วันเวลาปัจจุบัน 19 มี.ค. 2024, 17:16  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 12 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มิ.ย. 2014, 19:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ก.ค. 2009, 15:30
โพสต์: 36

งานอดิเรก: เล่นแมว
สิ่งที่ชื่นชอบ: นอน
ชื่อเล่น: มู่
อายุ: 24

 ข้อมูลส่วนตัว


s005 คือดิฉันได้นั้งสมาธิค่ะ แบบว่านานๆจะนั้งที เดือนนึงก็อาจจะ2-3ครั้งค่ะ ครั้งนึงก็ประมาณ 10-1.30นาทีค่ะ เรื่องมีอยู่ว่า ดิฉันนั้งสมาธิแบบสวดภาวนาไปในใจด้วยค่ะ ประมาณไม่ถึงชั่วโมง รู้สึกว่าตัวเองหมุนๆค่ะ แล้วก็เห็นนิมิตรค่ะ เห็นว่าตัวเองนั้งสมาธิอยู่บนราชวังที่เป็นแก้วใสๆมีแสงนะคะ แล้วพื้นมีหมอกขาวๆ เห็นตัวเองนั้งห่มขาวนั้งสมาธิอยู่บนพื่น ก็เลยตกใจรีบลืมตา ความรู้สึกตอนนั้นคือมันคล้ายๆตื่นเต้นนะค่ะ อยากถามว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้นค่ะ เพราะนี้เป็นครั้งที่2แล้ว แล้วนิมิตรเกิดจากอะไรค่ะ ทำไมต้องเกิดค่ะ แล้วเกิดเพื่ออะไร ดีหรือไม่ดีค่ะ แล้วควรยังไงต่อค่ะ

แล้วอีกคำถามค่ะ การทำบุญที่เจือด้วย ราคะ มันเป็นยังไงค่ะช้วยยกตัวอย่างทีค่ะ

กราบขอบพระคุณค่ะไว้ว่างๆจะมาแอบอ่านนะค่ะ

.....................................................
ใช้ดาบฟาดน้ำน้ำยิ่งไหลโชก ยกแก้วกับโศกโศกยิ่งทุกข์หนัก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มิ.ย. 2014, 20:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีครับคุณ wangmingdi ....
ถามว่า ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ....
ที่เป็นอย่างนั้น เพราะจิตของคุณ wangmingdi มีความโน้มเอียงทางด้านสร้างจินตนาการง่ายครับ.
เป็นจิตที่ไว ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วถ้าควบคุมได้ก็จะดี แต่นี่ไวเกิน คล้ายกับพวกศิลปินวาดรูป แต่งเพลง นักกวี ไรทำนองนี้ครับ. จิตก็หยิบนู่นนิดนี่หน่อยมาปรุงมาแต่งเป็นรูปเป็นธัมมารมณ์ ซึ่งสิ่งเหล่านั้นจิตรับรู้จริงๆนะครับ.
แต่จิตไม่มีสติไม่มีปัญญาเพียงพอที่จะจัดการต่ออารมณ์นั้นได้ครับ. พอลืมตาก็หายหมุน ภาพต่างๆเหล่านั้นก็ยังจำได้ว่าเป็นอย่างไรอยู่ครับ.

ความรู้สึกที่ตื่นเต้น เพราะจิตแล่นไปยินดีพอใจกับสิ่งที่ได้เห็นครับ ไปเกาะอารมณ์นั้นแนบแน่นครับ ปิติเกิดขึ้นครับ. สมาธิที่เกิดขึ้นเป็นมิจฉาสมาธิครับ.

สิ่งที่ควรทำ คือ ถ้าชอบสวดมนต์ภาวนา ก็ให้ลืมตาสวดมนต์ภาวนา
และต้องรู้ ว่าแต่ละคำแต่ละพยางค์ แต่ละประโยคของบทสวดมนต์นั้น สอนอะไร. ให้รู้อะไร. เราจะเอาสิ่งที่เป็นบทภาวนานั้นมาเป็นหลักในการดำเนินชีวิตให้เป็นปรกติสุขได้อย่างไร.
บทสวดภาวนา ไม่ควรเป็นประเภทบูชาเทวดานะครับ. เด๋วจะฟุ้งอยากเป็นเทพขึ้นมา.

พอจิตเริ่มคงที่. ถ้าอยากนั่งสมาธิต่อ ก็ให้ตั้งกายตรง หรี่ตาลงครึ่งหนึ่งครับ ทอดสายตาสบายๆ ลงต่ำไปข้างหน้า.
กำหนดที่ปลายจมูก หรือริมฝีปากบน เฝ้าที่จุดนั้นไว้ แล้วรู้ลมเข้า ลมออกที่จุดนั้น สัก 5 นาที. แล้วก็ถอนตัว. ก็จะรู้สึกสบายขึ้นครับ.

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มิ.ย. 2014, 23:52 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


smiley
เป็นธรรมดาของผู้ฝึกสมาธิใหม่ๆและเป็นธรรมดาของสมาธิ
ที่จะต้องเกิด ปีติ ปัสสัทธิ นิมิต ฌาณ เป็นผลตามมาถ้าผู้ฝึกหัดแก้ไขไม่เป็นก็จะติดค้างสงสัยตกใจหรือกลัวแล้วท้อถอยในการปฏิบัติ หรือหลงไปในทางที่ไม่ใช่ทางที่พระพุทธเจ้าทรงสอน

จะต้องผ่านด่านเหล่านี้ไปให้ได้ โดยไปปฏิบัติกับครูบาอาจารย์ กัลยาณมิตร พี่เลี้ยงที่รู้จริงเคยผ่านอุปสรรคเหล่านี้ไปได้คอยเป็นเพื่อนแนะนำอย่างใกล้ชิด เมื่อผ่านด่านเหล่านี้ได้สักครั้งหนึ่งไปจนถึงแดนแห่งความสงบจริงๆคือฌาณ 4 ต่อไปเมื่อปฏิบัติเองก็จะเป็นของง่ายไม่ติดขัด

แต่ถ้าจะอ้างว่าไม่มีเวลา หาผู้ชี้แนะไม่ได้ใคร่ฝึกหัดปฏิบัติด้วยตนเองที่บ้าน ก็อาจสามารถทำได้ เพราะเราสามารถเรียนและปรึกษาพี่เลี้ยงได้ทางโทรศัพท์มือถือ

จะเอาจริงไหมล่ะ? ในลานธรรมจักรนี้มีหลายท่านที่เป็นพี่เลี้ยงได้ หรือสื่อต่อไปหาพี่เลี้ยงที่รู้จริงสอนได้

แนะนำโดยพิมพ์บอกในกระทู้มันไม่สามารถครอบคลุมรายละเอียดต่างๆได้ ต้องคุยกัน สนทนากัน ลงทุนค่าโทรศัพท์มือถือกันหน่อย เดี๋ยวนี้มีโปรโมชั่นโทรถูก โทรฟรีเยอะ ครับ
:b38:
:b36:
การทำบุญเจือด้วยราคะ คือการทำบุญโดยหวังผลตอบแทนเป็นความสวย ความงาม ความสุข ความสมหวัง ความได้ดังใจปารถนาในรสสัมผัสที่น่าชื่นชอบของ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจครับ

เช่น สาธุ ทำทานวันนี้ ขอให้เกิดกุศลโชคดี พบแฟนที่หล่อและร่ำรวยเถิด ดังนี้เป็นต้น

หรือ สาธุ ฉันถวายเงิน 1 ล้านบาทสมทบการสร้างโบสถ์ของพระอาจารย์วันนี้ ขอให้พระอาจารย์จำฉันได้และให้สิทธิพิเศษในการพบปะสนทนากับท่านเถิด .........
:b12: :b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 08:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




guan-im84.jpg
guan-im84.jpg [ 55.12 KiB | เปิดดู 4826 ครั้ง ]
อ้างคำพูด:
คือดิฉันได้นั้งสมาธิค่ะ แบบว่านานๆจะนั้งที เดือนนึงก็อาจจะ2-3ครั้งค่ะ ครั้งนึงก็ประมาณ 10-1.30นาทีค่ะ เรื่องมีอยู่ว่า ดิฉันนั้งสมาธิแบบสวดภาวนาไปในใจด้วยค่ะ ประมาณไม่ถึงชั่วโมง รู้สึกว่าตัวเองหมุนๆค่ะ แล้วก็เห็นนิมิตรค่ะ เห็นว่าตัวเองนั้งสมาธิอยู่บนราชวังที่เป็นแก้วใสๆมีแสงนะคะ แล้วพื้นมีหมอกขาวๆ เห็นตัวเองนั้งห่มขาวนั้งสมาธิอยู่บนพื่น ก็เลยตกใจรีบลืมตา ความรู้สึกตอนนั้นคือมันคล้ายๆตื่นเต้นนะค่ะ อยากถามว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้นค่ะ เพราะนี้เป็นครั้งที่2แล้ว แล้วนิมิตรเกิดจากอะไรค่ะ ทำไมต้องเกิดค่ะ แล้วเกิดเพื่ออะไร ดีหรือไม่ดีค่ะ แล้วควรยังไงต่อค่ะ


นิมิต เป็นเรื่องปกติที่ต้องเกิดขึ้นสำหรับผู้ที่เจริญสมาธิ ที่เรียกว่า สมถกรรมฐาน
การที่ท่านทั้งหลายเจริญสมถะ ย่อมเอาอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งมาเป็นอารมณ์ เพื่อให้จิตตั้งมั่น
เพื่อให้เกิดสมาธิ (เอกัคคตา) และเป็นธรรมดาของจิตที่จะต้องสอดส่ายหาอารมณใหม่ๆ เสมอ
อารมณ์ที่จิตไปยึดมั่นในอารมณ์ใหม่ๆนี้เรียกว่า นิมิต แล้วแต่จิตจะได้อารมณ์อะไรใหม่เป็นที่ยึด

บางท่านก็ได้นิมิตเห็นนางฟ้านางสวรรค์ ท่องนรกสวรรค์ก็มี แท้ที่จริงมันเป็นเพียงนิมิต
ที่จิตปรุงแต่งขึ้นมาเป็นอารมณ์นั่นเอง ก็เหมือนเราหลับแล้วฝันนั่นแหละ
ถ้าจะถามว่านิมิตนี้ดีหรือไม่ดี นิมิตที่เกิดนี้บางทีก็เป็นเรื่องบอกเหตุ บางทีก็เป็นเรื่องไม่จริง
ฉะนั้นผู้ที่ปฏิบัติไม่ควรยึดมั่นในนิมิตทั้งหลายที่เกิดขึ้น อาจเป็นเครื่องเนิ่นช้า

อ้างคำพูด:
แล้วอีกคำถามค่ะ การทำบุญที่เจือด้วย ราคะ มันเป็นยังไงค่ะช้วยยกตัวอย่างทีค่ะ

กราบขอบพระคุณค่ะไว้ว่างๆจะมาแอบอ่านนะค่ะ


จิตที่เป็น"มหากุศล"เจือด้วย"ราคะ"นั้น เช่น เพียงแต่เราทำบุญ
ที่เรา"อยาก" "ทำบุญ" ก็เพราะเรา"อยาก ได้ "บุญ"
เมื่อแยกคำออกจากกันจะเห็นได้ว่า คำว่า "อยาก" นั้นเป็น "ราคะ"
และส่วนคำว่าบุญนั้นเป็น "มหากุศล" เมื่อเอามารวมกันเข้าจึงเป็น "อยากทำบุญ"
เมื่ออยากได้บุญจึงทำบุญ ฉะนั้น บุญที่เจือด้วยราคะจึงเป็นอย่างนี้เอง

ลองฟังท่านอื่นแนะนำบ้างก็แล้วกันนะครับ อาจได้คำแนะที่พอเข้าใจได้ง่ายๆ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 08:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


wangmingdi เขียน:
s005 คือดิฉันได้นั้งสมาธิค่ะ แบบว่านานๆจะนั้งที เดือนนึงก็อาจจะ2-3ครั้งค่ะ ครั้งนึงก็ประมาณ 10-1.30นาทีค่ะ เรื่องมีอยู่ว่า ดิฉันนั้งสมาธิแบบสวดภาวนาไปในใจด้วยค่ะ ประมาณไม่ถึงชั่วโมง รู้สึกว่าตัวเองหมุนๆค่ะ แล้วก็เห็นนิมิตรค่ะ เห็นว่าตัวเองนั้งสมาธิอยู่บนราชวังที่เป็นแก้วใสๆมีแสงนะคะ แล้วพื้นมีหมอกขาวๆ เห็นตัวเองนั้งห่มขาวนั้งสมาธิอยู่บนพื่น ก็เลยตกใจรีบลืมตา ความรู้สึกตอนนั้นคือมันคล้ายๆตื่นเต้นนะค่ะ อยากถามว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้นค่ะ เพราะนี้เป็นครั้งที่2แล้ว แล้วนิมิตรเกิดจากอะไรค่ะ ทำไมต้องเกิดค่ะ แล้วเกิดเพื่ออะไร ดีหรือไม่ดีค่ะ แล้วควรยังไงต่อค่ะ

แล้วอีกคำถามค่ะ การทำบุญที่เจือด้วย ราคะ มันเป็นยังไงค่ะช้วยยกตัวอย่างทีค่ะ

กราบขอบพระคุณค่ะไว้ว่างๆจะมาแอบอ่านนะค่ะ


ทำไมต้องแอบด้วยล่ะครับ :b1:


ปัญหาทำนองนี้ เช่นนั้น ว่าทำเจตนาฟุ้ง :b14:


อ้างคำพูด:
ตัวอย่างที่กรัชกายยกมาทั้งหมด
และสิ่งที่กรัชกายแนะนำ.

เป็นอาการของจิตที่ก่อเจตนาฟุ้งไปตามนามรูป....
ไม่มีสติไม่มีปัญญา...
ไหลไปกับนิวรณ์ ถูกนิวรณ์ครอบงำจิต

ฯลฯ
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=47986

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 10:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


wangmingdi เขียน:
แล้วอีกคำถามค่ะ การทำบุญที่เจือด้วย ราคะ มันเป็นยังไงค่ะช้วยยกตัวอย่างทีค่ะ

การทำบุญ โดยความหวัง ความปราถนา ที่จะได้โลกียสุข ล้วนเป็นการทำบุญที่เจือด้วยราคะทั้งสิ้นครับ
เช่น ทำบุญ หวังให้มีความเจริญ ในลาภ ยศ สุข สรรเสริญ
ทำบุญหวังว่าจะได้เกิดในสวรรค์ เป็นเทพเทวดา พรหม เป็นต้น

การทำบุญด้วย การตั้งความหวังอย่างนี้เจือด้วยราคะ เป็นการทำบุญโดยความหวังความปราถนาในโลกียสุขครับ

แต่ผลจะได้รับตามที่หวังหรือไม่ ขึ้นอยู่กับ วัตถุแห่งบุญกิริยานั้นด้วยครับ
แต่ที่แน่ๆ คือ อัตตภาพขั้นต่ำสุด คือยังคงได้เกิดเป็นมนุษย์อยู่ คือไม่เกิดในอบายแน่นอน.

http://84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=23&A=4950&Z=4991&pagebreak=0

http://84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=23&A=4992&Z=5046&pagebreak=0

Quote Tipitaka:
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุญกิริยาวัตถุ ๓ ประการนี้ ๓ ประการ
เป็นไฉน คือ บุญกิริยาวัตถุสำเร็จด้วยทาน ๑ บุญกิริยาวัตถุสำเร็จด้วยศีล ๑
บุญกิริยาวัตถุสำเร็จด้วยภาวนา ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้
ทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยทานนิดหน่อย ทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยศีลนิด
หน่อย ไม่เจริญบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยภาวนาเลย เมื่อตายไป เขาเข้าถึงความ
เป็นผู้มีส่วนชั่วในมนุษย์ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ ทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วย
ทานพอประมาณ ทำบุญกิริยาวัตถุสำเร็จด้วยศีลพอประมาณ ไม่เจริญบุญกิริยา
วัตถุที่สำเร็จด้วยภาวนาเลย เมื่อตายไป เขาเข้าถึงความเป็นผู้มีส่วนดีในมนุษย์ ฯ


สังเกตว่า การทำบุญ ต่างจากการทำบาป เพราะศีล

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มิ.ย. 2014, 12:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ก.ค. 2009, 15:30
โพสต์: 36

งานอดิเรก: เล่นแมว
สิ่งที่ชื่นชอบ: นอน
ชื่อเล่น: มู่
อายุ: 24

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue ขอบคุณที่ชี้แนะค่ะ Kiss

.....................................................
ใช้ดาบฟาดน้ำน้ำยิ่งไหลโชก ยกแก้วกับโศกโศกยิ่งทุกข์หนัก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มิ.ย. 2014, 12:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ก.ค. 2009, 15:30
โพสต์: 36

งานอดิเรก: เล่นแมว
สิ่งที่ชื่นชอบ: นอน
ชื่อเล่น: มู่
อายุ: 24

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
smiley

แต่ถ้าจะอ้างว่าไม่มีเวลา หาผู้ชี้แนะไม่ได้ใคร่ฝึกหัดปฏิบัติด้วยตนเองที่บ้าน ก็อาจสามารถทำได้ เพราะเราสามารถเรียนและปรึกษาพี่เลี้ยงได้ทางโทรศัพท์มือถือ
.......
:b12: :b12: :b12:


ยอมรับค่ะว่าจริงๆแล้วมีเวลาค่ะ แต่ขี้เกียจนั่งค่ะ s005 แบบว่านานๆทีจะนั่งที แบบว่าผีเข้าผีออกอะไรประมาณนี้ เพราะปกติเป็นคนไม่ชอบนั่งสมาธิสักเท่าไหร่

.....................................................
ใช้ดาบฟาดน้ำน้ำยิ่งไหลโชก ยกแก้วกับโศกโศกยิ่งทุกข์หนัก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มิ.ย. 2014, 20:36 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ม.ค. 2014, 08:17
โพสต์: 73

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ก่อนที่เราจะปฏิบัติ แบบไหน อย่างไร
สมถะหรือวิปัสสนา
เราต้องรู้ชัด ว่า จะทำอะไร เพื่ออะไร

เราจะรู้ได้อย่างไร ว่าอะไรเพื่ออะไร
เราก็ต้องศึกษา อ่านพระธรรม ฟังพระธรรม พิจารณาพระธรรม
และ

ตั้งเป้าหมายให้ชัด ว่าสิ่งที่จะลงมือทำต่อไปนี้ เพื่ออะไร?

ธรรมะของพระพุทธเจ้า เป็นของจริง
คนจริงเท่านั้นถึง ทำจริง ปฏิบัติจริง จะได้ ผล จริง
(เอหิปัสสิโก : ท่านจงมาดูเถิด)
(โอปณยิโก : จงน้องมาใส่ตัว)
(ปัจจัตตัง : รู้ได้เฉพาะตน)

เมื่อเป้าหมายชัด ระหว่างทางจะเจออะไร เราจะไม่สงสัย
ว่าสิ่งที่เกิดขึ้น ขณะ การลงมือปฏิบัติ มันคืออะไร จะหมดความสงสัย
หากศึกษาคำสอนของพระพุทธองค์ อย่างละเอียด แยบคาย จะพบว่า
ท่าน มิได้ ให้ความสำคัญกับการเห็นโน่นนี่นั่นในขณะทำสมาธิ ส่งออกนอกไป


ท่านให้พิจารณา มาดู ตัวเอง ตัวที่เรียกว่าเรา
ไม่ว่า จะ ยืน เดิน นั่ง นอน หลับ ฝัน กิน ดื่ม ขับถ่าย ฯลฯ
สังเกตุไป แล้วจะพบความจริง

ความจริงนี่แหละ ที่จะทำให้ท่านพ้นทุกข์ หมดความยึดถือ ในตัวในตน หมดความกำหนัดยินดีพอใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มิ.ย. 2014, 22:50 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


wangmingdi เขียน:
asoka เขียน:
smiley

แต่ถ้าจะอ้างว่าไม่มีเวลา หาผู้ชี้แนะไม่ได้ใคร่ฝึกหัดปฏิบัติด้วยตนเองที่บ้าน ก็อาจสามารถทำได้ เพราะเราสามารถเรียนและปรึกษาพี่เลี้ยงได้ทางโทรศัพท์มือถือ
.......
:b12: :b12: :b12:


ยอมรับค่ะว่าจริงๆแล้วมีเวลาค่ะ แต่ขี้เกียจนั่งค่ะ s005 แบบว่านานๆทีจะนั่งที แบบว่าผีเข้าผีออกอะไรประมาณนี้ เพราะปกติเป็นคนไม่ชอบนั่งสมาธิสักเท่าไหร่

:b46:
คุณwangmingdi เคยได้ยินภาษิตกำลังภายในที่ว่า "ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา" ไหมครับ?

คนจะขยันและปฏิบัติธรรมได้ดีต้องเห็นทุกข์ให้ชัด จนเข็ดเขี้ยวเข็ดฟัน
ถ้าชีวิตยังมีสุข สมหวัง ได้ดังใจไม่เดือดร้อนเรื่องทำมาหากิน มีสิ่งเพลิดเพลินเจริญใจให้คิดให้ทำอยู่ มัวเสวยผลบุญเก่า ไม่คิดสร้างบุญใหม่ ย่อมจะไม่ดิ้นรนออกจากทุกข์ ไม่ขยันภาวนา นี่ประการหนึ่ง เพราะความเพลิดเพลิน ผูกมัดไว้

ประการที่ 2 ไม่กลัวภัยในวัฏฏะสงสารความเวียนว่ายตายเกิด เพราะความไม่รู้

ประการที่ 3 ไม่รู้คุณค่าของความที่ได้โอกาสมาเกิดเป็นมนุษย์ เพราะความไม่รู้อีกนั่นแหละ

ประการที่ 4 ไม่เห็นถึงประโยชน์อันยิ่งใหญ่ของการเจริญสมาธิและวิปัสสนาภาวนา

ประการที่ 5 ยังไม่เจอกัลยาณมิตรที่รู้จริง ถึงจริง และมีบุญเคยเกื้อหนุนกันมา

"ธุดงควัตร เป็นเครื่องขัดเกลากิเลส"

จงออกไปเผชิญโลกภายนอกในชนบทห่างไกล ในป่าในเขา กับชาวบ้าน ชาววัดป่า เพื่อจะได้พบสิ่งสะกิดใจให้เกิดธรรมสังเวชและแรงบันดาลใจให้ขยันปฏิบัติธรรมครับ
:b8:
เจริญสุข เจริญธรรม
:b36:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ค. 2014, 02:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ก.ค. 2009, 15:30
โพสต์: 36

งานอดิเรก: เล่นแมว
สิ่งที่ชื่นชอบ: นอน
ชื่อเล่น: มู่
อายุ: 24

 ข้อมูลส่วนตัว


s007 ค่ะ จะพยายามขยันนะค่ะ เมื่อก่อนเคยไปบวชชีพราหมกับที่บ้าน แค่3วันแทบขาดใจตายเพราะมันต้องอยู่แต่ในวัดออกไปข้างนอกก็ไม่ได้ ฟังเพลงแต่งหน้าอะไรก็ไม่ได้ คงเป็นเพราะกิเลสยังเยอะอยู่ค่ะ แบบว่าเชื่อว่าธรรมะดีแต่ยังไม่สามารถดึงจิตใจให้มาปฏิบัติแบบจิงจังได้ซะที แต่จะพยายามลองดูใหม่นะค่ะ ขอบคุณค่ะ

.....................................................
ใช้ดาบฟาดน้ำน้ำยิ่งไหลโชก ยกแก้วกับโศกโศกยิ่งทุกข์หนัก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ค. 2014, 09:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


มรณะภัย..แสนใกล้...สิ่งไรไรก็ต้านไม่อยู่...
:b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 12 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 19 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร