วันเวลาปัจจุบัน 26 เม.ย. 2024, 05:54  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ค. 2016, 05:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


ผู้ใด สามารถปฏิบัติภาวนา
ในท่ามกลางความวุ่นวายของบ้านเมือง
ที่มีแต่ความอึกทึกครึกโครม
หรือแม้แต่กระทั่ง ในขณะที่รอบๆ ตัว
มีแต่ความเอะอะวุ่นวาย
ก็สามารถกำหนดจิต ตั้งสมาธิได้
สมาธิที่ผู้นั้นทำให้เกิดได้
จึงเป็นสมาธิที่เข้มแข็งและมั่นคงกว่าธรรมดา..
พระราชวุฒาจารย์ (ดูลย์ อตุโล)








หลวงพ่อชา ตอบปัญหาคุณหมอ
พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท)

พระพุทธเจ้าจุดที่สุดของท่านไม่มีตัวมีดินมีน้ำมีไฟมีลมประชุมรวมกันขึ้นก้อนหนึ่งเท่านั้นตัวสัตว์บุคคลไม่มี อย่างนี้ ถ้าหากว่าคนนั้นถึงจุดนั้นน่ะ จะให้เขาเห็นแก่ตัวได้ยังไง เพราะมันไม่มีตัวแล้ว อะไรที่เห็นแก่ตัว ก็เพราะเรามีตัวอยู่อย่างเนี้ยะ

จะพูดถึงเรื่องไม่มีตัว ก็ไม่รู้จัก เรื่องของวิสัยมนุษย์ในโลกนี้ กับเรื่องที่มันพ้นไป มันต่างกัน เช่น อาการที่อาตมาจะพูดซักคำสองคำให้คุณหมอฟังว่า คนเราทุกคนถ้ากล่าวคำอย่างนี้ว่า เดินไป ก็รู้ ถอยกลับ ก็รู้ หยุดอยู่ ก็รู้ นี่!

ถ้ามีคำอีกคำหนึ่ง พูดขึ้นมาอีกว่า "เดินไปก็ไม่ใช่ ถอยกลับก็ไม่ใช่ หยุดอยู่ก็ไม่ใช่"จะอยู่ยังไงพูดคำนี้ คนเราเดินไป ฟังเราก็รู้จัก ถอยกลับเราฟังก็เข้าใจ หยุดอยู่เราฟังก็เข้าใจ แต่มีคำที่สองขึ้นมาว่า เดินไปก็ไม่ใช่ ถอยกลับก็ไม่ใช่ หยุดอยู่ก็ไม่ใช่ จะเป็นยังไงอันนี้ คนนี้ถึงจุดนี้ คนนั้นถึงจุดโน้น เนี่ยมันเป็นเช่นเนี้ยะ มันยังว่า เรื่องวิสัยของโลก กับเรื่องธรรมะที่สูงสุดนี่ มันเอื้อมมือไม่ถึงเสียแล้วเดินไปก้าวไปเรารู้จัก ถอยกลับเรารู้จัก

หยุดอยู่เราก็รู้จักไม่เดินไปไม่ถอยกลับไม่หยุดอยู่นี่เราไม่รู้แต่ยืนเฉยๆ ก็หายไป ตรงนี้แหละ ตรงมนุษย์ที่ไม่รู้เรื่อง มันจึงมีปัญหาสับสนอยู่มากมายก่ายกองเลยอันนี้ แต่คำพูดชนิดนี้ได้เป็นคำพูดของโลกุตระ เป็นคำพูดของพระอริยเจ้าถ้ามันโตขึ้นมาแล้วขนาดนี้ แต่ก่อนเราเป็นเด็กใช่ไหม เป็นเด็กเล็กๆ ทีนี้เมื่อเราโตขึ้นมาขนาดนี้ เราคำนึงถึงเราเป็นเด็กไหม เสียดายไหมที่เราเป็นเด็กน่ะ ทำไมถึงกลายมาเป็นอย่างนี้ได้ ก็เพราะมันเป็นอย่างนี้ มันมีอาหารเข้ามาอย่างนี้ นี่เรื่องของมัน นี่เรื่องของโลก ทีนี้มันพูด มันไม่เข้าจุดนะนี่ แต่มันมีอยู่ทุกคน ที่มนุษย์ผู้มีตัณหาทั้งหลาย ว่ามีเหตุผล จริง แต่เมื่อทำเหตุผลด้วยใจน่ะ เหตุผลคนมันต่างกัน คนโง่มันก็มีเหตุ อืม! เหตุผลเหมือนกัน ไอ้คนฉลาดมันก็มีเหตุมีผล คนโง่มันก็มีเหตุมีผลทั้งนั้น

ได้ความว่า เหตุผลนี่มันจบไม่ได้เมื่อพระพุทธเจ้าท่านตรัสขึ้นมาว่า ข้าพเจ้าทำนอกเหตุเหนือผลนอกเกิดเหนือตายนอกสุขเหนือทุกข์ นี่จะดียังไง แต่ก่อนมันอยู่คนละที่อย่างนี้หนา มันอยู่คนละที่อย่างนี้ อย่างว่าคุณหมอจะต้องเป็นเด็ก เคยเล่นลูกโป่งไหม
เห็นพวงลูกโป่งก็สบายร่าเริงในลูกโป่งน่ะ ไอ้ทีนี้เมื่อโตมาขนาดนี้แล้วนะ มันต่างกับเด็กเท่านั้น ไม่คิดอยากจะเล่นของอย่างนั้นทำไมถึงไม่อยากเล่น เพราะว่ามันไม่เป็นประโยชน์แน่ะ! มันโตมาแล้วเห็นไหม ก็ไม่มีประโยชน์ เมื่อเรายังเป็นเด็กขณะนั้นน่ะ ซน เราเห็นลูกโป่งนี่เป็นราคาเหลือเกิน เล่นสนุกสนาน เฮฮาๆ คนเดียว

แต่ในเรื่องนะ แต่แล้วเมื่อเวลาที่ลูกโป่งมันแตกปั๊บ! ร้องไห้เลย ทำไมเป็นยังงั้น ไอ้การเล่นในสิ่งทั้งหลายเหล่านี้แหละ เรียกว่าจิตของเราไปจดจ่อ ที่วัยของเรามันครอบขึ้นมา กาลขึ้นมาเลยขึ้นมาถึงขนาดนี้ เราจะแก้ปัญหามันยังไง เมื่อเขาคิดขึ้น อันที่เขาคิดนั่นน่ะ คุณหมอก็ต้องบอกว่าผมไม่อยากเล่น เพราะว่ามันไม่เกิดประโยชน์เด็กทำไม นี่จะขัดเด็กนี่เนี่ย มองไม่เป็นประโยชน์ เด็กมันก็เถียงคุณหมอซิ! มันเป็นประโยชน์ของมันนี่ จะทำยังไงเล่า อืม! ใครจะเอาชนะ ใครจะถูกจะผิดเด็กมันก็ถูกของมันอย่างนั้น ผู้ใหญ่ก็ถูกของมันอย่างนี้ มันมีคนไปครอบอย่างนี้ มันก็ต้องเป็นอย่างนี้ ดี ถามปัญหาเหล่านี้ดีมากนะ อยากจะให้ถามหลายๆ เพราะให้มันกระจ่างซะ มันคนละเรื่องกันนี่ มันคนละเรื่อง

คุณหมอ...ผมก็พอๆ พอจะเห็น

หลวงพ่อ...นั่นแหล่ะ





ตกต้นไม้

ปฏิจจสมุปบาทธรรมก็เหมือนกัน อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป ฯลฯ
เราเคยเล่าเรียนมาศึกษามา ก็เป็นจริงคือท่านแยกเป็นส่วนๆไป เพื่อให้นักศึกษารู้ แต่เมื่อมันเกิดมาจริงๆแล้ว นับไม่ทันหรอก

อุปมาเหมือนเราตกจากยอดไม้ก็ตุ๊บถึงดินโน่น ไม่รู้ว่ามันผ่านกิ่งไหนบ้าง จิตเมื่อถูกอารมณ์ปุ๊ปขึ้นมา ถ้าชอบใจก็ถึงดีโน่น อันที่ติดต่อกันเราไม่รู้ มันไปตามที่ปริยัติรู้นั่นเอง แต่มันก็ไปนอกปริยัติด้วย

มันไม่บอกว่าตรงนี้เป็นอวิชชา ตรงนี้เป็นสังขาร ตรงนี้เป็นวิญญาณ ตรงนี้เป็นนามรูป

มันไม่ได้ให้ท่านมหาอ่านอย่างนั้นหรอก

เหมือนกับการตกจากต้นไม้ ท่านพูดถึงขณะจิตอย่างเต็มที่ของมันจริงๆ

อาตมาจึงมีหลักเทียบว่า เหมือนกับการตกจากต้นไม้ เมื่อมันพลาดจากต้นไม้ไปปุ๊ป มิได้คณนาว่ามันกี่นิ้ว กี่ฟุต เห็นแต่มันตูมถึงดินเจ็บแล้ว

หลวงพ่อชา สุภัทโท
จากหนังสือ เหมือนกันใจคล้ายกับจิต


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 95 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร