วันเวลาปัจจุบัน 08 มิ.ย. 2025, 20:10  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 21 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ย. 2009, 11:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ต.ค. 2008, 09:55
โพสต์: 405


 ข้อมูลส่วนตัว


ลักษณะของจิต

ในการฝึกอบรมหรือพัฒนาจิตนั้น ผู้ฝึกจะต้องรู้ลักษณะหรือธรรมชาติของจิตเสียก่อน จึงจะฝึกได้ผลดี เหมือนกับบุคคลที่ฝึกสัตว์ใช้งาน เช่น ช้าง, ม้าร เป็นต้น ก็จำต้องรู้จักนิสัยใจคอของสัตว์นั้นเสียก่อน มิฉะนั้นจะฝึกมิได้ผล หรือได้ผลน้อย หรืออาจจะก่อให้เกิดอันตรายแก่คนฝึกเสียอีก ฉะนั้น ในการฝึกอบรมจิต ผู้ฝึกอบรมควรทราบลักษณะหรือหน้าตาของจิตเสียก่อน

ในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา ท่านให้คำจำกัดความ หรือ บอกลักษณะของจิตไว้หลายแห่งเพราะมุ่งการฝึกอบรมจิตเป็นสำคัญ ในที่นี้จะนำมากล่าวไว้เท่าที่จำเป็น เพื่อประโยชน์ในการศึกษาและพัฒนาจิต ตามแนวพุทธจิตวิทยา ดังนี้

๒.๑ ในจิตตวรรค แห่งคัมภีร์ธรรมบท ขุททกนิกาย พระพุทธเจ้าตรัสลักษณะของจิตไว้ว่า


ผนฺทนํ จปลํ จิตฺตํ ทุรกฺขํ ทุนฺนิวารยํ
อุชุ กโรติ เมธาวี อุสุกาโรว เตชนํ


แปลว่า "คนมีปัญญาย่อมทำจิตที่ดิ้นรน กวัดแกว่ง รักษายาก ห้ามยาก ให้ตรงได้ เหมือนนายช่างศร ดัดลูกศรให้ตรงฉะนั้น"

[ขุ. ธ.๒๕/๑๓/๑๙]

จากพระคาถาพระบาลีข้างต้นนี้ พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่าจิตมีลักษณะดังนี้

๑. ผนฺทนํ-ดิ้นรน คือ ดิ้นรนไปเพื่อจะหาอารมณ์ที่เป็นเหยื่อ มีรูปและเสียงเป็นต้น ที่น่าใคร่ น่าพอใจ
๒. จปลํ-กวัดแกว่ง คือ ไม่หยุดอยู่ในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งได้นาน เหมือนเด็กทารกไม่หยุดนิ่งในอิริยาบถใดอิริยาบถหนึ่งได้นาน
๓. ทุรกฺขํ-รักษายาก คือ รักษาให้อยู่กับที่โดยไม่ให้คิดไปถึงเรื่องต่างๆ นั้นทำได้ยาก
๔. ทุนฺนิวารยํ-ห้ามยาก คือ จะป้องกันไม่ให้คิดเรื่องที่เราไม่ต้องการก็ห้ามยาก ก็สามารถฝึกจิตนี้ให้ตรงได้ คือ ให้นำไปใช้ประโยชน์ได้ เหมือนช่างศรดัดลูกศรที่คดให้ตรงได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ย. 2009, 11:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ต.ค. 2008, 09:55
โพสต์: 405


 ข้อมูลส่วนตัว


๒.๒ ในจิตตวรรค แห่งคัมภีร์ธรรมบท ขุททกนิกายเช่นกัน พระพุทธเจ้าตรัสลักษณะของจิตไว้อีกนัยหนึ่งว่า


ทุนฺนิคฺคหสฺส ลหุโน ยตฺถ กามนิปาติโน
จิตฺตสฺส ทมโถ สาธุ จิตฺตํ ทนฺตํ สุขาวหํ


แปลว่า "การฝึกจิตที่ข่มได้ยาก ซึ่งเป็นธรรมชาติที่รวดเร็ว มักตกไปในอารมณ์ตามที่มันชอบ เป็นการดี (เพราะว่า) จิตที่ฝึกดีแล้ว ย่อมนำความสุขมาให้"

[ขุ.ธ.๒๕/๑๓/๑๙]

จากคาถาพระบาลีข้างต้นนี้ พระพุทธเจ้าตรัสว่า จิตมีลักษณะ ดังนี้

๑. ทุนฺนิคฺคหํ-ข่มได้ยาก คือ ฝึกได้ยากนั่นเอง
๒. ลหุ-เป็นธรรมชาติรวดเร็ว คือ เกิดขึ้นแล้วดับไปเร็ว เหมือนกระแสไฟฟ้าที่เกิดดับอยู่ตลอดเวลา แต่ที่สังเกตเห็นว่ายังไม่ดับ ก็เพราะมันเกิดดับสืบเนื่องกันตลอดเวลานั่นเอง
๓. ยตฺถ กามนิปาตี-มักตกไปตามอารมณ์ที่ชอบ คือ ถ้าชอบใจเรื่องใดก็ชอบคิดแต่เรื่องนั้นอยู่เสมอ

แม้จิตจะมีลักษณะดังกล่าวแล้ว แต่พระพุทธเจ้าตรัสว่า การฝึกจิตนั้นเป็นการดี เพราะจิตนี้สามารถฝึกได้ และเมื่อฝึกอบรมได้แล้วก็ย่อมนำความสุขความสงบมาให้แก่ผู้ฝึก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ย. 2009, 11:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ต.ค. 2008, 09:55
โพสต์: 405


 ข้อมูลส่วนตัว


๒.๓ ในจิตตวรรค แห่งคัมภีร์ธรรมบท ขุททกนิกายอีกคาถาหนึ่ง พระพุทธเจ้าได้ตรัสลักษณะของจิตไว้อย่างน่าฟัง และน่าศึกษาอย่างยิ่งว่า

ทูรงฺคมํ เอกจรํ อสรีรํ คูหาสยํ
เย จิตฺตํ สญฺญเมสฺสนติ โมกฺขนฺติ มารพนฺธนา

แปลว่า "ชนเหล่าใดจักสำรวมจิตที่ไปได้ไกล เที่ยวไปดวงเดียว ไม่มีรูปร่าง มีถ้ำคือร่างกายเป็นที่อาศัย ชนเหล่านั้นจะพ้นจากเครื่องผูกของมารได้"

[ขุ.ธ ๒๕/๑๓/๑๙]



จากคาถาพระบาลีข้างต้นนี้ พระพุทธเจ้าทรงแสดงลักษณะของจิตอีกนัยหนึ่งว่ามีลักษณะ ๔ อย่าง คือ

๑.ทูรงฺคมํ-ไปได้ไกล คือ ออกรับอารมณ์ในที่ไกลได้ เช่น ขณะที่ตนนั่งอยู่นี้ก็อาจคิดไปถึงประเทศญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา หรือคิดไปไกลถึงดวงดาวในจักรวาลอื่นๆ ได้

๒.เอกจรํ-เที่ยวไปดวงเดียว คือ จิตนี้เกิดดับทีละดวงเท่านั้น จะเกิดขึ้นพร้อมกันหลายดวงไม่ได้เลย และรับอารมณ์ได้ครั้งละหนึ่งอย่างเท่านั้น จะรับพร้อมกันหลายอย่างไม่ได้ แต่ที่ดูเหมือนว่าจิตนี้มีลักษณะหลายอย่างในขณะเดียวกัน หรือรับอารมณ์หลายอย่างในขณะเดียวกันนั้น เพราะจิตเกิดดับรวดเร็วต่างหาก คือเมื่อดวงหนึ่งดับไป ดวงหนึ่งก็เกิดขึ้นมาแทนที่ แต่เร็วมาก จนเราไม่อาจจะกำหนดได้ทัน จึงมองดูเหมือนว่ามันเกิดขึ้นได้หลายดวงในขณะเดียวกัน แท้จริงแล้ว มันเกิดขึ้นทีละดวงเท่านั้น จึงชื่อว่า เที่ยวไปทีละดวง

อีกอย่างหนึ่ง จิตนี้เมื่อเวลาคิดหรือยึดหน่วงอารมณ์ต่างๆ ก็ไม่สามารถไปด้วยกันกับจิตของคนอื่นเลย เที่ยวไปเพียงดวงเดียวเท่านั้น เช่นสมมติว่า ในห้องประชุมห้องหนึ่งมีคนมาฟังปาฐกถาอยู่เต็มห้องประชุม แม้ทุกคนจะส่งใจมาที่องค์ปาฐก ก็ไม่เคยปรากฏว่าจิตของใครมาพบกันที่องค์ปาฐกเลย ทั้งนี้ก็เพราะว่าธรรมชาติของจิตนี้เที่ยวไปดวงเดียวนั่นเอง

๓.อสรีรํ-ไม่มีรูปร่าง คือ จิตนี้ไม่มีรูปร่าง ไม่มีสี ไม่มีสันฐาน เพราะเป็นนามธรรม ไม่ใช่วัตถุ ไม่อาจจะสัมผัสได้ด้วยประสาททั้ง ๕ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ได้เลย ใครจะใช้เครื่องมือทางด้านวัตถุจับจิตนั้นไม่มีทางกระทำได้เลย เว้นไว้แต่จับพฤติกรรมที่มันแสดงออกมาเท่านั้น แต่สามารถรับรู้ได้ด้วยใจ (มโนวิญญาณ) อันเป็นประสาทที่หก พระพุทธเจ้าจึงตรัสเรียกจิตนี้ว่า "อสรีรํ-ไม่มีรูปร่าง" แต่ก็เป็นสภาพที่มีอยู่จริง เป็นสภาพที่นึกคิดเก็บกรรมและกิเลสเอาไว้ และสามารถฝึกให้สำเร็จประโยชน์ได้

๔. คูหาสยํ@๑-มีถ้ำคือร่างกายเป็นที่อยู่อาศัย คือ จิตอาศัยอยู่ในร่างกายนี้เอง พระพุทธเจ้าทรงเปรียบกายว่า เสมือนถ้ำอันเป็นที่อยู่อาศัยของจิต แต่ก็ไม่บ่งบอกว่าอาศัยอยู่ในส่วนใดของร่างกายเพียงแต่ตรัสว่า มีถ้ำคือร่างกายเป็นที่อาศัยเท่านั้น

แม้จิตนี้จะเป็นธรรมชาติไปได้ไกล เที่ยวไปดวงเดียว ไม่มีรูปร่าง และอาศัยอยู่ในร่างกายและไม่ได้บ่งว่าอยู่ในส่วนใดของร่างกายก็ตาม แต่พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า ผู้ที่สำรวมจิตของตน ฝึกจิตของตน ก็สามารถพ้นจากเครื่องผูกของมารคือกิเลสได้

ในเรื่องนี้ บางท่านอาจจะสงสัยและคัดค้านว่า เมื่อจิตไม่มีรูปร่าง และไม่รู้ว่ามันอยู่ในส่วนในของร่างกาย แล้วเราจะฝึกอบรมมันได้อย่างไร?

ข้อนี้ตอบว่า แม้จิตจะไม่มีรูปร่าง และไม่รู้แน่ว่าอยู่ในส่วนใดของร่างกายก็จริง แต่จิตนี้มีทางออกที่เรียกว่า "ทวาร" ออกรับอารมณ์ถึง ๖ ทาง และทางออกเหล่านี้ก็อยู่ที่ตัวเรานี้เอง คือ

๑. ทางตา ที่เรียกว่า จักขุทวาร
๒. ทางหู ที่เรียกว่า โสตทวาร
๓. ทางจมูก ที่เรียกว่า ฆานทวาร
๔. ทางลิ้น ที่เรียกว่า ชิวหาทวาร
๕. ทางกาย ที่เรียกว่า กายทวาร
๖. ทางใจ ที่เรียกว่า มโนทวาร

การฝึกจิต ก็คือ ควบคุมจิตที่ออกรับอารมณ์ทางทวารทั้ง ๖ นี้เอง เพราะเมื่อจิตออกรับอารมณ์ทางทวารใด ก็ใช้สติควบคุม กำกับรับรู้อารมณ์ทางทวารนั้นๆ แล้วใช้วิธีเจริญกรรมฐานหรือภาวนา ทำให้จิตสงบและสว่างได้


ลักษณะของจิตที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในบาลีพระสูตร ๓ พระคาถาข้างต้น เป็นการทรงแสดงลักษณะของจิต เพื่อมุ่งการฝึกอบรมจิตเป็นสำคัญ มิได้ทรงมุ่งตรัสตามความหมายของศัพท์ตามหลักศัพทศาสตร์แต่อย่างใด ดังใจความและจุดมุ่งหมายบอกไว้ชัดเจนแล้ว ในคาถาทั้ง ๓ นั้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ย. 2009, 11:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ต.ค. 2008, 09:55
โพสต์: 405


 ข้อมูลส่วนตัว


๒.๔ ในคัมภีร์ฝ่ายอภิธรรม พระอาจารย์ทั้งหลาย ได้ให้คำจำกัดความธรรมชาติของจิตไว้ เมื่อกล่าวโดยสรุปแล้วมี ๓ อย่าง คือ

๑. มีการคิดหรือรับรู้อารมณ์ (จินฺเตตีติ จิตฺตํ อารมฺมณํ วิชานาตีติ อตฺโถ-ธรรมชาติที่ชื่อว่าจิต เพราะอรรถว่า คิด คือ รู้อารมณ์)
๒. เป็นเหตุให้เจตสิกทั้งหลายรู้อารมณ์ (จินฺเตติ เอเตน กรณภูเตน สมฺปยุตตฺ ธมฺมาติ จิตฺตํ-ธรรมชาติที่ชื่อว่าจิต เพราะเป็นเหตุให้สัมปยุตตธรรม คือ เจตสิกทั้งหลายรู้อารมณ์)
๓. ทำให้สิ่งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตวิจิตรพิสดาร (จิตฺตึ กโรตีติ จิตฺตํ-ธรรมชาติที่ชื่อว่าจิต เพราะทำสัตว์และสิ่งของทั้งหลายให้วิจิตร)


ที่มา : หนังสือ "การพัฒนาจิต" โดย พระเทพวิสุทธิกวี (พิจิตร ฐิตวณฺโณ ป.ธ.๙ ศน.บ.,M.A.) วัดโสมนัสวิหาร กรุงเทพมหานคร มูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (อดีตรองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย และกรรมการกองตำรามูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์)

******************

นำมาให้เท่านี้ครับ สรุป : ก็จะทำให้เห็นว่าเป็นอีกแหล่งหนึ่งที่มีเหตุมีผลว่า "จิต" นี้มีใช้ได้หลายนัยหลายระดับครับ พระพุทธเจ้าทรงใช้แตกต่างกันไป


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ย. 2009, 19:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


จิตพัฒนาได้หรือไม่ การพัฒนาจิต ใช้อะไรพัฒนา
ตอบสั้นๆเลยขอรับ "เจตสิก" ขอรับ มีแต่เจตสิก เท่านั้นที่จะพัฒนาจิตได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 01:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 00:03
โพสต์: 7

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จิต คือ สัมผัสรับรู้+ความจำ+ความรู้สึก+ความคิด=จิตปรุงแต่ง เกิด อัถตา
การกำหนดบังคับจิต พิจารณาจิต รู้ว่าจิตเกิดจากการปรุงแต่ง มองเห็น อนัตตา
ร่างกายมีแค่1 เกิดจนตาย หลงคิดเป็นอัถตาได้
จิตเปลี่ยนแปลงทุกขณะ หลงคิดเป็นอัถตาไม่ได้

.....................................................
เคยบวชตามประเพณี อนาคตจะบวชอีกทีตามศรัทธา


แก้ไขล่าสุดโดย ปญฺญาวโร เมื่อ 20 พ.ย. 2009, 01:47, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 21 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร