วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 18:31  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 30 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2015, 07:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


คำว่า สมาบัติ หรือ สัมปัตติ นั้นแปลว่า เข้าถึง หมายเอาว่าเข้าถึงอะไร
ข้อนี้น่าจะบอกไว้เสียให้รู้ไว้เลยว่า ถึงจุดของอารมณ์ที่เป็นสมาธิหรือที่เรียกว่า ฌาน นั่นเอง
เมื่ออารมณ์ของสมาธิที่ยังไม่เข้าระดับฌาน เช่น ขณิกสมาธิ, อุปจารสมาธิ, ท่านยังไม่เรียกว่า สมาบัติ
จนกว่าจะถึง อัปปนาสมาธิ คือ สมาธิแนบแน่น หรือแน่นอน ถือว่าเป็นสมาธิระดับสูงที่มีอยู่ในองค์ฌานนั้นๆ
ซึ่งถือว่า เป็นผลสำเร็จที่ต้องการในการเจริญสมาธิ นับตั้งแต่ปฐมฌานเป็นต้นไป

จึงกล่าวได้ว่า ก่อนจะถึงฌาน หรือสมาบัติ ต้องมีสมาธิ ๓ ระดับ คือ ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ
ขณิกสมาธิ คือ สมาธิชั่วขณะเป็นสมาธิขั้นต้น ซึ่งคนทั่วไปอาจใช้ประโยชน์ในการปฏิบัติหน้าที่การงาน
ในชีวิตประจำวันให้ได้ผลดี และจะได้ใช้เป็นจุดตั้งตนในการเจริญวิปัสสนาก็ได้
อุปจารสมาธิ คือ สมาธิเฉียดๆ หรือ จวนแน่วแน่ เป็นสมาธิชั้นระงับนิวรณ์ ๕ ได้
อัปปนาสมาธิ คือ สมาธิแนบแน่น หรือแน่นอน ถือว่าเป็นสมาธิระดับสูงที่มีอยู่ในองค์ฌานนั้นๆ
ซึ่งถือว่า เป็นผลสำเร็จที่ต้องการในการเจริญสมาธิ เรียกว่าผลสมาบัติ

ขอกลับมาย้ำคำว่า ขณิกสมาธิ อีกสักนิดที่ แปลว่า ตั้งใจมั่นได้เล็กน้อย หรือนิดๆ หน่อยๆ
คำว่า สมาธิ แปลว่า ตั้งใจมั่น ต้องมั่นได้นิดหน่อย เช่น กำหนดจิตคิดตามคำภาวนา
ภาวนาได้ประเดี่ยวประด๋าว จิตก็ไปคว้าเอาความรู้สึกนึกคิดอารมณ์ภายนอกคำภาวนามาคิด
ทิ้งองค์ภาวนาเสียแล้ว กว่าจะรู้ตัวว่า จิตซ่าน ก็คิดตั้งบ้านสร้างเรือนเสียพอใจ
อารมณ์ตั้งอยู่ในองค์ภาวนาไม่ได้นานอย่างนี้ ตั้งอยู่ได้ประเดี๋ยวประด๋าว อารมณ์จิตก็ยังไม่สว่างแจ่มใส
ภาวนาไปตามอาจารย์สั่งขาดๆ เกินๆ อย่างนี้แหละที่เรียกว่า ขณิกสมาธิ ท่านยังไม่เรียก ฌาน
เพราะอารมณ์ยังไม่เป็นฌาน ท่านจึงไม่เรียกว่า สมาบัติ เพราะยังไม่เข้าถึงกฎที่ท่านกำหนดไว้

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ค. 2015, 06:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


โดยทั่วไป เมื่อกล่าวถึงประเภทของฌาน มักแบ่งฌานออกเป็นสองประเภทใหญ่ๆ คือ
รูปฌาน ๔ ฌานมีรูปธรรมเป็นอารมณ์ ฌานที่เป็นรูปาวจร ได้แก่
๑.ปฐมฌาน จะประกอบด้วย วิตก วิจาร ปิติ สุข เอกัคคตา
๒.ทุติยฌาน จะประกอบด้วย ปิติ สุข เอกัคคตา
๓.ตติยฌาน จะประกอบด้วย สุข เอกัคคตา
๔.จตุตถฌาน จะประกอบด้วย อุเบกขา เอกัคคตา

รูปฌานอาจถูกจำแนกใหม่ในรูปแบบของ ปัญจมฌาน เป็นการจำแนกตามแบบ
พระอภิธรรม เรียกว่า ปัญจกนัย การจำแนกตามแบบพระสูตร เรียกว่า จตุกนัย
ที่ต้องจำแนกเป็นปัญจมฌาน เนื่องจากฌานลาภีบุคคล(บุคคลผู้ได้ฌาน)มี 2 ประเภท
คือ ติกขบุคคล (ผู้รู้เร็ว) และ มันทบุคคล (ผู้รู้ช้า)

อรูปฌาน ๔ ฌานมีอรูปธรรมเป็นอารมณ์ ฌานที่เป็นอรูปาวจร ได้แก่
๑. อากาสานัญจายตนะ
๒. วิญญาณัญจายตนะ
๓. อากิญจัญญายตนะ
๔. เนวสัญญานาสัญญายตนะ

เมื่อกล่าวรวมทั้งรูปฌานและอรูปฌานก็หมายถึง "ฌาน ๘" ในปฐมฌานเหมาะแก่การทำวิปัสสนา
เพราะมี วิตก วิจาร อยู่

สิ่งที่ใช้เป็นอารมณ์ในการเพ่งจนได้ฌาน ได้มีการรวบรวมไว้เป็น กรรมฐาน ๔๐ สิ่งที่ขวางกั้นจิต
ไม่ให้เกิดฌาน คือนิวรณ์ ๕ ซึ่งเป็นตัวกิเลสที่ขัดขวางการที่จะเข้าถึงฌานทั้ง ๘ หรือ ๙

อนุปุพพวิหารสมาบัติ ๙ หมายถึง สมาบัติ ๘ กับ นิโรธสมาบัติ ๑ นับรวมกันจึงได้ ๙
ถ้าหากไม่นับก็หมายถึงเมื่อได้ได้ฌานสมาบัติ ๘ จนชำนาญแล้ว และพอใจที่จะเข้า
นิโรธสมาบัติก็ได้ตามใจปรารถนา จะเข้าได้ครั้งหนึ่งได้ไม่เกิน ๗ วัน อีกอย่างหนึ่งก็เพื่อจะสงเคราะห์
กับผู้ที่ยากไร้อยู่ เช่น พระมหากัสสปะ พระสารีบุตร เป็นต้น และการเข้านิโรธสมาบัตินั้นได้
จะมีก็เพียง ๒ ท่าน คือ พระอนาคามี และพระอรหันต์เท่านั้น

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ค. 2015, 13:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ก.พ. 2015, 21:06
โพสต์: 84

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b1: อยากจะรู้ได้ว่าเราเป็นแบบไหน ไม่ค่อยแน่ใจ อยากถามผู้รู้จัง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ค. 2015, 14:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


สุชาวดี เขียน:
:b1: อยากจะรู้ได้ว่าเราเป็นแบบไหน ไม่ค่อยแน่ใจ อยากถามผู้รู้จัง

ถามว่ายังไง ? ถามเลย

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ค. 2015, 20:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ก.พ. 2015, 21:06
โพสต์: 84

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณมากค่ะ ลุงหมาน คือว่าดิฉันเป็นขณิกสมาธิ รึเปล่าไม่รู้ ก่อนอื่นอยากจะขอออกตัว
ก่อนค่ะดิฉันฝึกสมาธิไม่ได้หวัง จะได้คุณวิเศษอะไร สิ่งที่ฉันลุกขึ้นมาฝึกสมาธิเพื่อหาทางออกจากทุก
เพราะเบื่อหน่ายความทุกข์ค่ะ แต่บางทีก็แอบสงสัย ไม่รู้จะถามใคร ในสมาธิที่เราเจอดิฉันฝึกเองที่บ้าน
ทุกวัน ด้วยภาระหน้าที่ไม่มีบุญพอที่จะไปปฏิบัติธรรมที่สำนักไหน เลยไม่มีอาจารย์เป็นของตัวเองค่ะ s005
สมาธิที่ดิฉันเป็นคือว่า พอเริ่มนั่งสมาธิได้ไม่ถึงเดือน รู้สึกมีความสุข เกิดขึ้นมาจากปลายเท้าค่ะ
และ ไปตามส่วนอื่นของร่างกาย เปลี่ยนไปทุกที่สลับกันค่ะ และ ตอนธรรมดาที่ไม่นั่งความสุขจะมาเรื่อยๆ
ทั้งวันก็มีค่ะ ตอนนี้เข้าปีที่สามก็เป็นมาเรื่อยๆ ตอนในสมาธิ จะไม่รำคาญเสียงอะไร แต่ได้ยินชัด ความคิด
ก็เกิดๆ ดับๆ ตามดูเรื่อยๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ค. 2015, 06:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


ตามปกติแล้วขณิกสมาธิจะเกิดขึ้นกับคนทั่วไป ในขณะที่กระทำการงานต่างๆ ในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว
ซึ่งจะเกิดขึ้นประเดี๋ยวประดาวสั้นยาวไม่เท่ากัน ที่เป็นเช่นนี้เพราะอาจจะไม่ได้ใช้สติสังเกตุเองโดยมุ่งในกิจนั้นมากเกินไปไม่ใด้ใส่ใจตัวสมาธิ การฝึกสมาธินั้นจะต้องมีมีความรู้สึกในอารมณ์อันเดียว ไม่สอดส่ายไปในอารมณ์อื่นที่ฟุ้งออกไปๆ จับอารมณ์อันอื่นมาแทนอารมณ์เก่า หรือขณะที่เรารู้สึกว่าไปจับอารมณ์อันอื่นก็พยายามน้อมให้มาหาอารมณ์เก่าอีกต้องทำอยู่อย่างจนกว่าจะชำนาญคล่องแคล่ว นี้แหละเรียกว่าการฝึกสมาธิ เมื่อทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆจนคล่องแคล่วชำนาญสมาธินั้นก็จะเปลี่ยนสถานะขึ้นไปอีกโดยอัตตโนมัติเป็นอุปจารสมาธิทั้งขึ้นยกสถานะขึ้นเฉียดฌานจนถึงปฐมฌานขั้นต้นเลยที่เดียว

ในขณะเดียวกันความสุขก็ย่อมเกิดขึ้นด้วย ไปพร้อมๆกันกับในขณะที่ฝึกสมาธิ เพราะสมาธิจะเป็นตัวกำจัดตัวกิเลสที่เป็นตัวนิวรณ์ทั้ง ๕ ที่กว้างกั้นฌานเมื่อกิเลสลดลงความสุขก็จะเพิ่มเอง เมื่อจิตที่เป็นสมาธิไปจับอารมณ์ที่ปลายเท้าก็จะมีความรู้สึก ที่ปลายเท้าว่ามีความสุข แท้จริงแล้วความสุขอยู่ที่ใจ

เมื่อสมาธิเด่นชัดการสังเกตุก็ย่อมจะชัดเจนขึ้นจนถึงขั้นเห็นการเกิดดับของอารมณ์และความคิดได้
ถ้ารู้เห็นเป็นในลักษณะนี้นั้นซึ่งจะเป็นไปในลักษณะฝึกวิปัสสนาย่อมเห็นไตรลักษณ์ตามความเป็นจริง
จนถึงขั้นได้มรรคผลเลยที่เดียว การฝึกลักษณะนี้ย่อมต้องพึ่งพาอาศัยครูบาจารย์หรือท่านผู้รู้บ้าง เพื่อลดความสงสัยลงได้บ้าง ไม่อย่างนั้นจะถูกตัววิจิกิจฉารบกวนหาความสงบยาก จนถึงความเจริญงอกในการเจริญวิปัสสนาก็จะไม่ก้าวหน้าด้วย ก็ขออนุโมทนาในสิ่งกระทำที่เป็นสิ่งที่งามสำหรับชีวิตให้ตนเอง ซึ่งจะเป็นกุศลครั้งใหญ่ที่อาจไม่เคยเกิดขึ้นในเราเลยก็ได้ สาธุ ๆ ๆ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ค. 2015, 07:50 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


สุชาวดี เขียน:
ขอบคุณมากค่ะ ลุงหมาน คือว่าดิฉันเป็นขณิกสมาธิ รึเปล่าไม่รู้ ก่อนอื่นอยากจะขอออกตัว
ก่อนค่ะดิฉันฝึกสมาธิไม่ได้หวัง จะได้คุณวิเศษอะไร สิ่งที่ฉันลุกขึ้นมาฝึกสมาธิเพื่อหาทางออกจากทุกเพราะเบื่อหน่ายความทุกข์ค่ะ แต่บางทีก็แอบสงสัย ไม่รู้จะถามใคร s005

:b8: :b8: :b8:
อะไรทำให้เบื่อทุกข์..ครับ
อยู่ดีดี..ก็เบื่อเอง...หรือ...ไปได้ยินได้ฟัง...ได้อ่านอะไรมาแล้วถึงมารู้สึกเบื่อ???


อ้างคำพูด:
ในสมาธิที่เราเจอดิฉันฝึกเองที่บ้าน
ทุกวัน ด้วยภาระหน้าที่ไม่มีบุญพอที่จะไปปฏิบัติธรรมที่สำนักไหน เลยไม่มีอาจารย์เป็นของตัวเองค่ะ สมาธิที่ดิฉันเป็นคือว่า พอเริ่มนั่งสมาธิได้ไม่ถึงเดือน รู้สึกมีความสุข เกิดขึ้นมาจากปลายเท้าค่ะ
และ ไปตามส่วนอื่นของร่างกาย เปลี่ยนไปทุกที่สลับกันค่ะ และ ตอนธรรมดาที่ไม่นั่งความสุขจะมาเรื่อยๆ
ทั้งวันก็มีค่ะ ตอนนี้เข้าปีที่สามก็เป็นมาเรื่อยๆ ตอนในสมาธิ จะไม่รำคาญเสียงอะไร แต่ได้ยินชัด ความคิด
ก็เกิดๆ ดับๆ ตามดูเรื่อยๆ


ลองอธิษฐานหาครูบาอาจารย์ที่มีบุญเกี่ยวข้องกันมา...ดูซิครับ
อาจเจอ....
เจอแล้ว....จะปฏิบัติได้ง่าย

อย่าด่วนคิด..ว่า..การปฏิบัติธรรมต้องไปปฏิบัติที่นั้นที่นี้...อะไรก่อน...
ปล่อยให้มันเป็นไปเองตามครรลองของมัน...ครับ

เหมือนคนตั้งท้อง...ถึงวาระต้องคลอด..ก็ต้องคลอดอยู่นั้นเอง...จะอั้นก็ไม่ได้...หากยังไม่ถึงเวลา..ต่อให้เบ่งเท่าไร..ก็คลอดออกมาไม่ได้

คนปฏิบัติ..ก็เหมือนกันครับ....ไปตั้งเกณท์ว่าต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ก่อน..ต้องห่มขาวก่อน..ต้องไปที่วัดก่อน..ต้องเลิกกับสามีภรรยาก่อน..ต้องละเรือนก่อน...ต้องฯลฯ....ครั้นพอปฏิบัติไป...ทนไม่ได้...กลับมาเรือนคือเก่า...เพราะที่ทำไป..ทำตามความคิดอยาก...ไม่ได้ทำตามสภาพตัวเอง

ส่วนบางคน....ทำเล่นทำหัวไป..เรื่อยๆมาเรียงๆ...พอสภาวะเข้าถึงจุด...ศีล5ก็เป็นเอง...ไม่ทำไม่ได้มันทุกข์...พอถึงจุดที่ต้องละเรือน...มันจะทนอยู่เรือนไม่ได้เอง..มันทุกข์....ศีล5 ก็ยังไม่พอจะไปศีล 8 ศีล 10 เอง...พอถึงตรงนี้....ใครมาห้ามก็ห้ามไม่อยู่...ภาระหน้าที่..เหตุผลทางโลกทั้งหลายแหล่..อะไรอะไรก็ห้ามไม่อยู่...เปิดแหน่บเอง....เหมือนคนท้อง 9 เดือน..นั้นแหละครับ

:b13: :b13: :b13:

ขอให้พบครูบาอาจารย์ของตน..เร็วๆ..นะครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ค. 2015, 10:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
สุชาวดี เขียน:
ขอบคุณมากค่ะ ลุงหมาน คือว่าดิฉันเป็นขณิกสมาธิ รึเปล่าไม่รู้ ก่อนอื่นอยากจะขอออกตัว
ก่อนค่ะดิฉันฝึกสมาธิไม่ได้หวัง จะได้คุณวิเศษอะไร สิ่งที่ฉันลุกขึ้นมาฝึกสมาธิเพื่อหาทางออกจากทุกเพราะเบื่อหน่ายความทุกข์ค่ะ แต่บางทีก็แอบสงสัย ไม่รู้จะถามใคร s005

:b8: :b8: :b8:
อะไรทำให้เบื่อทุกข์..ครับ
อยู่ดีดี..ก็เบื่อเอง...หรือ...ไปได้ยินได้ฟัง...ได้อ่านอะไรมาแล้วถึงมารู้สึกเบื่อ???


อ้างคำพูด:
ในสมาธิที่เราเจอดิฉันฝึกเองที่บ้าน
ทุกวัน ด้วยภาระหน้าที่ไม่มีบุญพอที่จะไปปฏิบัติธรรมที่สำนักไหน เลยไม่มีอาจารย์เป็นของตัวเองค่ะ สมาธิที่ดิฉันเป็นคือว่า พอเริ่มนั่งสมาธิได้ไม่ถึงเดือน รู้สึกมีความสุข เกิดขึ้นมาจากปลายเท้าค่ะ
และ ไปตามส่วนอื่นของร่างกาย เปลี่ยนไปทุกที่สลับกันค่ะ และ ตอนธรรมดาที่ไม่นั่งความสุขจะมาเรื่อยๆ
ทั้งวันก็มีค่ะ ตอนนี้เข้าปีที่สามก็เป็นมาเรื่อยๆ ตอนในสมาธิ จะไม่รำคาญเสียงอะไร แต่ได้ยินชัด ความคิด
ก็เกิดๆ ดับๆ ตามดูเรื่อยๆ


ลองอธิษฐานหาครูบาอาจารย์ที่มีบุญเกี่ยวข้องกันมา...ดูซิครับ
อาจเจอ....
เจอแล้ว....จะปฏิบัติได้ง่าย

อย่าด่วนคิด..ว่า..การปฏิบัติธรรมต้องไปปฏิบัติที่นั้นที่นี้...อะไรก่อน...
ปล่อยให้มันเป็นไปเองตามครรลองของมัน...ครับ

เหมือนคนตั้งท้อง...ถึงวาระต้องคลอด..ก็ต้องคลอดอยู่นั้นเอง...จะอั้นก็ไม่ได้...หากยังไม่ถึงเวลา..ต่อให้เบ่งเท่าไร..ก็คลอดออกมาไม่ได้

คนปฏิบัติ..ก็เหมือนกันครับ....ไปตั้งเกณท์ว่าต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ก่อน..ต้องห่มขาวก่อน..ต้องไปที่วัดก่อน..ต้องเลิกกับสามีภรรยาก่อน..ต้องละเรือนก่อน...ต้องฯลฯ....ครั้นพอปฏิบัติไป...ทนไม่ได้...กลับมาเรือนคือเก่า...เพราะที่ทำไป..ทำตามความคิดอยาก...ไม่ได้ทำตามสภาพตัวเอง

ส่วนบางคน....ทำเล่นทำหัวไป..เรื่อยๆมาเรียงๆ...พอสภาวะเข้าถึงจุด...ศีล5ก็เป็นเอง...ไม่ทำไม่ได้มันทุกข์...พอถึงจุดที่ต้องละเรือน...มันจะทนอยู่เรือนไม่ได้เอง..มันทุกข์....ศีล5 ก็ยังไม่พอจะไปศีล 8 ศีล 10 เอง...พอถึงตรงนี้....ใครมาห้ามก็ห้ามไม่อยู่...ภาระหน้าที่..เหตุผลทางโลกทั้งหลายแหล่..อะไรอะไรก็ห้ามไม่อยู่...เปิดแหน่บเอง....เหมือนคนท้อง 9 เดือน..นั้นแหละครับ

:b13: :b13: :b13:

ขอให้พบครูบาอาจารย์ของตน..เร็วๆ..นะครับ

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ค. 2015, 12:19 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ก.พ. 2015, 21:06
โพสต์: 84

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: ขอบพระคุณค่ะคุณกบ และลุงหมาน อย่างสูงค่ะ
คุณกบคะ ที่ดิฉันเบื่อความทุกขฺ เพราะทุกมันเกิดขึ้นกับฉันโดยตรงเลยค่ะ เปรียบคือชีวิตฉันติดคุก
ชีวิต ต้องรับผิดชอบ พ่อที่พิการมา 7 ปี แม่ป่วยสารพัดโรค ตอนที่ไม่ปฎิบัติดิฉันเหมือนตกนรกจะ
ไปไหนมาไหนเหมือนคนอื่นไม่ได้ ด้วยฐานะไม่รวยพอที่จะจ้างคนมาช่วย พอมาปฏิบัติ ใหม่ๆ ยิ่ง
สารพัดปัญหาโถมเข้ามาค่ะ ไม่เคยมีก็มีขึ้น การเงินหนี้สินหลัก สิบล้าน ครอบครัว คนรอบข้าง
จนบางครั้งดิฉันน้อยใจใน วาสนาของตัวเอง ทางที่พึ่งของดิฉันคือสมาธิ ทำตามทางที่พระท่านพาทำ
เดินตามพวกท่านมาเรื่อยๆ พอมาถึงวันนี้ ดิฉันรู้แล้วค่ะ อุปสรรคเหล่านั้นเป็นของเก่าฉัน และมัน
ช่วยเพิ่มบุญใหม่ให้ดิฉันด้วย ทุกข์วิ่งชน จนรู้ซึ้ง ในคำกล่าวว่า นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิด ทุกเท่านั้น
ที่เกิด ทุกข์ เท่านั้นที่ดับ ตอนที่สุขฉันเห็นว่าทุกน้อยเท่านั้นเองค่ะเลยเบื่อหน่าย ตอนนี้อุปสรรคยังไม่ ผ่านไป แต่ใจฉันมันผ่านแล้วในระดับหนึ่งค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ค. 2015, 13:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ลองอธิษฐานหาครูบาอาจารย์ที่มีบุญเกี่ยวข้องกันมา...ดูซิครับ
อาจเจอ....
เจอแล้ว....จะปฏิบัติได้ง่าย

อย่าด่วนคิด..ว่า..การปฏิบัติธรรมต้องไปปฏิบัติที่นั้นที่นี้...อะไรก่อน...
ปล่อยให้มันเป็นไปเองตามครรลองของมัน...ครับ

เหมือนคนตั้งท้อง...ถึงวาระต้องคลอด..ก็ต้องคลอดอยู่นั้นเอง...จะอั้นก็ไม่ได้...หากยังไม่ถึงเวลา..ต่อให้เบ่งเท่าไร..ก็คลอดออกมาไม่ได้

คนปฏิบัติ..ก็เหมือนกันครับ....ไปตั้งเกณท์ว่าต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ก่อน..ต้องห่มขาวก่อน..ต้องไปที่วัดก่อน..ต้องเลิกกับสามีภรรยาก่อน..ต้องละเรือนก่อน...ต้องฯลฯ....ครั้นพอปฏิบัติไป...ทนไม่ได้...กลับมาเรือนคือเก่า...เพราะที่ทำไป..ทำตามความคิดอยาก...ไม่ได้ทำตามสภาพตัวเอง

ส่วนบางคน....ทำเล่นทำหัวไป..เรื่อยๆมาเรียงๆ...พอสภาวะเข้าถึงจุด...ศีล5ก็เป็นเอง...ไม่ทำไม่ได้มันทุกข์...พอถึงจุดที่ต้องละเรือน...มันจะทนอยู่เรือนไม่ได้เอง..มันทุกข์....ศีล5 ก็ยังไม่พอจะไปศีล 8 ศีล 10 เอง...พอถึงตรงนี้....ใครมาห้ามก็ห้ามไม่อยู่...ภาระหน้าที่..เหตุผลทางโลกทั้งหลายแหล่..อะไรอะไรก็ห้ามไม่อยู่...เปิดแหน่บเอง....เหมือนคนท้อง 9 เดือน..นั้นแหละครับ

  

ขอให้พบครูบาอาจารย์ของตน..เร็วๆ..นะครับ



:b8: :b8:
:b12:
ว่าแต่..ทำเล่นทำหัวไป..เรื่อยๆมาเรียงๆ
หมายความว่าไงคะ..คุณกบ
:b20: :b20:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ค. 2015, 13:35 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


สุชาวดี เขียน:
:b8: :b8: ขอบพระคุณค่ะคุณกบ และลุงหมาน อย่างสูงค่ะ
คุณกบคะ ที่ดิฉันเบื่อความทุกขฺ เพราะทุกมันเกิดขึ้นกับฉันโดยตรงเลยค่ะ เปรียบคือชีวิตฉันติดคุก
ชีวิต ต้องรับผิดชอบ พ่อที่พิการมา 7 ปี แม่ป่วยสารพัดโรค ตอนที่ไม่ปฎิบัติดิฉันเหมือนตกนรกจะ
ไปไหนมาไหนเหมือนคนอื่นไม่ได้ ด้วยฐานะไม่รวยพอที่จะจ้างคนมาช่วย พอมาปฏิบัติ ใหม่ๆ ยิ่ง
สารพัดปัญหาโถมเข้ามาค่ะ ไม่เคยมีก็มีขึ้น การเงินหนี้สินหลัก สิบล้าน ครอบครัว คนรอบข้าง
จนบางครั้งดิฉันน้อยใจใน วาสนาของตัวเอง ทางที่พึ่งของดิฉันคือสมาธิ ทำตามทางที่พระท่านพาทำ
เดินตามพวกท่านมาเรื่อยๆ พอมาถึงวันนี้ ดิฉันรู้แล้วค่ะ อุปสรรคเหล่านั้นเป็นของเก่าฉัน และมัน
ช่วยเพิ่มบุญใหม่ให้ดิฉันด้วย ทุกข์วิ่งชน จนรู้ซึ้ง ในคำกล่าวว่า นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิด ทุกเท่านั้น
ที่เกิด ทุกข์ เท่านั้นที่ดับ ตอนที่สุขฉันเห็นว่าทุกน้อยเท่านั้นเองค่ะเลยเบื่อหน่าย ตอนนี้อุปสรรคยังไม่ ผ่านไป แต่ใจฉันมันผ่านแล้วในระดับหนึ่งค่ะ

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ค. 2015, 13:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
คุณกบคะ ที่ดิฉันเบื่อความทุกขฺ เพราะทุกมันเกิดขึ้นกับฉันโดยตรงเลยค่ะ เปรียบคือชีวิตฉันติดคุก
ชีวิต ต้องรับผิดชอบ พ่อที่พิการมา 7 ปี แม่ป่วยสารพัดโรค ตอนที่ไม่ปฎิบัติดิฉันเหมือนตกนรกจะ
ไปไหนมาไหนเหมือนคนอื่นไม่ได้ ด้วยฐานะไม่รวยพอที่จะจ้างคนมาช่วย พอมาปฏิบัติ ใหม่ๆ ยิ่ง
สารพัดปัญหาโถมเข้ามาค่ะ ไม่เคยมีก็มีขึ้น การเงินหนี้สินหลัก สิบล้าน ครอบครัว คนรอบข้าง
จนบางครั้งดิฉันน้อยใจใน วาสนาของตัวเอง ทางที่พึ่งของดิฉันคือสมาธิ ทำตามทางที่พระท่านพาทำ
เดินตามพวกท่านมาเรื่อยๆ พอมาถึงวันนี้ ดิฉันรู้แล้วค่ะ อุปสรรคเหล่านั้นเป็นของเก่าฉัน และมัน
ช่วยเพิ่มบุญใหม่ให้ดิฉันด้วย ทุกข์วิ่งชน จนรู้ซึ้ง ในคำกล่าวว่า นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิด ทุกเท่านั้น
ที่เกิด ทุกข์ เท่านั้นที่ดับ ตอนที่สุขฉันเห็นว่าทุกน้อยเท่านั้นเองค่ะเลยเบื่อหน่าย ตอนนี้อุปสรรคยังไม่ ผ่านไป แต่ใจฉันมันผ่านแล้วในระดับหนึ่งค่ะ



rolleyes rolleyes rolleyes
:b4: :b4: :b4:
อย่าเปรียบว่าชีวิตติดคุกเลยค่ะ :b1:
สิ่งที่ทำเป็นบุญอันสูงสุด..ขอให้ตั้งใจและทำออกมาให้ดีสุดด้วยค่ะ
ส่วนอุปสรรค...มีกันทุกคน
จะน้อยหรือมากเท่านั้น..สู้ๆนะคะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ค. 2015, 13:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


idea เขียน:
:b8: :b8:
:b12:
ว่าแต่..ทำเล่นทำหัวไป..เรื่อยๆมาเรียงๆ
หมายความว่าไงคะ..คุณกบ
:b20: :b20:


:b16: :b16:
ไม่อยากให้เครียต...ไม่อยากให้คิดว่ายาก...ทำให้ดูเหมือนง่าย...ล่อตาล่อใจ...

พอทำไป...นะ...พอทุกข์มันขับดัน....การจะเรื่อยๆเรียงๆ...หรือ...จะเอาเป็นเอาตาย..ก็จะรู้ด้วยตนเอง...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ค. 2015, 13:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


สุชาวดี เขียน:
:b8: :b8: ขอบพระคุณค่ะคุณกบ และลุงหมาน อย่างสูงค่ะ
คุณกบคะ ที่ดิฉันเบื่อความทุกขฺ เพราะทุกมันเกิดขึ้นกับฉันโดยตรงเลยค่ะ เปรียบคือชีวิตฉันติดคุก
ชีวิต ต้องรับผิดชอบ พ่อที่พิการมา 7 ปี แม่ป่วยสารพัดโรค ตอนที่ไม่ปฎิบัติดิฉันเหมือนตกนรกจะ
ไปไหนมาไหนเหมือนคนอื่นไม่ได้ ด้วยฐานะไม่รวยพอที่จะจ้างคนมาช่วย พอมาปฏิบัติ ใหม่ๆ ยิ่ง
สารพัดปัญหาโถมเข้ามาค่ะ ไม่เคยมีก็มีขึ้น การเงินหนี้สินหลัก สิบล้าน ครอบครัว คนรอบข้าง
จนบางครั้งดิฉันน้อยใจใน วาสนาของตัวเอง ทางที่พึ่งของดิฉันคือสมาธิ ทำตามทางที่พระท่านพาทำ
เดินตามพวกท่านมาเรื่อยๆ พอมาถึงวันนี้ ดิฉันรู้แล้วค่ะ อุปสรรคเหล่านั้นเป็นของเก่าฉัน และมัน
ช่วยเพิ่มบุญใหม่ให้ดิฉันด้วย ทุกข์วิ่งชน จนรู้ซึ้ง ในคำกล่าวว่า นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิด ทุกเท่านั้น
ที่เกิด ทุกข์ เท่านั้นที่ดับ ตอนที่สุขฉันเห็นว่าทุกน้อยเท่านั้นเองค่ะเลยเบื่อหน่าย ตอนนี้อุปสรรคยังไม่ ผ่านไป แต่ใจฉันมันผ่านแล้วในระดับหนึ่งค่ะ


:b1: :b8: :b8: :b8:

เอกอนนับถือคุณจริง ๆ ที่ใช้ธรรมชะโลมใจประครองตัวเองมาได้ขนาดนี้

:b8: :b8: :b8:

เอกอนขอให้เป็นอีกหนึ่งกำลังใจให้คุณนะคะ

rolleyes rolleyes rolleyes


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ค. 2015, 14:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ก.พ. 2015, 21:06
โพสต์: 84

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8: ขอบคุณอย่างสุดซื้ง ทุกกำลังใจค่ะ ทุกท่าน ขอบคุณจรงๆ rolleyes rolleyes


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 30 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 57 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร