วันเวลาปัจจุบัน 11 มิ.ย. 2025, 02:31  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 38 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2011, 07:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2011, 01:57
โพสต์: 324

แนวปฏิบัติ: อริยสัจ4
อายุ: 27
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: ขอบคุณท่านอนัตตาธรรมครับ

ผมไม่ได้มองข้ามปัญญามรรคสองตัวแรกหรอกครับ เพียงแต่ภาษาผมอาจจะไม่ชัดเจนนัก ที่ผมเขียนไว้ว่า "มรรค เริ่มจากการทำความเห็นตัวเองให้ถูกต้อง" ความเห็นนี้คือสัมมาทิฏฐินั่นเอง แต่การจะเกิดสัมมาทิฏฐิในเบื้องต้นครั้งแรกได้นั้นต้องเกิดมีการรู้อารมณ์อย่างเป็นกลางเกิดขึ้นก่อน การรู้อารมณ์เป็นงานของจิตที่มีสติเป็นองค์ประกอบ และการรู้อารมณ์อย่างเป็นกลางในเบื้องต้นจะเกิดเมื่อสติได้รับกำลังความสงบเกื้อหนุนจากสมาธิ เมื่อเกิดสัมมาทิฏฐิแล้ว ก็เรียกได้ว่าเริ่มเกิดปัญญาแล้ว

ต่อจากนั้นเมื่อเห็นบ่อยๆ ความเห็นจะค่อยๆถูกปลูกฝังลงในความคิด เป็นเหตุให้มรรคความคิดชอบ สัมมาสังกัปปะเจริญงอกงามต่อไป :b45:

ความคลาดเคลื่อนในความเข้าใจเกิดได้ทุกขณะที่มีการตีความจริงๆ ควรเลี่ยง ควรรอบคอบ ควรระมัดระวังให้มากๆ ทั้งการตีความความเข้าใจเป็นข้อความของผู้ส่งสารและการแปลข้อความเป็นความเข้าใจของผู้รับสาร ในความคลาดเคลื่อนส่วนนี้ผมต้องขออภัยไว้ด้วยครับ :b8:

.....................................................
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นคือความจริง การฝืนความจริงทำให้เกิดทุกข์ การเห็นและยอมตามความจริงทำให้หายทุกข์

คนที่รู้ธรรมะ มักจะชอบเอาชนะผู้อื่น แต่คนเข้าใจธรรมะ มักจะเอาชนะใจตนเอง

สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ
เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า, ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา
เมื่อนั้น ย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ ที่ตนหลง,
นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด

.....ติลักขณาทิคาถา.....


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2011, 08:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ม.ค. 2010, 11:43
โพสต์: 523

แนวปฏิบัติ: ดูปัจจุบันอารมณ์ เจริญมรรค ๘
งานอดิเรก: ปฏิบัติธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ประทีปแห่งเอเซีย
ชื่อเล่น: อโศกะ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b8: เจริญธรรมยิ่งๆขึ้นไปครับคุณคนธรรมดา

ประเด็นอยู่ตรงนี้ครับ

เมื่อใช้.....สติและสมาธิ.......เฝ้า.....สังเกต....กายใจ

สติ สมาธิ ทำงานในหน้าที่ สังเกต อันเป็นหน้าที่ของปัญญา ไม่ได้ครับ
ทักท้วงเพื่อเชิญชวนให้มาใช้สื่อภาษา ให้ตรงกับสภาวปรมัตถ์ และ พากันมาทำปัญญาให้เด่นชัดขึ้นมา ในโลกที่กำลังยกย่อง สติ สมาธิกันมากนี้ครับ

พระสมณโคดมพุทธเจ้าทรงเป็น "ปัญญาธิกะพุทธเจ้า" เลยอยากจะส่งเสริมการนำเสนอเรื่องของปัญญา ลักษณะหน้าที่และการทำงานของปัญญาในเวลานั่งภาวนาจริงๆ ว่าปัญญาเขาทำงานกันอย่างไร ตอนไหนบ้าง

เรื่อง สติ สมาธิ มีท่านผู้รู้ บัณฑิต มหาบัณฑิตทั้งหลายท่านพูดไว้เยอะ ค้นพระสูตรมาอ้างไว้แยะแล้วครับ ลองมาเข้มข้นกันสักตั้ง สักช่วงเวลาหนึ่งในเรื่องของปัญญานะครับ

สาธุ ๆ ๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2011, 09:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 พ.ค. 2011, 23:50
โพสต์: 143


 ข้อมูลส่วนตัว


คนธรรมดาๆ เขียน:
แปลกดีนะครับ อ่านข้อความเดิมหลังจากเวลาผ่านไป ก็ยังสามารถได้ข้อคิดแง่มุมใหม่ๆจากข้อความเดิม

ผมพอมีความเข้าใจในเรื่องอริยสัจ 4 เท่าที่ได้อ่านได้ศึกษามาตามแบบของผมอยู่ครับ แต่ผมยังไม่รู้ชัดหรอกว่าความเข้าใจที่ตัวเองมีนั้นถูกหรือผิด ขอเชิญท่านอนัตตาธรรมและท่านอื่นๆแนะนำด้วยครับ ว่าอริยสัจทั้ง 4 มีความหมายอย่างไรบ้าง


ไปแบบฉบับนี้บ้างก็ได้ครับ

http://whatami.ob.tc/-View.php?N=747


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2011, 12:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุญาตินำพุทธพจน์มาลงครับ

"บรรดาองค์ทั้ง ๗ นั้น สัมมาทิฏฐิ ย่อมเป็นประธาน ก็สัมมาทิฏฐิ ย่อมเป็นประธานอย่างไร
คือ เมื่อมีสัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ จึงพอเหมาะได้
เมื่อมีสัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา จึงพอเหมาะได้
เมื่อมีสัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ จึงพอเหมาะได้
เมื่อมีสัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ จึงพอเหมาะได้
เมื่อมีสัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ จึงพอเหมาะได้
เมื่อมีสัมมาวายามะ สัมมาสติ จึงพอเหมาะได้
เมื่อมีสัมมาสติ สัมมาสมาธิ จึงพอเหมาะได้
เมื่อมี"สัมมาสมาธิ" สัมมาญาณ จึงพอเหมาะได้
เมื่อมีสัมมาญาณ สัมมาวิมุติ จึงพอเหมาะได้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้แล พระเสขะผู้ประกอบด้วยองค์ ๘ จึงเป็นพระอรหันต์ ประกอบด้วย องค์ ๑๐ ฯ"

http://www.asoke.info/09Communication/D ... 47/12.html


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2011, 13:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2011, 01:57
โพสต์: 324

แนวปฏิบัติ: อริยสัจ4
อายุ: 27
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว


ได้ตามไปอ่านแล้วครับ ขอบคุณทุกท่านที่แวะเข้ามาให้คำแนะนำ :b16:

.....................................................
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นคือความจริง การฝืนความจริงทำให้เกิดทุกข์ การเห็นและยอมตามความจริงทำให้หายทุกข์

คนที่รู้ธรรมะ มักจะชอบเอาชนะผู้อื่น แต่คนเข้าใจธรรมะ มักจะเอาชนะใจตนเอง

สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ
เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า, ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา
เมื่อนั้น ย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ ที่ตนหลง,
นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด

.....ติลักขณาทิคาถา.....


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2011, 13:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 พ.ค. 2011, 11:59
โพสต์: 10


 ข้อมูลส่วนตัว


ก่อนอื่น ขอบอกว่า ผมไม่แม่นในทฤษฏีนะครับ ตอนเด็กๆผมก็มีปัญหาเหมือนคุณ ผมแก้ปัญหาด้วยการพิจารณาในสิ่งที่เป็นไปได้นะครับ ผมมีแต่ประสพการณ์ขอเล่าให้ฟังนะครับ อาจจะไม่เหมือนคนอื่นนะครับ ฌานมี 4 ขั้นตอน สิ่งที่ได้คือขั้นตอนที่1 พระรูปหนึ่งชื่อว่าหลวงพ่อผางในวันนั้น บอกผมว่าให้ใช้ความตั้งใจอันแน่วแน่ให้เป็นหนึ่งเดียวนะครับ คำพูดนี้ผมยังจำได้ทุกวันนี้ครับ อาจจะเข้าใจยากสักหน่อยแต่ผมเข้าใจปฏิบัติได้ คืออาศัยความอารมณ์เป็นหนึ่งเดียวแล้วทรงไว้ พูดง่ายครับ แต่ปฏิบัติค่อนข้างจะยากครับ ทดสอบง่ายๆว่าได้หรือไม่ได้ เช่น จิตใจคิดอะไรหรือเปล่า ถ้าคิดแสดงว่าไม่แน่วแน่นะครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2011, 13:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2011, 01:57
โพสต์: 324

แนวปฏิบัติ: อริยสัจ4
อายุ: 27
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: สวัสดีครับคุณนามะธรรม

ผมเองเคยได้ยินเรื่องฌานมาบ้างเหมือนกันครับ ต้องขอบอกเลยว่าผมเองไม่สันทัดเอาเสียเลย เท่าที่ทำได้ก็เพียงใจสงบชั่วครู่ชั่วคราวอย่างมากก็แค่ไม่เกินครึ่งชั่วโมงเท่านั้นเองครับ อย่างไรก็ตามขอแสดงความยินดีในความสงบใจที่คุณปฏิบัติได้ด้วยครับ ขอใช้โอกาสนี้เชิญชวนคุณให้ใช้ใจคุณที่ได้กำลังจากความสงบแล้วออกสู้รบกับกิเลสตามแนวทางที่พระพุทธองค์ได้แสดงไว้ต่อไปครับ

ขออนุญาติเสนอแนะให้คุณลองอ่านเทสกานุสรณ์ของหลวงปู่เทสก์ครับผม ท่านชี้แจงสะเก็ด เปลือก กระพี้ แก่น และการปฏิบัติเพื่อเข้าถึงแก่นแท้ของศาสนาพุทธไว้เป็นอย่างดีแล้วครับ

ไหนๆท่านก็พูดถึงฌาณแล้ว ผมเองมีข้อสงสัยอยู่บ้าง ขออนุญาติขอคำแนะนำครับ

ลำดับขั้นการรู้ของการรู้อารมณ์เดียวในฌาณ เช่นลมหายใจ หรือคำภาวนาอย่างเดียวมีอย่างไรบ้างครับ ที่สุดแล้วการรับรู้ของเราจะอยู่กับสิ่งไหน อยู่กับคำภาวนา อยู่กับลมหายใจ หรืออยู่กับสิ่งอื่นครับ

.....................................................
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นคือความจริง การฝืนความจริงทำให้เกิดทุกข์ การเห็นและยอมตามความจริงทำให้หายทุกข์

คนที่รู้ธรรมะ มักจะชอบเอาชนะผู้อื่น แต่คนเข้าใจธรรมะ มักจะเอาชนะใจตนเอง

สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ
เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า, ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา
เมื่อนั้น ย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ ที่ตนหลง,
นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด

.....ติลักขณาทิคาถา.....


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2011, 14:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 พ.ค. 2011, 11:59
โพสต์: 10


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอตอบแบบประสพพบเห็นแล้วกัน อารมณ์เป็นหนึ่งเดียว ไม่อยู่ที่ภาวนาหรือลมหายใจ สูงกว่านั้นครับคือเลยขั้นตอนนั้นมาแล้วครับ พูดง่ายๆคืออารยะทั้งหมดไม่รับรู้ครับ อาจจะเรียกว่าถอดจิตออกจากกายนะครับ นั้นคืออารมณ์ที่เป็นหนึ่งเดียวครับ อาจจะยากสักหน่อยเรียกว่าถ้าทำได้ เวลาปกติจะกลายเป็นคนไม่ค่อยรับรู้อะไรเท่าไหร่ จะส่งผลกระทบสูงเหมือนกันนะครับในชีวิตประจำวันครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 10:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ม.ค. 2010, 11:43
โพสต์: 523

แนวปฏิบัติ: ดูปัจจุบันอารมณ์ เจริญมรรค ๘
งานอดิเรก: ปฏิบัติธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ประทีปแห่งเอเซีย
ชื่อเล่น: อโศกะ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b27: คนธรรมดาๆ ถาม.........คุณนามมะธรรม
ลำดับขั้นการรู้ของการรู้อารมณ์เดียวในฌาณ เช่นลมหายใจ หรือคำภาวนาอย่างเดียวมีอย่างไรบ้างครับ ที่สุดแล้วการรับรู้ของเราจะอยู่กับสิ่งไหน อยู่กับคำภาวนา อยู่กับลมหายใจ หรืออยู่กับสิ่งอื่นครับ


อนัตตาธรรม ขออนุญาตเพิ่มเติมครับ.............
การรู้อารมณ์เดียวในฌาณ หรือฌาณ 4 นั้น ไม่มีคำภาวนา ไม่มีลมหายใจ มีแต่ความรู้อยู่เฉยๆ นิ่งๆ ว่างๆ โล่งๆ ไม่นึก ไม่คิด ไม่ปรุงแต่งอะไร ครับ

ทรงอารมณ์ไว้ตรงนี้ได้บ่อยๆ นานๆ จะเป็นฐาน ให้ทั้งการทำฤทธิ์ และ การเจริญปัญญา ใช้เป็นที่พักระหว่างการเจริญวิปัสสนาภาวนาก็ดีครับ

:b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 13:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นามะธรรม เขียน:
ขอตอบแบบประสพพบเห็นแล้วกัน อารมณ์เป็นหนึ่งเดียว ไม่อยู่ที่ภาวนาหรือลมหายใจ สูงกว่านั้นครับคือเลยขั้นตอนนั้นมาแล้วครับ พูดง่ายๆคืออารยะทั้งหมดไม่รับรู้ครับ อาจจะเรียกว่าถอดจิตออกจากกายนะครับ นั้นคืออารมณ์ที่เป็นหนึ่งเดียวครับ อาจจะยากสักหน่อยเรียกว่าถ้าทำได้ เวลาปกติจะกลายเป็นคนไม่ค่อยรับรู้อะไรเท่าไหร่ จะส่งผลกระทบสูงเหมือนกันนะครับในชีวิตประจำวันครับ


tongue สวัสดีค่ะ คุณนามธรรม
คุณมีสมาธิเป็นบาทฐานแล้ว แนะนำให้เจริญปัญญา หรือ วิปัสสนาค่ะ
สมาธิในระดับนี้จะทำให้ สติ มีกำลังเกล้าขึ้น เรียกว่าสามารถระงับนิวรณ์ได้
ตราบใดที่สมาธิยังทรงตัวอยู่...
เจริญธรรมค่ะ

ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม :b8:

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ย. 2011, 03:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2011, 01:57
โพสต์: 324

แนวปฏิบัติ: อริยสัจ4
อายุ: 27
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว


ระยะหลังนี้ได้ตั้งใจว่า จะพยายามฝึกตัวเองให้ "อยู่กับรู้" คือในชีวิตประจำวัน หากไม่มีอะไรเร่งด่วนต้องคิดต้องทำ จะพยายามตั้งสติจับอยู่กับจิต ให้เกิดความรู้ตัวไว้นานที่สุดเท่าที่ทำได้ เกิดข้อสังเกตเพิ่มเติมดังนี้

ขณะที่มีสติรู้ตัวอยู่ ไม่ว่าเกิดอะไรผ่านเข้ามา เราสามารถรู้สิ่งที่ผ่านเข้ามาได้โดยที่จิตก็ยังสงบรู้อยู่เฉยๆ ไม่ว่าจะเป็นภาพ เสียง สัมผัสทางกาย ความอยากความไม่อยาก หรือแม้กระทั่งความคิด เช่นเดียวกับที่ "ลุงหวีด" บรรยายไว้ในหนังสือของท่านว่า จิตสงบ ไม่ได้หมายความว่าต้องสงบราบเรียบไม่มีอะไรเลย หากแต่ขันธ์ 5 ยังเกิดอยู่มีอยู่ครบถ้วน แต่ขันธ์ 5 อยู่ส่วนขันธ์ 5 จิตอยู่ส่วนจิตแยกออกมาต่างหาก ตัวรู้ กับสิ่งที่ถูกรู้ แยกจากกันได้จริงๆ หากมีสติสมาธิตั้งมั่นพอ ปัญหายังอยู่ที่ ทำอย่างไรจึงจะมีสติสมาธิตั้งมั่นได้ยาวนาน ต่อเนื่อง ไม่ติดๆดับๆอย่างที่เป็นอยู่ และจากการสังเกตช่วงรอยต่อของการเผลอสติกับการกลับมารู้ตัวทำให้เกิดข้อสันนิษฐานว่า จริงๆแล้วไม่ว่าเกิดอะไรผ่านเข้ามา จิตก็คงจะอยู่ที่เดิมนั้นแหละ คงยังรู้อยู่เฉยๆอยู่อย่างนั้นแหละ แต่เราต่างหากที่ทิ้งจิต เราต่างหากที่ผละออกจากจิต ส่งส่ายวุ่นวายไปตามอารมณ์ที่ผ่านเข้ามา เอาตัวเองไปผสมกับอารมณ์จนคิดไปเองว่า เราคืออารมณ์ อารมณ์คือเรา อารมณ์ของเรา ทำให้เกิดความวุ่นวายต่างๆตามมา แต่ถึงรู้อย่างนี้ก็ยังติดใจในอารมณ์หลายๆอย่างอยู่ดี ยังวางไม่ได้อยู่ดี

อยากจะขอเชิญท่านที่มีแนวปฏิบัติคล้ายกันช่วยชี้แนะแบ่งปันประสบการณ์การปฏิบัติ รวมถึงท่านอื่นๆหากท่านมีข้อแนะนำใดๆ เพื่อประโยชน์ในการเพิ่มพูนความรู้เพื่อจะปฏิบัติจิตใจให้ดีขึ้นต่อไปครับ

.....................................................
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นคือความจริง การฝืนความจริงทำให้เกิดทุกข์ การเห็นและยอมตามความจริงทำให้หายทุกข์

คนที่รู้ธรรมะ มักจะชอบเอาชนะผู้อื่น แต่คนเข้าใจธรรมะ มักจะเอาชนะใจตนเอง

สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ
เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า, ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา
เมื่อนั้น ย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ ที่ตนหลง,
นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด

.....ติลักขณาทิคาถา.....


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ย. 2011, 09:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ต.ค. 2008, 18:05
โพสต์: 136


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป ครับ
สติและปัญญาก็ไม่เที่ยง ครับ

การที่ตั้งความปรารถนาหมายให้สติและปัญญาดำรงค์คงอยู่ตลอดเวลา
จึงเป็นการตั้งความปรารถนาที่ฝืนธรรมชาติ ครับ

ความสุขอันเป้นผลจากการภาวนาใดๆ
ความสุขทั้งหลายนั้นก็เป็นเพียงอาการอย่างหนึ่งของจิตเช่นนั้นเอง

ความปรารถนาใดๆความพอใจใดๆทั้งหลายล้วนเป็นเหตุทำให้เกิดทุกข์ขึ้นมา
ล้วนเป็นสาเหตุทำให้จิตเกิดความสูญเสียความเป็นธรรมชาติเดิมแท้ของจิตไป


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ย. 2011, 09:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คนธรรมดาๆ เขียน:
ขออนุญาตขอคำแนะนำเพิ่มเติมดังนี้ครับ

หากในชีวิตประจำวันเริ่มเกิดสติขึ้น เริ่มรู้ตัวว่าอารมณ์กำลังเกิดอยู่ โดยเฉพาะความขัดเคืองใจ และเริ่มรู้ตัวว่าอารมณ์นั้นหยุดไปแล้ว ทำให้ไม่ได้ทำอะไรตามอารมณ์ที่รู้ทันนั้น แต่สำหรับอารมณ์บางอย่างที่กระตุ้นความอยากอย่างรุนแรง ทั้งที่มีสติรู้ว่ากำลังเกิดความอยากขึ้น สติที่นั้นมีกลับหยุดความอยากไม่อยู่ กลายเป็นโดนความอยากจูงไป เช่น ความอยากความชอบในอาหารที่ชอบ เมื่อกำลังกินอาหารนั้น เกิดความเพลิดเพลินมีความสุขเพราะความอยากนั้นได้รับการตอบสนอง เป็นต้น อยากจะขอคำแนะนำว่า ต้องทำอย่างไรจึงจะไม่โดนความอยากเหล่านั้นลากจูงไปครับ (ในเชิงวิปัสนา เพราะได้เห็นจริงแล้วว่าการคิดตั้งใจไว้ก่อนว่าจะฝืนความอยาก ก็ยังแพ้ความอยากอยู่ดี)


สวัสดีค่ะ คุณคนธรรมดาๆ

ขอเจริญในธรรมนะคะ
โดยส่วนตัวแล้ว สมัยที่เราปฏิบัติธรรมใหม่ ๆ ก่อนรับประทานอาหารจะใช้วิธีการพิจารณาอาหารที่เรากำลังจะรับประทานเข้าไปก่อน ว่าการรับประทานอาหารของเรานี้มิได้เป็นไปเพื่อการสนองต่อความอยากเอร็ดอร่อยในรสชาด แต่บริโภคเพื่อตอบสนองต่อความหิวโหยที่บีบคั้นสรีระและเป็นไปเพื่อประโยชน์ในการดำรงชีวิตอยู่ได้ (พิจารณาถึงคุณค่าแท้และคุณค่าเทียมเรารับประทานอาหารเพื่อคุณค่าแท้)...หลังจากนั้นจึงลงมือรับประทาน เมื่อลิ้นสัมผัสอาหารเกิดรสชาดก็ให้กำหนดรู้ว่ามีรสชาดและกำหนดรู้ความพึงพอใจในรสชาดนั้น ๆ...พิจารณาจากผลไปหาเหตุของรสชาดนั้นก็จะเห็นกระบวนการทำงานของรูปและนามที่อิงอาศัยกันเกิด และดับเป็นขณะ ๆ ไป ...ตามเหตุปัจจัยที่เข้ากระทบ (เมื่ออาหารเลยจากลิ้นไปสู่ลำคอก็หามีรสชาดไม่ ดังนั้นรสชาดเกิดเพียงแค่การทำงานของกายประสาทลิ้นเท่านั้น..เลยจากลิ้นไปก็ไม่มีรสชาดแล้ว มันจึงไม่ใช่สิ่งที่จะยึดถืออารมณ์ความพึงพอใจนั้นไว้ได้ มันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน ดังนี้แล)
การเจริญวิปัสนาให้ทำในการดำเนินชีวิตปกติประจำวัน ให้พิจารณาไปหาเหตุปัจจัยของทุกข์ที่กำลังปรากฏจึงจะนำไปสู่ความดับทุกข์ได้ในที่สุด...

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี


แก้ไขล่าสุดโดย ปลีกวิเวก เมื่อ 22 พ.ย. 2011, 09:21, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ย. 2011, 09:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 พ.ย. 2009, 07:32
โพสต์: 95

แนวปฏิบัติ: หลักวิถีธรรมชาติ - อานาปานสติ,บริกรรมภาวนา
ชื่อเล่น: นุ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: ขอให้มีความเจริญก้าวหน้าในธรรมทุกๆท่านครับ :b8:

.....................................................
จงทำศีลให้เป็น อธิศีล
ทำจิตให้เเป็น อธิจิต
ทำปัญญาให้เป็น อธิปัญญา


พื้นฐานคุณธรรมความเป็นมนุษย์คือ ศีล๕ กุศลกรรมบถ๑๐ หิริโอตัปปะ และความกตัญญู กตเวทิตา

จุดสูงสุดของการรู้ธรรม เห็นธรรม ก็คือ
...สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ...สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ย. 2011, 10:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 18:54
โพสต์: 615

สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฏก อรรถกถา
ชื่อเล่น: พุทธฏีกา
อายุ: 0
ที่อยู่: ดอยสัพพัญญู

 ข้อมูลส่วนตัว www


คนธรรมดาๆ เขียน:
ปัญหายังอยู่ที่ ทำอย่างไรจึงจะมีสติสมาธิตั้งมั่นได้ยาวนาน ต่อเนื่อง ไม่ติดๆดับๆอย่างที่เป็นอยู่ และจากการสังเกตช่วงรอยต่อของการเผลอสติกับการกลับมารู้ตัวทำให้เกิดข้อสันนิษฐานว่า จริงๆแล้วไม่ว่าเกิดอะไรผ่านเข้ามา จิตก็คงจะอยู่ที่เดิมนั้นแหละ คงยังรู้อยู่เฉยๆอยู่อย่างนั้นแหละ แต่เราต่างหากที่ทิ้งจิต เราต่างหากที่ผละออกจากจิต ส่งส่ายวุ่นวายไปตามอารมณ์ที่ผ่านเข้ามา เอาตัวเองไปผสมกับอารมณ์จนคิดไปเองว่า เราคืออารมณ์ อารมณ์คือเรา อารมณ์ของเรา ทำให้เกิดความวุ่นวายต่างๆตามมา แต่ถึงรู้อย่างนี้ก็ยังติดใจในอารมณ์หลายๆอย่างอยู่ดี ยังวางไม่ได้อยู่ดี

อยากจะขอเชิญท่านที่มีแนวปฏิบัติคล้ายกันช่วยชี้แนะแบ่งปันประสบการณ์การปฏิบัติ รวมถึงท่านอื่นๆหากท่านมีข้อแนะนำใดๆ เพื่อประโยชน์ในการเพิ่มพูนความรู้เพื่อจะปฏิบัติจิตใจให้ดีขึ้นต่อไปครับ

ปัญหาอยู่ตรงไหน ตรงนั้นแหละปัญญา จิตมีราคะก็รู้ว่าจิตมีราคะ
จิตไม่มีราคะ ก็รู้ว่าจิตไม่มีราคะ ถ้าจิตหรืออารมณ์ อยากได้อยากมี
ไม่รู้่ว่าจิตหรืออารมณ์อยากได้อยากมี ก็หล่นก็หลุดออกนอกทางครับ

แต่ถ้าจิตหรืออารมณ์ อยากได้อยากมี ก็รู้ชัด ว่าจิตหรืออารมณ์อยากได้
อยากมี อย่างนี้ก็ยังไม่หล่นไม่หลุดครับโยม

จะชัดกว่าไม่หลงยึด เอาจิตก็ดี สติสมาธิก็ดี ตลอดจนอารมณ์ต่างๆ
เป็นเรามีเราเป็น ฯลฯ ปกติถ้าชั่วโมงบิน การสั่งสมน้อย สมาธิตั้งมั่น
มีกำลังมาก ทุกข์หยาบๆ ที่ปรากฏนี้ ถูกปัญญาละด้วย สมาธิด้วยข่มเอา
ทำให้ทุกข์นั้นๆ ถูกละไปด้วยสุข ด้วยสมาธิปัญญา ที่ยังเจือตัณหาอยู่

การที่คุณโยมได้ข้อสันนิษฐาน พร้อมกับการอ่านการศึกษา ข้อนี้ก็ขออนุโมทนา
แต่สิ่งที่จะได้รับจากการสันนิษฐาน พร้อมการปฏิบัติ เท่าๆ ที่สั่งสมได้
ก็สามารถ ตั้งข้อสังเกตุตามที่โยมว่านั่นแหละว่า "หากผละออกเผลอออก
จากจิต วุ่นวายซัดส่ายตามอารมณ์ เอาตัวเองไปผสมกับอารมณ์ เราคือ
อารมณ์ อารมณ์คือเรา" ความจริงแล้ว ถ้าบุคคลที่ อบรมจิตตานุปัสสนาสติ
ปัฏฐานได้ดีแล้วระดับหนึ่ง จนเกิดอุทยัพพยญาณ - ภังคญาณ การเห็นจิต
รู้จิตที่ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนนี้ จะเกิดขึ้นแก่ปัญญา เป็นวิปัสสนาญาณแท้
ที่แก่กล้ากว่าระดับจินตมยปัญญา ที่ยังช่วยคิด^^

จะเข้าใจได้ว่า แท้จริงที่ยังเห็นอารมณ์เป็นเรา เราเป็นอารมณ์นั้น ก็เพราะเพียง
ได้สมาธิได้ปัญญาในระดับที่ ดับสิ่งที่ถูกรู้ กล่าวคือ อารมณ์ได้ชั่วครั้งชั่วคราว
เท่านั้น คือ พอมีสติมีสัมปชัญญะ การเห็น การไม่ผละออกจากจิต (ความจริง-
คือมีสติรู้อยู่ ไม่หลงเอาจิตหรืออารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่งเป็นเรา แต่การณีนี้ยังเป็น!)

อาจปฏิเสธอารมณ์ ดับอารมณ์ได้ แต่จะสลัดจิตยึดจิตติดจิตเป็นเรา...ยาก!

การเห็น การไม่ผละออกจากจิตเมื่อมีสติสัมปชัญญะ จึงเข้าใจว่าดับอารมณ์
เห็นการเกิดดับ เห็นความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาของสิ่งที่ถูกรู้ได้
มีได้เป็นได้ แต่จะเห็น ตัวจิตตัวรู้ ที่ดับได้(และเกิดอีกปกติ)ยังไม่เห็น ตรงนี้ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์
ด้นเดาต่อไป อ่านไปคิดไป ชั่วโมงบินก็สูงขึ้น การสั่งสมถูกด้วย สั่งสมผิดด้วยก็มาก
ขึ้นตามกันไปหลังจากนี้ ก็ยากแล้วที่จะมีใครแนะนำให้ จนติดรู้ ติดวิัปัสสนูกิเลส
(ถ้าปฏิบัติถูกช่วงแรก) แต่หลังจากนั้นอีก ก็กลายเป็นเจ้าลัทธิน้อยๆ ขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว

เรียกว่าขอสนทนาด้วยเฉยๆ นะครับ คิดว่าเป็นข้อแนะนำทั่วๆ ไปแล้วกันครับขอเจริญพร

.....................................................
39777.กฎกติกา มารยาท และบทลงโทษ ในการใช้บอร์ด

42529.สีลัพพตปรามาส - สีลัพพตุปาทาน (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)
44772.e-Book สัมมาทิฏฐิ ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 1 (ลานธรรมเสวนา)
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 2 (ลานธรรมเสวนา)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 38 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร