วันเวลาปัจจุบัน 22 ก.ค. 2025, 04:52  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 110 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2010, 17:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เกี่ยวกับเวทนานุปัสสนา พุทธพจน์ต่อไปนี้น่าจะชัดเจน ดูแล้วไม่ลึกลับซับซ้อนอะไรชาวบ้านๆ :b1: :b9:


“ภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุมีสติ (คือปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐาน 4) มีสัมปชัญญะ (คือ สร้างสัมปชัญญะ

ในการยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม เป็นต้น) ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดียวอยู่อย่างนี้ ถ้าเกิดสุข

เวทนาขึ้น เธอก็รู้ชัดอย่างนี้ว่า “เวทนาที่เป็นสุขนี้ เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ก็แลเวทนานั้นอาศัยปัจจัยจึงเกิดขึ้น

มิใช่ไม่อาศัยอะไรเลย อาศัยอะไร ก็อาศัยกายนี้เอง ก็กายนี้เป็นของไม่เที่ยง เป็นของปรุงแต่ง อาศัยเหตุ

เกิดขึ้น แล้วสุขเวทนาซึ่งเกิดขึ้นโดยอาศัยกายที่ไม่เที่ยง เป็นของปรุงแต่ง เป็นปฏิจจสมุปบันธรรมอยู่

แล้ว จักเป็นของเที่ยงได้แต่ที่ไหน เธอมองเห็นความเป็นสิ่งไม่เที่ยง ความเสื่อมสิ้นไป ความจางหาย

ความดับ ความสลัดออกไปทั้งในกายและในสุขเวทนาอยู่ เมื่อเธอมองเห็น..อยู่อย่างนี้ ราคานุสัยที่มีใน

กายและในสุขเวทนา ก็จะถูกละเสียได้

“เมื่อภิกษุมีสติ มีสัมปชัญญะ...อยู่อย่างนี้ ถ้าเกิดทุกขเวทนาขึ้น เธอก็รู้ชัด...ปฏิฆานุสัยที่มีในกายและ

ในทุกขเวทนา ก็จะถูกละเสียได้

“เมื่อภิกษุมีสติ มีสัมปชัญญะ...อยู่อย่างนี้ ถ้าเกิดอุเบกขาเวทนาขึ้น เธอก็รู้ชัด...อวิชชานุสัยที่มีในกาย

และในอทุกขมสุขเวทนา ก็จะถูกละเสียได้”

(สํ.สฬ.18/377/261)

ทุกขเวทนา กับ อทุกขมสุขเวทนา ตัดที่ซ้ำๆกันออก

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ส.ค. 2010, 08:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
กรัชกาย เขียน:
คุณเช่นนั้นครับ กาย+อนุปัสสนา = กายานุปัสสนา การตามดูรู้ทันกาย (หรือการตามพิจารณากาย) ไม่ต้องใช้คำว่า กาย จากไหนแทนหรอกครับ เข้าสนธิให้เห็นอยู่นั่น กาย เห็นๆอยู่แล้ว ใช้กายตัวนั่นแหละ ได้แก่ ร่างกายคนหรือมนุษย์เป็นต้นว่า "เช่นนั้น" "กรัชกาย" ที่นั่งๆ เดิน ๆ กันอยู่นี่แหละครับ


กายานุปัสสนา --พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ ไม่ใช่ตามดูรู้ทันกาย
กายานุปัสสนา มีสัจจะเป็นอารมณ์ เพ่งอยู่อยู่ในอริยสัจจ์ อันเป็นวิราคะ จับกายได้แล้วก็ปล่อย

กรัชกายต้องเข้าใจเสียใหม่ นะครับ ว่า ไม่ใช่ตามดูรู้ทันกาย แต่เป็นการพิจารณาเห็นกายในกายอยู่

เจริญธรรม


แต่เป็นการพิจารณาเห็นกายในกาย

ขณะรอคำตอบ ธรรมานุปัสสนา จากท่านเช่นนั้นอยู่ จะขอคำอธิบายเพื่อให้เกิดชัดเจนง่ายต่อการเข้าใจแก่ชาวบ้านทั่วๆไป คือคำพูดที่ท่านเช่นนั้นพูดๆแล้วก่อนหน้า

ข้างบนมีความว่า กาย 2 คำ (กายในกาย) ท่านเช่นนั้นว่า "แต่เป็นการพิจารณาเห็นกายในกาย" หมายถึงอะไรครับ "กาย" ตัวแรกหมายถึงกายอะไรยังไง "กาย" ตัวที่สอง หมายถึงกายอะไร


รอคำตอบท่านเช่นนั้นสองวันแล้ว หายเงียบอีก จะว่าคอมฯไม่ว่างอีก ก็ไม่น่าใช่ เพราะเห็นเข้ามาตอบกระทู้อื่นๆอยู่

ท่านเช่นนั้นครับ หากคุณยังไข (กุญแจ) ปัญหาสติปัฏฐาน 4 ข้อไม่ได้ การศึกษาธรรมชาติ (ธรรมะ) ของคุณเป็นหมันไร้ประโยชน์ครับ ยิ่งอ่านหนังสือยิ่งห่างธรรมะออกไปทุกทีๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

จะถามอีกครั้งหนึ่ง ก็คำพูดคุณที่ว่า "...แต่เป็นการพิจารณาเห็นกายในกาย" กายตัวแรกคุณหมายถึงกายอะไร กายตัวที่สองคุณว่าหมายถึงกายอะไร คุณถึงพูดว่า แต่เป็นการพิจารณาเห็นกายในกาย

ที่เหลืออีกสามข้อ ตอบเสียคราวเดียวกันเลยที่ว่า (แต่เป็นการพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา) เวทนาตัวแรกคุณว่าได้แก่เวทนาอะไร เวทนาตัวที่สองได้แก่เวทนาอะไร

...แต่เป็นการพิจารณาเห็นจิตในจิต...จิตตัวแรกคุณหมายถึงอะไร จิตตัวที่สองได้แก่จิตอะไร

...แต่เป็นการพิจารณาเห็นธรรมในธรรม...ธรรมตัวแรกคุณหมายถึงธรรมอะไร ธรรมตัวที่สองหมายถึงธรรมอะไร

คุณจะตอบที่นี่ก็ได้ครับ หรือจะตอบที่กระทู้ เวทนาที่ จขกท.นี้ตั้งไว้ก็ได้ เพราะคุณก็ติดตามอ่านอยู่

ขอบคุณล่วงหน้าที่ช่วยทำความกระจ่างให้เกิดแก่ผู้ปฏิบัติสติปัฏฐาน :b20: :b8: :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ส.ค. 2010, 15:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ให้การอนุโมทนาสาธุ คุณ เช่นนั้น สำหรับตอบข้อความนี้:
ศรีสมร


คำตอบ ที่ท่านเช่นนั้น ตอบคำถามก่อนหน้าคุณศรีสมรคงเข้าใจ เห็นคุณกดปุ่มอนุโมทนา ตอนนี้ท่านเช่นนั้น เงียบหายไปไม่หือไม่อือ กรัชกายขอความกรุณาคุณศรีสมรช่วยตอบแทนทีครับ คำถามเดียวกัน ไม่มีอะไรหรอกครับ อยากรู้ความเข้าใจทั่วๆไปว่าคิดเห็นเรื่อง กาย เวทนา จิต ธรรม กันยังไง ข้อความสั้นๆนี้
...พิจารณาเห็นกายในกาย
...พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา
...พิจารณาเห็นจิตในจิต
...พิจารณาเห็นธรรมในธรรม

ท่านเช่นนั้นแย้งว่า

กรัชกายต้องเข้าใจเสียใหม่ นะครับว่า ไม่ใช่ตามดูรู้ทันกาย แต่เป็นการพิจารณาเห็นกายในกายอยู่

กรัชกยจึงถามว่า "...แต่เป็นการพิจารณาเห็นกายในกาย" กายตัวแรกคุณหมายถึงกายอะไร กายตัวที่สองคุณว่าหมายถึงกายอะไร คุณถึงพูดว่า แต่เป็นการพิจารณาเห็นกายในกาย

ที่เหลืออีกสามข้อ ตอบเสียคราวเดียว (แต่เป็นการพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา) เวทนาตัวแรกคุณว่าได้แก่เวทนาอะไร เวทนาตัวที่สองได้แก่เวทนาอะไร

...แต่เป็นการพิจารณาเห็นจิตในจิต...จิตตัวแรกคุณหมายถึงอะไร จิตตัวที่สองได้แก่จิตอะไร

...แต่เป็นการพิจารณาเห็นธรรมในธรรม...ธรรมตัวแรกคุณหมายถึงธรรมอะไร ธรรมตัวที่สองหมายถึงธรรมอะไร

ช่วยหน่อยครับ ผิดถูกไม่ว่ากัน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ย. 2010, 20:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ก.ย. 2010, 23:16
โพสต์: 77

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อริยะสัจจ์ ๔ ของจิต
จิต รู้เกิด-รู้ดับ เป็น สมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์
ผลที่เกิดจากจิตที่รู้เกิด รู้ดับ เป็น ทุกข์
จิต รู้ไม่เกิด ไม่ดับเป็น มรรค ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
ผลที่เกิดจากจิตที่รู้ไม่เกิด ไม่ดับ เป็น นิโรธความดับทุกข์
อริยะสัจจ์ ๔ ล้วนแล้วแต่เป็นอาการของจิตทั้งนั้น จิตที่พ้นจากอริสัจจ์ ๔ จึงไม่มีอาการของสมมติใดๆทั้งสิ้น การไปการมา การตั้งอยู่หรือการดับไปของจิตจึงไม่มี สิ่ง ต่างๆเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของสมมติทั้งสิ้น ที่กล่าวกันว่าจิตที่พ้นจากสมมติแล้วเป็นจิตดับความรู้ก็ดับไปด้วยนั้น เป็นความรู้ความเห็นของนักปฏิบัติธรรมประเภทสุ่มเดาต่อให้ด้นเดาเกาหมัดต่อไปอีกนับกัปป์นับกัลป์ไม่ถ้วนก็ไม่มีโอกาสพบพระนิพพานของจริง ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสเอาไว้ เพราะเกาไม่ถูกที่คันมันก็เลยไม่หายคัน จิตที่ถอดถอนกิเลสมีอวิชชา ตัณหา อุปปาทาน ออกไปจากจิตใจจนหมดสิ้นไม่มีเหลือนั่นแหละท่านเรียกว่านิโรธหรือนิพพานนั่นเอง หรือเรียกว่าจิตที่ผ่านการกลั่นกรองจากอริยะสัจจ์ ๔ นั่นเองท่านให้ชื่อให้นามว่า พระนิพพาน ความจริงแล้วจะเรียกว่าอย่างไรก็ไม่มีปัญหาสำหรับจิตที่พ้นแล้วจากสมมติโดยประการทั้งปวง จิตเป็นอกาลิโกตลอดอนันตกาลท่านเรียกว่าวิสุทธิจิต ดังที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสไว้ในปฐมพุทธะวะจะนะ ความว่า วิสังขาระคะตัง จิตตัง จิตของเราได้ถึงสภาพที่ สังขารไม่สามารถปรุ่งแต่งจิตได้อีกต่อไป ตัณหานัง ขะยะมัชฌะคาติ มันได้ถึงความสิ้นไปแห่งตัณหาคือถึงพระนิพพานนั่นเอง สิ่งใดก็ ตามขึ้นชื่อว่าสมมติย่อมตกอยู่ภายใต้กฏอะนิจจัง ทุกขัง อะนัตตา จิตที่อยู่ภายใต้ความเกิดและความดับจึงเป็นจิตที่อยู่กับสมมติของกิเลสดีๆนี่เอง จิตประเภทนี้ย่อมอยู่กับความเกิด-ความดับตลอดอนันตกาลเหมือนกัน เป็นจิตที่อยู่กับความเกิด-ความตายนั่นเอง แล้วจะเสกให้เป็นพระนิพพานได้ยังไง ? ผู้ที่ปัญญาเท่านั้นไม่ไว้วางใจกับจิตประเภทนี้ ยกเว้นพวกที่มีปัญญาอ่อนหรือปัญญาหน่อมแน้มไปหน่อยเท่านั้นเอง จิตที่พ้นจากสมมติจึงเป็นจิตที่บริสุทธิ์ล้วนๆเป็นวิสุทธิจิต พ้นจากกฏอะนิจจัง ทุกขัง อะนัตตา ตลอดอนันตกาล เมื่อถึงที่สุดของจิตแล้วมันไม่มีชื่อเรียกด้วยซ้ำไป ที่กล่าวกันว่า สิ่งสิ่งหนึ่งที่ไม่มีชื่อ ไม่มีฉายา ไม่มีการมา ไม่มีการไป ไม่มีการตั้งอยู่ และไม่มีการดับไป ไม่มีร่องรอยให้กล่าวถึง แต่มีอยู่จริง เห็นอยู่ รู้อยู่ มันเป็นสันติสุขที่รุ่งเรืองและเร้นลับและมีอยู่อย่างสมบูรณ์ภายในจิตใจของทุกๆคนอยู่แล้ว นั่นแหละท่านเรียกว่าที่สุดแห่งทุกข์หรือพระนิพพานนั่นเอง พระนิพพานมีอยู่ตลอดกาล(อะกาลิโก)ไม่เลือกกาลเวลา ปฏิบัติเวลาใหนเห็นเวลานั้นไม่เลือกกาลเวลาและสถานที่ ภิกษุทั้งหลาย อายตนะอันไม่เกิดแล้ว อันปัจจัยไม่ทำแล้วไม่แต่งแล้วมีอยู่(หมายถึงจิตหรือรู้ที่บริสุทธิ์ล้วนๆนั่นเองคืออายตนะนิพาน )


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ย. 2010, 21:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ก.ย. 2010, 23:16
โพสต์: 77

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อริยะสัจจ์ ๔ ของจิต
จิต รู้เกิด-รู้ดับ เป็น สมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์
ผลที่เกิดจากจิตที่รู้เกิด รู้ดับ เป็น ทุกข์
จิต รู้ไม่เกิด ไม่ดับเป็น มรรค ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
ผลที่เกิดจากจิตที่รู้ไม่เกิด ไม่ดับ เป็น นิโรธความดับทุกข์
อริยะสัจจ์ ๔ ล้วนแล้วแต่เป็นอาการของจิตทั้งนั้น จิตที่พ้นจากอริสัจจ์ ๔ จึงไม่มีอาการของสมมติใดๆทั้งสิ้น การไปการมา การตั้งอยู่หรือการดับไปของจิตจึงไม่มี สิ่ง ต่างๆเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของสมมติทั้งสิ้น ที่กล่าวกันว่าจิตที่พ้นจากสมมติแล้วเป็นจิตดับความรู้ก็ดับไปด้วยนั้น เป็นความรู้ความเห็นของนักปฏิบัติธรรมประเภทสุ่มเดาต่อให้ด้นเดาเกาหมัดต่อไปอีกนับกัปป์นับกัลป์ไม่ถ้วนก็ไม่มีโอกาสพบพระนิพพานของจริง ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสเอาไว้ เพราะเกาไม่ถูกที่คันมันก็เลยไม่หายคัน จิตที่ถอดถอนกิเลสมีอวิชชา ตัณหา อุปปาทาน ออกไปจากจิตใจจนหมดสิ้นไม่มีเหลือนั่นแหละท่านเรียกว่านิโรธหรือนิพพานนั่นเอง หรือเรียกว่าจิตที่ผ่านการกลั่นกรองจากอริยะสัจจ์ ๔ นั่นเองท่านให้ชื่อให้นามว่า พระนิพพาน ความจริงแล้วจะเรียกว่าอย่างไรก็ไม่มีปัญหาสำหรับจิตที่พ้นแล้วจากสมมติโดยประการทั้งปวง จิตเป็นอกาลิโกตลอดอนันตกาลท่านเรียกว่าวิสุทธิจิต ดังที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสไว้ในปฐมพุทธะวะจะนะ ความว่า วิสังขาระคะตัง จิตตัง จิตของเราได้ถึงสภาพที่ สังขารไม่สามารถปรุ่งแต่งจิตได้อีกต่อไป ตัณหานัง ขะยะมัชฌะคาติ มันได้ถึงความสิ้นไปแห่งตัณหาคือถึงพระนิพพานนั่นเอง สิ่งใดก็ ตามขึ้นชื่อว่าสมมติย่อมตกอยู่ภายใต้กฏอะนิจจัง ทุกขัง อะนัตตา จิตที่อยู่ภายใต้ความเกิดและความดับจึงเป็นจิตที่อยู่กับสมมติของกิเลสดีๆนี่เอง จิตประเภทนี้ย่อมอยู่กับความเกิด-ความดับตลอดอนันตกาลเหมือนกัน เป็นจิตที่อยู่กับความเกิด-ความตายนั่นเอง แล้วจะเสกให้เป็นพระนิพพานได้ยังไง ? ผู้ที่ปัญญาเท่านั้นไม่ไว้วางใจกับจิตประเภทนี้ ยกเว้นพวกที่มีปัญญาอ่อนหรือปัญญาหน่อมแน้มไปหน่อยเท่านั้นเอง จิตที่พ้นจากสมมติจึงเป็นจิตที่บริสุทธิ์ล้วนๆเป็นวิสุทธิจิต พ้นจากกฏอะนิจจัง ทุกขัง อะนัตตา ตลอดอนันตกาล เมื่อถึงที่สุดของจิตแล้วมันไม่มีชื่อเรียกด้วยซ้ำไป ที่กล่าวกันว่า สิ่งสิ่งหนึ่งที่ไม่มีชื่อ ไม่มีฉายา ไม่มีการมา ไม่มีการไป ไม่มีการตั้งอยู่ และไม่มีการดับไป ไม่มีร่องรอยให้กล่าวถึง แต่มีอยู่จริง เห็นอยู่ รู้อยู่ มันเป็นสันติสุขที่รุ่งเรืองและเร้นลับและมีอยู่อย่างสมบูรณ์ภายในจิตใจของทุกๆคนอยู่แล้ว นั่นแหละท่านเรียกว่าที่สุดแห่งทุกข์หรือพระนิพพานนั่นเอง พระนิพพานมีอยู่ตลอดกาล(อะกาลิโก)ไม่เลือกกาลเวลา ปฏิบัติเวลาใหนเห็นเวลานั้นไม่เลือกกาลเวลาและสถานที่ ภิกษุทั้งหลาย อายตนะอันไม่เกิดแล้ว อันปัจจัยไม่ทำแล้วไม่แต่งแล้วมีอยู่(หมายถึงจิตหรือรู้ที่บริสุทธิ์ล้วนๆนั่นเองคืออายตนะนิพาน ) suthee


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 110 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร