วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 12:03  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 15 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ม.ค. 2015, 15:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ธ.ค. 2012, 16:46
โพสต์: 412

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


s002 s002 s002


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ม.ค. 2015, 17:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 05:25
โพสต์: 621


 ข้อมูลส่วนตัว


ขณะที่จิตเป็นอกุศล เป็นบาปเมื่อไหร่ ขณะนั้นจิตก็เสื่อมแล้วจ๊ะ grin

พระพุทธองค์ท่านจึงกล่าวสอนไว้ว่า
เพียรป้องกันบาปอกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดขึ้น มิให้เกิดขึ้น
เพียรรักษากุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ไม่ให้เสื่อม ฯลฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ม.ค. 2015, 18:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


s005
เป็นค่ะ บ่อยๆ :b9:
แต่ยิ่งเห็นยิ่งต้องเร่งความเพียรรักษา อย่าได้ไปใส่ใจ ท้อถอย มองให้เห็นเป็นธรรมที่ควรเข้าใจ
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ม.ค. 2015, 21:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เคยครับ...

และคิดว่า....ก็จะเป็นอีก

แต่...อย่าคิดว่า..เป็นสัญญาณการทดถอยนะครับ...

ของผม...มันเป็นสัญญาณของการ...ก้าวหน้า
ครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ม.ค. 2015, 05:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


จิตเสื่อม หมายถึง การเสื่อมจากความดี
เช่น มีความโกรธ ความโลภ ความหลง อิจฉาริษยา หวงแหน ฟุ้งซ่าน รำคาญ เพัอเจ้อ เป็นต้น
อาจจะแสดงให้รู้ได้ ทางกาย ทางวาจา
ถ้าจะเอาตามสภาวะธรรมก็หมายถึง จิตนั้นตกอยู่ภายใต้กฏของไตรลักษณ์ ต้องเสื่อมไปเป็นธรรมดา

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ม.ค. 2015, 09:42 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ธ.ค. 2012, 16:46
โพสต์: 412

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เจริญได้ ก็ เสื่อมได้ เป็นธรรมดา

บางคนภาวนา แล้ว ธาตุรู้ หายไปซะเฉยๆ

ตกใจ อยากได้มันกลับมา

ตอนนี้เขาก็หลงไปยึดว่า ธาตุรู้ เป็นของเขาซะแล้ว

เมื่อตั้งสติได้ ก็จะรู้ว่า แม้แต่ ธาตุรู้ นั้นก็ไม่ใช่ของเรา

จากนั้นก็ต้องภาวนาต่อ โดยไม่มีธาตุรู้นั้นละ

เจริญจนไม่ยึดในธาตุรู้ นั้นละ

เพราะเจริญได้ ก็เสื่อมได้ เป็นธรรมดา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ม.ค. 2015, 10:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เจริญได้ ก็ เสื่อมได้ เป็นธรรมดา

บางคนภาวนา แล้ว ธาตุรู้ หายไปซะเฉยๆ 

ตกใจ อยากได้มันกลับมา 

ตอนนี้เขาก็หลงไปยึดว่า ธาตุรู้ เป็นของเขาซะแล้ว 

เมื่อตั้งสติได้ ก็จะรู้ว่า แม้แต่ ธาตุรู้ นั้นก็ไม่ใช่ของเรา

:b8:

ค่ะ เจอกะตัวเอง ถึงได้เข้าใจ ความหวงแหนยึดหนึบเลยค่ะ
คือ เหมือนๆรู้อยู่ว่าเป็นความยึดมั่นถือมั่น แต่หากใจมันไม่ปล่อย มันจะให้บอกว่าใช่..ฉันคลาย ไม่ได้อะค่ะ :b9:
แต่เมื่อตั้งสติ ทบทวนทำความเข้าใจ มองเห็นความแย่ๆ..ดิ้นรนของตัวเอง แล้วเริ่มละอาย
จะไขว่คว้าเอาอะไรอีก เมื่อทุกสิ่งล้วนแล้วคือความไม่เที่ยง เกิดขึ้น..ตั้งอยู่..ดับไป จะยังมีเราที่ไหนอีก
ตอนนี้เกิดก็ห้ามไม่ได้ยังต้องมี..แต่ก็พยายามให้ระยะการตั้งอยู่ดับไปให้เร็ว..คลายลงบ้าง :b12:


แต่คำว่า..ภาวนาต่อ คือยังไงเหรอคะ เมื่อไม่มีวิญญานรู้อยู่..ไม่ได้มั้งคะ ตรงนี้ไม่เข้าใจค่ะ :b55:
เมื่อคืนสิ้น...ก็ไม่น่ามีอะไรอีก ค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ม.ค. 2015, 11:28 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ก็ว่ากันไป....
ผิดๆ..ถูกๆ...แต่ขอให้ทำ....ก็จะรู้เข้าสักวัน..นั้นแหละ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ม.ค. 2015, 13:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 ม.ค. 2011, 09:13
โพสต์: 73


 ข้อมูลส่วนตัว


ความเห็นส่วนตัว จิตเสื่อมนั้น คืออาการของความมั่นคงตั้งมั่นในจิตใจเสื่อมสลายไป คือสมาธิ ที่เคยมีเคยได้แล้วเสื่อมหายไป มีเหตุประกอบหลายๆ ประการ เช่น ศีลขาด ทะลุ ด่างพร้อย นิวรณ์ ไม่อาจทำสมาธิได้ดังเดิม ทำให้เสื่อมจากสมาธิที่มี เหมือนความแน่นหนามั่นคงในจิตใจมันหายไป


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ม.ค. 2015, 18:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ธ.ค. 2012, 16:46
โพสต์: 412

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


idea เขียน:
เจริญได้ ก็ เสื่อมได้ เป็นธรรมดา

บางคนภาวนา แล้ว ธาตุรู้ หายไปซะเฉยๆ 

ตกใจ อยากได้มันกลับมา 

ตอนนี้เขาก็หลงไปยึดว่า ธาตุรู้ เป็นของเขาซะแล้ว 

เมื่อตั้งสติได้ ก็จะรู้ว่า แม้แต่ ธาตุรู้ นั้นก็ไม่ใช่ของเรา

:b8:

ค่ะ เจอกะตัวเอง ถึงได้เข้าใจ ความหวงแหนยึดหนึบเลยค่ะ
คือ เหมือนๆรู้อยู่ว่าเป็นความยึดมั่นถือมั่น แต่หากใจมันไม่ปล่อย มันจะให้บอกว่าใช่..ฉันคลาย ไม่ได้อะค่ะ :b9:
แต่เมื่อตั้งสติ ทบทวนทำความเข้าใจ มองเห็นความแย่ๆ..ดิ้นรนของตัวเอง แล้วเริ่มละอาย
จะไขว่คว้าเอาอะไรอีก เมื่อทุกสิ่งล้วนแล้วคือความไม่เที่ยง เกิดขึ้น..ตั้งอยู่..ดับไป จะยังมีเราที่ไหนอีก
ตอนนี้เกิดก็ห้ามไม่ได้ยังต้องมี..แต่ก็พยายามให้ระยะการตั้งอยู่ดับไปให้เร็ว..คลายลงบ้าง :b12:


แต่คำว่า..ภาวนาต่อ คือยังไงเหรอคะ เมื่อไม่มีวิญญานรู้อยู่..ไม่ได้มั้งคะ ตรงนี้ไม่เข้าใจค่ะ :b55:
เมื่อคืนสิ้น...ก็ไม่น่ามีอะไรอีก ค่ะ


คงต้องถามท่านที่เคยผ่านอันนี้ไปแล้วนะครับ
เพราะผมก็ติดอยู่ตรงนี้เหมือนกัน s002

เมื่อเสื่อมได้ ก็เจริญได้ครับ s005
ตามกฎไตรลักษณ์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ม.ค. 2015, 21:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b17: เหมือนกันด้วย :b16: (คือ แค่อาจจะคล้ายกันอะค่ะ :b9: )

:b39: มัน..ไม่น่า..จะมีอะไร..ให้ผ่านไปได้อีกค่ะ
เมื่อดับสิ้น
มีแต่จะถอยหลัง..กลับคืน
ที่ติดก็เพราะ..กิเลส...........????????
ยังไม่อยากปล่อยคืน..หวง..ห่วง..??
และอีกด้วย..ความอยาก..ไม่อยาก ถ้ามีเพียงนิดไปไม่ได้หรอกค่ะ
:b43: :b43:
จริงๆแล้ว ความยึดมั่นถือมั่น..ไม่ใช่จะ..คลาย..หมด..ได้เลยทีเดียว
เมื่อยังไม่คลายหมด..ก็ต้องกลับคืน..เป็นธรรมดา
ยังไม่พ้น..ก็ยังต้อง เกิดขึ้น..ตั้งอยู่..ดับไป
แต่การดับ บ่อยๆ คิดว่าทำให้ความยึดมั่นถือมั่น..คลาย
:b55: ทีนี้..ก็จะมุ่งประเด็น ที่ยังรู้..ยังคิดนี้..ก็มาสำคัญว่านี่เป็นเรา......ก็ยังเป็นทุกข์
*แต่สำคัญ ที่ได้เห็น..ดับไป..ต่อจากนั้น
รูป เวทนา สัญญา สังขาร ถึงจะรู้สึก..ยังมี..แต่ความยึด..มันคลาย..ความเดือดร้อนทางใจกับเรื่องนี้
..จึงน้อยลง..ทุกข์ก็มีน้อยลง
แต่ตัวรู้คือวิญญานรู้ มันแทบจะแยกไม่ออก ถึงได้เข้าใจ..ว่าทำไมเรียงอยู่ท้ายสุด
เพราะมันอยู่ในสุด..เกาะสิ่งสมมุติ..ที่เรียกว่าจิต
เป็นปราการสุดท้าย..ที่จะทะลาย และยากหน่อย..เหมือนตัดบัว..ยังเหลือใย
จึงรู้สึกได้..ว่าก่อนจะดับวิญญานรู้มันให้สัมผัสเหมือนสายใยเบาบาง..พริ้วไหวนุ่มนวล
และเมื่อวิญญานรู้..ปราการสุดท้าย..ดับลง ก็อยู่เหนือสมมุติใดต่อไปอีก
จิต..จึงเป็นสิ่งสมมุติที่สำคัญ..เพื่ออาศัยไปหา..วิมุต
:b44: :b44: :b55: :b55:

ไม่ใช่เป็นผู้รู้..มาอธิบายนะคะ :b29:
แต่ยังเป็นผู้..อยากรู้ :b9: :b9: :b9: ที่ติด..เหมือนกัน
ลองมา..ทำความเข้าใจดู :b15:
ก็ต้องรอท่านผู้รู้มาชี้แจงค่ะ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ม.ค. 2015, 22:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ธ.ค. 2012, 16:46
โพสต์: 412

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


idea เขียน:
:b17: เหมือนกันด้วย :b16: (คือ แค่อาจจะคล้ายกันอะค่ะ :b9: )

:b39: มัน..ไม่น่า..จะมีอะไร..ให้ผ่านไปได้อีกค่ะ
เมื่อดับสิ้น
มีแต่จะถอยหลัง..กลับคืน
ที่ติดก็เพราะ..กิเลส...........????????
ยังไม่อยากปล่อยคืน..หวง..ห่วง..??
และอีกด้วย..ความอยาก..ไม่อยาก ถ้ามีเพียงนิดไปไม่ได้หรอกค่ะ
:b43: :b43:
จริงๆแล้ว ความยึดมั่นถือมั่น..ไม่ใช่จะ..คลาย..หมด..ได้เลยทีเดียว
เมื่อยังไม่คลายหมด..ก็ต้องกลับคืน..เป็นธรรมดา
ยังไม่พ้น..ก็ยังต้อง เกิดขึ้น..ตั้งอยู่..ดับไป
แต่การดับ บ่อยๆ คิดว่าทำให้ความยึดมั่นถือมั่น..คลาย
:b55: ทีนี้..ก็จะมุ่งประเด็น ที่ยังรู้..ยังคิดนี้..ก็มาสำคัญว่านี่เป็นเรา......ก็ยังเป็นทุกข์
*แต่สำคัญ ที่ได้เห็น..ดับไป..ต่อจากนั้น
รูป เวทนา สัญญา สังขาร ถึงจะรู้สึก..ยังมี..แต่ความยึด..มันคลาย..ความเดือดร้อนทางใจกับเรื่องนี้
..จึงน้อยลง..ทุกข์ก็มีน้อยลง
แต่ตัวรู้คือวิญญานรู้ มันแทบจะแยกไม่ออก ถึงได้เข้าใจ..ว่าทำไมเรียงอยู่ท้ายสุด
เพราะมันอยู่ในสุด..เกาะสิ่งสมมุติ..ที่เรียกว่าจิต
เป็นปราการสุดท้าย..ที่จะทะลาย และยากหน่อย..เหมือนตัดบัว..ยังเหลือใย
จึงรู้สึกได้..ว่าก่อนจะดับวิญญานรู้มันให้สัมผัสเหมือนสายใยเบาบาง..พริ้วไหวนุ่มนวล
และเมื่อวิญญานรู้..ปราการสุดท้าย..ดับลง ก็อยู่เหนือสมมุติใดต่อไปอีก
จิต..จึงเป็นสิ่งสมมุติที่สำคัญ..เพื่ออาศัยไปหา..วิมุต
:b44: :b44: :b55: :b55:

ไม่ใช่เป็นผู้รู้..มาอธิบายนะคะ :b29:
แต่ยังเป็นผู้..อยากรู้ :b9: :b9: :b9: ที่ติด..เหมือนกัน
ลองมา..ทำความเข้าใจดู :b15:
ก็ต้องรอท่านผู้รู้มาชี้แจงค่ะ :b8:


ลองทำได้ด้วยเอง แล้วประจักษ์แจ้งด้วยตัวเองดีกว่าครับ
การฟังคนอื่นมาบอกเล่า มันอาจจะไม่ใช่ผลดี เพราะเราจะปรุงแต่งไปกันต่อยืดยาว
แต่มันก็อดใจไม่ค่อยได้สะด้วยสิ

s002 s002


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ม.ค. 2015, 23:28 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลองทำได้ด้วยเอง แล้วประจักษ์แจ้งด้วยตัวเองดีกว่าครับ 
การฟังคนอื่นมาบอกเล่า มันอาจจะไม่ใช่ผลดี เพราะเราจะปรุงแต่งไปกันต่อยืดยาว
แต่มันก็อดใจไม่ค่อยได้สะด้วยสิ

:b8: :b8:
สุดยอดค่ะ :b16:
นับถือ smiley
อยาก..บ้าง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ม.ค. 2015, 03:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


ยังไม่พ้น เขียน:
ความเห็นส่วนตัว จิตเสื่อมนั้น คืออาการของความมั่นคงตั้งมั่นในจิตใจเสื่อมสลายไป คือสมาธิ ที่เคยมีเคยได้แล้วเสื่อมหายไป มีเหตุประกอบหลายๆ ประการ เช่น ศีลขาด ทะลุ ด่างพร้อย นิวรณ์ ไม่อาจทำสมาธิได้ดังเดิม ทำให้เสื่อมจากสมาธิที่มี เหมือนความแน่นหนามั่นคงในจิตใจมันหายไป


อนุโมทนาครับ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ม.ค. 2015, 15:21 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 ม.ค. 2011, 09:13
โพสต์: 73


 ข้อมูลส่วนตัว


ทำจนหาย "อยาก"เมื่อนั้น จึงเจริญขึ้นเรื่อยๆ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 15 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 50 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร