วันเวลาปัจจุบัน 19 พ.ค. 2025, 04:34  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.พ. 2009, 10:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ก.ค. 2008, 14:11
โพสต์: 839

ที่อยู่: สงขลา

 ข้อมูลส่วนตัว


ที่จะกล่าวต่อไปนี้ขอท่านผู้อ่านทั้งหลาย ที่ยังขาดปัญญาและความเข้าในเรื่องของวิชชามโนมยิทธิตามแนวทางของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ภายใต้คำสอนขององสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้ได้เข้าใจถึงความหมายประโยชน์และเจตนารมณ์ในการฝึกวิชชานี้ ทั้งผู้ที่ฝึกใหม่และฝึกมานานแล้วแต่ยังมีอารมณ์ “เข้าใจผิดอยู่” อาจจะเพราะเหตุใดไม่ทราบ แต่ก็ขอให้ท่านทั้งหลายทนอ่านกันหน่อยละกันนะคับ

มโนมยิทธิ แปลว่าฤทธิ์ทางใจผู้ฝึกสามารถสำเร็จสามารถเนรมิตรกายในกายหรือพูดง่ายๆ คือถอดจิตไปยังภพภูมิต่างๆ ได้ สวรรค์ไปได้ นรกไปได้ พรหมโลกไปได้ ถ้าฝึกได้ถึงโคตรภูญาณ การไปนิพพานก็ไม่ใช่เรื่องยาก (ไปได้แต่อยู่ไม่ได้) แต่ทั้งนี้ผู้ฝึกได้จริงๆ ต้องมีอารมณ์สมถเข้ามาเกี่ยวข้องกล่าวคือ ต้องใช้กำลังของ “ฌาน 4” ตั้งต้นก่อนจากนั้นเลื่อนลำดับมาที่อุปจารสมาธิแล้วอธิษฐานขอให้เกิดกาย (กายทิพย์) ซ้อนขึ้นกับกายนี้อีกทีหนึ่งจากนั้นค่อยถอดกายทิพย์ไปท่องเที่ยวยังภพยังที่ต่างๆ แต่ในส่วนที่หวงพ่อสอนนั้นท่านปรับให้ง่ายขึ้นคือใช้อุปจารสมาธิเป็นฐานเลยแล้วขอบารมีพุทธเจ้าสงเคราะห์ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผู้ฝึก ฝึกอยู่ทุกวันนี้จึงใช้แค่อุปจารสมาธิเป็นบาทเป็นฐานและขอบารมีพุทธเจ้าสงเคราะห์ทั้งนั้น สิ่งที่ปรากฏในสมาธิจึงเกิดจากอำนาจพุทธบารมี หรือเรียกง่ายๆ ว่าพุทธนิมิต สังเกตุง่ายๆตอนสมาทานพระกรรมฐานของหลวงพ่อท่านขออาราธนาบารมีพุทธเจ้าก่อนทั้งนั้น และจากการที่ใช้แค่อุปจารสมาธิเป็นบาทนี้เองการที่อุปทานจะกินใจผู้ฝึกนั้นมีอยู่สูงและความที่เป็นครึ่งกำลังด้วยแล้วเรื่องอุปทานหรือการขาดความมั่นใจจึงเป็นเรื่องง่ายที่จะเกิดขึ้น เพราะคนส่วนใหญ่เชื่อว่าการเห็นของเขาต้องเห็นด้วย “ตาเนื้อ” ซึ่งนั่นผิด ก่อนจะฝึกหลวงพ่อจึงต้องทำความเข้าใจทุกครั้งว่าการเห็นในที่นี้ไม่ใช่ลูกตาเห็นแต่ใช้ใจเห็นแต่ก็มีบางคนที่ไม่เข้าใจซึ่งปรากฎให้เห็นประปราย ณ บอร์ดแห่งนี้ฉะนั้นจึงต้องมีครูเป็นผู้ควบคุมดูแลในเบื้องต้นก่อน โดยครูจะเป็นผู้ถามเพื่อให้ศิษย์เกิดความมั่นใจในสิ่งที่เห็นและเป็นการทดสอบสมาธิจิตของศิษย์มิให้อุปทานเข้ามากินใจ การที่ถามว่าพุทธเจ้านั่งหรือยืน (การเห็น ณ ที่นี้ใช้ใจเห็นและเห็นโดย พุทธนิมิตรจะได้ไม่ต้องมานั่งเถียงกันอีกว่าเห็นได้อย่างไร) พระบาทใส่รองเท้ามั้ย มีชฎารึป่าว พระวรกายสีอะไร ฯ เหล่านี้ล้วนเป้นการทดสอบสมาธิจิตของศิษย์ผู้ฝึกทั้งสิ้น เมื่อเกิดความมั่นใจรู้จักตั้งอารมณ์สมาธิต่อไปก็ขึ้นอยู่กับตัวศิษย์แล้วจะรักษาและใช้ประโยชน์จากวิชาที่ฝึกได้มากน้อยแค่ไหน อุปมาดังวิชาที่เราเรียนกันมาวิชาไหนไม่ได้ใช้ย่อมลืมเป็นธรรมดา เป็นต้นและที่ต้องสังเกตอีกอย่างนึงคือตอนที่จะใช้มโนมยิทธิท่านใช้ให้ศิษย์พิจารณาวิปัสนาญาณก่อนทุกครั้งเพื่อให้ศิษย์มีใจที่สะอาดคือยอมรับสภาพความเป็นจริง ถึงแม้จะสะอาดแค่ชั่วคราวก็ตามอย่างน้อยก็สมารถทำให้ละนิวรณ์และโมหะคือความหลงได้ช่วงหนึ่ง***** เหล่านี้คือความหมายขั้นตอนและรูปแบที่หลวงพ่อทรงสอน แต่ก็มีลูกศิษย์บางคนไม่รู้หรืออาจจะขี้ลืม ผมเลยทบทวนให้ก่อน พอรู้ความหมายแล้วต่อไป จะเป็นประโยชน์ที่เกิดจากวิชชามโนมยิทธิ

มโนยิทธิ ผผู้ที่สำเร็จวิชานี้สามารถได้คุณสมบัติพิเศษ 8 ประการคือ
1. ทิพจักขุญาณ
2. จุตูปปาตญาณ
3. เจโตปริยญาณ
4. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ
5. อตีตังสญาณ
6. อนาคตังสญาณ
7. ปัจจุปปันนังสญาณ
8. ยถากัมมุตาญาณ
ทั้งแปดอย่างรวมเรียว่าญาณ 8 หรือเครื่องรู้ 8 อย่าง ทั้งมโนมยิทธิและญาณ 8 อย่างนี้เราเอาไปใช้ทำอะไรบางท่านอาจสงสัย?/
คำตอบก็คือ เราเอาไว้พิสูจน์คำสอนขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า

แล้วพิสูจน์อย่าไรละ??
คำตอบก็คือ เมื่อได้วิชชามโนมยิทธิแล้วสามารถถอดกายในกายไปยังภพยังภูมิต่างๆ เพื่อเป็นการพิสูจน์คำสอนที่ว่าสวรรค์มีจริง นรกมีจริง พรหมโลกมีจริง นิพพานมีจริง อย่างที่พระพุทธเจ้าสอนเพื่อให้หายสงสัย ทั้งนี้จงอย่าลืมว่าความสงสัยคนไม่เหมือนกันคนเรานิสัย อัชฌาสัยในการปฏิบัติไม่เหมือนกัน พระพุทธเจ้าจึงต้องแบ่งแนวทางการปฏิบัติเป็น 4 สาย คือ 1. สุขวิปัสโก 2. เตวิชโช 3. ฉฬภิษโญ 4. ปฏิสัมภิทัปปัติโต ตามแต่อัชฌาสัย อย่างมโนมยิทธินี้เป้นของพวกตั้งแต่ เตวิชโชขึ้นไป คือ พวกนี้จะเป็นพวกช่างสงสัยอย่างพวกเราๆนี่ละ พวกนี้ถ้าไม่รู้เองสัมผัสเองหรือเห็นเองไม่ยอมรับเด็ดขาด หรือไม่เชื่อเลยก็ว่าได้ ซึ่งอารมร์เหล่านี้จะเป็น พระอริยเจ้าได้ยาก เพราะยังลังเลสงสัยในคำสอนเป็นสังโยชข้อสอง การบรรลุธรรมก็ยาก พระเดชพระคุณหลวงพ่อ จึงให้ฝึกวิชานี้ขึ้นเพื่อแก้ปัญหาตรงจุดนี้ นี้คือประโยชน์ข้อที่ 1

จากนั้นเมื่อฝึกจนคล่องตัวแล้ว ดังที่กล่าวข้างต้น ญาณ 8 อย่างจะตามมา เรื่องญาณนี้พระเดชพระคุณหลวงพ่อมักกล่าวอยู่เสมอมีไว้ “เพื่อดูใจตนเอง” ดูจิตตนเองสำรวจตนเองไม่ได้ให้เอาไปอวดว่าตนเก่งกว่าเขาวิเศษกว่าเขาหรือเที่ยวไปเป็นหมอดูดูคนอื่น อย่างนี้หลวงพ่อท่านห้ามไว้ ลูกศิษย์ทุกคนน่าจะรู้ดี (ถ้าไม่ลืมหรือแกล้งลืมกันซะก่อน) บางคนสงสัยขึ้นมาอีกแล้วดูอย่างไรละประโยช์ย์จากการดูคืออะไร

ก็ขอตอบว่า “ดูเอาไว้เพื่อตัดกิเลส” “เพื่อให้เห็นพระสัจธรรมพระพุทธเจ้า เช่น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา” เพื่อให้เบื่อการเวียนว่ายตายเกิด ซึ่งดังกล่าวสามารถอธิบายได้ดังนี้

ยกตัวอย่างการที่เราใช้ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ดูย้อนระลึกชาติว่าครั้งนึงเราเคยเป็นอะไร เคยเกิดมาแล้วกี่ชาติ เช่น เคยเกิดเป็นกษัตริย์กี่ชาติ เป็นสุนัขขี้เรื้อนล่ะกี่ชาติ เป็นใส้เดือนละเคยเป็นมั้ย เป็นหญิงสาวละ เป็นเปรตละ สัตว์นรกละ อสูรกายละ เทวดาละ พรหมละฯลฯ เมื่อรู้แล้วเราก้ต้องคิดว่า (ตอนนี้ต้องใช้อารมณ์วิปัสนาณญาณที่ท่านให้พิจารณาก่อนฝึกมาพิจารณา) ตัวเราเองนี้สูงที่สุดของการเกิดเป็นคนคือเป็นกษัตริย์ ก็เป็นมาแล้ว เป็นเทดาหรือพรหมผู้ทรงคุณวิเศษก้เป็นมาแล้ว เดรัจฉานก็เป็นมาแล้ว หรือแม้กระทั้งเปรตและสัตว์นรกก็เป็นมาแล้ว แล้วเรายังต้องการที่จะเกิดทำไมอีกเกิดมาแล้วก็ตายทุกชาติ ถึงแม้เป็นเทวดาพรหม เมื่อถึงเวลาก็ต้องจุติ (จุติ แปลว่า ตาย) ทุกครั้งทุกชาติ เป็นวนๆ เวียนๆ อย่างนี้มานานเท่าไรแล้ว เป็นทุกข์เพราะการเกิดการตายมาตั้งเท่าไรแล้ว เพราะฉะนั้นชาตินี้เราตอ้งทำให้ถึงที่สุดแห่งพระพุทธศาสนาคือ"ทำพระนิพพานให้แจ้ง"เพื่อเราไม่ต้องการมาเกิดอีก นี้คือตัวอย่างที่1

อตีตังสญาณ ดูย้อนรู้เหตุการณ์ในอดีต ถอยหลังเรื่องของสัตว์ เรื่องของสถานที่ต่างๆ จะสามารถรู้ได้หมด ถอยหลังไม่จำกัดวัน ไม่จำกัด เดือน ปี เช่นดูว่าสถานที่ตรงนี้เดี๋ยวนี้เป็นห้างสรรพสินค้ามีผู้คนมากมาย แต่อดีตที่ผ่านมาเช่น 150 ปีที่แล้วเป็นอย่างไร 30 ปีที่แล้วเป็นอย่างไร หรือ 2500 กว่าปีมาแล้วในสมัยพุทธกาลเป็นอย่างไร เมื่อรู้แล้วก็ต้องมาพิจารณาว่า (ตอนนี้ต้องใช้อารมณ์วิปัสนาณญาณที่ท่านให้พิจารณาก่อนฝึกมาพิจารณา) ว่าสิ่งของทั้งหลายหรือแม้แต่สถานที่แห่งนี้นับวันก็ยิ่งจะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย เกิดขึ้นตั้งอยู่ สุดท้ายก็ต้องผุพังทลายสลายตัว แล้วก็เกิดขึ้นตั้งอยู่ ดับไป สลายตัว วนเวียนอยู่อย่างนี้ (ตามหลักไตรลักษณ์) ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ถูกจริงๆที่ว่า “สิ่งทั้งหลายในโลกล้วนอยู่ในกฎของไตรลักษณ์ทั้งสิ้น” หรือแม้แต่ตัวเราก็ตามเกิดมาแล้วไม่นานก็ต้องแก่ ต้องตายและสลายตัวเหมือนสิ่งที่เคยเกิดมากับสถานที่แห่งนี้ หนีไปไม่พ้น เหล่านี้ล้วนแต่ให้เกิดทุกขัง คือเป็นทุกข์ทั้งสิน แล้วเราจะทำอย่างไรละเพื่อหลุดพ้นจากทุกข์ ฉะนั้นการเกิดชาตินี้จะเป็นชาติสุดท้ายของเราขึ้นชื่อการเกิดไม่มีอีกสำหรับเราต้องการอย่างเดียวคือ ปฏิบัติให้เข้าถึงพระนิพพานในชาตินี้ นี้คือตัวอย่างที่ 2

ยถากัมมุตาญาณ เราก็ดี คนอื่นก็ดี สัตว์ก็ดี มนุษย์ก็ดี ที่มีความสุขหรือมีความทุกข์ในปัจจุบันนั้น เพราะกรรมอะไรเป็นเหตุ เมือ่ทราบแล้วเราก็มาพิจารณาว่า การที่สัตว์หรือบุคคลนั้นๆตอ้งเกิดมาทนทุกข์ทรมานหรือมีความสุข ก้เพราะผลของกรรมนั้นๆมาสนองหรือมาบังเอาไว้ เช่นการที่ คนๆ นั้นมาด่าเรา ว่าเราให้ได้รับความโกรธ โมโห เราก็ดูว่าชาติก่อนเราทำกรรมอะไรกับเขามา ณ วันนี้เขาถึงมาด่าเราหรือแกล้งเรา หรือ ทำให้เราเจ็บชำน้ำใจ เมื่อญาณปรากฎชัดเราก็จะรู้ว่าเราทำอะไรกับเขามาบ้าง สร้างความเดือดร้อนให้เขามาก่อนเขาต้องทนทุกข์เพราะเรามาก่อน ทำร้ายเขามาก่อน ชาตินี้เขาถึงได้ มาด่าเรา ทำให้เราเจ็บช้ำน้ำใจเมื่อรู้ดังนี้แล้ว อารมณ์ที่เราจะโกรธ ณ ขณะที่เขาด่านั้น ก็จะบรรเทาลงหรือเบาบางลง ตัวพรหมวิหาร 4 ก็จะเกิดกับจิตกับใจได้ง่ายขึ้นการทรงอารมณ์ธรรมมะก้ง่ายขึ้น สุดท้ายความโกรธก็จะสลายตัว อย่างนี้เป็นต้น

จากนั้นเมื่อทราบแล้วก็มาใช้วิปัสนาญาณ พิจารณาว่าตัวเราเกิดมาหรือคนอื่นสัตว์อื่นเกิดมาก็ต้องมาเสวยวิบากหรือผลแห่งกรรมที่ทำไว้ตอ้งวนเวียนอยู่อย่างนี้ไม่รู้จบสิ้น ต้องมาชดใช้กรรมหรือก่อกรรมขึ้นมาใหม่แล้วชดใช้อย่างนี้ไม่มีจบมีสิ้น มันช่างน่าสลดและน่าเบื่อเสียจิงๆ ฉะนั้นชาตินี้จักเป็นชาติสุดท้ายของเราเราจักต้องทำพระนิพพานให้แจ้งในชาตินี้ขึ้นชื่อว่าการเกิดแล้วต้องมารับสุขรับทุกข์จากวิบากของกรรมที่เราได้ทำไว้อย่างนี้เราไม่ต้องการอีกแล้ว เราต้องการอย่างเดียวคือ พระนิพพาน
เป็นตัวอย่างที่ 3

จากทั้งสามตัวอย่างใหญ่ข้างต้นก็คงพอจะเข้าใจในประโยชน์ของมโนมยิทธญาณ 8 อย่าง (ยกตัวอย่างให้ดูแค่ 3) กันแล้ว ซึ่งเรือ่งนี้สอนให้ผู้ปฎิบัติรู้ว่า ความรู้ที่เรามีนั้นดีอยู่แล้วเป็นหนทางที่ถูกต้อง อยู่ที่ว่าเราจะรู้จักมันรึป่าว รู้ประโยชน์และวิธิใช้มันมั้ย เปรียบเสมือน มีด ถ้าเรารู้จักใช้มันมันก็เป็นประโยชน์คือช่วยหั่นของ ปอกผลไม้ ทำกับข้าวฯ แต่ถ้าเราไม่รู้จักใช้เอามีดนั้นไปทำร้ายคนหรือแม้แต่ตัวเอง ก็จะทำให้ “ฉิบหาย” ถ้าคนที่ฝึกวิชชาของหลวงพ่อที่ให้ไว้ไม่รู้จักจุดประสงค์หรือวิธีใช้ซึ่งนอกจากจะเข้าใจในตัวท่านผิดแล้วยังเป็นการเดินหลงทางคือไกลจากพระนิพพานอีกด้วย เช่นใช้เพื่ออวดคนอื่น เพื่อยึดติดกับอดีตที่เคยเป็น อย่างนี้หลวงพ่อถือว่ายังใช้ไม่ได้ ไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ท่าน ดังที่หลวงพ่อเคยกล่าวไว้ว่า “การที่รู้ได้ 8 อย่างนี้ (ญาณ 8 ซึ่งเป็นผลจาการฝึกมโนมยิทธิ) เป็นปัจจัยให้ทุกคนตัดมานะการถือตัวถือตนและก็ไม่ยึดมั่นถือมั่นในร่างกาย คือทรัพย์สินต่างๆ เป็นปัจจัยให้บรรลุมรรคผลได้โดยง่าย" หวังว่าท่านทั้งหลายคงจำประโยคเหล่านี้ได้ดี เหล่านี้ผมจึงกล้าบอกว่า มโนมยิทธิ คือหนทางที่” ช่วยส่งเสริม"ให้ท่านสู่นิพพาน ช่วยสงเสริมอริยมรรคมีองค์ 8 ให้สมบูรณ์แจ้งชัด

สำหรับคนที่บอกกับตัวเองว่า เป็นลูกหลวงพ่อ เป็นศิษย์ท่านไม่ว่ารุ่นเล็ก กลาง ใหญ่ จิ๋ว ก็ควรจะทำความเข้าใจและจดจำเอาไว้ถึงแนวทางที่ “พ่อสอน”

แต่สำหรับคนที่อ้างตัวว่า เป็นลูกหลวงพ่อ เป็นศิษย์หลวงพ่อแต่ยังไม่เข้าใจจุดประสงค์อันนี้ ถือว่าคนๆนั้นหรือท่านผู้นั้นแย่มาก น่าจะโทตัวเองมากกว่าที่ศึกษาไม่ดี ปฏิบัติไม่ได้เรื่องแม้แต่วัตถุประสงค์หลักในการสอนของหลวงพ่อก็ไม่เข้าใจ ถึงทำให้หลงทางปฏิบัติตั้งนานแล้วไม่เห็นผล คุณต้องโทษที่ตัวคุณเองถึงจะถูก และการที่บอกว่าลูกไม่จำเป็นตอ้งฟังคำสอนพ่อถ้าเจอคำสอนที่ถูกต้องและถูกทางตามพระไตรปิฎก อย่างนี้ผมก็ว่าหลวงพ่อท่านไม่เคยหวงศิษย์เลยคนไหนชอบแบบไหนปฏิบัติได้ตามสบาย แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าคำสอนท่านไม่ถูกต้อง (ตามพระไตรปิฏก) เอาง่ายๆ พวกท่านจำกันได้มั้ยคับว่า “ธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอนนั้นเปรียบเสมือนใบไม้ในกำมือของท่าน ส่วนความรู้ของพระองค์ท่านเปรียบเสมือนใบไม้ในป่า” ส่วนที่อยู่ในกำมือคือธรรมที่ช่วยให้ละกิเลศนั่นก็คือ 84000 พระธรรมขันธ์ ซึ่งในนั้นมีการกล่าวถึงมโนมยิทธิด้วยและในสมัยพุทธกาลก็ได้ทรงยกย่องพระจูฬปันถก ว่าเป็นเลิศในมโนมยิทธิก็ย่อมเป็นเครื่องยืนยันได้ว่าพระองค์ทรงสอนวิชานี้จริง และก็เป็น 1 ใน 84000 พระธรรมขันธ์พระมีปรากฎในพระไตรปิฎก ย่อมต้องแสดงว่าเป็นเครื่องช่วยตัดกิเลสได้จริงอย่างมิต้องสงสัย ถ้าแค่นี้ท่านทั้งหลายที่ชอบอ้างพระไตรปิฏกไม่รู้ ผมก็ว่าอย่าเอามาอ้างเลยคับเสียเวลาแล้วก็อย่าอ้างด้วยว่าเป็นลูกของ “พ่อ” เพราะลูกที่ดีต้องปฏิบัติตามคำสอนเมือ่คำสอนนั้นเป็นทางที่ถูกที่ควรตามหลักความเป็นจริง ทั้งหมดนี้ผมไม่ได้ว่าใครนะคับผมเพียงกล่าวตามความเป็นจริงเท่านั้น ท่านทั้งหลายก็เลือกตามปฏิบัติตามแต่ความถนัด จริต และอัจฌาสัย ก็แล้วกันนะคับ ส่วนตัวผมเองก็ยังต้องปฎิบัติอีกมากเช่นกัน

สุดท้ายนี้ก็จะขอกล่าวทิ้งท้ายว่า สำหรับลูกหลาน หรือลูกศิษย์ หรือคนที่มีศรัทธาในองค์พระพุทธเจ้าและหลวงพ่อ หรือคนอื่นๆ อย่างไรก็แล้วแต่ ขอให้ท่านทั้งหลายเข้าใจถึงหลักธรรมะให้มากๆปฏิบัติให้มากๆถ้าไม่เข้าใจครูบาอาจารย์มีอยู่หันไปถามท่านซักนิด หนังสือหลวงพ่อมีอยู่ เปิดอ่านซักนิดทำความเข้าใจให้มากซักหน่อบ จากนั้นนำมาปฏิบัติแล้วทำกิเลศให้สิ้นจากนั้นนิพพานจะแจ้งประจักษ์แก่ใจท่านเอง ความสงสัยในองค์พระรัตนตรัยจะไม่เกิดกับใจท่านอีกต่อไปชาติ ภพจะไม่เกิดอีก

ขออาราธนาบารมีพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองพระปัจเจกพุทธเจ้าพระธรรมและพระอริยสงฆ์ครูบาอาจารย์ทั้งหลายสืบๆกันมามีหลวงพ่อปานและหลวงพ่อฤาษีฯ เป็นที่สุดหากทั้งหมดที่ลูกได้ทำลงไปนี้เป้นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะไม่ควร ตัวลูกก็ขอรับกรรมนั้นแต่เพียงผู้เดียวไม่เกี่ยวกับผู้ใดกับทั้งขออวยพรทุกท่านให้สมดังใจขอลูกหลานหลวงพ่อทั้งหลาย (รวมทั้งข้าพเจ้า) บารมีได้บำเพ็ญเพียรมาจงรวมตัวกันเป็นแรงหนุนสงเสริมและเป็นกำลังใจให้ท่านทั้งหลายปฏิบัติตนเพื่อเข้าสู่นิพพานในชาติปัจจุบันนี้เทอญ

นิพพานปรมังสุขัง
อนุโมทนา

.....................................................
ทำดีทุกทุกวัน เมื่อโอกาสมา


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร