วันเวลาปัจจุบัน 24 มิ.ย. 2025, 04:37  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 186 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 5, 6, 7, 8, 9, 10, 11 ... 13  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 เม.ย. 2012, 18:55 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


FLAME เขียน:
และตรัสต่อไปอีกว่า

" เมื่อใด ท่านทั้งหลายพึงรู้ด้วยตนเองว่า
ธรรมเหล่านี้เป็นอกุศล
ธรรมเหล่านี้มีโทษ
ธรรมเหล่านี้ผู้รู้ติเตียน
ธรรมเหล่านี้ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้วเป็นไปเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์
เพื่อทุกข์เมื่อนั้น ท่านทั้งหลายควรละธรรมเหล่านั้นเสีย "


สาธุ.... :b8:
ตรงนี้...มักไม่มีคนพูดถึง

มัวแต่ไปวนเวียนอยู่กับ 10 ข้อต้น..แล้วก็คิด...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 เม.ย. 2012, 18:59 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


FLAME เขียน:
พระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อจะแสดง อกุศลมูลทั้งสาม คือโลภะ โทสะ โมหะ ว่าเป็นสิ่งที่ไม่มีประโยชน์
จึงได้ถามเพื่อให้ผู้ถูกถามทำความเข้าใจตามด้วยตนเอง(ผู้เขียน)

จึงตรัสดังนี้ว่า

" ดูกรกาลามชนทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
ความโลภ เมื่อเกิดขึ้นในภายในบุรุษ ย่อมเกิดขึ้นเพื่อประโยชน์หรือเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์

พวกชนกาลามโคตรต่างกราบทูลว่า เพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์พระเจ้าข้า ฯ "

ทรงขยายความให้พิสดารขึ้นไปอีกว่า (ผู้เขียน)

พ. ดูกรกาลามชนทั้งหลาย ก็บุคคลผู้โลภ ถูกความโลภครอบงำ
มีจิตอันความโลภกลุ้มรุมนี้ ย่อมฆ่าสัตว์ก็ได้ ลักทรัพย์ก็ได้ คบชู้ก็ได้ พูดเท็จก็ได้
สิ่งใดเป็นไปเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์เพื่อทุกข์ สิ้นกาลนาน บุคคลผู้โลภ ย่อมชักชวนผู้อื่นเพื่อความเป็นอย่างนั้นก็ได้


กา. จริงอย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ



สาธุ... :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 เม.ย. 2012, 20:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


ผ่านไปไม่นานก็มีผู้มีคนมาแสดงความเห็น

อันดับแรกก็ต้องขออภัยคุณNongkong ซึ่งอาจจะทำให้คุณไม่พอใจก็ขออภัยไว้ด้วยครับ

ซึ่งทั้งคุณโฮฮับ และคุณ Nongkong อาจจะไม่ได้สนใจประเด็นของพระธรรม
แต่มุ่งประเด็นมาที่ตัวผมแทน
................................................

ความศรัทธา มีความผ่องใสเป็นลักษณะ กระทำจิตให้ผ่องใสจากนิวรณธรรมทั้งหลาย
ท่านผู้รู้ทั้งหลายย่อมไม่กล่าวศรัทธาอันมีความผ่องใสเป็นลักษณะนี้ว่าเป็นความงมงาย

ความศรัทธาในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ไม่ชื่อว่าเป็นความงมงาย

เพราะเหตุอย่างนี้ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นเป็นผู้ไกลจากกิเลส และตรัสรู้ด้วยพระองค์เองโดยชอบ เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะเป็นผู้ไปแล้วด้วยดี เป็นผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง เป็นผู้สามารถฝึกบุรุษที่สมควรฝึกได้อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า เป็นครูผู้สอนของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานด้วยธรรม เป็นผู้มีความเจริญ เป็นผู้จำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์ดังนี้.

พระธรรมนั้นใด, เป็นสิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสไว้ดีแล้วเป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฎิบัติ พึงเห็นได้ด้วยตนเอง เป็นสิ่งที่ปฎิบัติได้ และให้ผลได้ ไม่จำกัดกาล เป็นสิ่งที่ควรกล่าวแก่ผู้อื่นว่า ท่านจงมาดูเถิด เป็นสิ่งที่ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน

พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า หมู่ใด, ปฏิบัติดีแล้ว
พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า หมู่ใด, ปฏิบัติตรงแล้ว
พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า หมู่ใด, ปฏิบัติธรรมเป็นเครื่องออกจากทุกข์แล้ว
พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า หมู่ใด, ปฏิบัติสมควรแล้ว
ได้แก่ บุคคลเหล่านี้คือ คู่แห่งบุรุษ ๔ คู่ นับเรียงตัวบุรุษได้ ๘ บุรุษ นั่นแหละพระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ท่านเป็นผู้ควรแก่สักการะที่เขานำมาบูชา เป็นผู้ควรแก่สักการะที่เขาจัดไว้ต้อนรับ เป็นผู้ควรรับทักษิณาทาน เป็นผู้ที่บุคคลทั่วไปควรทำอัญชลี เป็นเนื้อนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า ดังนี้

คราวหนึ่งพระวังคีสเถระ เกิดความปลาบปลื้มใจในสุภาษิตสูตรที่พระผู้มีพระภาคทรง
แสดงไว้แล้ว จึงกราบทูลขึ้นในที่เฉพาะพระพักตร์ด้วยคาถา ๔ คาถา ความว่า


" บุคคลควรพูดแต่วาจาที่ไม่ยังตนให้เดือดร้อนเท่านั้น อนึ่ง วาจาใดที่ไม่
เบียดเบียนคนอื่น วาจานั้นแลเป็นวาจาสุภาษิต บุคคลควรพูดแต่วาจา
ที่น่ารักใคร่ ทั้งเป็นวาจาที่ทำให้ร่าเริงได้ ไม่พึงยึดถือวาจาชั่วช้าของคนอื่น
พึงกล่าวแต่วาจาอันเป็นที่รัก คำสัตย์แลเป็นวาจาไม่ตาย ธรรมนี้เป็น
ของเก่า สัตบุรุษทั้งหลายตั้งอยู่แล้วในคำสัตย์ ทั้งที่เป็นอรรถเป็นธรรม
พระพุทธเจ้าตรัสพระวาจาใด เป็นพระวาจาปลอดภัย พระวาจานั้นเป็นไป
เพื่อบรรลุนิพพาน เพื่อทำซึ่งที่สุดแห่งทุกข์ พระวาจานั้นแลเป็นวาจา
สูงสุดกว่าวาจาทั้งหลาย."



ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 เม.ย. 2012, 20:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณกบสนใจสิ่งที่เป็นธรรมะ ผมขออนุโมทนา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 เม.ย. 2012, 20:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ธ.ค. 2010, 06:57
โพสต์: 50


 ข้อมูลส่วนตัว


FLAME เขียน:

" บุคคลควรพูดแต่วาจาที่ไม่ยังตนให้เดือดร้อนเท่านั้น อนึ่ง วาจาใดที่ไม่
เบียดเบียนคนอื่น วาจานั้นแลเป็นวาจาสุภาษิต

:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 เม.ย. 2012, 21:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


FLAME เขียน:
ผ่านไปไม่นานก็มีผู้มีคนมาแสดงความเห็น

อันดับแรกก็ต้องขออภัยคุณNongkong ซึ่งอาจจะทำให้คุณไม่พอใจก็ขออภัยไว้ด้วยครับ

ซึ่งทั้งคุณโฮฮับ และคุณ Nongkong อาจจะไม่ได้สนใจประเด็นของพระธรรม
แต่มุ่งประเด็นมาที่ตัวผมแทน
................................................

ความศรัทธา มีความผ่องใสเป็นลักษณะ กระทำจิตให้ผ่องใสจากนิวรณธรรมทั้งหลาย
ท่านผู้รู้ทั้งหลายย่อมไม่กล่าวศรัทธาอันมีความผ่องใสเป็นลักษณะนี้ว่าเป็นความงมงาย

ความศรัทธาในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ไม่ชื่อว่าเป็นความงมงาย

เพราะเหตุอย่างนี้ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นเป็นผู้ไกลจากกิเลส และตรัสรู้ด้วยพระองค์เองโดยชอบ เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะเป็นผู้ไปแล้วด้วยดี เป็นผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง เป็นผู้สามารถฝึกบุรุษที่สมควรฝึกได้อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า เป็นครูผู้สอนของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานด้วยธรรม เป็นผู้มีความเจริญ เป็นผู้จำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์ดังนี้.

พระธรรมนั้นใด, เป็นสิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสไว้ดีแล้วเป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฎิบัติ พึงเห็นได้ด้วยตนเอง เป็นสิ่งที่ปฎิบัติได้ และให้ผลได้ ไม่จำกัดกาล เป็นสิ่งที่ควรกล่าวแก่ผู้อื่นว่า ท่านจงมาดูเถิด เป็นสิ่งที่ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน

พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า หมู่ใด, ปฏิบัติดีแล้ว
พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า หมู่ใด, ปฏิบัติตรงแล้ว
พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า หมู่ใด, ปฏิบัติธรรมเป็นเครื่องออกจากทุกข์แล้ว
พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า หมู่ใด, ปฏิบัติสมควรแล้ว
ได้แก่ บุคคลเหล่านี้คือ คู่แห่งบุรุษ ๔ คู่ นับเรียงตัวบุรุษได้ ๘ บุรุษ นั่นแหละพระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ท่านเป็นผู้ควรแก่สักการะที่เขานำมาบูชา เป็นผู้ควรแก่สักการะที่เขาจัดไว้ต้อนรับ เป็นผู้ควรรับทักษิณาทาน เป็นผู้ที่บุคคลทั่วไปควรทำอัญชลี เป็นเนื้อนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า ดังนี้

คราวหนึ่งพระวังคีสเถระ เกิดความปลาบปลื้มใจในสุภาษิตสูตรที่พระผู้มีพระภาคทรง
แสดงไว้แล้ว จึงกราบทูลขึ้นในที่เฉพาะพระพักตร์ด้วยคาถา ๔ คาถา ความว่า


" บุคคลควรพูดแต่วาจาที่ไม่ยังตนให้เดือดร้อนเท่านั้น อนึ่ง วาจาใดที่ไม่
เบียดเบียนคนอื่น วาจานั้นแลเป็นวาจาสุภาษิต บุคคลควรพูดแต่วาจา
ที่น่ารักใคร่ ทั้งเป็นวาจาที่ทำให้ร่าเริงได้ ไม่พึงยึดถือวาจาชั่วช้าของคนอื่น
พึงกล่าวแต่วาจาอันเป็นที่รัก คำสัตย์แลเป็นวาจาไม่ตาย ธรรมนี้เป็น
ของเก่า สัตบุรุษทั้งหลายตั้งอยู่แล้วในคำสัตย์ ทั้งที่เป็นอรรถเป็นธรรม
พระพุทธเจ้าตรัสพระวาจาใด เป็นพระวาจาปลอดภัย พระวาจานั้นเป็นไป
เพื่อบรรลุนิพพาน เพื่อทำซึ่งที่สุดแห่งทุกข์ พระวาจานั้นแลเป็นวาจา
สูงสุดกว่าวาจาทั้งหลาย."



ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

แสดงธรรมผิดก็ยอมรับว่าผิด ไหนบอกว่าคุณผิดตรงส่วนไหน ดิฉันชี้แจงได้ คุนยังไม่มีสัมมาทิฏฐิเจ้าค่ะ คุนรู้มั้ยว่าทำไมถึงมีคำนี้ไว้คอยเตือนใจคนที่เค้าเข้าถึง อริยะ "พูดมากเสียมาก พูดน้อยเสียน้อย นิ่งเสียโพธิสัตย์" คนที่เข้าถึงกระแสธรรมแล้ว เค้าเข้าใจความหมายนี้ดีเจ้าค่ะ :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 เม.ย. 2012, 00:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


ชิดชัย เขียน:
FLAME เขียน:

" บุคคลควรพูดแต่วาจาที่ไม่ยังตนให้เดือดร้อนเท่านั้น อนึ่ง วาจาใดที่ไม่
เบียดเบียนคนอื่น วาจานั้นแลเป็นวาจาสุภาษิต

:b8:

เห็นด้วยเจ้าค่ะ ยังงัยผลของการกระทำที่เบียดเบียนผู้อื่นด้วยวจี แต่ใจสุจริต วิบากกรรมจะส่งผลต่อธาตุขันธ์เจ้าค่ะ ดิฉันเจ็บแผลที่เป็นร้อนในที่ปาก กินอะไรก็ไม่อรอ่ย เป็นๆหายๆเจ้าค่ะ :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 เม.ย. 2012, 04:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


FLAME เขียน:
ผ่านไปไม่นานก็มีผู้มีคนมาแสดงความเห็น

อันดับแรกก็ต้องขออภัยคุณNongkong ซึ่งอาจจะทำให้คุณไม่พอใจก็ขออภัยไว้ด้วยครับ

ซึ่งทั้งคุณโฮฮับ และคุณ Nongkong อาจจะไม่ได้สนใจประเด็นของพระธรรม
แต่มุ่งประเด็นมาที่ตัวผมแทน
................................................

เข้าใจผิดแล้วครับ ผมว่าเป็นคุณเองนั้นแหล่ะไม่ยอมมองไปที่ธรรม ลองย้อนกลับไป
อ่านดูใหม่นะครับ เนื้อหาที่ผมแสดงมันเป็นการชี้ลงไปที่ธรรมและชี้ให้เห็นกิเลสของคนด้วย

สู้อุตสาห์อธิบายพิจารณาความกาลามสูตรให้ฟังดันไม่สนใจ กลับมากลัวหาว่า
ชาวบ้านเข้ามาหาเรื่อง คนที่ชอบโพสพระไตรปิฎกแบบขาดความเข้าใจเป็นแบบนี้ทุกคนซิน่า
FLAME เขียน:
ความศรัทธา มีความผ่องใสเป็นลักษณะ กระทำจิตให้ผ่องใสจากนิวรณธรรมทั้งหลาย
ท่านผู้รู้ทั้งหลายย่อมไม่กล่าวศรัทธาอันมีความผ่องใสเป็นลักษณะนี้ว่าเป็นความงมงาย

ความศรัทธาในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ไม่ชื่อว่าเป็นความงมงาย

ยกเอาเนิ้อหาพระไตรปิฎกบางส่วนแล้วเอามาบรรเลงเป็นปรัชญา มันไม่ได้เรื่องหรอกครับ
ผู้ปฏิบัติยิ่งฟังยิ่งสับสน เหมือนกับคุณนี่แหล่ะ ชอบโพสพระไตรปิฎกแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย
ขาดความเข้าใจว่า การเทียบเคียงพระไตรปิกกับประเด็นธรรมเป็นอย่างไร

อย่างเช่นความเห็นประโยคนี้ที่คุณเอามาจากพระสูตฯ
แทนที่จะชี้ให้เห็นแก่นของธรรมบทนี้ กลับไปละเลงเป็นบทเรียงความของ
เด็กประถมหน้าตาเฉย แบบเขาเรียกว่าสักแต่อ้างพระไตรปิฎกโดยขาดปัญญา
พูดลอยๆแบบนี้ชาวบ้านเขาเอือม


ความศรัทธามันแตกต่างจากความงมงาย จะเอามาพูดด้วนๆสั้นๆ
ให้ชาวบ้านเขางงทำไม ทำไมไม่อธิบายชี้ชัดเลยว่า ศรัทธาก็คือความเชื่อแต่
มันแตกต่างกันตรงที่ ศรัทธาเชื่อโดยมีปัญญามองทุกอย่างตามความเป็นจริงด้วย
ตัวเอง ส่วนความเชื่อนั้นถ้าขาดปัญญาท่านก็เรียกว่างมงาย
พระพุทธเจ้าจึงได้ยกเอาบทกาลามสูตรมาสอนเพื่อให้ ไม่เชื่อสิ่งใด
โดยขาดซึ่งปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 เม.ย. 2012, 04:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


FLAME เขียน:
" บุคคลควรพูดแต่วาจาที่ไม่ยังตนให้เดือดร้อนเท่านั้น อนึ่ง วาจาใดที่ไม่
เบียดเบียนคนอื่น วาจานั้นแลเป็นวาจาสุภาษิต บุคคลควรพูดแต่วาจา
ที่น่ารักใคร่ ทั้งเป็นวาจาที่ทำให้ร่าเริงได้ ไม่พึงยึดถือวาจาชั่วช้าของคนอื่น
พึงกล่าวแต่วาจาอันเป็นที่รัก คำสัตย์แลเป็นวาจาไม่ตาย ธรรมนี้เป็น
ของเก่า สัตบุรุษทั้งหลายตั้งอยู่แล้วในคำสัตย์ ทั้งที่เป็นอรรถเป็นธรรม
พระพุทธเจ้าตรัสพระวาจาใด เป็นพระวาจาปลอดภัย พระวาจานั้นเป็นไป
เพื่อบรรลุนิพพาน เพื่อทำซึ่งที่สุดแห่งทุกข์ พระวาจานั้นแลเป็นวาจา
สูงสุดกว่าวาจาทั้งหลาย."

ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

ยังไม่รู้สึกรู้สา ไม่ยอมสำนึกอีกนะครับ สาเหตุที่ผมเข้า
มาคุยกับคุณเพราะอะไรก็บอกไปแล้ว ยังแกล้งไม่รู้ไม่ชี้ปฏิเสธหน้าตาเฉย
นี่ก็มาอีกแล้ว ยกเอาพระธรรมมาว่ากล่าวชาวบ้านแบบไร้สติไม่ย้อนดูตัวเอง

ไอ้เรื่องโพสพระไตรปิฎกข่มชาวบ้านยังพอพูดคุยกันได้
แต่ไอ้ประเภทเอาพระไตรปิฎก มาทำเนี่ยนด่าชาวบ้านนี่
มันอกุศลจิตจริงๆครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2012, 10:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
FLAME เขียน:
" บุคคลควรพูดแต่วาจาที่ไม่ยังตนให้เดือดร้อนเท่านั้น อนึ่ง วาจาใดที่ไม่
เบียดเบียนคนอื่น วาจานั้นแลเป็นวาจาสุภาษิต บุคคลควรพูดแต่วาจา
ที่น่ารักใคร่ ทั้งเป็นวาจาที่ทำให้ร่าเริงได้ ไม่พึงยึดถือวาจาชั่วช้าของคนอื่น
พึงกล่าวแต่วาจาอันเป็นที่รัก คำสัตย์แลเป็นวาจาไม่ตาย ธรรมนี้เป็น
ของเก่า สัตบุรุษทั้งหลายตั้งอยู่แล้วในคำสัตย์ ทั้งที่เป็นอรรถเป็นธรรม
พระพุทธเจ้าตรัสพระวาจาใด เป็นพระวาจาปลอดภัย พระวาจานั้นเป็นไป
เพื่อบรรลุนิพพาน เพื่อทำซึ่งที่สุดแห่งทุกข์ พระวาจานั้นแลเป็นวาจา
สูงสุดกว่าวาจาทั้งหลาย."

ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

ยังไม่รู้สึกรู้สา ไม่ยอมสำนึกอีกนะครับ สาเหตุที่ผมเข้า
มาคุยกับคุณเพราะอะไรก็บอกไปแล้ว ยังแกล้งไม่รู้ไม่ชี้ปฏิเสธหน้าตาเฉย
นี่ก็มาอีกแล้ว ยกเอาพระธรรมมาว่ากล่าวชาวบ้านแบบไร้สติไม่ย้อนดูตัวเอง

ไอ้เรื่องโพสพระไตรปิฎกข่มชาวบ้านยังพอพูดคุยกันได้
แต่ไอ้ประเภทเอาพระไตรปิฎก มาทำเนี่ยนด่าชาวบ้านนี่
มันอกุศลจิตจริงๆครับ

cool
ร้อนตัวเลยหรือคุณโฮฮับ ที่หลังมีแผลอะไรอยู่หรือเปล่า คุณเฟลมเขาแสดงธรรมเพื่อเตือนสติ เรียกสัมปชัญญะผู้คนให้กลับมาสู่ทางแห่งสัมมาทิฏฐิ เป็นมหากุศล คนที่อยู่นอกทางจะร้อน คนที่อยู่บนทางมีแต่จะสาธุและอนุโมทนานะครับ
:b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2012, 14:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เกสปุตตสูตร
[๕๐๕] ๖๖. สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกไปในโกศลชนบท
พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ เสด็จถึงนิคมของพวกกาลามะชื่อว่า เกสปุตตะ
พวกชนกาลามโคตร ชาวเกสปุตตนิคมได้สดับข่าวมาว่า พระสมณโคดมศากยบุตร
ทรงผนวชจากศากยสกุลแล้ว เสด็จมาถึงเกสปุตตนิคมโดยลำดับ ก็กิตติศัพท์อัน
งามของพระสมณโคดมพระองค์นั้นแล ขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ๆ
พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ ... ทรงเบิกบานแล้ว ทรงจำแนกธรรม
พระองค์ทรงทำโลกนี้ พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วย
พระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์
เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตาม พระองค์ทรงแสดงธรรมไพเราะในเบื้องต้น ไพเราะใน
ท่ามกลาง ไพเราะในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อม
ทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง ก็การได้เห็นพระอรหันต์ทั้งหลายเห็นปาน-
*นั้น ย่อมเป็นความดีแล ครั้งนั้น ชนกาลามโคตร ชาวเกสปุตตนิคมได้เข้าไป
เฝ้าพระผู้มีพระภาคจนถึงที่ประทับ บางพวกถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้วนั่ง
ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง บางพวกได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการ
ปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง บางพวกประนมมือ
ไปทางพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง บางพวกประกาศชื่อและ
โคตรแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง บางพวกนั่งเฉยๆ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
เมื่อต่างก็นั่งลงเรียบร้อยแล้ว จึงได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า พระเจ้าข้า มีสมณ
พราหมณ์พวกหนึ่งมายังเกสปุตตนิคม สมณพราหมณ์พวกนั้น พูดประกาศ
แต่เฉพาะวาทะของตัวเท่านั้น ส่วนวาทะของผู้อื่นช่วยกันกระทบกระเทียบ ดูหมิ่น
พูดกด ทำให้ไม่น่าเชื่อ พระเจ้าข้า มีสมณพราหมณ์อีกพวกหนึ่งมายังเกสปุตตนิคม
ถึงพราหมณ์พวกนั้น ก็พูดประกาศแต่เฉพาะวาทะของตนเท่านั้น ส่วนวาทะของ
ผู้อื่นช่วยกันกระทบกระเทียบ ดูหมิ่น พูดกด ทำให้ไม่น่าเชื่อ พระเจ้าข้า พวก
ข้าพระองค์ยังมีความเคลือบแคลงสงสัยในสมณพราหมณ์เหล่านั้นอยู่ทีเดียวว่า ท่าน
สมณพราหมณ์เหล่านั้น ใครพูดจริง ใครพูดเท็จ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกร
กาลามชนทั้งหลาย ก็ควรแล้วที่ท่านทั้งหลายจะเคลือบแคลงสงสัย และท่าน
ทั้งหลายเกิดความเคลือบแคลงสงสัยในฐานะที่ควรแล้ว มาเถิดท่านทั้งหลาย
ท่านทั้งหลายอย่าได้ยึดถือตามถ้อยคำที่ได้ยินได้ฟังมา อย่าได้ยึดถือตามถ้อยคำ
สืบๆ กันมา อย่าได้ยึดถือโดยตื่นข่าวว่า ได้ยินอย่างนี้ อย่าได้ยึดถือโดยอ้าง
ตำรา อย่าได้ยึดถือโดยเดาเอาเอง อย่าได้ยึดถือโดยคาดคะเน อย่าได้ยึดถือโดย
ความตรึกตามอาการ อย่าได้ยึดถือโดยชอบใจว่าต้องกันกับทิฐิของตัว อย่าได้
ยึดถือโดยเชื่อว่าผู้พูดสมควรจะเชื่อได้ อย่าได้ยึดถือโดยความนับถือว่าสมณะนี้
เป็นครูของเรา
เมื่อใด ท่านทั้งหลายพึงรู้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านี้เป็นอกุศล
ธรรมเหล่านี้มีโทษ ธรรมเหล่านี้ผู้รู้ติเตียน ธรรมเหล่านี้ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว
เป็นไปเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์เมื่อนั้น ท่านทั้งหลายควรละธรรม
เหล่านั้นเสีย ดูกรกาลามชนทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
ความโลภ เมื่อเกิดขึ้นในภายในบุรุษ ย่อมเกิดขึ้นเพื่อประโยชน์หรือเพื่อสิ่งไม่เป็น
ประโยชน์ พวกชนกาลามโคตรต่างกราบทูลว่า เพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์
พระเจ้าข้า ฯ
พ. ดูกรกาลามชนทั้งหลาย ก็บุคคลผู้โลภ ถูกความโลภครอบงำ มีจิต
อันความโลภกลุ้มรุมนี้ ย่อมฆ่าสัตว์ก็ได้ ลักทรัพย์ก็ได้ คบชู้ก็ได้ พูดเท็จก็ได้
สิ่งใดเป็นไปเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์เพื่อทุกข์ สิ้นกาลนาน บุคคลผู้โลภ ย่อม
ชักชวนผู้อื่นเพื่อความเป็นอย่างนั้นก็ได้ ฯ
กา. จริงอย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
พ. ท่านทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ความโกรธเมื่อเกิดขึ้น
ในภายในบุรุษ ย่อมเกิดขึ้นเพื่อประโยชน์หรือเพื่อสิ่งไม่ใช่ประโยชน์ ฯ
กา. เพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์ พระเจ้าข้า ฯ
พ. ดูกรกาลามชนทั้งหลาย ก็บุคคลผู้โกรธ ถูกความโกรธครอบงำ มีจิต
อันความโกรธกลุ้มรุมนี้ ย่อมฆ่าสัตว์ก็ได้ ลักทรัพย์ก็ได้ คบชู้ก็ได้ พูดเท็จก็ได้
สิ่งใดเป็นไปเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์ สิ้นกาลนาน บุคคลผู้โกรธย่อม
ชักชวนผู้อื่น เพื่อความเป็นอย่างนั้นก็ได้ ฯ
กา. จริงอย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
พ. ดูกรกาลามชนทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
ความหลง เมื่อเกิดขึ้นในภายในของบุรุษ ย่อมเกิดขึ้นเพื่อประโยชน์หรือเพื่อสิ่ง
ไม่เป็นประโยชน์ ฯ
กา. เพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์ พระเจ้าข้า ฯ
พ. ดูกรกาลามชนทั้งหลาย บุคคลผู้หลง ถูกความหลงครอบงำ มีจิต
อันความหลงกลุ้มรุมนี้ ย่อมฆ่าสัตว์ก็ได้ ลักทรัพย์ก็ได้ คบชู้ก็ได้ พูดเท็จก็ได้
สิ่งใดเป็นไปเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์เพื่อทุกข์ สิ้นกาลนาน บุคคลผู้หลง ย่อม
ชักชวนผู้อื่นเพื่อความเป็นอย่างนั้นก็ได้ ฯ
กา. จริงอย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
พ. ดูกรกาลามชนทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
ธรรมเหล่านี้เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล ฯ
กา. เป็นอกุศล พระเจ้าข้า ฯ
พ. มีโทษหรือไม่มีโทษ ฯ
กา. มีโทษ พระเจ้าข้า ฯ
พ. ท่านผู้รู้ติเตียนหรือท่านผู้รู้สรรเสริญ ฯ
กา. ท่านผู้รู้ติเตียน พระเจ้าข้า ฯ
พ. ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์
เพื่อทุกข์หรือหาไม่ ในข้อนี้ท่านทั้งหลายมีความเห็นอย่างไร ฯ
กา. ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์ เพื่อ
ทุกข์ ในข้อนี้ข้าพระองค์ทั้งหลายมีความเห็นเช่นนี้ ฯ
พ. ดูกรกาลามชนทั้งหลาย เราได้กล่าวคำใดไว้ว่า ดูกรกาลามชน
ทั้งหลาย มาเถอะท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายอย่าได้ยึดถือตามถ้อยคำที่ได้ยินได้
ฟังมา ... อย่าได้ยึดถือโดยนับถือว่าสมณะนี้เป็นครูของเรา
เมื่อใด ท่านทั้งหลายพึงรู้
ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านี้เป็นอกุศล ธรรมเหล่านี้มีโทษ ธรรมเหล่านี้ท่านผู้รู้ติเตียน
ธรรมเหล่านี้ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์
เมื่อนั้น ท่านทั้งหลายควรละธรรมเหล่านั้นเสีย เพราะอาศัยคำที่เราได้กล่าวไว้แล้ว
นั้น เราจึงได้กล่าวไว้ดังนี้ ดูกรกาลามชนทั้งหลาย มาเถอะท่านทั้งหลาย ท่าน
ทั้งหลายอย่าได้ยึดถือตามถ้อยคำที่ได้ยินได้ฟังมา ... อย่าได้ยึดถือโดยความนับถือ
ว่า สมณะนี้เป็นครูของเรา เมื่อใด ท่านทั้งหลายพึงรู้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่า
นี้เป็นกุศล ธรรมเหล่านี้ไม่มีโทษ ธรรมเหล่านี้ท่านผู้รู้สรรเสริญ ธรรมเหล่านี้
ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อสุข เมื่อนั้น ท่าน
ทั้งหลายควรเข้าถึงธรรมเหล่านั้นอยู่ ดูกรกาลามชนทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจะ
สำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ความไม่โลภเมื่อเกิดขึ้นในภายในบุรุษ ย่อมเกิดเพื่อ
ประโยชน์หรือเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์ ฯ
กา. เพื่อประโยชน์ พระเจ้าข้า ฯ
พ. ดูกรกาลามชนทั้งหลาย ก็บุคคลผู้ไม่โลภ ไม่ถูกความโลภครอบงำ
มีจิตไม่ถูกความโลภกลุ้มรุมนี้ ย่อมไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่คบชู้ ไม่พูดเท็จ
สิ่งใดย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข สิ้นกาลนาน บุคคลผู้ไม่
โลภ ย่อมชักชวนผู้อื่นเพื่อความเป็นอย่างนั้น ฯ
กา. จริงอย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
พ. ดูกรกาลามชนทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
ความไม่โกรธ เมื่อเกิดขึ้นในภายในของบุรุษ ย่อมเกิดขึ้นเพื่อประโยชน์หรือเพื่อ
สิ่งไม่เป็นประโยชน์ ฯ
กา. เพื่อประโยชน์ พระเจ้าข้า ฯ
พ. ดูกรกาลามชนทั้งหลาย บุคคลผู้ไม่โกรธ ไม่ถูกความโกรธครอบงำ
มีจิตไม่ถูกความโกรธกลุ้มรุมนี้ ย่อมไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่คบชู้ ไม่พูดเท็จ
สิ่งใดเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข สิ้นกาลนาน บุคคลผู้ไม่โกรธ
ย่อมชักชวนผู้อื่นเพื่อความเป็นอย่างนั้น ฯ
กา. จริงอย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
พ. ดูกรกาลามชนทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
ความไม่หลง เมื่อเกิดขึ้นในภายในของบุรุษ ย่อมเกิดขึ้นเพื่อประโยชน์หรือเพื่อ
สิ่งไม่เป็นประโยชน์ ฯ
กา. เพื่อประโยชน์ พระเจ้าข้า ฯ
พ. ดูกรกาลามชนทั้งหลาย ก็บุคคลผู้ไม่หลง ไม่ถูกความหลงครอบงำ
มีจิตไม่ถูกความหลงกลุ้มรุมนี้ ย่อมไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่คบชู้ ไม่พูดเท็จ
สิ่งใดย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข สิ้นกาลนาน บุคคลผู้ไม่
หลง ย่อมชักชวนผู้อื่นเพื่อความเป็นอย่างนั้น ฯ
กา. จริงอย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
พ. ดูกรกาลามชนทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
ธรรมเหล่านี้เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล ฯ
กา. เป็นกุศล พระเจ้าข้า ฯ
พ. มีโทษหรือไม่มีโทษ ฯ
กา. ไม่มีโทษ พระเจ้าข้า ฯ
พ. ท่านผู้รู้ติเตียนหรือท่านผู้รู้สรรเสริญ ฯ
กา. ท่านผู้รู้สรรเสริญ พระเจ้าข้า ฯ
พ. ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อ
ความสุขหรือหาไม่ ในข้อนี้ ท่านทั้งหลายมีความเห็นอย่างไร ฯ
กา. ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อ
ความสุข ในข้อนี้ ข้าพระองค์ทั้งหลายมีความเห็นเช่นนี้ ฯ
ดูกรกาลามชนทั้งหลาย เราได้กล่าวคำใดไว้ว่า ดูกรกาลามชนทั้งหลาย
มาเถอะท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายอย่าได้ยึดถือตามถ้อยคำที่ได้ยินได้ฟังมา อย่าได้
ยึดถือตามถ้อยคำสืบๆ กันมา อย่าได้ยึดถือโดยตื่นข่าวว่า ได้ยินว่าอย่างนี้ อย่าได้ยึดถือ
โดยอ้างตำรา อย่าได้ยึดถือโดยเดาเอาเอง อย่าได้ยึดถือโดยคาดคะเน อย่าได้ยึดถือโดย
ตรึกตามอาการ อย่าได้ยึดถือโดยชอบใจว่าต้องกันกับทิฐิของตน อย่าได้ยึดถือโดยเชื่อว่า
ผู้พูดสมควรเชื่อได้ อย่าได้ยึดถือโดยความนับถือว่าสมณะนี้เป็นครูของเรา

เมื่อใด ท่านทั้งหลายพึงรู้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล ธรรม
เหล่านี้ไม่มีโทษ ธรรมเหล่านี้ท่านผู้รู้สรรเสริญ ธรรมเหล่านี้ใครสมาทานให้
บริบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข เมื่อนั้นท่าน
ทั้งหลายควรเข้าถึงธรรมเหล่านั้นอยู่ เพราะอาศัยคำที่เราได้กล่าวไว้แล้วนั้น เรา
จึงได้กล่าวไว้ดังนี้ ดูกรกาลามชนทั้งหลาย อริยสาวกนั้น ปราศจากความ
โลภ ปราศจากความพยาบาท ไม่หลงแล้วอย่างนี้ มีสัมปชัญญะ มีสติ
มั่นคง มีใจประกอบด้วยเมตตา แผ่ไปตลอดทิศหนึ่งอยู่ ทิศที่ ๒ ทิศที่ ๓
ทิศที่ ๔ ก็เหมือนกัน ตามนัยนี้ ทั้งเบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวาง แผ่ไปตลอด
โลก ทั่วสัตว์ทุกข์เหล่า ในที่ทุกสถาน ด้วยใจอันประกอบด้วยเมตตาอัน
ไพบูลย์ ถึงความเป็นใหญ่ หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียน
อยู่ มีใจประกอบด้วยกรุณา ... มีใจประกอบด้วยมุทิตา ... มีใจประกอบด้วย
อุเบกขาแผ่ไปตลอดทิศหนึ่งอยู่ ทิศที่ ๒ ทิศที่ ๓ ทิศที่ ๔ ก็เหมือนกัน
ตามนัยนี้ ทั้งเบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวาง แผ่ไปตลอดโลกทั่วสัตว์ทุกเหล่า
ในที่ทุกสถาน ด้วยใจอันประกอบด้วยอุเบกขาอันไพบูลย์ ถึงความเป็นใหญ่
หาประโยชน์มิได้ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่ ดูกรกาลามชนทั้งหลาย
อริยสาวกนั้นมีจิตไม่มีเวรอย่างนี้ มีจิตไม่มีความเบียดเบียนอย่างนี้ มีจิตไม่
เศร้าหมองอย่างนี้มีจิตผ่องแผ้วอย่างนี้ ย่อมได้รับความอุ่นใจ ๔ ประการใน
ปัจจุบันว่าก็ถ้าปรโลกมีจริง ผลวิบากของกรรมทำดีทำชั่วมีจริง เหตุนี้เป็นเครื่อง
ให้เราเมื่อแตกกายตายไป จักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ดังนี้ ความอุ่นใจ
ข้อที่ ๑ นี้ พระอริยสาวกนั้นได้แล้ว ก็ถ้าปรโลกไม่มี ผลวิบากของกรรมทำดี
ทำชั่วไม่มี เราไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียน ไม่มีทุกข์เป็นสุข บริหารตนอยู่
ในปัจจุบันนี้ ดังนี้ ความอุ่นใจข้อที่ ๒ นี้ พระอริยสาวกนั้นได้แล้ว ก็ถ้าเมื่อ
บุคคลทำอยู่ ชื่อว่าทำบาป เราไม่ได้คิดความชั่วให้แก่ใครๆ ไหนเลยทุกข์
จักมาถูกต้องเราผู้ไม่ได้ทำบาปกรรมเล่า ดังนี้ ความอุ่นใจข้อที่ ๓ นี้ พระอริย
สาวกนั้นได้แล้ว ก็ถ้าเมื่อบุคคลทำอยู่ ไม่ชื่อว่าทำบาป เราก็ได้พิจารณาเห็น
ตนว่าเป็นคนบริสุทธิ์แล้วทั้งสองส่วน ดังนี้ ความอุ่นใจข้อที่ ๔ นี้ พระอริย
สาวกนั้นได้แล้ว ดูกรกาลามชนทั้งหลาย อริยสาวกนั้นมีจิตไม่มีเวรอย่างนี้
มีจิตไม่มีความเบียดเบียนอย่างนี้ มีจิตไม่มีเศร้าหมองอย่างนี้ มีจิตผ่องแผ้ว
อย่างนี้ ย่อมได้รับความอุ่นใจ ๔ ประการนี้แลในปัจจุบัน ฯ
กา. ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้อนี้เป็นอย่างนั้น ข้าแต่พระสุคต ข้อนี้เป็น
อย่างนั้น ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ พระอริยสาวกนั้น มีจิตไม่มีเวรอย่างนี้ มีจิต
ไม่มีความเบียดเบียนอย่างนี้ มีจิตไม่เศร้าหมองอย่างนี้ มีจิตผ่องแผ้วอย่างนี้
ท่านย่อมได้ความอุ่นใจ ๔ ประการในปัจจุบัน ... ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของ
พระองค์แจ่มแจ้งนัก ฯลฯ ขอพระองค์โปรดทรงจำพวกข้าพระองค์ว่า เป็นอุบาสก
ผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต จำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป ฯ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


แก้ไขล่าสุดโดย เช่นนั้น เมื่อ 11 เม.ย. 2012, 15:27, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2012, 14:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สหายธรรมทุกท่าน เช่นนั้นได้ทำ marking สีน้ำเงินไว้ที่พระสูตร
ด้วยจุดประสงค์ เพื่อบอกว่า นี่ไม่ใช่พุทธดำรัส มีการแต่งเติมพุทธวจนะให้ผิดไปจากบาลี
จนทำให้เิิกิดความเข้าใจว่า
พระพุทธองค์ ตรัสว่า "อย่าเชื่อ" "อย่าได้ยึดถือ" เป็นต้น
ดูกรกาลามชนทั้งหลาย ก็ควรแล้วที่ท่านทั้งหลายจะเคลือบแคลงสงสัย และท่าน
ทั้งหลายเกิดความเคลือบแคลงสงสัยในฐานะที่ควรแล้ว มาเถิดท่านทั้งหลาย
ท่านทั้งหลายอย่าได้ยึดถือตามถ้อยคำที่ได้ยินได้ฟังมา อย่าได้ยึดถือตามถ้อยคำ
สืบๆ กันมา อย่าได้ยึดถือโดยตื่นข่าวว่า ได้ยินอย่างนี้ อย่าได้ยึดถือโดยอ้าง
ตำรา อย่าได้ยึดถือโดยเดาเอาเอง อย่าได้ยึดถือโดยคาดคะเน อย่าได้ยึดถือโดย
ความตรึกตามอาการ อย่าได้ยึดถือโดยชอบใจว่าต้องกันกับทิฐิของตัว อย่าได้
ยึดถือโดยเชื่อว่าผู้พูดสมควรจะเชื่อได้ อย่าได้ยึดถือโดยความนับถือว่าสมณะนี้
เป็นครูของเรา



อล หิ โว กาลามา กงฺขิตต อล วิจิกิจฺฉิตต กงฺขานิเยว ปน โว าเน วิจิกิจฺฉา
อุปฺปนฺนา เอถ ตุเมฺห กาลามา มา อนุสฺสเวน มา ปรมฺปราย
มา อิติกิราย มา ปิฏกสมฺปทาเนน มา ตกฺกเหตุ มา นยเหตุ มา
อาการปริวิตกฺเกน มา ทิฏฺินิชฺฌานกฺขนฺติยา มา ภพฺพรูปตาย มา
สมโณ โน ครูติ ยทา ตุเมฺห กาลามา อตฺตนาว ชาเนยฺยาถ

หมายความว่า
ดูกรกาลามชนทั้งหลาย ก็ควรแล้วที่ท่านทั้งหลายจะเคลือบแคลงใจต่อความลังเลสังสัยที่เกิดขึ้น โดย
-ถ้อยคำตามที่ได้ฟังมา.
-ถ้อยคำที่นำสืบๆ กันมา
-ได้ยินว่าข้อนี้เป็นอย่างนี้
-ข้อความนี้ สมกับตำรา
-การถือเอาตามที่ตรึกไว้
-การถือเอาตามนัย(การคาดคะเน)
-การตรึกตามเหตุการณ์
-ข้อนี้สมกับความคิดความเห็นของตน
-ความเป็นสมณะ(รูป..เป็นการเรียกแทนสมณะ ว่า รูป)
-สมณะรูปนี้เป็นครูของเรา

"อย่าเชื่อ" "อย่าได้ยึดถือ" แปลเกินมา จากบาลี

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


แก้ไขล่าสุดโดย เช่นนั้น เมื่อ 11 เม.ย. 2012, 15:20, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2012, 15:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พระพุทธองค์ ไม่ได้ทรงตรัส ห้าม
เพียงแต่ มีพุทธดำรัส ตาม คำถามของชาวกาลามะที่ว่า " สมณพราหมณ์เหล่านั้น ใครพูดสัจจะ ใครพูดเท็จ"

ภนฺเต อมฺหาก โหเตว กงฺขา โหติ วิจิกิจฺฉา โกสุนาม อิเมส
ภวนฺตาน สมณพฺราหฺมณาน สจฺจ อาห โก มุสาติ

ซึ่งพระพุทธองค์ มีพระดำรัส มีความคิดเห็นต่อการรักษาสัจจะอย่างไร ก็ศึกษาได้จากพระสูตรตามลิงค์นี้
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=13&A=10194&Z=10534&pagebreak=0

Quote Tipitaka:
[๖๕๕] พ. ดูกรภารทวาชะ ครั้งแรกท่านได้ไปสู่ความเชื่อ เดี๋ยวนี้ท่านกล่าวการฟัง
ตามกัน ดูกรภารทวาชะ ธรรม ๕ ประการนี้ มีวิบากเป็นสองส่วน ในปัจจุบัน ๕ ประการ
เป็นไฉน? คือ ศรัทธา ความเชื่อ ๑ รุจิ ความชอบใจ ๑ อนุสสวะ การฟังตามกัน ๑ อาการ
ปริวิตักกะ ความตรึกตามอาการ ๑ ทิฏฐินิชฌานขันติ ความทนได้ซึ่งความเพ่งด้วยทิฏฐิ ๑
ธรรม ๕ ประการนี้แล มีวิบากเป็นสองส่วนในปัจจุบัน ดูกรภารทวาชะ ถึงแม้สิ่งที่เชื่อกัน
ด้วยดีทีเดียว แต่สิ่งนั้นเป็นของว่างเปล่าเป็นเท็จไปก็มี ถึงแม้สิ่งที่ไม่เชื่อด้วยดีทีเดียว แต่สิ่งนั้น
เป็นจริงเป็นแท้ ไม่เป็นอื่นก็มี อนึ่ง สิ่งที่ชอบใจดีทีเดียว ... สิ่งที่ฟังตามกันมาด้วยดีทีเดียว ...
สิ่งที่ตรึกไว้ด้วยดีทีเดียว ... สิ่งที่เพ่งแล้วด้วยดีทีเดียว เป็นของว่างเปล่าเป็นเท็จไปก็มี ถึงแม้
สิ่งที่ไม่ได้เพ่งด้วยดีทีเดียว แต่สิ่งนั้นเป็นจริงเป็นแท้ ไม่เป็นอื่นก็มี ดูกรภารทวาชะ บุรุษผู้รู้แจ้ง
เมื่อจะตามรักษาความจริง ไม่ควรจะถึงความตกลงในข้อนั้นโดยส่วนเดียวว่า สิ่งนี้แหละจริง
สิ่งอื่นเปล่า.
กา. ท่านพระโคดม ก็ด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่าไร จึงจะชื่อว่าเป็นการตามรักษาสัจจะ
บุคคลชื่อว่าตามรักษาสัจจะด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่าไร ข้าพเจ้าขอทูลถามท่านพระโคดมถึงการตาม
รักษาสัจจะ?
พยากรณ์การรักษาสัจจะ
[๖๕๖] พ. ดูกรภารทวาชะ ถ้าแม้บุรุษมีศรัทธา เขากล่าวว่า ศรัทธาของเราอย่างนี้
ดังนี้ ชื่อว่า ตามรักษาสัจจะ แต่ยังไม่ชื่อว่าถึงความตกลงโดยส่วนเดียวก่อนว่า สิ่งนี้แหละจริง
สิ่งอื่นเปล่า ดูกรภารทวาชะ การตามรักษาสัจจะย่อมมีด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่านี้

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2012, 15:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เจตนา ของพระสูตรนี้ จึงเป็นเรื่องของ นิสสัมมะ หรือการใคร่ครวญ หรือการโยนิโสมนสิการ
เพื่อชำระทิฏฐิจริต ของชาวกาลามะชน ให้เกิดสัมมาทิฏฐิ โดยรู้จักใคร่ครวญ เรื่องกุศล เรื่องอกุศล

เพราะสิ่งที่ชาวกาลามะ ได้ยิน ได้เห็น ได้รู้ ได้พบ ได้สัมผัสทั้งหมดทั้งมวล จริงก็ได้ ไม่จริงก็ได้
หากแม้น ฟันธงว่า จริง ถ้าหากไม่จริง สัจจะก็จะถูกทำลาย
หากแม้นฟันธงว่า ไม่จริง ถ้าหากจริง สัจจะก็จะถูกทำลายเช่นกัน

พระองค์ทรงสอนชาวกาลามะชน ให้เกิดความรู้คิดพิจารณา เพื่อรักษาสัจจะความจริง
มีสันทิฏฐิโก ขึ้นมา โดยไม่ได้ทรงตรัสห้ามตั้งแต่แรกเริ่ม แห่งการแสดงพระธรรมเทศนาแต่อย่างไร

บทว่า
อิติ โข กาลามา ยนฺต อโวจุมฺห เอถ ตุเมฺห กาลามา
มา อนุสฺสเวน...
ที่ปรากฏในพระบาลี เทียบเคียงกับ บทแปลซึ่งทำเครื่องหมายสีน้ำเงิน ในตอนท้ายพระสูตรนั้น
ก็ไม่ได้เป็นบท ห้าม เช่นกัน

เพียงแต่ ตรัสทำนองว่า รอก่อนเดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งด่วนปลงใจเชื่อ บาลีใช้กิริยา อุทาน
(สอบทานกับผู้ศึกษาบาลีมา ได้รับการอธิบายมาเช่นนี้)...

ขอให้สหายธรรม ร่วมกันพิจารณา
เจริญธรรม

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2012, 19:09 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2011, 16:32
โพสต์: 324


 ข้อมูลส่วนตัว


บางคนเพียงแค่ได้ยินคำว่า "อย่าเชื่อ"หรือ"อย่าเพิ่งเชื่อ" ก็เข้าใจว่าให้ปฏิเสธสิ่งนั้นไปเสียก่อนแล้ว...


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 186 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 5, 6, 7, 8, 9, 10, 11 ... 13  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร