปเช็คร่างกายอย่างละเอียดก็แข็งแรงดีคะ :b12:

ส่วนการขอขมาพระรัตนตรัยและอุทิศบุญนั้น ทำทุกวันคะ ขอขมาวันและ 2 ครั้งเป็นอย่างต่ำ ถ้าวันไหนชั่วหน่อยก็หลายครั้งหน่อยคะ :b9: ..ตามแต่ที่จะนึกได้ว่าตัวเองชั่วอีกแล้ว :b8:

ตอนนี้ทำตามที่ทำนแนะนำคะ ว่า ไม่ต้องรีบ ...กราบขอบพระคุณอีกครั้งนะคะ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ส.ค. 2012, 00:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.ค. 2012, 13:44
โพสต์: 23


 ข้อมูลส่วนตัว


ท่าน จขกท

เมื่อขอขมากรรมต่อคุณพระศรีรัตนไตรแล้ว
ให้ขอขมาต่อทุกผู้ทุกนาม ทุกดวงจิตดวงวิญญาณ
ในทุกชั้นทุกภูมิ ด้วยนะครับ

และกล่าวคำ อโหสิกรรม ให้แก่ ทุกดวงจิตดวงวิญญาณ
ในทุกชั้นทุกภูมิ ที่เคยล่วงเกินซึ่งกันและกัน อโหสิกรรมให้เขาทั้งหมด
ไม่ต้องเก็บไว้อีกต่อไปทั้งเค้าและเรา

ทั้งหมดนี้ ให้กล่าวออกเสียนะครับ
ให้ทุกชั้นภูมิได้รับทราบ เป็นสักขีพยาน
ในการขอขมาและอโหสิกรรม ครับ

การขอขมากรรม เป็นการลดอัตตามานะ ด้วยนะ
ผู้คนทั้งหลายที่ยึดในตัวเอง มักเห็นตัวเองใหญ่
ตัวเองเก่ง ตัวเองถูก ไม่เห็นว่าตัวเองทำผิด
จึงก้มหัวขอโทษไม่เป็น มานะสูง

ส่วนการกรวดน้ำ ก่อนกรวดน้ำ ก็อาราธนา
มหาบารมีองค์พุทธะมหาโพธิสัตว์พระอรหันต์
ทุก ๆ พระองค์ในทุกพุทธันดร ทรงเป็นประธาน

จากนั้นจะนึกอะไรแผ่อะไรก็นึกให้เสร็จก่อ แล้วค่อยเทน้ำ

แนะนำว่าให้ แผ่แบบไม่เจาะจงเฉพาะคนใดคนหนึ่ง
เพราะมันยังหลงครอบอยู ไม่กว้างขวาง ไม่ไร้ขอบเขต
มันยังมีขอบเขต ยังหลงอยู่แค่เฉพาะจุด เฉพาะบุคคล
ก็ปล่อย คลายออกทั้งหมด ไม่เจาะจง ให้ทั้งหมด

ขณะเทน้ำ ไม่ต้อง กำหนด ไม่ต้องนึกอะไรอีก
ปล่อยทุกขันธ์ ช่างทุกอารมณ์
ให้ธาตุขันธ์นั้น ว่างจาก การกำในอัตตา
การเทน้ำ หรือการ หยาดน้ำ จะเป็นการ
แผ่บุญและบารมีธรรม ให้กับผู้รับครับ
ให้ตื่น จาก ความหลง
ตามองค์พุทธะมหาโพธิสัตว์พระอรหันต์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ส.ค. 2012, 06:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


Groans: 0
Groaned at 0 Times in 0 Posts
ได้ให้อนุโมทนา: 39
ได้รับอนุโมทนา 1,742 ครั้ง ใน 110 โพส
พลังการให้คะแนน: 168
กรวดน้ำ? โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ

--------------------------------------------------------------------------------

กรวดน้ำ
หลวงพ่อฤษีลิงดำ


ผู้ถาม กราบเรียนหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง สามีของลูกเลิกกันไปแล้ว ก็ตายไปแล้ว ประมาณสัก 10 วัน กว่า ก็ได้มีโอกาสถวายสังฆทานที่วัดแห่งหนึ่ง แล้วท่านก็นำน้ำมาให้กรวด แต่เวลากรวดน้ำจริงๆ ปรากฏว่าในเหยือกน้ำนั้นมีตะไคร่ดำปิ๊ดปี๋ไหลออกมา ลูกตกใจเป็นอย่างมาก ไม่ทราบว่าสามีแกจะได้รับอานิสงส์เป็นประการใดเจ้าคะ?

หลวงพ่อ คิดว่าสามีแกจะกินน้ำเรอะ...มันไม่ใช่ การใช้น้ำเป็นวิธีการของพราหมณ์ ไม่ใช่พุทธ ตามพิธีกรรมของพราหมณ์ เขาจะยกอะไรให้ ยกลูกสาวให้ ยกควายให้ ยกวัวให้ ยกสมบัติให้ เขาให้คนที่รับแบมือมาแล้วเอาน้ำราดมือ เป็นการแสดงของการให้ ทีนี้การอุทิศส่วนกุศลครั้งแรกที่ พระเจ้าพิมพิสาร ทำน่ะนะ อย่าลืมว่าพระเจ้าพิมพิสารทำเป็นคนแรก และท่านเป็นพราหมณ์มาก่อน ชื่อว่า กุเวรพราหมณ์ ไงล่ะ
ในเมื่อท่านเป็นพราหมณ์มาก่อน เวลาอุทิศส่วนกุศลตามที่พระพุทธเจ้าแนะนำ ท่านก็ใช้น้ำตามพิธีกรรมของพราหมณ์ แต่วาจาที่กล่าวเป็นลีลาของพระว่า "อิทัง โน ญาตินัง โหตุ..." แปลว่า "ขอผลบุญนี้จงสำเร็จแก่ญาติของข้าพเจ้า" เท่านี้เอง เท่านั้นบรรดาเปรตทั้งหลายก็ได้โมทนา แต่เนื้อแท้จริงๆ การอุทิศส่วนกุศลในพระพุทธศาสนาไม่จำเป็นต้องใช้น้ำ เพราะผีไม่กินน้ำนั้น เขากินอานิสงส์ มันไม่เกี่ยวกันนะ


เอามาให้พิจารณาครับ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ส.ค. 2012, 10:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ค. 2012, 14:46
โพสต์: 67


 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่มีอะไร เขียน:
ท่าน จขกท

เมื่อขอขมากรรมต่อคุณพระศรีรัตนไตรแล้ว
ให้ขอขมาต่อทุกผู้ทุกนาม ทุกดวงจิตดวงวิญญาณ
ในทุกชั้นทุกภูมิ ด้วยนะครับ

และกล่าวคำ อโหสิกรรม ให้แก่ ทุกดวงจิตดวงวิญญาณ
ในทุกชั้นทุกภูมิ ที่เคยล่วงเกินซึ่งกันและกัน อโหสิกรรมให้เขาทั้งหมด
ไม่ต้องเก็บไว้อีกต่อไปทั้งเค้าและเรา

ทั้งหมดนี้ ให้กล่าวออกเสียนะครับ
ให้ทุกชั้นภูมิได้รับทราบ เป็นสักขีพยาน
ในการขอขมาและอโหสิกรรม ครับ

การขอขมากรรม เป็นการลดอัตตามานะ ด้วยนะ
ผู้คนทั้งหลายที่ยึดในตัวเอง มักเห็นตัวเองใหญ่
ตัวเองเก่ง ตัวเองถูก ไม่เห็นว่าตัวเองทำผิด
จึงก้มหัวขอโทษไม่เป็น มานะสูง

ส่วนการกรวดน้ำ ก่อนกรวดน้ำ ก็อาราธนา
มหาบารมีองค์พุทธะมหาโพธิสัตว์พระอรหันต์
ทุก ๆ พระองค์ในทุกพุทธันดร ทรงเป็นประธาน

จากนั้นจะนึกอะไรแผ่อะไรก็นึกให้เสร็จก่อ แล้วค่อยเทน้ำ

แนะนำว่าให้ แผ่แบบไม่เจาะจงเฉพาะคนใดคนหนึ่ง
เพราะมันยังหลงครอบอยู ไม่กว้างขวาง ไม่ไร้ขอบเขต
มันยังมีขอบเขต ยังหลงอยู่แค่เฉพาะจุด เฉพาะบุคคล
ก็ปล่อย คลายออกทั้งหมด ไม่เจาะจง ให้ทั้งหมด

ขณะเทน้ำ ไม่ต้อง กำหนด ไม่ต้องนึกอะไรอีก
ปล่อยทุกขันธ์ ช่างทุกอารมณ์
ให้ธาตุขันธ์นั้น ว่างจาก การกำในอัตตา
การเทน้ำ หรือการ หยาดน้ำ จะเป็นการ
แผ่บุญและบารมีธรรม ให้กับผู้รับครับ
ให้ตื่น จาก ความหลง
ตามองค์พุทธะมหาโพธิสัตว์พระอรหันต์


:b8: กราบขอบพระคุณที่แนะนำเพิ่มเติมคะ :b8:

ปกติจะขอขมาพระรัตนตรัยทุกเช้าตอนสวดมนต์ ส่วนตอนค่ำจะทำหลังทำกรรมฐานทุกวันคะ จะขอขมารัตนตรัยก่อนแล้วทำกรรมฐาน พอทำกรรมฐานเสร็จก็จะ ถวายบุญให้ท่านผุ้มีคุณและอุทิศบุญไปให้ทุกผู้ทุกนามทุกวัน ส่วนการอโหสิกรรมนั้นไม่เคยทำเลยค่ะ เพราะในส่วนตัวดิฉันไม่เคยโกรธใคร มีอาการโมโหตามอาการบ้างแต่ไม่เคยผูกโกรธใครไว้ในใจ ไม่ว่าตัวเองจะโดนแรงไหนก็ไม่รู้สึกโกรธ ข้อนี้เป็นข้อดีของตัวเองคะ แต่บางครั้งมันก็กลายเป็นข้อเสียตรงที่ว่า มีเมตตาเกินไปจนไม่สมดุลกับคำว่าอุเบกขา ทำให้กลายเป็นว่า ตัวเองไม่รู้จักเข็ดจักจำซะที....มันกลับกลายเป็นข้อเสียในบ้างครั้งนะคะ :b9:

ดิฉันจะไปสำรวจอีกทีว่า ที่ทุกๆวันทำนั้น ครบอย่างที่ท่านไม่มีอะไรบอกแล้วหรือยัง แต่เท่าที่ได้คิดสำรวจคร่าวๆคือ ครบแล้ว แต่ไม่เคย อโหสิกรรมให้ใครเท่านั้นเอง เพราะคิดว่าตัวเองไม่เคยผูกโกรธผู้ใด มีแต่เมตตาที่ให้และแผ่ออกไปเสมอ ดิฉันจะกลับไปเพิ่มเติมในส่วนนี้คะ :b8:

ดิฉันไม่มีความรู้มากนัก ดิฉันขอความเมตตาให้ท่านไม่มีอะไรสำรวจ คำถวายกุศลและอุทิศบุญของดิฉันหน่อยได้ไหมคะ...ว่าขาดตรงบกพร่องอะไร จะได้เพิ่มเติมให้สมบูรณ์นะคะ...ขอความเมตตาจากท่านด้วยนะคะ :b8:

บุญใดที่ทำไป ลูกขอถวายกุศลเพื่อแสดงความกตัญญูกตเวทิตา แด่ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปักเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระอรหันต์ทั้งหลาย พรหมเทวดาทั้งหลาย ครูบาอาจารย์ทั้งหมาย บิดามารดาทั้งหลาย เจ้าที่เจ้าทางทั้งหลาย รวมถึงท่านพยายมราช ขอทุกๆพระองค์เมตตาโมทนาในการถวายกุศลเพื่อแสดงความกตัญญูกตเวทิตา ของลูกในครั้งนี้ด้วยเถิด และสิ่งใดที่ลูกได้ล่วงเกินทุกๆพระองค์ไป ทั้งตั้งใจ ไม่ได้ตั้งใจก็ดี ลูกกราบขอขมา ขออโหสิกรรมให้แก่ลูกตั้งแต่บัดนี้ตราบสู่พระนิพพานด้วยเถิด

บุญใดที่ลูกได้ทำไป ลูกขอถวายกุศลเพื่อแสดงความขอขมาแด่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ขอให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายโมทนาในการถวายกุศลเพื่อแสดงการขอขมาในครั้งนี้ด้วยเถิด สิ่งใดที่ได้ล่วงเกินทุกๆท่านไปไปทั้งกายวาจาใจ ทั้งตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจก็ดี ลูกขอขมา ขออโหสิกรรมให้แก่ลูกตั้งแต่บัดนี้ตราบเข้าสู่พระนิพพานด้วยเถิด

บุญใดที่ลูกได้ทำไป ขอถวายกุศลเพื่อแสดงความกตัญญูกติเวทิตาและขอขมาให้แต่ บิดามารดาในชาติปัจจุบัน(จริงๆเอ่ยชื่อนะคะ) แม่สามีและสามี (นี่ก็เอ่ยชื่อคะ) ขอให้ทุกๆท่านโมทนาบุญในการถวายกุศลในครั้งนี้ด้วยเถิด สิ่งใดที่ได้ล่วงเกินทุกๆท่านไป ทั้งกาย วาจาใจ ทั้งตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจก็ดี ลูกขอขมา ขออโหสิกรรมให้แกลูกตั้งแต่บัดนี้เข้าสู่พระนิพพานด้วยเถิด ขอบุญในครั้งนี้ส่งผลให้ท่านทั้งสี่ เมื่อยังมีชีวิตให้สุขกายสบายใจ ร่างกายแข็งแรง อารมณ์ดี มีสติและสัมมาทิษฐิทุกลมหายใจเข้าออกจนถึงลมหายใจสุดท้ายของชีวิต ตายเมื่อใดขอให้นิพพานในชาติปัจจุบัน ขอพระยายมราชโปรดมาเป็นพยานบุญในการถวายกุศลและการอธิษฐานจิตของลูกในครั้งนี้ด้วยเถิด

บุญใดที่ลูกได้ทำไปลูกขออุทิศส่วนกุศลให้แก่ เปรต อสูรกายทั้งหลาย สัมภเวสีทั้งหลาย ท่านทั้งหลายที่ได้ล่วงลับไปแล้ว ที่เสวยความสุขก็ดี ความทุกข์ก็ดี เป็นญาติก็ดีไม่ใช่ญาติก็ดี ขอให้ท่านทั้งหลายมาโมทนาในการอุทิศบุญในครั้งนี้ พึงได้รับประโยชน์ความสุข เช่นเดียวกับข้าพเจ้า ตั้งแต่บัดนี้ตราบเข้าสู่พระนิพพานด้วยเถิด ขอให้บอกต่อๆกันไปไม่มีที่สิ้นสุด ยิ่งบอกต่อยิ่งได้บุญในเมตตาบารมี และได้บุญ 100% เต็มเหมือนข้าพเจ้ากันทุกๆคนเถิด (ตอนอุทิศบุญครั้งสุดท้ายนี้ จะนึกว่า จริงๆไม่ได้นึกแต่ทำอย่างนี้ทุกวันจนชิน(มันเป็นไปเองอัตโนมัติคะ) คือ ค่อยๆแผ่เมตตาออกจากกายไปรอบๆตัว รอบๆบ้าน รอบๆประเทศ ค่อยๆแผ่ออกไปประเทศเพื่อนบ้าน แผ่ไปเรื่อยๆไม่มีที่สิ้นสุด จนถึงรอบโลก ทำสิ้นสุดแค่นี้ทุกๆวัน มันบอกอาการไม่ถูกมันแผ่ออกไปหมดกายหมดใจจนเรารู้สึกว่าเต็มก็หยุดทำแล้วค่อยมาอธิษฐานจิตคะ)

หลังจากนั้นดิฉันค่อยอธิษฐานจิตที่เป็นของตัวเองเป็นอันดับสุดท้าย

นี่เป็นสิ่งที่ดิฉันทำทุกวัน หลังทำกรรมฐานค่ะ...ดิฉันควรเพิ่มเติมอะไรส่วนใหน ให้เหมาะสมและสมบูรณ์ที่สุดสำหรับตัวเอง ขอให้ท่านไม่มีอะไรเมตตา แนะนำดิฉันเพิ่มเติมด้วยนะคะ กราบขอบพระคุณคะ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ส.ค. 2012, 10:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ค. 2012, 14:46
โพสต์: 67


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: กราบขอบพระคุณมากคะ :b8: เมื่ออ่านตรงนี้รับรู้ถึงกระแสความเย็นที่แผ่ออกมาไม่มีที่สิ้นสุด :b8:

อ้างคำพูด:
ขณะเทน้ำ ไม่ต้อง กำหนด ไม่ต้องนึกอะไรอีก
ปล่อยทุกขันธ์ ช่างทุกอารมณ์
ให้ธาตุขันธ์นั้น ว่างจาก การกำในอัตตา
การเทน้ำ หรือการ หยาดน้ำ จะเป็นการ
แผ่บุญและบารมีธรรม ให้กับผู้รับครับ
ให้ตื่น จาก ความหลง
ตามองค์พุทธะมหาโพธิสัตว์พระอรหันต์


สาธุ สาธุ สาธุ :b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ส.ค. 2012, 10:50 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ค. 2012, 14:46
โพสต์: 67


 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
Groans: 0
Groaned at 0 Times in 0 Posts
ได้ให้อนุโมทนา: 39
ได้รับอนุโมทนา 1,742 ครั้ง ใน 110 โพส
พลังการให้คะแนน: 168
กรวดน้ำ? โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ

--------------------------------------------------------------------------------

กรวดน้ำ
หลวงพ่อฤษีลิงดำ


ผู้ถาม กราบเรียนหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง สามีของลูกเลิกกันไปแล้ว ก็ตายไปแล้ว ประมาณสัก 10 วัน กว่า ก็ได้มีโอกาสถวายสังฆทานที่วัดแห่งหนึ่ง แล้วท่านก็นำน้ำมาให้กรวด แต่เวลากรวดน้ำจริงๆ ปรากฏว่าในเหยือกน้ำนั้นมีตะไคร่ดำปิ๊ดปี๋ไหลออกมา ลูกตกใจเป็นอย่างมาก ไม่ทราบว่าสามีแกจะได้รับอานิสงส์เป็นประการใดเจ้าคะ?

หลวงพ่อ คิดว่าสามีแกจะกินน้ำเรอะ...มันไม่ใช่ การใช้น้ำเป็นวิธีการของพราหมณ์ ไม่ใช่พุทธ ตามพิธีกรรมของพราหมณ์ เขาจะยกอะไรให้ ยกลูกสาวให้ ยกควายให้ ยกวัวให้ ยกสมบัติให้ เขาให้คนที่รับแบมือมาแล้วเอาน้ำราดมือ เป็นการแสดงของการให้ ทีนี้การอุทิศส่วนกุศลครั้งแรกที่ พระเจ้าพิมพิสาร ทำน่ะนะ อย่าลืมว่าพระเจ้าพิมพิสารทำเป็นคนแรก และท่านเป็นพราหมณ์มาก่อน ชื่อว่า กุเวรพราหมณ์ ไงล่ะ
ในเมื่อท่านเป็นพราหมณ์มาก่อน เวลาอุทิศส่วนกุศลตามที่พระพุทธเจ้าแนะนำ ท่านก็ใช้น้ำตามพิธีกรรมของพราหมณ์ แต่วาจาที่กล่าวเป็นลีลาของพระว่า "อิทัง โน ญาตินัง โหตุ..." แปลว่า "ขอผลบุญนี้จงสำเร็จแก่ญาติของข้าพเจ้า" เท่านี้เอง เท่านั้นบรรดาเปรตทั้งหลายก็ได้โมทนา แต่เนื้อแท้จริงๆ การอุทิศส่วนกุศลในพระพุทธศาสนาไม่จำเป็นต้องใช้น้ำ เพราะผีไม่กินน้ำนั้น เขากินอานิสงส์ มันไม่เกี่ยวกันนะ


เอามาให้พิจารณาครับ :b8:


:b8: ขอบคุณนะคะที่แนะนำ จะนำไปพิจารณาคะ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ส.ค. 2012, 17:23 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ค. 2012, 14:46
โพสต์: 67


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: กราบขออนุญาติถามได้ไหมคะ :b8:

จริงๆสงสัยหลายวันแล้วแต่ไม่กล้าถามนะคะ..อยากสอบถามว่า เราจะมีข้อเช็คได้อย่างไรว่า การวางอารมณ์แบบนี้ นั้นถูกแล้ว เป็นทางตรงไปสู่พระนิพพาน จุดสังเกตุนะคะ ว่าใช่ เพราะบางทีดิฉันอาจจวางอารมณ์ผิดไม่ถูก กลับกลายเป็นว่า ดิฉันปล่อยทุกสิ่ง แต่ไปโผล่ที่อรูปพรหมแทน :b5: ....ขอความกรุณาบอกจุดสังเกตุอารมณ์ด้วยนะคะ กราบขอบพระคุณล่วงหน้าคะ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ส.ค. 2012, 22:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.ค. 2012, 13:44
โพสต์: 23


 ข้อมูลส่วนตัว


ท่าน จขกท

เนื้อหาของการขอขมากรรม คือการสำนึกในการกระทำของตน
ที่ได้ล่วงเกินต่อองค์คุณเบื้องสูงทุก ๆ พระองค์
และล่วงเกินต่อทุกผู้ทุกนาม ทุกดวงจิตในทุกชั้นภูมิ
และเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย
ที่ทำไว้ในทุกภพทุกชาติ นอกนั้นแล้วแต่จะเสริม

เนื้อหาของการอโหสิกรรม ก็เช่นกัน
คืออโหสิกรรม ให้แก่ทุกผู้ทุกนาม ทุกดวงจิตในทุกชั้นภูมิ
ที่ทำไว้กับเราในทุกภพทุกชาติ ไม่ได้หมายเอาชาตินี้ชาติเดียว

เนื้อหาของการกรวดน้ำ
คือ การให้ การสงเคราะห์ ไม่แบ่งชั้นวรรณะ
ให้หมด แต่ไม่ได้ให้ของชั่วคราว ไม่ได้ให้ในสิ่งที่จะไป
ส่งเสริมให้ผู้รับนั้นไปหลงต่อ
ที่ผ่านมาเรามันจะทำบุญและแผ่บุญหรือกรวดนำ
โดยมีเจตนาในการนำบุญกุศลที่ทำไว้ ไปให้ผู้รับ

อย่างที่ได้กล่าวไว้ก่อนแล้วว่า นิพพานไม่เนื่องด้วยกุศลและอกุศล
ดังนั้น จึงไม่ใช่กรวดน้ำเพื่อแผ่บุญอย่างเดียวอีกแล้ว
แต่หมายให้ธาตุขันธ์ของผู้กรวดน้ำนี้
เป็นส่วนหนึ่งในการโปรดสัตว์ร่วมกับองค์คุณเบื้องสูง
ในการปลดปล่อย คลี่คลาย สรรพดวงจิต ดวงวิญญาณทั้งหลาย
ให้ตื่นจากวิบาก ตื่นจากความหลง จบกิจตาม


ทำไม้ท่าน จขกท ถึงคิดว่า การปล่อยวางขันธ์ห้านี้แล้ว
จะไปอยู่อรูปพรหม ไม่ทราบเพราะเหตุใดถึงคิดเช่นนี้
จะพออธิบายให้ฟังหน่อยได้ไหมครับ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 247 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 5, 6, 7, 8, 9, 10, 11 ... 17  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร