วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 16:52  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มิ.ย. 2017, 05:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


“ อาตมานั่งบนเครื่องบินที่กำลังจะลงที่ดอนเมืองเห็นเขาติดไฟตามวัดก็ดูสวยงามมาก เมื่อเราเห็นภาพแบบนั้นเราก็ดีใจที่ได้กลับมาเมืองไทยเป็นเมืองพุทธ อาตมาถือว่าเรามีโอกาสของคนมีบุญ ได้พบครูบาอาจารย์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เช่นหลวงพ่อชา พระโพธิญาณเถร และครูบาอาจารย์อีกหลายองค์ เราก็เกิดปีติสุข กำลังจะกลับดินแดนของพุทธ รู้สึกว่าสบาย เมื่อกำลังมองหน้าต่างด้วยความสบายใจ ก็ได้ยินเสียงของชาวต่างชาติอีก ๒ คน เขานั่งเก้าอี้ข้างหน้าเรา และเขากำลังมองหน้าต่างอันเดียวกัน เห็นภาพเมืองกรุงเทพอันเดียวกัน และเขาก็พูดออกมาเสียงดังให้พระอาจารย์ได้ยินด้วย เขาคุยกัน ๒ คนบอกว่าถึงกรุงเทพแล้ว ถึงเมืองบาปแล้ว sin city ! แล้วเขาพูดว่าจะเที่ยวพัฒพงษ์ให้สนุก อาตมาสะดุ้ง เราสะดุ้งที่เขามองคนละอย่าง ตรงกันข้ามกับเรา ทำให้เรามีความรู้สึกอยู่เหมือนกันว่าทั้ง ๒ คนนี้กำลังจะมองภาพอันเดียวกัน จากหน้าต่างอันเดียวกัน ประเทศเดียวกัน เมืองเดียวกัน แต่มองหาคนละจุด คนละมุมกับเรา เราไปที่ไหนในโลกนี้แล้วมองหาสิ่งดีก็ได้ หรือสิ่งไม่ดีก็ได้ แล้วแต่เราแสวงหาอะไรอยู่"

"ครั้งหนึ่งอาตมารับนิมนต์มาฉันที่กรุงเทพฯ มาที่บ้านโยม โยมเขาได้ชวนญาติโยมมาร่วมถวายอาหาร และได้ชวนหมอที่โรงพยาบาลศิริราชมาร่วมด้วย แต่คุณหมอคนหนึ่งมาไม่ทัน ถวายอาหารเสร็จพระก็ฉันอาหารเรียบร้อยแล้ว คุณหมอคนนี้ได้เข้ามาขอโทษ ขออภัยที่มาสาย คุณหมอเล่าให้ฟังว่ามีเหตุการณ์เกิดขึ้นที่โรงพยาบาลศิริราช คือ ตอนเย็นคืนก่อน เพื่อนของเขาเป็นหมอมาทำงานที่โรงพยาบาล เขาอยู่เวรที่ทำงานตอนกลางคืนประมาณตี ๒ เขาอยู่บนตึกชั้น ๔ ตึกไหนเราไม่ทราบ เขาจะลงไปชั้น ๑ เขาก็เข้าไปในลิฟท์ ลิฟท์ลงไปถึงชั้นที่ ๓ แล้วหยุด ประตูเปิด นางพยาบาลคนหนึ่งก็เดินเข้ามาในลิฟท์ด้วย คุณหมอก็กดปุ่มปิดประตู แล้วลิฟท์ก็ลงมาถึงชั้นที่ ๒ พอประตูเปิด ก็มีคนไข้เป็นผู้หญิงยืนทำท่าจะเข้าไปในลิฟท์ พอคุณหมอเห็นคนไข้คนนั้น เขาก็รีบกดปุ่มปิดประตู ประตูก็ปิด คนไข้คนนั้นก็เข้ามาในลิฟท์ไม่ได้

นางพยาบาลก็ถามคุณหมอว่า อ้าว คุณหมอปิดประตูทำไม คนไข้อยากจะเข้ามาในลิฟท์ คุณหมอก็บอกว่าคนนั้นเป็นคนไข้ของเรา เขาเพิ่งตายเมื่อคืนนี้ คุณหมอพูดไปตัวก็สั่นไปด้วย นางพยาบาลบอกว่าคุณหมอเข้าใจผิดกระมัง เห็นเขายืนที่นั่นก็ปกติธรรมดา คุณหมอบอกว่าผมยืนยันได้ว่าเขาเป็นคนไข้ของผม เขาตายแล้ว ตอนเย็นเพิ่งส่งลงไปที่เก็บศพชั้นล่าง นางพยาบาลก็ค้านว่าไม่ใช่หรอก คุณหมอเลยถามว่า คุณไม่เห็นหรือว่าที่ข้อมือเขามีติด “แถบพลาสติกสีแดง” และมีชื่อของเขา ถ้าคนตายในโรงพยาบาลเขาจะติดสีแดงเอาไว้สำหรับเป็นศพแล้ว ตายแล้ว คุณเห็นไหม เขามีข้อมือเป็นแถบพลาสติกสีแดงติดข้อมือเขา

นางพยาบาลยืนนิ่งสักพักหนึ่ง เสร็จแล้วก็ยกแขนขึ้นมา แล้วถามว่า อันนี้หมายความว่าเราตายแล้วเหมือนกันหรือ เธอก็มีข้อมือสีแดงเหมือนกัน หมอหันมาเห็นเลยสลบอยู่ในลิฟท์เลย หมอที่เล่าให้ฟัง เขาไปเจอเพื่อนสลบในลิฟท์ และพาไปห้องไอ ซี ยู พอเขาฟื้นขึ้นมา เขาเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง

แต่ที่แปลกเหมือนกันว่าคุณหมอที่เล่าเหตุการณ์ให้ฟัง เขาไปสอบสวนว่าจริงหรือไม่ ปรากฏว่ามีคนไข้เป็นผู้หญิงตายวันนั้น และตายในช่วงเข้าเวรของเขา

เมื่อลงไปดูในที่เก็บศพก็มี ที่แปลกนะเขาลงไปที่เก็บศพ มีนางพยาบาลคนหนึ่งทำงานที่ศิริราช เขากำลังจะนั่งรถเครื่องมาทำงานตอนกลางคืน ถูกรถชนตาย และก็เอาศพไว้ที่เก็บศพข้างล่าง ศพของผู้หญิงและนางพยาบาลก็นอนคู่กันอยู่ที่เก็บศพข้างล่าง

ก็น่าคิดเหมือนกัน เวลาโยมจะกลับ จะเข้าไปในลิฟท์ให้เช็คข้อมือทุกคนด้วยนะ ! อาจไม่แน่ก็ได้ อาตมามีเรื่องผีเยอะอยู่ แต่ที่ว่าความกลัว มันก็มีทั้งความกลัวผีหรือกลัวสิ่งที่เราไม่รู้ อันนั้นก็เป็นสัญชาตญาณของสัตว์ทุกประเภท คือรักชีวิตของตนและกลัวอันตราย ความกลัวนั้นมีแต่พระอรหันต์ที่ไม่มีความกลัว ถ้าคนไหนบอกว่าไม่มีความกลัว ถือเป็นการประกาศว่าเป็นพระอรหันต์แล้ว

ในพระสูตรสมัยก่อน ถ้าพระรูปใดบอกว่าพ้นจากความกลัวแล้วหมายถึงว่าท่านประกาศตัวเป็นพระอรหันต์แล้ว พระอนาคามีก็ยังมีอยู่อย่างละนิดอย่างละหน่อย เป็นพระอรหันต์นี่จะไม่มีความกลัว ทีนี้เมื่อเรารู้ว่าความกลัวนั้นมีอยู่ เราต้องพิจารณาความกลัว ความกลัวคืออะไร เป็นความกลัวในสิ่งเราไม่รู้

โยมบอกว่ากลัวผี เคยเห็นผีไหม ไม่เคยเห็นผี เคยได้ยินผีไหม บางคนบอกไม่เคยได้เห็นไม่เคยได้ยิน ไม่รู้มีจริงหรือไม่ แต่กลัว ความกลัวนี้ก็เลยเป็นความกลัวจากความไม่รู้ ว่าเราไม่รู้ว่ามีหรือไม่ ถ้าหากเราไม่รู้ว่ามีหรือไม่มี ก็คิดไปเสียก่อนเนาะ ให้คิดว่าไม่มีมากกว่ามีดีกว่า เพราะถ้าคิดว่ามีก็ต้องเกิดกลัว ถ้าคิดว่าไม่มีก็จะเกิดประโยชน์ที่จะระงับความกลัว เหมือนกับที่อาตมาเปรียบการมองจากหน้าต่างเครื่องบิน เรามองได้สองแง่ใช่ไหม มองในแง่ดี หรือแง่ลบ

เราเข้าห้องพระเรามองในแง่ว่ามีผีหรือไม่มีผี ก็แล้วแต่เรามอง ถ้าในแง่ว่าอาจมีวิญญาณ อาจมีสิ่งที่เราไม่รู้ ก็จะทำให้เกิดความกลัว เกิดอกุศล เกิดความไม่สบายใจ แต่ถ้าหากเราเปลี่ยนความคิดให้มองว่าเรามองไม่เห็นไม่รู้ว่ามีก็ต้องว่าไม่มีไว้ก่อน แต่ในประการหนึ่งความกลัวจะระงับโดยเมตตา โดยการเจริญเมตตาธรรม

ในทางพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าบอกว่ามีวิญญาณ ที่เรียกแบบภาษาชาวบ้าน วิญญาณหรือผีมีอยู่ มีอยู่แต่ก่อนอาตมาเองก็ไม่เชื่อ เราก็จบทางวิทยาศาสตร์ เราก็ต้องคิดว่าต้องเป็นสิ่งที่เราพิสูจน์ดูด้วยตาเนื้อได้ แต่เมื่อเราประพฤติปฏิบัติธรรม เดี๋ยวนี้เปลี่ยนความรู้สึก ยอมรับว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสในเรื่องนี้เป็นความจริง แต่เราก็มองว่าในแง่ว่าการเกิดในภพที่เป็นวิญญาณหรือเป็นผีนั้นเป็นภพภูมิต่ำกว่ามนุษย์ โดยมีมนุษย์ เปรต และผี และสัตว์เดรัจฉาน สัตว์เดรัจฉานยังต่ำกว่าพวกผี

บ้านเราเลี้ยงสุนัขไหม ทำไมไม่กลัวมัน มันต่ำกว่าผี จิตใจต่ำกว่า แต่เราไม่กลัวมัน เห็นมันน่ารัก น่าเอ็นดู น่าสงสาร เราเลี่ยงแมวก็มี เลี้ยงนกก็มี เราก็เลยมองว่าวิญญาณที่อาจมีในบริเวณนั้นเหมือนสัตว์ประเภทหนึ่งจากภพหนึ่ง ที่ต้องการความอบอุ่นและความเมตตาจากเรา ผู้ปฏิบัติธรรมมองเขาเหล่านั้นเหมือนสุนัขที่วิ่งเข้าในบ้านเรา เราก็สงสารมัน เราก็ไม่ต้องกลัวมัน ความกลัวมันหายไป เพราะเรามีจิตใจรู้ว่านี่เป็นประเภทสัตว์ที่ต้องการความอบอุ่น ต้องการเมตตา ต้องการความช่วยเหลือ ความกลัวมันก็หายไป

นี่แหละเป็นวิถีทางที่จะแก้ความกลัวสิ่งเหล่านี้ และอีกวิธีหนึ่งคืออุทิศบุญกุศล สมมุติว่าเราอยู่ในที่มืดก็ทำให้รู้สึกตกใจ ให้เราอุทิศบุญกุศลความดีทั้งหลายทั้งปวงที่เราทำในอดีตก็ดีหรือในปัจจุบันชาติก็ดี ขอให้อุทิศบุญนี้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง สัตว์ที่เห็นอยู่ก็ดีและสัตว์ที่ไม่เห็นอยู่ก็ดี มนุษย์ทั้งหลายขอให้ได้รับส่วนบุญกุศลนี้ เป็นพลวปัจจัยให้พ้นจากทุกข์ทั้งหลายทั้งปวง นี่ก็เป็นการสงเคราะห์เขา เป็นการช่วยเหลือเขา ถ้าเขารับทราบได้ และเขาจะดีใจได้รับส่วนบุญกุศล เขาจะไม่รบกวนเรา กลายเป็นเพื่อนของเขา...”

ถาม-ตอบปัญหาธรรมะจากหนังสือ “หมากเงาะก็ได้ เซาซะก็ดี”
บันทึกเทศนาธรรม ณ โรงเรียนทอสี อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา
เมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๘
โดย ท่านพระอาจารย์ฟิลลิป ญาณธมฺโม
วัดป่านานาชาติ ต.บุ่งหวาย อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี
ปัจจุบันท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดป่ารัตนวัน
บ้านคลองปลากั้ง ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา







หลวงปู่บุดดา ถาวโร ได้เมตตาเล่าถึงเหตุการณ์ที่ท่านบรรลุธรรมว่า

“คืนวันหนึ่ง ขณะที่ท่านนั่งสนทนาธรรมกับหลวงปู่สงค์ พรหมสโร สองต่อสองตามปกติ อย่างออกรสออกชาติ จู่ๆ ท่านก็เงียบเสียงไปเฉยๆ และนั่งลืมตาค้างอยู่ หลวงปู่สงค์ก็แปลกใจที่ทำไม ? ท่านจึงเงียบไปเฉย ๆ เช่นนั้น ก็ถามหลวงปู่ว่า

“เอ๊ะ ! เป็นอะไรไป ?” หลวงปู่บุดดาท่านก็นิ่งเฉยไม่ตอบ นัยน์ตาเบิกโพลงอยู่อย่างนั้น

หลวงปู่บุดดาเล่าให้ฟังในภายหลังว่า ท่านรู้สึกสว่างแจ้งขึ้นมาเอง รู้สึกว่าไม่มีตัวตน เห็นชัดทุกอย่างรอบตัวว่า เป็นสิ่งสมมุติขึ้นมา เห็นปรมัตถธรรม ทุกอย่างมันเป็นธรรมหมด ไม่ใช่ของใคร พระพุทธเจ้าก็ไม่ถือเอาเป็นเจ้าของ พระอรหันต์ก็ไม่ได้เป็นเจ้าของ

สัพพัญญพุทธะ ปัจเจกพุทธะ สาวกพุทธะ ไม่มีตัวมีตน ธรรมต่างหากที่ทรงไว้ คงอยู่ในจิตของตนเอง ที่พูดกันแต่เรื่องปริยัติ ปฏิบัติ ไม่มีใครชนะใครหรอก มันติดในสมมุติบัญญัติกันต่างหากล่ะ

โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ธรรมอันเป็นฝักฝ่ายแห่งการตรัสรู้ คือ เกื้อกูลแก่การตรัสรู้ธรรม ที่เกื้อหนุน อริยมรรค ได้แก่ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ และมรรคมีองค์ ๘

ทั้งหมดนี้ เป็นสิ่งที่ทำให้หลุดรอดได้ พ้นจากสมมุติบัญญัติหลวงปู่บุดดาบอกว่า
“ท่านมีความรู้ความเข้าใจในธรรมทั้งหมดนี้ขึ้นมาเอง” ในขณะนั้น

หลวงปู่บุดดาได้อธิบายให้หลวงปู่สงฆ์ฟังต่ออย่างคล่องแคล่วว่า

“อายตนะภายนอกกับภายในมันรวมกันได้ มันมีจิต เจตสิก รูป นิพพาน เท่านั้นเอง มีเพียงสมมุติบัญญัติเท่านั้นเอง ไม่มีเจ้าของ ผมขน เล็บ ฟัน หนัง ก็สมมุติบัญญัติขึ้นมา พูดกันไม่รู้เรื่อง แต่พิจารณาดูได้ อ่านได้ เข้าใจได้ จนรู้ความเป็นจริง ความเป็นไปของสังขาร รู้ความเป็นจริงของโลก ก็หมดกัน ไม่มีปัจจัยอะไรส่งให้สัตว์ต้องมาเกิดอีก”

หลวงปู่สงค์ฟังตามไม่ค่อยทัน เพราะต้องทำความเข้าใจตามไปด้วย และท่านก็ไม่เข้าใจว่าหลวงปู่บุดดาบรรลุธรรมอะไร ? เพราะเป็นโลกุตตรธรรมที่หลั่งไหลออกมาจากใจของหลวงปู่บุดดาในขณะนั้น หลวงปู่สงค์ก็ได้แต่เก็บเอาไปคิดพิจารณาตามเท่านั้น

หลังจากนั้น ๓ วัน หลวงปู่สงค์ได้มาบอกหลวงปู่บุดดาว่า
“ไม่มีคนไปนรก ไม่มีคนไปสวรรค์เน้อ ! “

หลวงปู่บุดดาจึงเสริมว่า
“โอ้ย ! มันจะมีนรก มีสวรรค์อย่างไร นั่นมันกิเลสต่างหากเล่า กิเลสหมด มันก็หมดนรก หมดสวรรค์ซิ”

หลวงปู่สงค์บอกความรู้สึกของท่านกับหลวงปู่บุดดาในขณะนั้นว่า
“เอ๊ะ ! ทำไม ? ไม่มีคนไปนรก ไม่มีคนไปสวรรค์ล่ะ ทำไม ? ไม่มีคนล่ะ !”

หลวงปู่บุดดาก็อุทานตอบไปว่า
“โอ๊ย ! มันไม่มีมาตั้งแต่ไหน แต่ไรแล้ว ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์แล้ว ตั้งแต่พระพุทธเจ้าแสดงปฐมเทศนามาแล้ว

นรก...สัตว์สร้างเอาเอง สวรรค์...สัตว์ก็สร้างเอาเอง ถ้าไม่มีสัตว์สร้าง สวรรค์นรกจะเกิดได้อย่างไร”

หลวงปู่สงค์ท่านบอกว่า
“ท่านไม่ถือรูปถือนาม ไม่ถือธาตุถือขันธ์อะไรแล้ว ถ้าหลงรูป หลงนามอยู่ มันก็หลงเกิด หลงตายอีกซิ”

หลวงปู่สงค์จึงบรรลุพระสัจธรรม ณ ถ้ำภูคา อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ ในพรรษาที่ ๕ อายุ ๔๒ ปี ณ สถานที่แห่งเดียวกับหลวงปู่บุดดา ถาวโร บรรลุพระสัจธรรม ในพรรษาที่ ๔ อายุ ๓๒ ปี







"...ถ้าอยากประสบความสุขที่ปรารถนาอยู่นั้น ต้องละอารมณ์คือรักใคร่พอใจในกามคุณ ๕ คือ ความพอใจในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัส อันเป็นเหยื่อล่อให้ติดอยู่ในกองทุกข์เสียให้หมดสิ้นไปจากใจ

ความสุขที่ปรารถนาอยู่นั้น ก็จะฉายแสงออกมาให้ปรากฏเห็นตามสมควรแก่ความเพียรที่ได้ทุ่มเทลงไปในทางที่ถูกที่ชอบ..."

โอวาทธรรมคำสอน..
องค์หลวงปู่พรหม จิรปุญโญ
วัดประสิทธิธรรม ต.ดงเย็น อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี






คุณค่าของชีวิต อยู่ที่ ละชั่ว-ทำดี

"...คนที่เคยทำงาน เคยถือว่าชีวิตของตนเองมีคุณค่า เพราะทำงานเพราะมีเงินเดือน พอเกษียณแล้วไม่ทำงานแล้ว ก็รู้สึกว่าชีวิตไม่มีค่าเสียแล้ว เป็นภาระแก่คนอื่น เพราะไม่ได้ทำงานไม่มีเงินเดือนแล้ว เป็นภาระแก่ลูกหลาน นี่เรียกว่าคิดผิด

เพราะ คุณค่าของชีวิตไม่ได้อยู่ที่เงินเดือน คุณค่าของชีวิตอยู่ที่สิ่งที่ดีงามภายในจิตในใจของเรา อยู่ที่สิ่งดีงามที่เรากระทำ ด้วยกาย ด้วยวาจา เมื่อเป็นเช่นนั้น เราจึงถือได้ว่าชีวิตของเรามีคุณค่าได้จนถึงลมหายใจสุดท้ายเลย

ตราบใดที่เรายังมีชีวิตอยู่ เราก็ยังมีโอกาสละสิ่งที่ไม่ดี มีโอกาสทำสิ่งที่ดีที่งาม เป็นประโยชน์ ทำสิ่งที่ให้ตนเองมีความสุข ทำให้ผู้อื่นมีความสุขได้ตลอดเวลา..."

โอวาทธรรมคำสอน..
องค์ท่านพระอาจารย์ชยสาโรภิกขุ







ท่านพระอาจารย์ญาณธัมโม ท่านเล่าว่า.. “ตอนที่ท่านไปอยู่กับหลวงพ่อเปลี่ยนที่วัดป่าอรัญญวิเวก อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่นั้น ท่านเคยไปกราบขออนุญาตไปจำพรรษาที่อ.ดอยสะเก็ด เพราะมีโยมศรัทธาถวายที่ดิน ช่วงนั้นใกล้เข้าพรรษาแล้ว หลวงพ่อเปลี่ยน ท่านเตือนเสียงแข็งถึง ๓ หนว่า “ไม่ให้ไป” เราเองก็แปลกใจ ปกติหลวงพ่อเปลี่ยน ท่านเมตตาเรามากทำไมคราวนี้จึงดุเราเสียงดัง แต่เราเองรับปากโยมไว้แล้ว จึงจำเป็นต้องไป

พอไปถึงสถานที่นั้นเราก็ทำข้อวัตรสวดมนต์นั่งสมาธิ ช่วงหัวค่ำปรากฏใบหน้าผู้หญิงลอยมาแต่ศีรษะ ลักษณะใบหน้าเขาเป็นคนหน้าเรียวแก้มตอกริมฝีปากบางๆดวงตาดุร้าย ที่ใบหน้ามีรอยบาก เส้นผมหยิกยาวเกรอะกังไปด้วยเลือด ศีรษะเขาลอยเข้ามา ลอยออกไปอยู่ตลอดคืน เราอุทิศส่วนกุศลให้เขาทั้งคืนเขาก็ไม่ยอมรับ
พอรุ่งเช้าเราถามว่าที่ดินนี้เป็นของใคร เจ้าของที่บอกว่า จริงๆแล้วที่ดินนี้เป็นของคุณป้าของเขา ป้าเขาเป็นคนลักษณะนิสัยปากร้าย ปล่อยเงินกู้ให้คนยืม วันหนึ่งป้าไปทวงเงินลูกหนี้ที่ตลาด ด้วยที่เป็นคนปากร้าย จึงด่าเขารุนแรง ลูกหนี้ผูกใจเจ็บกลางคืนจึงมาดักทำร้าย โดยฟันที่ศีรษะ

เราถามเขาถึงลักษณะรูปพรรณสัณฐานใบหน้าก็ตรงกัน แต่เราไม่ได้ว่าเราอะไรให้เขาฟัง กลัวเขาเสียใจ เราคิดว่าวิญญาณเขาคงหวงที่ดินนี้ วิญญาณจึงยึดติดไม่ไปไหน แล้วคอยมาวนเวียนรบกวนอยู่ตลอด จากนั้นเราจึงให้ญาติเขาทำสังฆทานอุทิศบุญกุศลให้ป้าของเขาเสีย แล้วเราจึงจากที่นั้นมา เราจึงได้ระลึกถึงสาเหตุที่หลวงพ่อเปลี่ยน ท่านห้ามเรานัก ห้ามเราหนา ที่แท้ก็เป็นเพราะอย่างนี้นี่เอง องค์ท่านเองรู้ล่วงหน้าอยู่แล้ว แต่ในเมื่อเราไม่เชื่อคำทักทาน ท่านจึงให้เราได้มาเห็นเอง..”








"อย่าไปว่าคนอื่นเขา
ตัวเรานั้นดีแล้วหรือ
ให้หมั่นถามตัวเองไว้เช่นนี้ตลอดเวลา
แล้วจะไม่มีความเดือดร้อนใจ
ไม่ต้องลับเขี้ยวไว้กัดกัน"

-:-หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน-:-






"ผู้ใดไม่เห็นทุกข์
ผู้นั้นคือผู้ไม่เห็นธรรม

ผู้ได้รับทุกข์
จนเหลือที่จะอดกลั้นแล้ว
เมื่อหวนกลับเข้ามาถึงตัวนั่นแล
จึงจะรู้จักว่าทุกข์ นั้นแลคือธรรม

ผู้เกลียดทุกข์เป็นผู้แพ้
ผู้พิจารณาทุกข์ คือผู้เจริญในทางธรรม"

-:-หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี-:-







"เกิดมาแล้วก็แก่ เจ็บ ตาย
แต่ก่อนจะตาย ทานยังไม่มี ก็ให้มีเสีย
ศีลยังไม่เคยรักษา ก็รักษาเสีย
ภาวนายังไม่เคยเจริญ ก็เจริญให้พอเสีย

จะได้ไม่เสียที
ที่ได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา
ด้วยความไม่ประมาทนั้นละ
จึงจะสม กับที่ได้เกิดมาเป็นคน"

-:-หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต-:-


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 140 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร