วันเวลาปัจจุบัน 14 มิ.ย. 2025, 18:24  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 8 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มิ.ย. 2009, 17:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5355


 ข้อมูลส่วนตัว


เวลาที่ "สติ" ระลึก.....จะรู้ ในความที่เป็น "ปรมัตถ์"

ปรมัตถ์ มีจริง....จิต มีจริง

โดยไม่ต้องไปคิด ว่า เป็นจิต

เป็นตัว ของท่าน

หรือ ตัวท่านที่ รักตัวเอง โลภ ฯลฯ


.


เพราะ ไม่รู้ "ลักษณะ" ของ "จิต"

ไม่รู้ว่า........."จิต" ไม่ใช่ "ตัวเรา"


.


ที่แท้แล้ว

มีแต่ นามธรรม และ รูปธรรม

คือ

จิต เจตสิก รูป นิพพาน.


.


แต่

มี "ความยึดถือ" จิต เจตสิก รูป

ว่า "เป็นเรา" และ "เป็นของเรา"



เพราะฉะนั้น

ขณะนี้.....เรา อยู่ คนเดียว กับ "เสียง" และ "ได้ยิน"


แล้วก็..."คิด"


เราไม่รู้ "ลักษณะ" ของ "วิตกเจตสิก"

แต่..........เรารู้ "ลักษณะ" ของ "คิด"

รู้ ว่า "คิด"

เป็น

"สภาพรู้"


.


อย่างเช่น....กำลังขูดมะพร้าว.!


ขณะนั้น

มีการกระทบสัมผัส

คือ มีกายวิญญาณจิต....ซึ่ง กำลัง รู้ "แข็ง"

เพียง ชั่วขณะหนึ่ง....

แล้วก็มี "จักขุวิญญาณจิต" อีกชั่วขณะหนึ่ง.....


แต่

มี โลภะ โทสะ เกิดสลับอยู่.!

และ จิตเหล่านั้น

จะต้องมี วิริยเจตสิก เกิดร่วมด้วย.


.


ควรทราบว่า


"จิตเห็น" ขณะหนึ่ง

มี "เจตสิก" เกิดร่วมด้วย เพียง ๗ ประเภท

"เจตสิก" ๗ ประเภท นี้

เกิดกับ "จิต" ๑๐ ประเภท


คือ


"ทวิ ปัญจ วิญญาณจิต"


ได้แก่ จิตเห็น จิตได้ยิน จิตได้กลิ่น จิตลิ้มรส

และ จิตกระทบสัมผัส

ที่เกิด ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย

อย่างละ ๒ ประเภท

(แบ่งออกโดยชาติของจิต)


เป็น


กุศลวิบากจิต ๑

อกุศลวิบากจิต ๑



"จิต" ทั้ง ๑๐ ประเภท นี้

มี "เจตสิก" ประกอบด้วย

" น้อยที่สุด"

คือ

"เจตสิก" เพียง ๗ ประเภท.


ที่เรียกว่า........


"สัพพจิตตสาธารณเจตสิก"


ได้แก่.............


๑. ผัสสเจตสิก.

เป็น

"สภาพที่กระทบอารมณ์"


.


๒. เวทนาเจตสิก

เป็น

"สภาพที่รู้สึก"

หรือ เสวยอารมณ์.


.


๓. สัญญาเจตสิก

เป็น

"สภาพที่จดจำ"

หรือ คุ้นเคย ใน "อารมณ์"


.


๔. เจตนาเจตสิก

เป็น

"สภาพที่ตั้งใจ" "จงใจ" "บงการ"........สัมปยุตธรรม

ให้ ทำกิจ ของตน ๆ


.


๕. เอกัคคตาเจตสิก

เป็น

"สภาพที่ทำให้จิตตั้งมั่น"

เป็นหนึ่ง ใน "อารมณ์"



๖. ชีวิตินทริยเจตสิก

เป็น

"สภาพที่รักษาสัมปยุตธรรม"

ให้ "มีชีวิต" อยู่ได้.



๗. มนสิการเจตสิก

เป็น

"สภาพที่สนใจ"

ทำให้

"จิตมุ่งตรง ต่อ อารมณ์"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มิ.ย. 2009, 20:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


พุทธธรรมหน้า๘๒๑

สิ่งทั้งหลายตั้งอยู่ตามสภาพของมัน

และเป็นไปตามธรรมดาของมัน

พูดเป็นภาพพจน์ว่า

ความจริงเปิดเผยตัวมันเองอยู่ตลอดเวลา

แต่มนุษย์ปิดบังตนจากมัน

หรือไม่ก็มองภาพของมันบิดเบือนไปฯ

เมื่อใดสติตามทันทำงานอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่องอย่างชำนาญ

คนไม่ปิดบังตนเองฯ

เมื่อนั้น

ก็พร้อมที่จะมองเห็นสิ่งทั้งหลายตามสภาวะของมันและรู้เข้าใจความจริง

ถึงตอนนี้

ถ้าอินทรีย์อื่นๆ

โดยเฉพาะปัญญาแก่กล้าพร้อมดีอยู่แล้ว

ก็จะร่วมงานกับสติ

หรืออาศัยสติค่อยเปิดทางให้ทำงานได้อย่างเต็มที่

ทำให้เกิดญาณทัศนะ

ความหยั่งรู้หยั่งเห็นตามเป็นจริง

ที่เป็นจุดหมายของการวิปัสสนา

แต่การที่ปัญญินทรีย์เป็นต้นจะพร้อมหรือแก่กล้าได้นั้น

ย่อมอาศัยการฝึกฝนมาตามลำดับฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มิ.ย. 2009, 20:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณ mes หายไปนาน เห็นบอกว่าพเนจรมา แต่กลับมาคราวนี้เหมือนไม่ใช่คนเดิม :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มิ.ย. 2009, 20:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ความจริงนั้น

สติไม่ใช่ตัววิปัสสนา

ปัญญาหรือการใช้ปัญญาต่างหากเป็นวิปัสสนา


แต่ปัญญาจะได้โอกาสและจะได้ทำงานได้ปลอดโปร่งเต็มที่ก็ต่อเมื่อมีสติคอยกำกับหนุนอยู่ด้วยเหตุดังกล่าวแล้วข้างต้น

การฝึกสติมีความสำคัญมากในการวิปัสสนา

พูดอีกอย่างหนึ่งว่า

การฝึกสติเพื่อจะใช้ปัญญาได้เต็มที่เป็นการฝึกปัญญาไปด้วยนั่นเอง

ในภาษาการปฏิบติธรรม

เมื่อพูดถึงสติก็เล้งถึงปัญญาที่ควบอยู่ด้วย

และสติจะมีกำลังกล้าแข็งหรือชำนาญคล่องแคล่วขึ้นได้ก็เพราะมีปัญญาร่วมทำงาน

ปัญญาที่ทำงานอยู่กับสติในกิจทั่วไปมักมีลักษณะการที่เรียกว่าสัมปชัญญะ

ในขั้นนี้

ปัญญายังดูคล้ายเป็นตัวประกอบ

คอยร่วมมือและค่อยประสานอยู่กับสติ

การพูดกล่าวขานมักเพ่งเล็งไปที่สติ

เอาสติเป็นตัวหลักหรือตัวเด่น

แต่ในขั้นที่ใช้ปัญญาพินิจพิจารณาอย่างจริงจัง

ความเด่นจะไปอยู่ที่ปัญญา

สติจะเหมือนตัวที่คอยรับใช้ปัญญา

ปัญญาที่ทำงานในระดับนี้

เช่นที่เรียกว่า

ธรรมวิจัยในโพชฌงค์๗ประการ

เป็นต้น

สัมปชัญญะ ก็ดี

ธรรมวิจัย ก็ดี

หรือปัญญาในชื่ออื่นๆก็ดี

ที่ทำงานให้เกิดความรู้แจ้งรู้เข้าใจสิ่งทั้งหลายตรงตามสภาวะที่มันเป็น

เพื่อให้จิตหลุดพ้นเป็นอิสระ

นี่แหละคือวิปัสสนา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มิ.ย. 2009, 20:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สงสัยจะกินดีหมีมา ถึงได้ว่องไวปานกามนิตหนุ่ม จนกรัชกายนึกชื่อเพลงไม่ทัน :b32: :b20:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มิ.ย. 2009, 21:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


สติทำกิจสำคัญทั้งในสมถะและวิปัสสนา

หากพูดเปรียบเทียบระหว่างบทบาทของสติในสมถะกับวิปัสสนา

อาจช่วยให้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องที่กล่าวมานั้นชัดเจนยิ่งขึ้น

ในสมถะ

สติกุมจิตไว้กับอารมณ์

หรือดึงอารมณ์ไว้กับจิต

เพียงเพื่อให้จิตเพ่งแน่วแน่หรือจับแนบสนิทอยู่กับอารมณ์นั้น

นิ่งสงบไม่ส่ายไม่ซ่านไปที่อื่น

เมื่อจิตแน่วแน่แนบสนิทอยู่กับอารมณ์นั้นเป็นหนึ่งเดียวต่อเนื่องไปสม่ำเสมอ

ก็เรียกว่าสมาธิ

และเพียงแค่นั้น

สมถะก็สำเร็จ

ส่วนในวิปัสสนา

สติกำหนดอารมณ์กุ่มไว้กับจิตหรือคุมจิตไว้กับอารมณ์เหมือนกัน

แต่มุ่งใช้จิตเป็นทีวางอารมณ์เพื่อเอาอารมณ์นั้นเสนอให้ปัญญาตรวจสอบพิจารณา

คือจับอารมณ์ให้ปัญญาตรวจดูและวิเคราะห์วินิจฉัยโดยใช้จิตที่ตั้งมั่นเป็นที่ทำงาน

หากจะอุปมา

ในกรณีสมถะ

เหมือนเอาเชือกผูกลูกวัวพยศไว้กับหลัก

ลูกวัวจะออกไปไหนๆก็ไม่ได้

คงวนเวียนอยู่กับหลัก

ในที่สุด

เมื่อหายพยศก็หมอบนิ่งอยู่ที่หลักนั่นเอง

จิตเปรียบเหมือนลูกวัวพยศ

อารมณ์เหมือนหลัก

สติเหมือนเชือก

ส่วนในกรณีของวิปัสสนา

เปรียบเหมือนเอาเชือกหรือเครื่องยึดอย่างหนึ่งผูกตรึงคน สัตว์ หรือวัตถุบางอย่าง

ไว้กับแท่นหรือเตียง

แล้วตรวจดูหรือทำกิจอื่น

เช่น

ผ่าตัดเป็นต้น

ได้ถนัดชัดเจน

เชือกหรือเครื่องยึดคือสติ

คน สัตว์ หรือวัตถุที่เกี่ยวข้องคืออารมณ์

แท่นหรือเตียงคือจิตที่เป็นสมาธิ

การตรวจหรือผ่าตัดเป็นต้นคือปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มิ.ย. 2009, 21:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
สงสัยจะกินดีหมีมา ถึงได้ว่องไวปานกามนิตหนุ่ม จนกรัชกายนึกชื่อเพลงไม่ทัน




ขอบพระคุณท่านอาจารย์ใหญ่กรัชกายครับ

บังเอิญเจ้าเข้าประทับทรงครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มิ.ย. 2009, 21:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




q1.jpg
q1.jpg [ 30.13 KiB | เปิดดู 3465 ครั้ง ]
mes เขียน:
กรัชกาย เขียน:
สงสัยจะกินดีหมีมา ถึงได้ว่องไวปานกามนิตหนุ่ม จนกรัชกายนึกชื่อเพลงไม่ทัน


ขอบพระคุณท่านอาจารย์ใหญ่กรัชกายครับ
บังเอิญเจ้าเข้าประทับทรงครับ


ถึงว่า ดูผิดไปจากเดิม ไปอยู่ป่าไหนมาล่ะครับ เจ้าถึงประทับเอาได้ :b10:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 8 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร