วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 12:16  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ย. 2014, 06:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


การปฏิบัติธรรมจนเกิดนิมิตเห็นเป็น ภาพ แสง สี นรก
สวรรค์ ต่างๆ เหล่านี้ ไม่ยากเลย เมื่อจิตมันถูกบังคับให้อยู่ในอารมณ์เดียว
จิตมันก็พยายามจะดิ้นรนไปสู่อารมณ์ใหม่ คือจิตไปสร้างอารมณ์ใหม่ มันเป็นธรรมดาของจิต
ที่จะต้องสอดส่ายหาอารมณ์ใหม่ๆเสมอ เมื่อเข้าใจธรรมชาติของจิตก็จะไม่แปลกใจ

อย่าเพิ่งดีใจกับสิ่งเหล่านี้ที่ปรากฏขึ้นว่าเป็นของแปลก
ที่ตนเองไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน จนขั้นนึกไปว่าตัวเองบรรลุธรรม

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ย. 2014, 08:27 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ธ.ค. 2012, 16:46
โพสต์: 412

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ธ.ค. 2014, 10:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ก.ย. 2014, 11:55
โพสต์: 123

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องของการปฏิบัติธรรม บางครั้งก็เกิดภาพ แสง สี เสียง เหตุผลของโลกของกรรมหรือของธรรม ปรากฏให้เป็นนิมิตเพื่อการศึกษา บอกวาระของจิตที่ยึดถืออยู่โลกมายา วาระจิตที่อยู่กับกรรม วาระจิตที่กำลังหลงอยู่ นิมิตเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ผู้ปฏิบัติธรรมมักหลงเรื่องยึดถือนิมิต เกิดอุปทานทำให้จิตเตลิดจนขาดเหตุผลเหมือนอวิชชาครอบงำจิต บางครั้งก็ทำให้เกิดความวิปริตเห็นนิมิตในเป็นจริงเป็นจังทำให้หลงผิด หลงเพ้อไปด้วยอุปาทานแทรกเข้ามาปรุงแต่งจิตทำให้เกิดเป็นความหลงใหลเหมือนดื่มของมึนเมาขาดสติรู้สึกตัว ขาดเหตุผล แยกภาวะความเป็นจริงของโลกภายในภายนอกไม่ออก ส่วนมากมักจะเกิดกับผู้ที่มีความทะเยอทะยานอยากรู้อยากเห็นอยากยิ่งใหญ่เหนือมนุษย์ธรรมดา อยากยิ่งใหญ่กว่ากรรม ยิ่งปฏิบัติก็ยิ่งเกิดวิจิตรวิปริตวิปลาสเป็นภัยแก่ตัวเองเป็นเหมือนกรรมนั้นคอยขัดขวางไม่ให้เดินไปในเส้นทางบรรเทาทุกข์ จึงมีเหตุเข้ามาให้จิตที่มีกรรมหลงใหลจมอยู่ในทุกข์ หรือการปฏิบัติธรรมก็หวังให้ได้ลาภ ได้โลกธรรมเหมือนตั้งจิตไว้ผิดจนกลายเป็นผู้หลงเชื่อในสิ่งที่เกิดในตนเนื่องด้วยอุปทานความอยากที่ตนเองหลงอยู่ โดยไม่รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมาในตนนั้นมาจากไหนอีกทั้งกำลังจิตของตนเองก็ไม่พอความเพียรก็น้อย จึงไม่รู้ตัวว่าสิ่งที่ตนเองหลงยึดถือนั้นพาไปหาทุกข์หรือบรรเทาทุกข์ให้กับตัวเอง จึงเป็นเหมือนคนดื่มของมึนเมา พิษของสิ่งมึนเมาก็อาจมีผลให้กายวาจาใจนั้นผิดปกติไปจากนิสัยเดิมๆ เหมือนคนเมา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2014, 05:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


บางทีการปฏิบัติธรรมก็มีอุปสรรค บางทีเรียกว่าเป็นอุปทานจิต คือ จิตพยายามสร้างและนึกขึ้นมาเอง ถ้าเรายังยึดติดกับสิ่งที่จิตสร้างขึ้น นี่แหละความหลง ถ้าเราไม่ไปยึดติด สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นจะหายไปเอง เหมือนถ้ามีเกิดก็ต้องมีดับของรูป-นาม นั่นเอง

ขออนุโมทนาบุญด้วยครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2014, 15:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b38:
เส้นทางเดินของสมถะภาวนาย่อมจะต้องผ่านด่าน ปีติ ปัสสัทธิ นิมิตและฌาณ เป็นธรรมดามิพ้นไปได้สักคน ถ้าไปติดหลงอยู่กับด่านหรือสถานีกลางทางเหล่านี้ย่อมจะทำให้วกวนอยู่ในเครื่องกางกั้นหรือนิวรณ์ธรรมไม่อาจไปถึงสถานีแห่งความเป็นหนึ่งที่สงบเย็น

นิ่งรู้นิ่งสังเกตปรากฏการณ์ทั้งหลายด้วยจิตที่ไม่ยินดียินร้ายหรือตอบโต้ ที่สุดทุกสิ่งจะดับไป ผ่านด่านทั้งหลายสู่แดนสงบ เมื่อเจนจบคล่องแคล่วดีแล้ว จิตจึงจะควรแก่งานสานต่อด้วยการเจริญปัญญาค้นหาความจริง
:b4:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 63 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร