วันเวลาปัจจุบัน 26 เม.ย. 2024, 03:17  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ต.ค. 2014, 04:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


ความชอบชื่นใจในประมาท
อย่าคลุกคลีหลงใหลในรสชาติ
แห่งกามซึ่งมีธาตุความลวง
ผู้ไม่ประมาทเพ่งพินิจ...
ย่อมประสบสุขจิตอันใหญ่หลวง
ได้รู้แจ้งเห็นจริงสิ่งทั้งปวง
ไม่หลงสิ่งล่อลวงต่อไปเอย...

....ชาดก พระพุทธเจ้า 500 ชาติ...

นิทานชาดก ตินทุกชาดก
เรื่อง "อุบายหนีตาย"

...
ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี
ทรงปรารภพระปัญญาบารมีของพระองค์
ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...


กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพญาวานร มีลิงเป็นบริวารหลายหมื่นตัว อาศัยอยู่ในป่าแห่งหนึ่ง ในที่ไม่ไกลจากหมู่บ้านแห่งหนึ่ง บางคราวก็มีคนมาอยู่ บางคราวก็เป็นหมู่บ้านร้าง ที่กลางหมู่บ้านนั้น มีต้นมะพลับต้นหนึ่ง มีผลสุกอร่อยมาก ฝูงลิงจะมากินผลมะพลับสุกในคราวที่ไม่มีคนมาอยู่เสมอๆ เพราะติดใจในรสชาติของมัน

ต่อมาในปีหนึ่ง ถึงฤดูมะพลับมีผล ได้มีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งมาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านนั้น ฝูงลิงก็คิดจะมากินผลมะพลับอีก จึงมอบให้ลิงตัวหนึ่งไปดูลาดเลา มันไปดูแล้วกลับมาบอกเพื่อนๆ ว่า "ขณะนี้ผลมะพลับกำลังสุกเต็มต้นเลย แต่มีอุปสรรคเพราะมีชาวบ้านมาอยู่ด้วย พวกเราจะทำอย่างไรดี" พวกลิงพอทราบว่ามีผลมะพลับสุกก็กระตุ้นความอยากกินยิ่งขึ้น จึงเข้าไปรายงานพญาวานร
พญาวานรถามว่า "บ้านมีคนอยู่หรือไม่"
พวกมันตอบว่า "มีอยู่ขอรับท่าน"
พญาวานรพูดว่า "ถ้าเช่นนั้น ก็ไม่ควรไป เพราะมีอันตรายมาก"
พวกลิงเสนอว่า "พวกเราไปกินในเวลาเที่ยงคืนสิ ชาวบ้านหลับหมดแล้ว อันตรายก็ไม่มี"

พญาวานรจึงเห็นด้วย ลิงทั้งฝูงได้ไปแอบอยู่หลังแผ่นหินใหญ่ไม่ไกลจากหมู่บ้านนั้น
พอถึงเวลาเที่ยงคืน ชาวบ้านหลับมหดแล้ว จึงพากันไปขึ้นต้นมะพลับ กินผลมะพลับสุก
ขณะนั้น บังเอิญว่ามีชายคนหนึ่งเกิดปวดท้องถ่ายอุจจาระ
ได้ลงจาดเรือนเห็นฝูงลิงกำลังกินผลไม้อยู่ จึงตะโกนปลุกชาวบ้านให้มาจับลิง
ชาวบ้านต่างลุกขึ้นถือหอกถือธนูและอาวุธต่างๆ ยืนรายล้อมต้นมะพลับไว้
เตรียมการที่จะจับลิงในเวลาเช้าสว่างแล้ว
ฝูงลิงเห็นเช่นนั้น ตกใจกลัวตาย จึงไปหาพญาวานรแล้วปรึกษาว่า
"นายท่าน พวกมนุษย์ถือธนู ถือดาบอันคมกริบ พากันมาแวดล้อมพวกเราไว้แล้ว
พวกเราจะทำอย่างไรละทีนี้ ?"
พญาวานรพูดปลอบใจฝูงลิงว่า
"พวกเจ้าอย่ากลัวไปเลย มนุษย์มีการงานมาก ขณะนี้เพิ่งจะเที่ยงคืนเอง
อาจจะมีกิจการงานอย่างอื่นมาทำให้มนุษย์ทำก็เป็นได้
ใจเย็นๆ เข้าไว้" แล้วกล่าวเป็นคาถาว่า
"ประโยชน์อย่างใด อย่างหนึ่ง จะพึงเกิดแก่มนุษย์ ผู้มีกิจการงานมากเป็นแน่
ยังมีเวลาพอที่จะเก็บผลไม้เอามากินได้ พวกเจ้าจงพากันกินผลมะพลับนั้นเถิด"

พญาวานรพูดปลอบใจฝูงลิงไว้เพื่อไม่ได้พวกมันกลั้นใจตาย เพราะความตกใจกลัว
แล้วพูดว่า "พวกเจ้านับลิงดูสิว่ามีครบกันไหม"
เมื่อพวกลิงรายงานว่า "ลิงเสนกะ หลานของท่านหายไปขอรับ"
จึงพูดว่า "ถ้าเช่นนั้นพวกเจ้าไม่ต้องกลัว เจ้าเสนกะจะมาช่วยพวกเราเอง"
ฝ่ายเจ้าลิงเสนกะนอนหลับสนิทอยู่ที่หลังแผ่นหิน เวลามาไม่มีใครปลุก
พอตื่นขึ้นไม่เห็นลิงตัวใดจึงเดินตามรอยเท้าฝูงลิงไป
เห็นชาวบ้านยืนถืออาวุธรายล้อมต้นไม้อยู่ ก็ทราบเรื่องอันตรายเกิดขึ้นแก่ฝูงลิง
จึงเดินไปหาหญิงชราคนหนึ่งที่นั่งกรอด้ายอยู่ท้ายเรือนหลังหนึ่ง
คว้าคบไฟดุ้นหนึ่งวิ่งไปจุดหลังคาบ้าน หลังโน้น หลังนี้ไปทั่วหมู่บ้าน

พวกชาวบ้านพอเห็นไฟไหม้บ้านต่างก็ทิ้งอาวุธวิ่งไปดับไฟกันชุลมุน
ฝูงลิงได้โอกาสรีบเก็บผลไม้แล้วก็หลบหนีเข้าป่าไป

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

อุบายเอาชีวิตรอดมีอยู่มากมาย
พึงใช้ปัญญาพิจารณาในยามคับขัน จะสามารถเอาชีวิตรอดมาได้..



ความทุกข์มีหลายขนาด
เมื่อใดที่ทุกข์ใจมาก
ขอให้เราลืมความทุกข์ของตัวเองไว้ชั่วคราว...
แล้วมองดูความทุกข์ของคนอื่น
แล้วเราจะพบว่า...
ความทุกข์ของเรานั้นมันช่างมีขนาดเล็ก เสียเหลือเกิน
เล็กมากเสียจนเมื่อเรามองกลับมา
มันก็เลือนหายไปเสียแล้ว



หลักคำสอน สมเด็จพุฒาจารย์โต

เผชิญหน้านักปราชญ์
ที่บ้านสมเด็จพระยามหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง) มีการประชุมนักปราชญ์ทุกชาติ ทุกภาษา
ล้วนเป็นตัวสำคัญๆ รอบรู้การศาสนาของชาตินั้น
สมเด็จเจ้าพระยาฯ ให้ทนายอาราธนาสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต)
ไปแสดงเผยแผ่ความรู้ในสิ่งที่ถูกที่ชอบด้วยการโลกการธรรม
ในพุทธศาสนาอีกภาษาหนึ่งในชาติของสยามไทย
สมเด็จพระพุฒาจารย์ฯ ยินคำอาราธนา จึงรับสั่งว่า
“ฉันยินดีแสดงนักในข้อเข้าใจ”
ทนายกลับไปกราบเรียนสมเด็จพระประสาทว่า
“สมเด็จฯ ที่วัดรับแสดงแล้ว ในเรื่องแสดงให้รู้ความผิดถูกทั้งปวงได้”
ถึงวันกำหนด สมเด็จฯ ก็ไปถึง

นักปราชญ์ทั้งหลายยอมให้นักปราชญ์ของไทย ออกความก่อนในที่ประชุมปราชญ์
และขุนนางทั้งปวงก็มาประชุมฟังด้วย
สมเด็จพระประสาทจึงอาราธนาสมเด็จฯ ขึ้นบัลลังก์ แล้วนิมนต์ให้สำแดงทีเดียว

สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ก็ออกวาจาสำแดงขึ้นว่า

พิจารณา มหาพิจารณา พิจารณา มหาพิจารณา พิจารณา มหาพิจารณา พิจารณา มหาพิจารณา พิจารณา มหาพิจารณา พิจารณา มหาพิจารณา พิจารณา มหาพิจารณา พึมพำทุ้มๆ ครางๆ ไปเท่านี้นาน กล่าวพึมพำสองคำเท่านี้สักชั่วโมงหนึ่ง

สมเด็จพระประสาทลุกขึ้นจี้ตะโพกสมเด็จฯ ที่วัดแล้ว กระซิบเตือนว่า
ขยายคำอื่นให้ฟังบ้าง สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ก็เปล่งเสียงดังขึ้นกว่าเดิมอีกชั้นหนึ่ง
ขึ้นเสียงว่า

พิจารณา มหาพิจารณา พิจารณา มหาพิจารณา พิจารณา มหาพิจารณา พิจารณา มหาพิจารณา พิจารณา มหาพิจารณา ฯลฯ ว่า อยู่นานสักหนึ่งชั่วโมงอีก

สมเด็จประสาทลุกขึ้นมาจี้ตะโพกสมเด็จฯ ที่วัดอีก ว่าขยายคำอื่นให้เขาฟังรู้บ้างซิ สมเด็จฯ ที่วัดเลยตะโกนดังกว่าครั้งที่สองขึ้นอีกชั้นหนึ่งว่า พิจารณา มหาพิจารณา พิจารณา มหาพิจารณา พิจารณา มหาพิจารณา พิจารณา มหาพิจารณา พิจารณา มหาพิจารณา พิจารณา มหาพิจารณา พิจารณา มหาพิจารณา พิจารณา มหาพิจารณา

อธิบายว่า การของโลกก็ดี การของชาติก็ดี การของศาสนาก็ดี กิจที่จะพึงกระทำต่างๆ ในโลกก็ดี
กิจควรทำสำหรับข้างหน้าก็ดี กิจควรทำให้สิ้นธุระทั้งปัจจุบันและข้างหน้าก็ดี
สำเร็จกิจเรียบร้อยดีงามได้ ด้วยกิจพิจารณาเป็นชั้นๆ พิจารณาเป็นเปราะๆ เข้าไป
ตั้งแต่หยาบๆ และปูนกลางๆ และชั้นสูงชั้นละเอียด พิจารณาให้ประณีตละเมียดเข้า
จนถึงที่สุดแห่งเรื่อง ถึงที่สุดแห่งอาการ ให้ถึงที่สุดแห่งกรณี ให้ถึงที่สุดแห่งวิธี
ให้ถึงที่สุดแห่งประโยชน์ยืดยาว พิจารณาให้รอบคอบทั่วถึงแล้ว
ทุกๆ คนจะรู้จักประโยชน์คุณเกื้อกูลตน ตลอดทั้งเมื่อนี้เมื่อหน้าจะรู้ประโยชน์อย่างยิ่งได้
ก็ต้องอาศัยกิจพิจารณาเลือกเฟ้นค้นหาของดีของจริง เด่นเห็นชัดปรากฏแก่คน
ก็ด้วยการพิจารณาของคนนั่นเอง ถ้าคนใดสติน้อย ถ่อยปัญญา พิจารณา เหตุผล
เรื่องราว กิจการงาน ของโลก ของธรรม แต่พื้นๆ ก็รู้ได้พื้นๆ
ถ้าพิจารณาด้วยสติปัญญาเป็นอย่างกลางก็รู้เพียงชั้นกลาง
ถ้าพิจารณาด้วยสติปัญญาอันละเอียดลึกซึ้ง ในข้อนั้นๆ อย่างสูงสุด
ไม่หลับหูหลับตา ไม่งมงายแล้ว อาจจะเห็นผลแก่ตนประจักษ์แท้แก่ตนเอง
ดังปริยายมา ทุกประการ จบที
จบแล้ว ท่านลงจากบัลลังก์

นักปราชญ์ชาติอื่นๆ ภาษาอื่นๆ มีแขกแลฝรั่งเป็นต้น
ก็ไม่อาจออกปากขัดคอคัดค้าน ถ้อยคำของท่านสักคน

สมเด็จเจ้าพระยาพยักหน้าให้หมู่นักปราชญ์ในชาติทั้งหลายที่มาประชุมคราวนั้นให้ขึ้นบัลลังก์
ต่างคนต่างแหยงไม่อาจนำออกแสดงแถลงในที่ประชุมได้ ถึงต่างคนต่างเตรียม
เขียนมาก็จริง
แต่คำของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ครอบไปหมด
จะยักย้ายโวหารหรือจะอ้างเอาศาสดาของตนๆ มาแสดงในที่ประชุมเล่า
เรื่องของตัวก็ชักจะเก้อ จะต่ำจะขึ้นเหนือความพิจารณาที่สมเด็จฯ ที่วัดระฆังกล่าวนั้นไม่ได้เลย
ลงนั่งพยักหน้าเกี่ยงให้กันขึ้นบัลลังก์ใครก็ไม่อาจขึ้น สมเด็จพระประสาทเองก็ซึมทราบได้ดี
เห็นจริงตามปริยายของทางพิจารณารู้ได้ตามนั้น ตามภูมิ ตามกาล ตามบุคคล ที่ยิ่งและหย่อน
อ่อนและกล้า จะรู้ได้ก็ด้วยการพิจารณา ถ้าไม่พิจารณา ก็หาความรู้ไม่ได้เลย ถ้าพิจารณาต่ำ
หรือน้อยวันพิจารณา หรือน้อยพิจารณาก็มีความรู้น้อย
ห่างความรู้จริงของสมเด็จฯที่วัดทุกประการ

วันนั้นก็เป็นอันเลิกประชุมปราชญ์ ต่างคนต่างลากลับ
ขอร่วมอนุโมทนาบุญ
ผู้เผยแพร่หลักธรรมคำสอนด้วยนะครับ

ที่มา : จดหมายเหตุ สมเด็จพุฒาจารย์โต


ก่อนที่มนุษย์ยังไม่รู้จักทำน้ำแข็ง
มนุษย์เย็นอกเย็นใจกว่าเดี๋ยวนี้
เมื่อยังไม่มีไฟฟ้า จิตใจของมนุษย์สว่างกว่าเดี๋ยวนี้

ที่มา : พุทธทาสภิกขุ



บุญที่สูงสุด คือ ปัญญา '
บุญตัวสำคัญก็คือปัญญา บุญแปลว่าชำระจิตใจให้บริสุทธิ์
แต่บุญจะชำระจิตใจได้จริงก็ต้องมาถึงขั้นปัญญา จึงจะชำระด้วยวิปัสสนาให้สะอาดได้จริง
ฉะนั้น บุญจึงรวมคำว่าปัญญาอยู่ด้วย และบุญขั้นสูงสุดก็จึงมาถึงปัญญา มาเป็นปัญญา
ในที่สุดปุญญะกับปัญญาก็เลยมาบรรจบกัน

ถ้าโยมทำอะไรแล้ว ได้ทั้งปุญญะ ได้ทั้งปัญญา พระพุทธศาสนาก็เดินหน้าในตัวโยม
และโยมก็เดินหน้าในพระพุทธศาสนา เพราะฉะนั้นเมื่อเราทำบุญไป
ก็อย่าให้ได้เฉพาะ "ปุญญะ" แต่ให้ได้ "ปัญญา" ด้วย
ให้ปุญญะกับปัญญามาบรรจบกัน
แล้วปัญญาจะมาเป็นตัวทำให้บุญของเรานี้มีผลสมบูรณ์อย่างแท้จริง
จนกระทั่งกลายเป็นบุญที่สูงสุด

ที่มา : พระพรหมคุณาภรณ์


ไม่พึงหวนละห้อยความหลัง
ไม่มัวเพ้อหวังอนาคต
สิ่งใดล่วงแล้วก็ผ่านไป
สิ่งใดยังไม่ถึง สิ่งนั้นก็ทำไม่ได้
สิ่งที่ทำได้แน่นอนคือปัจจุบันนี้...
ให้มองเห็น ให้พิจารณาให้ชัดเจน แจ่มแจ้ง
เมื่อมองเห็น เข้าใจชัดเจนแจ่มแล้ว แล้วทำ


เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ที่ผ่านมาได้จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย

ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ต.ค. 2014, 00:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 พ.ค. 2012, 02:09
โพสต์: 456


 ข้อมูลส่วนตัว


..อนุโมทนาแล้วๆๆ..

ดูกรท่านผู้นิรทุกข์..

..ที่ ที่สุขแท้ทีคือพ้นทุกข์
รู้สมมติรู้ความหมายสิ้นสงสัย
ด้วยก้าวย่างผ่านกาลเวลาไป
รู้เมื่อไหร่..ชัยชนะอยู่ในมือ..ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ต.ค. 2014, 06:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาบุญด้วยครับ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 65 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร