วันเวลาปัจจุบัน 18 พ.ค. 2025, 11:58  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 15 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ค. 2011, 13:55 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ต.ค. 2010, 09:47
โพสต์: 19


 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีครับ ผมมีเรื่องจากจะปรึกษาหน่อยครับ แต่ก่อนจะไปถึงสิ่งที่ผมต้องการจะปรึกษา ผมต้องขออนุญาตโยงเรื่องราวทั้งหมดให้ท่านๆ ได้ฟังก่อนนะครับทั้งนี้ก็เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เข้าใจถึงเรื่องราวทั้งหมด และ พิจรณาการกระทำของผมได้ว่าถูกต้องเพียงใด มีสิ่งใดที่ผมทำผิดพลาดไปอันด้วยมาจากความไม่รู้บ้าง...

เรื่องของผมมันต่อมาจากกระทู้เดิมที่ผมเคยโพสไว้เมื่อปลายปีที่แล้วได้ ตอนนั้นผมมีปัญหาเรื่องการคบชู้สู่ชาย แต่ตอนนี้เลิก และหยุดความสัมพันธ์เหล่านั้นไปหมดแล้วครับ แต่ก็หยุดในแบบทางโลกทั่วๆ ไป หรือ พูดให้เข้าใจภาษาวัยรุ่นก็ "เราเลิกกันแล้ว" ตอนนี้ "โสด" ครับ ประมาณนั้น

แต่เดิมนั้นผมทำผิดศีลข้อ 3 มาเยอะครับ ทั้งไปนอกใจเขา และ ชักชวนให้คนอื่นมาทำผิดร่วมกับตัวผมเอง เรียกได้ว่าศีลข้อ 3 ผมขาดโดยสมบูรณ์แบบ (ไม่ได้ขาดธรรมดา ขาดสะบั้นเลย) แต่เมื่อไม่นานมานี่ มีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นกับตัวผม เป็นจุดเปลี่ยนในชิวิตเลยก็ว่าได้ เรื่องมันเริ่มต้นเมื่อตอนที่ผมไปงานศพญาติที่ต่างจังหวัด ณ บ้านยายของผมที่เชียงรายครับ ผมได้พบกับคนคนนึง คนที่เปลี่ยนชีวิตของผมจากดำ เป็น ขาว โดยที่ผมไม่รู้จักเขาเลยซะด้วยซ้ำ

เรื่องมีอยู่ว่า...เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคมที่ผ่านมา ผมกับที่บ้านเดินทางขึ้นไปเชียงรายแบบเร่งด่วน เพราะได้ข่าวการจากไปของน้าชายผม เราเลยเดินทางขึ้นเชียงรายกันแบบสายฟ้าแล๊บ โดยผมไม่รู้มาก่อนเลยว่าการเดินทางไปครั้งนี้จะเปลี่ยนชีวิตผมได้มากมายขนาดนี้ ก่อนหน้าที่จะได้รู้ข่าวการจากไปของน้าชาย หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น (ตอนที่เลิกกับชายคนล่าสุด) ผมก็อยู่คนเดียวมาตลอด ยอมรับว่ามีคนเข้ามาบ้าง แต่ก็แค่ทำความรู้จักกันธรรมดา ไม่ได้มีเพศสัมพันธ์กันง่ายๆ แบบแต่ก่อน ผมพยายามรักษาท่าทีไว้อย่างถึงที่สุด เพราะกลัวไปทำกรรมกับใครอีก มีอยู่คนนึง เขาเป็นคนดี ครับ สมมุติว่าเขาชื่อ N แล้วกัน ท่านๆ จะได้ไม่งง...N เป็นคนขยัน เรียนเก่ง และเป็นคนใจบุญครับ แรกๆ ผมก็คิดว่าจะลองให้โอกาส N ในการได้มาลองคบหากับผมดู ส่วนตัวผม ผมยังไม่ได้รัก N หรอกครับ เราไปไหนมาไหนกันแบบเพื่อนมากกว่า จนการเดินทางมาเชียงร้ายครั้งนี้ที่ทำให้ผมค้นพบอะไรบางอย่าง

ผมมาถึงเชียงรายในตอนเช้าตรู่ของวันที่ 9 และนั่นเองเป็นวันแรกที่ผมได้พบกับคนคนนึง คนที่เปลี่ยนความเชื่อเดิมๆ ของผม คนที่เปลี่ยนแนวคิดของผมไปโดยสิ้นเชิง ครั้งแรกที่ผมได้พบกับเขา ทันทีที่สบตากับคนคนนั้น เหมือนตัวผมแข็งทื่อไปชั่วขณะ หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง คล้ายกำลังจะเป็นลมซะตรงนั้น ผมไม่เคยมีอาการแบบนี้กับใครมาก่อน เลยไม่รู้ว่านี่ใช่รักแรกพบหรือเปล่า ถ้าเป็นเมื่อก่อน เห็นใครหน้าตาดี ก็ของขึ้น (ขอพูดกันแบบตรงๆ เลยนะครับ) อยากเข้าไปสานสัมพันธ์ เพื่อหวังจะได้ครอบครอง และได้เสพสุขกับร่างกายนั้น แต่กับคนคนนี้ ความรู้สึกมันต่างไปโดยสิ้นเชิงครับ หน้าตาเขาธรรมดาๆ ถ้าเทียบกับชายคนก่อนๆ ที่ผมเคยมีความสัมพันธ์มาด้วย แต่แปลกที่มีความรู้สึกเหล่านั้นเกิดขึ้น แถมไม่มีความต้องการทางเพศกับเขาเลย หลังจากที่คนคนนั้นกลับไปจากงานศพในวันแรก ผมก็นั่งคิดถึงเขา และ ความรู้สึกที่ไม่เคยมีกับใครมาก่อนก็เกิดขึ้น มันคือความรู้สึกผิด....รู้สึกผิดกับการกระทำของตัวเองที่ผ่านๆ มา รู้สึกขยะแขยงตัวเอง ที่ก่อนหน้านั้นไปเสพกามกับใครต่อใครมา ราวกับว่าผมไปทำอะไรผิดต่อคนคนนั้นมายังไงยังงั้น ทั้งๆ ที่ผมยังไม่รู้จักเขาเสียด้วยซ้ำ แม้แต่ชื่อของเขาผมยังไม่รู้เลย ในระหว่างงานศพ เป็นเวลา 5 วัน ผมได้เจอเขาแค่วันละ 1 ครั้ง ครั้งละไม่เกิน 1-2 ชั่วโมงเท่านั้น โอกาสที่จะได้คุยกันสองต่อสองก็ไม่มีครับ ถึงมีผมก็ไม่กล้าเข้าไปคุย (นี่เป็นครั้งแรกที่ผมไม่กล้าเข้าไปหาคน) แค่เข้าใกล้ผมก็จะเป็นลมแล้ว มือไม้มันสั่นไปหมด ทำอะไรไม่ถูก เลยขออยู่ห่างๆ ไว้ดีกว่า ในวันที่ 12 ของงานศพ เป็นวันที่ผมได้มีโอกาสใกล้เขามากที่สุด แต่ก็ไม่ได้ทำอะไร ได้แค่ใกล้แค่นั้นแหละครับ รายละเอียดในวันที่ 12 ผมจะมาเปิดเผยอีกที

หลังจากเสร็จงานศพ ผมก็กลับมากรุงเทพ แต่การกลับมาคราวนี้ ความรู้สึกผมเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ผมรู้สึกพอใจกับความสันโดษ เบื่อความวุ่นวายในเมือง (ตอนเด็กๆ ผมชอบไปอยู่บ้านยาย บ้านยายจะเป็นแนวชนบทๆ หน่อย) อยากจะกลับไปอยู่ที่เชียงราย คิดถึงขนาดจะย้ายธุรกิจที่ทำที่กรุงเทพไปทำที่โน่น แต่ก็หยั้งไว้ก่อน เพราะยังไม่รู้ว่าที่อยากไปอยู่ที่โน่น เพราะอยากไปอยู่ใกล้ๆ คนคนนั้นหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจตัวเองดีนัก แถมไปอยู่ที่โน่นแล้วจะได้เจอเขาหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ ตอนนั้นปวดใจมากครับ

หลังจากกลับมากรุงเทพ คนที่ชื่อ N ก็มาชวนผมไปเที่ยวเหมือนเดิม แต่คราวนี้ N สังเกตุผมเห็นมีท่าทีที่แปลกไป เขาเลยถามผมตรงๆ ว่าลำบากใจไหมที่จะคบกับเขา ผมก็พูดทุกอย่างออกไปตามจริง เล่าเหตุการณ์ต่างๆ ให้ฟัง แล้วผมก็สรภาพกับเขาตรงๆ ว่าตอนนี้ไม่อยากคบกับใครเป็นแฟนเลย N เขาเข้าใจเราก็เลยตกลงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ครั้งนึง N ชวนผมไปทำวัตรค่ำครับ นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้มีโอกาสไปทำวัตรในแบบฆราวาส รู้สึกติดใจอย่างบอกไม่ถูกมันรู้สึกสบาย และ สุข อย่างบรรยายไม่ถูก ตั้งแต่นั้นมาผมก็ไปตลอดอาทิตย์ละ 1-2 วัน แล้วแต่สะดวก แต่ก็ไปทุกอาทิตย์ ผมเริ่มสนใจหนังสือธรรมะ ถึงแม้จะเป็นหนังสือธรรมะในเรื่องรัก เช่น Love Analysis 1-2 ของพระ ว.วชิรเมธี เป็นต้น และผมก็เริ่มอ่านหนังสือแนวนี้มาได้ประมาณ 8 เล่ม ภายในเวลา 2 เดือน ล่าสุดก็ไปซื้อมาอีกเป็นเรื่องเกี่ยวกับการหลุดพ้นทุกข์ครับ ผมหันมารักษาศีล 5 และหยุดการไปสร้างความสัมพันธ์กับชายอื่นโดยสิ้นเชิง ไม่มีความอยากจะไปเสพกับชายใดอีกเลย ผมหมั่นทำเจริญภาวนา ทั้งหมดนี้ ถึงแม้จะเป็นความต้องการของตัวผมเอง แต่ก็เพราะคนคนนั้นผู้จุดประกายความต้องการเหล่านี้ของผมครับ

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------

เอาหละจะเปิดเผยตัวละคนคนคนนั้นแล้วนะครับ ที่ผมไม่เปิดเผยแต่แรก เพราะกลัวว่าความรู้สึกมันจะโดนบิดเบือน คือ คนคนนั้นเขาเป็น "เณร" น่ะครับ ครั้งแรกที่ได้เจอ ผมไม่แน่ใจว่าที่ผมหลงชอบเณรนั้น เป็นเพราะการชอบในเรื่องรูป รส กลิ่น เสียงหรือเปล่า ผมชอบเณรที่น้ำเสียงที่ทุ้มนุ่ม ยามที่ท่านสวดมนต์ ฟังแล้วมันสบายใจอย่างบอกไม่ถูก ชอบเณรที่รอยยิ้ม ที่เวลาท่านยิ้มมันเหมือนได้เห็นของขวัญอันล้ำค่าที่หาที่เปรียบไม่ได้ ให้เอาเงินมาจากนับล้าน เพื่อแลกกับรอยยิ้มก็สู้ไม่ได้ รอยยิ้มของเณรดูบริสุทธิ์ไร้ซึ่งมารยาแต่อย่างใด เป็นรอยยิ้มที่มาจากใจ แต่ก็มานั่งคิดว่าถ้าคนคนนั้นไม่ได้เป็นเณร เราจะยังชอบเขาแบบนี้อยู่ไหม หรือเราชอบที่ความบริสุทธิ์ของเขา ชอบท่าทางที่ดูสำรวมไว้อย่างดี แต่กลับดูน่ารักสดใสสมวัย และ ความอ่อนโยน นั่นคือสิ่งที่อาจเห็นต้นเหตุที่ทำให้ผมหลงรักในตัวเณรรูปนั้นก็เป็นได้ หน้าตาท่านดูธรรมดาๆ ครับ ไม่ได้รูปงามอะไรมากมาย ถ้าเป็นคนธรรมดาๆ เดินผ่านคงไม่สะดุดตาอะไร

ผมไม่รู้ว่านี่คือเวรกรรมที่ผมเคยทำไว้กับคนอื่นหรือเปล่า ทำให้ผมต้องมาตกอยู่ในภาพแบบนี้ ชะตากรรมผมจะคล้ายๆ กับนางโกกิลา ในพุทธประวัติของพระอานนท์น่ะครับ ที่นางเคยหลงรักพระอานนท์อยู่พักหนึ่ง พอผมได้อ่านพุทธประวัติเรื่องนี้แล้ว ถึงกับน้ำตาไหลเลยหละ ว่ามันช่างเหมือนตัวเราอะไรเช่นนี้
ย้อนกลับมาเมื่อวันที่ 12 ที่ว่าเป็นวันที่ผมได้อยู่ใกล้กับเณรมากที่สุด เพราะวันนั้นผมได้โกนผมหน้าไฟให้กับน้าชายที่เสียไปครับ (น้าชายไม่มีลูกผู้ชาย เลยให้ผมซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานโกนผมหน้าไฟให้แทน) เลยได้ไปอยู่ในวัดกับเณร ถึงแม้จะเป็นเวลาแค่ 1 วัน แต่มันก็ทำให้ผมมีความสุขมากมายยิ่งกว่าได้เพชรนิลจินดาเสียอีก แต่อย่าเพิ่งคิดไปไกลนะครับ ผมไม่ได้ล่วงเกินอะไรท่านหรอกครับ แค่ได้ไปอยู่ใกล้ๆ แค่นั้นเองครับ แต่ไม่ได้พูดคุยกัน หรือ อยู่กันสองต่อสองในที่ลับตาคนหรอกครับ อีกอย่างผมต้องสำรวมตัวเองด้วย เลยทำอะไรมากไม่ได้ แต่แค่นั้นมันก็เป็นช่วงเวลาที่ผมจดจำมาจนถึงทุกวันนี้

ทุกวันนี้ทุกครั้งที่ผมทำบุญหลังจากอุทิศให้แก่บิดามารดา ครูบาอาจารย์ เจ้ากรรมนายเวรแล้ว ผมก็อุทิศให้แก่เณรรูปนั้นด้วย นั่นคือสิ่งเดียวที่ผมสามารถทำให้ได้เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความรักที่ผมมีแต่เขา แม้แต่ชื่อผมก็ไม่รู้ คุยกันก็ไม่เคยคุย แต่ผมก็อยากทำให้ก็ไม่รู้ตัวเองเหมือนกันว่าทำไม

ผมตั้งสัจจะกับตัวเองเอาไว้แล้วว่า ชาตินี้ถ้าไม่ได้พบใครที่ให้ความรู้สึกแบบเณรอีก และเขาคนนั้นต้องไม่อยู่ในบรรพชิต หรือ เป็นบุรุษต้องห้ามตามศีลข้อ 3 ผมก็จะขออยู่เป็นโสด และ ครองพรรมจรรย์ไปตลอดชีวิต ฟังดูคงจะแปลกๆ ที่ผู้ชายจะคลองพรรมจรรย์ แต่ถ้าให้ผมไปมีอะไรกับใครผมก็ทำใจไม่ได้อะครับ
อย่างล่าสุด ชายคนล่าสุดที่ผมเคยเล่าให้ฟังเมื่อเหตุการณ์ตอนปลายปีที่แล้ว สมมุติว่าชื่อ K แล้วกันนะครับ
เขาก็ติดต่อมา บอกว่าอยากเจอผม ตอนนั้นความรู้สึกในใจผมผมไม่ได้คิดอะไรกับ K แล้วครับ เหมือนเพื่อนกันนัดทานข้าวกันธรรมดา แต่พอผมไปเจอเขา เขากลับพยายามลวนลามผม แต่แค่ผมหลับตามันก็เห็นหน้าเณรแล้ว เลยปฏิเสธ K ไป พอ K เห็นแบบนั้นเขาคงหมดอารมณ์มั้งครับ เลยไม่ทำอะไรผม ตั้งแต่นั้นมาผมก็บอกตามตรงว่ากลัว และไม่อยากไปเจอ K อีก ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นผมเคยบอกว่ารัก และ อยากได้เขามาเป็นแฟน ก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ทำไมอยู่ๆ ความรู้สึกมันก็เปลี่ยนไป K ก็ยังมาชวนผมไปหาเขาอยู่ประจำๆ แต่ผมก็ทำบ่ายเบี่ยงไป ล่าสุดวันเกิดเขา เขาชวนผมไปร่วมงาน และหวังจะมีอะไรกับผม แต่ผมก็เลือกที่จะไม่ไปงานเขา และบอกว่าจะเอาของขวัญไปให้ในโอกาส และ เวลาอื่นที่เหมาะสมแทน (ที่ผมจะให้เขาเป็นหนังสือธรรมะน่ะครับ ไม่รู้เขาจะเห็นค่า และความตั้งใจของผมไหม ก็สุดแล้วแต่เขาจะเข้าใจ)


ความรู้สึกที่ผมมีกับเณรนั้นบริสุทธิ์ครับ ผมไม่ต้องการครอบครองท่าน ไม่ต้องการให้ได้ท่านมาเป็นคู่ ไม่พยายามสร้างสถานการณ์ให้ได้อยู่กับท่านสองต่อสอง ไม่เคยคิดถึงเรื่องอัปมงคลกับท่านเลยซักนิดเดียว แค่อยากมอบสิ่งๆ ดีให้ มอบความรู้สึกดีๆ ให้แค่นั้นก็พอแล้ว ถึงแม้ลึกๆ จะเจ็บปวดกับความจริงที่ว่าเราไม่ได้เกิดมาคู่กัน ถึงแม้ลึกๆ อยากจะอยู่เคียงคู่กับเณรมากแค่ไหนก็ตาม ผมก็ได้แต่เก็บความรู้สึกเหล่านั้นเอาไว้ แล้วแปรเปลี่ยนเป็นการมอบบุญให้แทน ผมถึงได้บอกว่าการอุทิศบุญให้แก่เณร ที่นอกเหนือจากการอุทิศให้แก่บิดามารดา ผู้มีพระคุณ และเจ้ากรรมนายเวรของผมแล้ว คือ สิ่งเดียวที่ผมสามารถทำได้ ทุกวันที่ผมตั้งหน้าตั้งตาไปทำวัตรสวดมนต์ก็เพื่ออุทิศให้แก่เณร ไม่ได้ทำเพื่อตัวผมเองเลยแม้แต่น้อย ทุกๆ วันที่สวดมนต์ เจริญภาวนา ก็เพื่ออุทิศบุญกุศลให้แก่เณรรูปนั้น โดยไม่ได้หวังเพื่อตัวเองเลย ตัวผมเองชาตินี้คงไม่มีวาสนาได้อยู่คู่กับเขา ก็ขอยู่เป็นคู่บุญอยู่ห่างๆ คอยสร้างบุญให้แก่เขาโดยที่เขาไม่ต้องมารับรู้ก็ได้ เท่านั้นผมก็พอใจแล้ว ถ้าชาติหน้ามีจริง ผมก็หวังว่าผมจะได้เกิดมาเป็นคู่จริงๆ ของเขาบ้าง
สำหรับชาตินี้ผมขอแค่นี้หละครับ ชีวิตที่เหลือของผมจากนี้ไป คือการสร้างบุญกุศล เพื่อชดเชยกับความผิดที่เคยทำมา และ เพื่อคนที่ผมรัก คือ เณรรูปนั้น

เอาหละ ต่อไปเป็นสิ่งที่ผมอยากจะปรึกษาแล้วหละครับ
------------------------------------------------------------------------------------------------------------
วันเข้าพรรษาปีนี้ที่บ้านผมเขาจะขึ้นไปที่บ้านยายกัน แน่นอนต้องไปที่วัดที่เณรรูปนั้นจำพรรษาอยู่แน่นอน ใจนึงผมก็อยากจะไปด้วยใจจะขาด เพราะนี่ก็ 2 เดือนกว่าๆ แล้วที่ผมไม่ได้เห็นรอยยิ้มเณรรูปนั้น ไม่ได้ยินเสียงสวดมนต์ของท่าน แต่อีกใจก็ไม่รู้ว่าการตามไปทำบุญของผมจะเป็นการสร้างบุญหรือบาป ผมไม่อยากให้ความรู้สึกที่มีต่อเณรของผมมันเป็นมณฑิล หรือ แม้แต่ตัวเณรเอง ผมก็ไม่อยากให้ใครคิดกับท่านในทางไม่ดี เพราะทุกอย่างมันอยู่ที่ตัวผมเอง ท่านไม่เกี่ยว

ผมกลุ้มใจและทุกข์ใจมาก คือ ใจนึงก็อยากไปทำบุญ แต่อีกใจก็ไม่ต้องการไปเพราะเดี๋ยวจะกลายเป็นว่า อยากไปทำบุญ เพราะต้องการสนองตัณหาตัวเองที่อยากไปเจอเณร ผมควรทำอย่างไรดีครับ? ผมอยากไปทำบุญนะ แต่ในใจลึกๆ มันอยากเจอเณรกลัวว่าจะกลายเป็นประโยชน์ทับซ้อน (ขอใช้คำนี้ เพราะมันดูสื่อความหมายได้ดีดีสุด) การไปทำบุญของผมครั้งนี้จะได้บุญ หรือ บาปครับ?


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ค. 2011, 14:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มี.ค. 2011, 21:46
โพสต์: 373

ชื่อเล่น: ฮานะ ธรรมอาสา
อายุ: 28

 ข้อมูลส่วนตัว


ineedsomelight เขียน:
การไปทำบุญของผมครั้งนี้จะได้บุญ หรือ บาปครับ?


ฮ๊าฮา ไปทำบุญ ก็ต้อง ได้บุญ นะเจ้าข๊า
แต่ถ้า ไปทำบาป ก็ต้อง ได้บาป ละเจ้าค่า

ตกลง ท่านไอนิดฯ คิดจะไปทำบุญ หรือ ไปทำบาป ก็สุดแล้วแต่ ใจ นะเจ้าข๊า
ใจทำ ใจรู้ ใจหลง ก็รับ กรรม ไปไม่่ว่าจะเป็น กุศลกรรม หรือ อกุศลกรรม ก็ตาม
ใจละ ใจก็อิสระ นะเจ้าข๊า

:b8: ฮานะ อนุโมทนา ขะ rolleyes :b4:

.....................................................
ผู้ใดประพฤติธรรม ผู้นั้นชื่อว่าบูชาตถาคตอย่างยิ่ง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ค. 2011, 16:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ม.ค. 2011, 16:14
โพสต์: 21


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอแนะนำให้คุณฟัง ธรรมที่ อ.สมภพ โชติปันโญ ได้เทศน์ไว้ ในหัวข้อที่ว่า ชายเป็นหญิง หญิงเป็นชาย แต่เสียดายที่ผมเอาลิ้งลงไม่เป็น ว่างๆก็ลองหาฟังดูนะ เผื่อตาจะได้สว่างขึ้น s002


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ค. 2011, 19:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ดีก็รู้อยู่แล้ว ชั่วก็รู้อยู่แล้ว ก็รู้ชัดเจนดี
บุคคลที่มิควรได้ ก็รู้อยู่ว่าคืออะไร

จะละรึเปล่าล่ะ ละก็ตัดใจ
ไม่ต้องหาเหตุผลอ้อมไปอ้อมมาอยู่อีก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ค. 2011, 20:19 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้าอยากยุ่ง...ก็ทำเหมือนเดิม....หากอยากสงบ...ก็ทำตรงกันข้ามกับที่เคย

เหมือนเดิม..นั้นเป็นอย่างไร...ใจคิดว่าอะไรดี..ก็ทำ..ก็ขว้าง..รีบ ๆ ให้ได้มาเป็นพอ..เรียกว่าตามใจกิเลสเต็มที่..ว่างั้นเถอะ

แม้แต่คำว่าธรรมะ..กิเลสมันก็หาวิธีเอามาอ้างได้...เพื่อให้ได้อย่างที่มันต้องการ

แล้วจะสังเกตมันยังงัย??....ก็ดูว่าหากไม่ได้มา..มันมีอาการทุรนทุรายบ้างมั้ย...

ไม่ได้ใกล้ชิด..ไม่ได้สบตา..ไม่ได้มาให้เห็น..มันทุรนทุรายมั้ย??

ถ้าตามใจมัน...ก็เท่ากับเราทำเหมือนเดิม

อีกอย่างหนึ่ง...จริง ๆ อาจไม่ได้ชอบเณร....แต่อาจชอบพระธรรม..ก็ได้

พอเห็นแล้ว..ให้รู้สึกอาย...ที่เคยชั่วมาก่อน...ตรงนี้อาจอายพระธรรมก็เป็นได้...จึงรู้สึกอยากทำดี

แต่เพราะความไม่รู้....ใจมันจึงคิดเห็นแต่เณร...นี้แหละที่กิเลสมันอ้างพระธรรม
:b1: :b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ค. 2011, 22:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.ค. 2011, 22:53
โพสต์: 705

แนวปฏิบัติ: รู้สึกตัว
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จิตของท่านถูกตัณหา คือความอยากครอบงำเสียแล้ว จึงวิ่งไปตามอำนาจแห่งความอยากนั้น ดังนกที่ถุกเขายิงด้วยลูกศรปลิวไปในอากาศตามแรงแห่งลูกศรนั้น
"สังขาร(คือความคิดปรุงแต่ง)ทั้งปวงไม่เที่ยงหนอ ย่อมเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไปเป็นธรรมดา การเข้าไประงับสังขาร(คือความคิดปรุงแต่ง)นั้นเสียได้ ย่อมอยู่เป็นสุข ดังนี้"
:b8:

.....................................................
"ธรรมะเป็นปัจจัตตัง ต้องทำเอง รู้เอง เห็นเอง เข้าใจเอง"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ค. 2011, 23:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 มิ.ย. 2010, 12:05
โพสต์: 282

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้าไม่สบายใจก็บาปค่ะ

เคยตกนรกในใจอยู่พักนึงเพราะแอบรู้สึกดีกับผู้ทรงศีลที่มากกว่ากรณีจขกท.เสียอีก
เลยเข้าใจความรู้สึกนะ ทางที่ปลอดภัยก็อย่าไปเห็นหน้า อย่าได้ยินเสียงเลย อาจต้องอดทนและเข้มแข็งมากๆในช่วงแรก
แต่เดี๋ยวความอนิจจังก็จะช่วยได้เอง

อย่าประมาทกับกิเลสแม้เพียงเล็กน้อย เผลอนิดเดียวอาจโดนลากลงเหวโดยไม่รู้ตัว

.....................................................
อย่ามัวเสียใจกับเรื่องที่ผ่านมา อย่าปล่อยให้ชราแล้วตายไปเปล่า อย่ามัวแต่ตำหนิตนเองหรือผู้อื่นอยู่ คิดอยู่เสมอว่าจะพัฒนาจิตใจตน และทำประโยชน์ให้ผู้อื่นอย่างไร แล้วเร่งกระทำทันที อย่ามัวรีรอ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ค. 2011, 23:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


แสงสว่างยังมีอยู่ เพียงแต่ท่านหยุดสร้างเหตุปัจจัยแห่งทุกข์อีก พึงพิจารณาว่าบาปอกุศลที่เคยทำก็มากเพียงพอแล้ว ต่อแต่นี้จะไม่ทำผิดอีกต่อไป ถ้าทำผิดแล้วรู้ว่าผิดก็ยังพอมีความดีอยู่บ้าง อดีตที่ผ่านไปแล้วไม่มีประโยชน์ใดใดจะพร่ำอาลัย สำคัญคือการไม่สร้างกรรมใหม่อันเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดทุกข์อีก

ขอให้พิจารณาอยู่เนืองๆว่า เรามีกรรมเป็นของตน เป็นทายาทของกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งที่อาศัย เราทำกรรมอย่างไรไว้ จักดีหรือชั่วก็ตาม เราย่อมเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น

ธรรมะคุ้มครอง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.ค. 2011, 00:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ต.ค. 2010, 09:47
โพสต์: 19


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบพระคุณทุกท่านครับ ที่ช่วยชี้ทาง ผมคิดว่าผมพอจะเข้าใจในสิ่งที่พวกท่านชี้แนะ
ผมตัดสินใจแล้วว่าจะไปทำบุญกับที่บ้าน แต่จะเลี่ยงการได้พบกับเณร และจะไม่พยายามเพื่อได้พบ
จะตั้งจิตอยู่ที่การทำบุญ ถึงแม้มันจะยากสำหรับผม แต่ก็คิดว่าคงเป็นหนทางที่ดีที่สุด

การบังคับจิตไม่ให้คิด ผมคงทำไม่ได้ในตอนนี้ สมาธิวิปัสนาผมยังไม่เข้มแข็งพอขนาดจะหยุดความคิดได้
แต่จะพยายามบังคับการกระทำที่เกิดจากความอยากของจิตที่สั่ง ไม่ให้ทำตามจิตที่ใฝ่หาเณร
แล้วผมจะพยายามตัดใจจากเณรเสีย ถามว่าทุกวันนี้การที่ไม่ได้พบเณร ไม่ได้เจอเณร มันทรมานไหม?
บอกตามความสัตย์จริง ก็รู้สึกเสียใจ และ น้อยใจว่าทำไมต้องเกิดเรื่องแบบนี้กับตัวเอง ทำไมถึงไม่ไปชอบคนอื่น หรือ เป็นปกติเหมือนชายทั่วๆ ไป แต่ก็ไม่ได้ทรมาน ยังพอมีกิจกรรมอื่นๆ ให้ได้บรรเทาอยู่บ้าง
คงซักวันใดวันนึงก็คงตัดใจจากเณรได้ซักวันหละครับ ก็จะพยายามครับ ยากยังไงก็จะต้องทำ s007


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.ค. 2011, 00:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.ค. 2011, 22:53
โพสต์: 705

แนวปฏิบัติ: รู้สึกตัว
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เป็นกำลังใจครับ :b8: :b8: :b8:
"จิตของผู้ที่เคยเศร้าหมองด้วยกิเลส เมื่อละกิเลสนั้นเสียย่อมสว่างไสว เหมือนพระจันทร์ที่พ้นแล้วจากเมฆฉันนั้น"

.....................................................
"ธรรมะเป็นปัจจัตตัง ต้องทำเอง รู้เอง เห็นเอง เข้าใจเอง"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.ค. 2011, 02:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


แล้วถ้าเณรคนที่พูดถึงสึกออกไปแล้วละครับ เราไม่ควรคิดถึงและจินตนาการถึงการพบเจอในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.ค. 2011, 05:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


แปลกดีครับ ชายชอบผู้ชาย

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.ค. 2011, 10:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ต.ค. 2010, 09:47
โพสต์: 19


 ข้อมูลส่วนตัว


govit2552 เขียน:
แปลกดีครับ ชายชอบผู้ชาย


ชายชอบชายมันก็เป็นวิบากกรรมอย่างหนึ่งยังไงหละครับ
ชาติก่อนผมอาจจะเคยทำผิดกับผู้หญิงไว้เยอะก็ได้ ชาตินี้ถึงต้องมาเป็นแบบนี้
แถมตอนแรกๆ ยังก่อกรรมไว้อีกมากมาย (กับผู้ชายด้วยกันนี่แหละ)
แค่คิดถึงเวรกรรมที่กำลังจะตามๆ มาก็.... s002 ตอนนี้ก็มั่นทำบุญ ทำทาน
เจริญภาวนา แล้วอุทิศให้แก่เจ้ากรรมนายเวรซะ ชาติหน้าจะได้เกิดมาเป็นชายจริง หญิงแท้ กับเขาบ้าง

ส่วนชาตินี้ การจะให้เกย์ที่เคยเสพกามกับชายไปแล้วอย่างผม กลับไปเป็นชายปกติ
แล้วไปมีชีวิตคู่แต่งงานออกเรือน ผมคงทำไม่ได้ บอกตามตรงแค่คิดก็ขนลุกหละทำไม่ลงๆ
คือผมมีเพื่อนผู้หญิงที่ไว้เนื้อเชื่อใจกันมานาน ถ้าอยู่ๆ ไปแต่งงานกับหญิงก็เหมือนทรยศเพื่อนอะ
ของผมถึงขนาดที่เพื่อนๆ ผู้หญิงกล้าที่จะแก้ผ้าต่อหน้าผม ผมเองก็ไม่ได้เกิดอารมณ์อะไรกับพวกเธอ
พูดง่ายๆ เป็นเพื่อนกับผู้หญิงน่ะได้ แต่ให้มีอะไรกับผู้หญิงน่ะทำไม่ได้ ให้ตายยังไงก็ทำไม่ได้ครับ

แต่ในใจก็หวังลึกๆ ว่าซักวันคงจะได้พบคู่แท้ของเราที่เป็นชายเหมือนกันบ้าง คนที่เราอยากจะใช้ชีวิตร่วม
และพร้อมจะใช้ชีวิตคู่กันกับผม แต่ถ้าไม่ได้ ก็คงขอครองตนเป็นโสด และ ครองพรรมจรรย์ต่อไปหละครับ
จะให้กลับไปลองคบกับคนที่ไม่มีใจให้ เดี๋ยวก็ลงเอยแบบเดิม...ที่ผ่านๆ มามีคนเข้ามายุ่งเกียวกับผมอยู่พอ
สมควร จะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ แต่ถ้าผมไม่มีใจให้ตั้งแต่แรก ต่อให้นานแค่ไหน ก็ไม่รัก เคยพยายามรัก
มาหลายรอบแล้วสุดท้าย ก็ต้องจบกันไป เพราะใจผมมันยังไม่ยอมรักคนนั้นซะที ใครบอกว่าการบอกเลิกคนอื่นมันไม่เจ็บปวด มันก็เจ็บปวดพอๆ กับการโดนบอกเลิกนั่นแหละครับ แถมยังเสี่ยงต่อการโดนทำร้ายร่างกายด้วย ผมยังโชคดีที่อย่างมากสุดก็โดนด่า กับโดนตบ ถ้าโชคไม่ดีอาจโดนฆ่าตายไปแล้วก็ได้

เรื่องแบบนี้ถ้าไม่เกิดขึ้นกับตัวคุณ คุณไม่มีทางเข้าใจหัวอกคนที่ต้องมาอยู่ในสภาพแบบพวกผมหรอกครับ
ถ้าตัดเรื่องเพศออกไป ผมเองก็ไม่ต่างอะไรจากพวกท่าน ต้องการในรักแท้เช่นเดียวกัน ต้องการการยอมรับเฉกเช่นเดียวกับคนอื่นๆ เพียงแต่พอเอาสิ่งที่เรียกว่า "เพศ" มาล้อมกรอบ การดำเนินชีวิตมันเลยเปลี่ยนไป และแตกต่างกัน ขนาดในสังคมของเกย์เองบางคน (ตัวผมเองเมื่อก่อนก็เป็น) ที่มีความเชื่อที่ว่า รักแท้ ไม่มีในหมู่เกย์ เลยทำให้พวกเราถูกมองจากคนอื่นว่าเป็นพวกที่ "มั่ว" มันก็จริงอย่างที่คนอื่นเขาประนามหละครับ เหตุเพราะพฤติกรรมของพวกนี้มันแสดงภาพลักษณ์ออกมาให้คนอื่นเห็นแบบนั้น .... มีคำพูดคำพูดนึงของท่านว.วชิรเมธี ท่านกล่าวว่า "คนเราทำตัวอย่างไร ก็จะดึงดูดคนแบบนั้นเข้ามา" เมื่อก่อนผมทำตัวมั่ว ผมก็ดึงดูดแต่คนมั่วเข้ามา ก็ไม่แปลกที่ผมถึงได้ไม่เคยเจอเกย์ดีๆ ที่ครองตนอยู่ในศีล ทำให้การหารักแท้ของเกย์มันยิ่งดูลำบากเข้าไปใหญ่ เพราะค่านิยมในหมู่เกย์ ยังเป็นแบบนั้น พวกเราถึงถูกเรียกว่าพวกที่มีบาปหนา เป็นพวกที่มีวิบากกรรมติดตัวมาแต่เกิด การที่จะมีใครซักคนหยิบยื่นโอกาสได้เห็นแสงสว่างก็เป็นเรื่องที่ยากเสียเหลือเกิน ถ้าเปรียบพวกนี้ก็เหมือนบัวใต้ตม ที่ไม่มีวันได้เห็นแสงเดือนแสงตะวัน ยังใช้ชีวิตไปตามความอยาก ฉะนั้นการที่สามารถทำให้คนเหล่านี้เห็นพระธรรมได้ ถือเป็นกุศลที่ได้ช่วยคนคนนึงให้หลุดออกมาจากวัฎสงสารเดิมๆ ที่พวกเขาทนทุกข์ทรมานอยู่นั่นแหละครับ

ตอนนี้สิ่งที่ผมทำคือ ทำใจยอมรับสภาพตัวเอง ว่าเราเป็นชายรักชาย ไม่ใช่ชายปกติ และมีความสุขกับการอยู่กับสภาพแบบนี้ต่อไปจนหมดลมหายใจ ถ้าผมต้องมาทุกข์เพราะเป็นเกย์ หัวผมคงระเบิดไปแล้วหละครับ ทุกอย่างล้วนไม่แท้ เมื่อหมดร่างนี้ไป ผมก็ไม่ต่างอะไรจากพวกคุณหรอก ฉะนั้น อย่ามองว่าผมเป็นเกย์ เกย์มันก็แค่สิ่งที่สมมุติขึ้นจากตัวตนของคนแค่นั้นเอง จะไปยึดกับคำว่า "เกย์" ทำไมในเมื่อมันไม่เที่ยง ไม่ทน ไม่แท้

สังคมสมัยนี้เปิดกว้างมากขึ้น ยอมรับพวกเพศที่สามมากขึ้น แต่ผมว่ามันยังมีบางอย่างที่สังคมยังเข้าใจผิดอยู่ คือต้องยอมรับบุคคลเพศที่สามนั้นจากตัวตนของเขา ไม่ใช่เพศของเขา
ผมเองไม่สนับสนุนให้คนมาเป็นเกย์ แต่เมื่อเป็นแล้วก็ต้องยอมรับตัวเองก่อน และกล้าใช้ชีวิตให้ถูกต้อง ไม่ใช่หลงผิดไปตามค่านิยมในหมู่เกย์ เกย์จะรักษาศีลไม่ได้รึ??
ถ้ามองเกย์เป็นหญิงชายปกติ การใช้ธรรมครองตัว ก่อนที่จะมีแฟน ก็เป็นเรื่องปกติได้เหมือนกัน แต่สังคมชอบบอกว่ายอมรับๆ แต่จริงๆ ไปยอมรับอะไรเขากันแน่??
ปากบอกยอมรับ แต่เวลามีเพศที่สามออกสื่อโทรทัศน์ก็บอกว่าไม่เหมาะสม?? นั่นคือยอมรับ?
ทำไมถ้ายอมรับเรื่องตัวตนของเขากันแล้ว ทำไมเวลาพระเอกหนังถึงไม่เป็นเกย์บ้าง?? จะต้องเป็นชายแท้ๆ
ถึงได้รับความนิยม สุดท้าย สังคมก็ยังยึดติดกับเพศอยู่ไม่ใช่รึ??
ความเป็นเกย์มันไม่ใช่โรคติดต่อ ที่จะสามารถติดจากอีกคนไปสู่อีกคนได้ แต่มันเกิดจากรสนิยมทางเพศของคนนั้นๆ เอง หรือให้มองทางธรรมก็เป็นวิบากกรรมของคนนั้นเอง เราทุกคนมีกรรมเกิดมากับตัว เฉพาะฉะนั้น ถ้าลูกคุณมันไม่ใช่เกย์แต่แรก ยังไงๆ มันก็ไม่ใช่ครับ ถ้าตัวคุณมันไม่ใช่เกย์แต่แรกยังไงๆ มันก็ไม่ใช่ฉันท์นั้น

เกย์ไม่ได้วิเศษไปกว่าคนอื่นๆ ถ้ามองจริงๆ แล้วเป็นสิ่งที่น่าสงสารซะด้วยซ้ำ ชายก็ไม่ใช่ หญิงก็ไม่เชิง
ต้องใช้ชีวิตแบบครึ่งๆ กลางๆ ทุกข์และทรมานตลอดชีวิตของพวกเขา การยอมรับสภาพ และ มีความสุขกับ
มันเลยเป็นเรื่องยาก หลายคนเลยหลงผิด เข้าใจว่าการมีความสุขกับเพศนี้ คือการเสพกามตามแต่ใจปรารถนา มันเลยยิ่งเข้าไปกันใหญ่ การใช้พระธรรมเข้าช่วย มันคือการปลดปล่อยเกย์ออกจากวัฎสงสารแบบเดิมๆ

สำหรับส่วนตอนนี้การเปลี่ยนตัวเองของผมไม่ได้มีจุดประสงค์อยากจะเจอคนดีๆ อย่างเดียว ตอนนี้มันมุ่งไปที่การชดเชยสิ่งที่เคยทำผิดพลาดไป ป้องกันไม่ให้มันผิดพลาดอีก โดยหวังว่าชาติหน้าผมจะได้เกิดมาเป็นปกติเหมือนคนอื่นๆ เขาบ้าง ขอให้ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายที่ต้องมาชดใช้กรรมแบบนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.ค. 2011, 13:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ineedsomelight เขียน:
ผมตัดสินใจแล้วว่าจะไปทำบุญกับที่บ้าน แต่จะเลี่ยงการได้พบกับเณร และจะไม่พยายามเพื่อได้พบ
จะตั้งจิตอยู่ที่การทำบุญ ถึงแม้มันจะยากสำหรับผม แต่ก็คิดว่าคงเป็นหนทางที่ดีที่สุด

การบังคับจิตไม่ให้คิด ผมคงทำไม่ได้ในตอนนี้ สมาธิวิปัสนาผมยังไม่เข้มแข็งพอขนาดจะหยุดความคิดได้
แต่จะพยายามบังคับการกระทำที่เกิดจากความอยากของจิตที่สั่ง ไม่ให้ทำตามจิตที่ใฝ่หาเณร
แล้วผมจะพยายามตัดใจจากเณรเสีย ถามว่าทุกวันนี้การที่ไม่ได้พบเณร ไม่ได้เจอเณร มันทรมานไหม?
บอกตามความสัตย์จริง ก็รู้สึกเสียใจ และ น้อยใจว่าทำไมต้องเกิดเรื่องแบบนี้กับตัวเอง ทำไมถึงไม่ไปชอบคนอื่น หรือ เป็นปกติเหมือนชายทั่วๆ ไป แต่ก็ไม่ได้ทรมาน ยังพอมีกิจกรรมอื่นๆ ให้ได้บรรเทาอยู่บ้าง
คงซักวันใดวันนึงก็คงตัดใจจากเณรได้ซักวันหละครับ ก็จะพยายามครับ ยากยังไงก็จะต้องทำ


การบังคับจิตไม่ให้คิด ผมคงทำไม่ได้ในตอนนี้ สมาธิวิปัสนาผมยังไม่เข้มแข็งพอขนาดจะหยุดความคิดได้ แต่จะพยายามบังคับการกระทำที่เกิดจากความอยากของจิตที่สั่ง ไม่ให้ทำตามจิตที่ใฝ่หาเณร
แล้วผมจะพยายามตัดใจจากเณรเสีย


การบีบกักเก็บกดความรู้สึกนึกคิดก็ดี การเลี่ยงหนีความรู้สึกนึกคิดก็ดี มิใช่จะหนีความคิดพ้นได้ ทั้งยังไม่ใช่วิถีพ้นทุกข์ตามแนวพุทธธรรมด้วย ทำไมไม่เปลี่ยนหันมารับรู้สู้หน้ากับความจริงล่ะ

ตัวอย่าง เช่น ขณะนั้นรู้สึกนึกคิดยังไง กำหนดรู้ยังงั้น ตามเป็นจริง หรือตามที่มันเป็น หรือตามที่มันคิดนั่นแหละ

จะนึกรัก ชอบชัง เกลียดกลัว...ก็เรื่องของมัน ไม่ใช่เรื่องของเรา ไม่รับ แต่ก็ไม่ปฏิเสธ แต่พึงกำหนดจิตรับรู้สู้หน้าความจริงซึ่งเกิดขึ้น ณ ขณะนั้นๆ ทันทีทุกๆขณะ ไม่เลี่ยงหนี

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ค. 2011, 12:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue สวัสดีค่ะ คุณจขกท

เท่าที่อ่านแล้วจับใจความหลักได้..สิ่งที่คุณต้องการน่าจะเป็น เรื่องรักแท้ และเนื้อคู่ หรือคู่แท้
ประมาณนี้หรือเปล่า พอดีมันยาว อ่านไม่ละเอียดถ้าไม่ตรงประเด็นก็ขออภัย...

ถ้าสมมุติว่าคุณพบกับคนที่คุณเรียกว่ารักแท้ (ไม่มุ่งหวังทางเพศเป็นหลัก) มีโอกาสได้ใช้ชีวิต
อยู่ร่วมกัน ......สมปรารถนา
และคุณคิดว่าเมื่อถึงวันนั้นคุณจะมีความสุขไหม?
คุณกำลังวิ่งตามหาความสุขที่เกิดจากการที่คุณได้รักใครสักคนใช่หรือไม่?

เราอยากบอกคุณว่าความรักไม่ว่ารูปแบบใดถ้ายังเป็นรักแบบมีเงื่อนไขและยังเจือปนด้วย
รากแห่งราคะ ย่อมนำมาซึ่ง"ความทุกข์เสมอ" แต่ถ้าคุณพร้อมที่จะทุกข์ก็ต้องเตรียมทำใจไว้

ทั้งหมดที่กล่าวมาก็แค่อยากบอกว่า อย่าไปไขว้คว้าหามันเลย ความสุขที่ต้องอิงอาศัย
วัตถุ หรือบุคคลอื่น มันไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง....มันมักจะทุกข์มากกว่าสุข (จริง ๆ แล้ว
มีแต่ความทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ไม่มีสุขอยู่ที่ไหนถ้าว่ากันโดยสภาวะธรรมจริงๆ)

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 15 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร