วันเวลาปัจจุบัน 24 เม.ย. 2024, 02:27  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 15 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ธ.ค. 2013, 17:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ม.ค. 2011, 17:26
โพสต์: 353


 ข้อมูลส่วนตัว


ฟังตำรวจพระท่านพูดว่า พระเวลาบิณฑบาต ท่านจะพิจารณาจิตอยู่ภายใน
เวลาตักบาตรของโยม พระที่ให้่พรเสียงดังๆ แล้วยาว มักไม่ใช่พระจริง

พระจริงๆ ท่านจะให้พรสั้นๆ หรือบางรูปท่านก็ไม่ให้พรเลย

จริงไหมครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ธ.ค. 2013, 19:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2013, 19:15
โพสต์: 109

แนวปฏิบัติ: มีสติทุกอริยาบท
งานอดิเรก: ปฎิบัติธรรม ฟังธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ความไม่ประมาท
ชื่อเล่น: ธรรม
อายุ: 0
ที่อยู่: วัฎฎะสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

ที่ท่านไม่ให้พร เพราะท่านเคารพธรรม เคารพวินัย พระวินัย สิกขาบทที่ ๑๔ ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เรายืนอยู่ จักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่นั่งอยู่ ในสายกรรมฐานหลวงปู่มั่น เวลาท่านไปบิณฑบาต ท่านจะมาศาลากลางหมู่บ้าน เขาจะมารวมกันใส่บาตรตรงนั้น ท่านก็จะนั่งให้พร ถ้าไปที่อื่นถ้าเขาต้องการอยากได้พรจริงๆ ให้เขาหาเก้าอี้มา แล้วพระนั่ง ถ้าไม่มีเก้าอี้ ให้เขายืนขึ้น

สิกขาบทที่ ๑ ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีร่มในมือ.

สิกขาบทที่ ๒ ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีไม้พลองในมือ.

สิกขาบทที่ ๓ ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีศัสตรา (ของมีคม) ในมือ.

สิกขาบทที่ ๔ ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีอาวุธ (ของซัดไปหรือยิงไปได้) ในมือ.

สิกขาบทที่ ๕ ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่สวมเขียงเท้า (รองเท้าไม้).

สิกขาบทที่ ๖ ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่สวมรองเท้า.

สิกขาบทที่ ๗ ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่ไปในยาน.

สิกขาบทที่ ๘ ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่อยู่บนที่นอน.

สิกขาบทที่ ๙ ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่นั่งรัดเข่า.

สิกขาบทที่ ๑๐ ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่โพกศีรษะ.

สิกขาบทที่ ๑๑ ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่คลุมศีรษะ.

สิกขาบทที่ ๑๒ ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เรานั่งอยู่บนแผ่นดิน จักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่นั่งอยู่บนอาสนะ (ผ้าหรือเครื่องปูนั่ง).

สิกขาบทที่ ๑๓ ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เรานั่งอยู่บนอาสนะต่ำ จักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่นั่งบนอาสนะสูง.

สิกขาบทที่ ๑๔ ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เรายืนอยู่ จักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่นั่งอยู่

สิกขาบทที่ ๑๕ ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราเดินไปข้างหลัง จักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่เดินไปข้างหน้า.

สิกขาบทที่ ๑๖ ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราเดินไปนอกทาง จักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่ไปในทาง.

.....................................................
ขอน้อม กาย วาจา จิต บูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในกาลทุกเมื่อ
ในทุกทุกขณะจิต ไม่ว่าจะระลึกได้ก็ดี ระลึกไม่ได้ก็ดี พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สรณังคัจฉามิ

https://www.facebook.com/Dhammalungta


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ธ.ค. 2013, 11:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ค. 2013, 10:07
โพสต์: 406

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุโมทนาบุญครับ :b8: คุณปราชญ์บ้านนอก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ธ.ค. 2013, 12:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


deecup เขียน:
ฟังตำรวจพระท่านพูดว่า พระเวลาบิณฑบาต ท่านจะพิจารณาจิตอยู่ภายใน
เวลาตักบาตรของโยม พระที่ให้่พรเสียงดังๆ แล้วยาว มักไม่ใช่พระจริง

พระจริงๆ ท่านจะให้พรสั้นๆ หรือบางรูปท่านก็ไม่ให้พรเลย

จริงไหมครับ



ที่ตำรวจพระ ท่านพูดแบบนั้น เกิดจากเหตุปัจจัยที่มีอยู่

พระจริง พระเก๊ ไม่มีอยู่จริง

ที่มีอยู่จริง ที่คิดว่า คือ รูปนาม รูปนามนั้นๆ ก็ไม่มีอยู่จริง

รูปนาม ล้วนเป็นเพียงสมมุติบัญญัติ ที่พระพุทธเจ้า ทรงทิ้งเป็นแนวทางไว้ให้
เพื่อเป็นอุบาย ในการใช้ ดับผัสสะที่เกิดขึ้น

รูปนาม สักแต่ว่า รูปนาม หากมีสติ รู้อยู่
รูปนาม ที่เกิดขึ้น ย่อมดับลงไปตามเหตุปัจจัย

สิ่งที่เกิดขึ้น จึงสักแต่ว่า ธาตุ

แม้กระทั่ง ธาตุ ก็สักแต่ว่า ธาตุ
ธาตุ ก็เป็นสมมุติบัญญัติ

สภาวะตามความเป็นของสิ่งที่เกิดขึ้น
ล้วนเกิด-ดับ ตามเหตุปัจจัยของสิ่งๆนั้น

ฝึกดับผัสสะบ่อยๆ
จะเห็นสภาวะที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง มากขึ้นเรื่อยๆเอง

การสร้างเหตุนอกตัว ที่เกิดจาก ผัสสะ เป็นเหตุปัจจัย
ย่อมลดน้อย ลงไปตามเหตุปัจจัยเอง(ดับผัสสะ)


เรื่องพระให้พรกับโยม ในสถานที่ใดก็ตาม
ล้วนเกิดจากเหตุปัจจัยที่มีต่อกัน



พระพุทธเจ้า ทรงให้คำสอนกับใคร ที่ไหน อย่างไร ขึ้นอยู่กับเหตุที่เกิดขึ้น ณ ขณะนั้นๆ

เช่น องคุมาล มีอาวุธอยู่ในมือ ก็ยังทรงสอน ไม่ใช่ไม่สอน

แม้กระทั่ง พระภิกษุ ที่คิดลาสิกขา เพราะ คิดว่า ศิลมากไป(๓๒๗ ข้อ) ทำได้ยาก

พระพุทธเจ้า ยังทรงตรัสว่า งั้นรักษาข้อเดียวได้ไหม คือ ให้รักษาใจ


จิตส่งออกนอกเป็นเหตุแห่งทุกข์(การสร้างเหตุของการเกิด)


เมื่อผัสสะเกิด สิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้เกิดความรู้สึกนึกคิด ล้วนเกิดจากเหตุปัจจัยที่มีกับสิ่งๆนั้น

เหตุของความไม่รู้ที่มีอยู่ จึงนำความมีตัวตนที่มีอยู่(ตัวกู) เข้าไปเกี่ยวข้อง

สิ่งที่เกิดขึ้น แทนที่จะเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ตามเหตุปัจจัย ของสิ่งๆนั้น

เมื่อนำความมีตัวตนเข้าไปเกี่ยวข้อง เป็นเหตุให้ ภพเกิด(มโนกรรม)

เมื่อภพเกิด เหตุของ ความไม่รู้ชัด ในผัสสะที่เกิดขึ้น เป็นเหตุปัจจัยให้ชาติเกิด(วจีกรรม กายกรรม)


ผลคือ ทุกข์ สุข(โลกธรรม ๘) ที่เกิดขึ้น ในชีวิต

ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขโทมนัส อุปายาส ย่อมเกิดขึ้น ตามเหตุปัจจัย


อีกหนึ่งอุบาย ที่พระพุทธเจ้า ทรงทิ้งไว้ให้ เพื่อดับผัสสะ ที่เกิดขึ้น

ภิกษุทั้งหลาย ! บาปกรรมแม้ประมาณน้อย
บุคคล บางคนทำแล้ว บาปกรรมนั้น นำเขาไปนรกได้

ส่วนบาปกรรมประมาณน้อยอย่างเดียวกันนั้น บางคนทำแล้ว
กรรมนั้นเป็นทิฏฐธรรมเวทนียกรรม ไม่ปรากฏผลมาก ต่อไปเลย…

ภิกษุทั้งหลาย ! ใครกล่าวว่า
คนทำกรรม อย่างใดๆ ย่อมเสวยกรรมนั้นอย่างนั้นๆ ดังนี้

เมื่อเป็นอย่างนั้นๆ การอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ย่อมมีไม่ได้
ช่องทางที่จะทำที่สุดทุกข์โดยชอบก็ไม่ปรากฏ

ส่วนใครกล่าวว่า

คนทำกรรม อันจะพึงให้ผล อย่างใดๆ
ย่อมเสวยผลของกรรมนั้นอย่างนั้นๆ ดังนี้

เมื่อเป็นอย่างนี้ การอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ย่อมมีได้
ช่องทางที่จะทำที่สุดทุกข์โดยชอบก็ย่อมปรากฏ.
ติก. อํ. ๒๐/๓๒๐/๕๔๐.



วิธีปฏิบัติ เพื่อบรรลุ มรรค ผล นิพพาน ตามคำสอนพระพุทธเจ้า

อุปัชฌายสูตร


ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า

เราทั้งหลายจักเป็นผู้คุ้มครองทวาร ในอินทรีย์ทั้งหลาย

เป็นผู้รู้ประมาณในโภชนะ

ประกอบความเพียร เป็นเครื่องตื่นอยู่ เห็นแจ้งกุศลธรรมทั้งหลาย

ประกอบการเจริญโพธิปักขิยธรรมทั้งหลาย ทุกวัน ทุกคืน

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แล ฯ

http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... 603&Z=1648



สิ่งที่เกิดขึ้น(ผัสสะ) สิ่งๆนั้น ทำให้เกิดความรู้สึกนึกคิดต่างๆนานา
ล้วนเกิดจากเหตุปัจจัยที่มีกับสิ่งๆนั้น

หากมีสติ รู้อยู่ ไม่สร้างเหตุออกไป ตามความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้น
สิ่งที่เกิดขึ้น(ผัสสะ) ย่อมดับลงไปเอง ตามเหตุปัจจัย

รู้กู มีแต่ดับ

กูรู้ มีแต่การสร้างเหตุของการเกิด

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ธ.ค. 2013, 15:59 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ม.ค. 2011, 17:26
โพสต์: 353


 ข้อมูลส่วนตัว


สรุปแล้ว โยมส่วนใหญ่อยากได้พร ขณะบิณฑบาต แต่ต้องแสดงให้พระเห็นว่าอยากได้พรจริงๆ

แต่เป็นพิธีการมากไปไหมครับ พระอาจารย์มั่นกล่าว อาจจะเป็นกรณีนึง แต่ทั่วไป ถ้าบิณฑบาตจะไปกำหนดอย่างไร หรือแล้วแต่พระท่าน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ธ.ค. 2013, 17:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2013, 19:15
โพสต์: 109

แนวปฏิบัติ: มีสติทุกอริยาบท
งานอดิเรก: ปฎิบัติธรรม ฟังธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ความไม่ประมาท
ชื่อเล่น: ธรรม
อายุ: 0
ที่อยู่: วัฎฎะสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

ครูบาอาจารย์สายกรรมฐานเคารพพระวินัยยกไว้เหนือหัว หากทำไม่ถูก พระก็เป็นอาบัติโยมก็ได้บุญไม่เต็มที่ บุญที่แท้จริง คือความสุขใจ ไม่ได้หวังว่า จะให้ใครมาเห็นตอนที่ฉันทำ หรือให้ใครมาเสริญ เมื่อไม่ได้ดังที่ใจหวัง ก็จะเสียใจ ทำบุญเพราะหวังผลตอบแทน หากเราทำถูกในศิลในธรรมแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาให้พร ขอให้เรามีความสุขความเจริญ เราก็มีความสุขความเจริญ หากทำผิดศิลผิดธรรมแล้ว วิ่งไปขอพรกับหลวงพ่อรูปไหน ยังไงท่านก็ช่วยไม่ได้

"พรนั้นทำให้เรามีความสุขความเจริญจริงหรือ หากเราทำผิดศิลผิดธรรม ชีวิตเราจะมี อายุ วรรณะ สุขะ พละ จริงหรือ ในเมื่อเราต้องวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน"

เมื่อเราไม่เคารพใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์แล้ว เราจะเจริญในธรรมะได้อย่างไร เพราะเรากำลังเหยียบย่ำทำลายคำสั่งสอนของพระองค์ เพื่อสนองความต้องการของเรา ทุกวันนี้เราก้าวข้าม กระโดดข้าม เพราะคิดว่า คำสั่งสอนนี้ไม่จำเป็น พุทธังสรณังคัจฉามิ ธัมมังสรณังคัจฉามิ สังฆังสรณังคัจฉามิ ก็เป็นการกล่าวแค่พิธีการ คำสอนของพุทธเจ้าจะมีประโยชน์อะไรในเมื่อเราไม่ปฎิบัติตาม...

"หากศึกษาพุทธประวัติ พระองค์ได้ยินเสียงเถระแสดงธรรม ท่านยังต้องยืนนิ่งเพื่อเคารพธรรม จนพระเถระแสดงธรรมจบ พระองค์ถึงได้เสด็จดำเนินต่อ "

.....................................................
ขอน้อม กาย วาจา จิต บูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในกาลทุกเมื่อ
ในทุกทุกขณะจิต ไม่ว่าจะระลึกได้ก็ดี ระลึกไม่ได้ก็ดี พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สรณังคัจฉามิ

https://www.facebook.com/Dhammalungta


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ธ.ค. 2013, 21:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องนอกตัว

วิตก วิจารณ์ไป ก็แค่นั้น

สิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้ เกิดความรู้สึกนึกคิดต่างๆนานา(มโนกรรม)
การที่แสดงออกมา(วจีกรรม กายกรรม) ว่าอย่างไร ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยที่มีอยู่
และกำลังเป็นการสร้างเหตุใหม่ ให้เกิดขึ้นใหม่ เหตุจาก ความไม่รู้ชัด ในผัสสะ ที่เกิดขึ้น

เป็นเรื่องปกติ ของความไม่รู้ที่มีอยู่

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ธ.ค. 2013, 23:27 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b16:
พร กับการแสดงธรรม เป็นคนละอัน คนละเจตนากันนะครับ พึงสังเกตและพิจารณาโดยธรรมให้ดีนะครับ

มีครูบาอาจารย์มากท่านที่ให้พร ลองศึกษาดูให้ลึกซึ้งในแง่ของธรรม

วินัย ถ้ายึดแน่น เป็นพรต ไม่เอื้อธรรม ถ้าย่อหย่อนเป็น ปรามาส ปฏิบัติธรรมไม่ขึ้น

ธรรมถ้า ไม่คำนึงถึง วินัย ก็อยู่ได้ไม่ค่อยยืด ในชีวิตพระ

แต่ พระนิพพาน มิได้จำกัดไว้เฉพาะผู้บวชถือศีล 227 ข้อ

ศีล 5 โสดาบัน.....อาจถึง สกิทาคา อนาคา จนถึงอรหันต์ แต่หลังจากนั้นเป็นเรื่องของแต่ละท่านดแต่ละองค์จะพิจารณาด้วยวินิจฉัยของท่านเอง


:b8: :b8:
onion onion onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ธ.ค. 2013, 11:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
พร กับการแสดงธรรม เป็นคนละอัน คนละเจตนากันนะครับ พึงสังเกตและพิจารณาโดยธรรมให้ดีนะครับ


การให้พรกับการแสดงธรรม ถ้าผู้ปฏิบัติเป็นพระสงฆ์ จะมีความหมายเป็นอย่างเดียว
นั้นก็คือ.........อนุโมทนาหรืออนุโมทนากถา

asoka เขียน:

มีครูบาอาจารย์มากท่านที่ให้พร ลองศึกษาดูให้ลึกซึ้งในแง่ของธรรม


ครูบาอาจารย์ที่มีสถานะเป็นสงฆ์ จะเรียกว่าให้พรไม่ได้
เพราะการให้พรใช้กับฆราวาส พระสงฆ์ต้องใช้ว่า "อนุโมทนากถา"

asoka เขียน:
วินัย ถ้ายึดแน่น เป็นพรต ไม่เอื้อธรรม ถ้าย่อหย่อนเป็น ปรามาส ปฏิบัติธรรมไม่ขึ้น

ธรรมถ้า ไม่คำนึงถึง วินัย ก็อยู่ได้ไม่ค่อยยืด ในชีวิตพระ


เลอะเทอะ! อยู่ในสถานะสงฆ์ก็ต้องปฏิบัติตามพระวินัย
ที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติ พระวินัยขึ้นเพื่อ ให้สาวกฝึกการปฏิบัติตน
ให้เหมาะกับสัมมาศีล ในเรื่องสัมมาอาชีวะ

ซึ่งการจะปฏิบัติในเรื่องของพระวินัยได้ มันต้องละกิเลสในเรื่องของศีลพรตปรามาสได้แล้ว

มันไม่ใช่ว่า ปฏิบัติพระวินัยอย่างเคร่งครัด แล้วจะเป็นพรตเลอเทอะ

asoka เขียน:
:b16:
แต่ พระนิพพาน มิได้จำกัดไว้เฉพาะผู้บวชถือศีล 227 ข้อ

ศีล 5 โสดาบัน.....อาจถึง สกิทาคา อนาคา จนถึงอรหันต์ แต่หลังจากนั้นเป็นเรื่องของแต่ละท่านดแต่ละองค์จะพิจารณาด้วยวินิจฉัยของท่านเอง [/b]


เลอะเทอะอีกแล้ว โยงมั่วศีลห้าจะเป็นอนาคา จะเป็นอรหันต์..มีปากก็พูดไปเรื่อย

การจะเป็นอริยบุคคล เขามีศีลเฉพาะ และที่สำคัญมีระดับความต่างด้วย

โสกะรู้จัก.......ศีลพรหมจรรย์มั้ย อย่าเอาศีลห้ามามั่วขอร้อง :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ธ.ค. 2013, 17:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2013, 19:15
โพสต์: 109

แนวปฏิบัติ: มีสติทุกอริยาบท
งานอดิเรก: ปฎิบัติธรรม ฟังธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ความไม่ประมาท
ชื่อเล่น: ธรรม
อายุ: 0
ที่อยู่: วัฎฎะสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว www


พระวินัยและศิลเป็นอาวุธสำหรับการต่อสู้กับกิเลส พระพุทธเจ้าท่านเห็นช่องว่างของกิเลสที่จะเข้ามาโจมตีให้จิตต้องเสื่อมถอยจากความดี ท่านจึงบัญญัติพระวินัยขึ้น และประพฤติไปในแนวทางเดียวกัน ศาสนาและคำสอนถึงจะอยู่ได้นาน ในศาสนาของพระกัสปะพุทธเจ้าท่านไม่ได้บัญญัติพระวินัย เมื่อท่านดับขันธ์ปรินิพพานศาสนาและคำสอนของพระองค์ก็หายไป ทุกวันนี้คนตีธรรมะคำว่า ไม่ยึดมั่นถือมั่น และปล่อยวางเข้าข้างตัวเองคนละเมิดในศิลธรรม ถามว่าทำไมถึงทำได้ ท่านบอกว่า ท่านไม่ยึดมั่นถือมั่น ปล่อยวาง ปล่อยวางอาวุธที่พระพุทธเจ้าประทานให้เพื่อต่อสู้กับกิเลส ปล่อยวางตัวเองจากศิลจากธรรม แต่ไม่เคยปล่อยวางกิเลสที่มาทำลายให้จิตใจตัวเองที่เศร้าหมองและเดือดร้อน

ทุกวันนี้มีคลิบออกมาให้เห็นเป็นประจำคือคนที่ไม่ยึดมั่นถือมั่น ปล่อยวาง ไม่เคารพในสิกขาในสิ่งที่พุทธเจ้าท่านบัญญัติขึ้น หากลองศึกษาประวัติพระอรหันต์ในอดีต เข่น พระมหากัสปะ ที่อยู่กับนางฟ้าสองต่องสอง ท่านไล่นางฟ้าให้หนีไป ทำไมท่านไม่อ้างว่าเราเป็นพระอรหันต์ เราหมดกิเลสแล้ว ท่านกับเคารพในสิ่งที่พุทธเจ้าบัญญัติขึ้น เพื่อให้ชนรุ่นหลังได้ประพฤติปฎิบัติตาม

.....................................................
ขอน้อม กาย วาจา จิต บูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในกาลทุกเมื่อ
ในทุกทุกขณะจิต ไม่ว่าจะระลึกได้ก็ดี ระลึกไม่ได้ก็ดี พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สรณังคัจฉามิ

https://www.facebook.com/Dhammalungta


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ธ.ค. 2013, 19:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
asoka เขียน:
พร กับการแสดงธรรม เป็นคนละอัน คนละเจตนากันนะครับ พึงสังเกตและพิจารณาโดยธรรมให้ดีนะครับ


การให้พรกับการแสดงธรรม ถ้าผู้ปฏิบัติเป็นพระสงฆ์ จะมีความหมายเป็นอย่างเดียว
นั้นก็คือ.........อนุโมทนาหรืออนุโมทนากถา

asoka เขียน:

มีครูบาอาจารย์มากท่านที่ให้พร ลองศึกษาดูให้ลึกซึ้งในแง่ของธรรม


ครูบาอาจารย์ที่มีสถานะเป็นสงฆ์ จะเรียกว่าให้พรไม่ได้
เพราะการให้พรใช้กับฆราวาส พระสงฆ์ต้องใช้ว่า "อนุโมทนากถา"

asoka เขียน:
วินัย ถ้ายึดแน่น เป็นพรต ไม่เอื้อธรรม ถ้าย่อหย่อนเป็น ปรามาส ปฏิบัติธรรมไม่ขึ้น

ธรรมถ้า ไม่คำนึงถึง วินัย ก็อยู่ได้ไม่ค่อยยืด ในชีวิตพระ


เลอะเทอะ! อยู่ในสถานะสงฆ์ก็ต้องปฏิบัติตามพระวินัย
ที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติ พระวินัยขึ้นเพื่อ ให้สาวกฝึกการปฏิบัติตน
ให้เหมาะกับสัมมาศีล ในเรื่องสัมมาอาชีวะ

ซึ่งการจะปฏิบัติในเรื่องของพระวินัยได้ มันต้องละกิเลสในเรื่องของศีลพรตปรามาสได้แล้ว

มันไม่ใช่ว่า ปฏิบัติพระวินัยอย่างเคร่งครัด แล้วจะเป็นพรตเลอเทอะ

asoka เขียน:
:b16:
แต่ พระนิพพาน มิได้จำกัดไว้เฉพาะผู้บวชถือศีล 227 ข้อ

ศีล 5 โสดาบัน.....อาจถึง สกิทาคา อนาคา จนถึงอรหันต์ แต่หลังจากนั้นเป็นเรื่องของแต่ละท่านแต่ละองค์จะพิจารณาด้วยวินิจฉัยของท่านเอง [/b]


เลอะเทอะอีกแล้ว โยงมั่วศีลห้าจะเป็นอนาคา จะเป็นอรหันต์..มีปากก็พูดไปเรื่อย

การจะเป็นอริยบุคคล เขามีศีลเฉพาะ และที่สำคัญมีระดับความต่างด้วย

โสกะรู้จัก.......ศีลพรหมจรรย์มั้ย อย่าเอาศีลห้ามามั่วขอร้อง :b32:

:b34: :b34:
โฮฮับเคยรู้เรื่องการบรรลุเป็นพระอรหันต์ของพระเจ้าสุทโธทนะไหม?.....ลองไปค้นอ่านดูนะ
onion onion onion
แล้วคำพูดที่พูดไว้ดังอ้างอิงมานี้

อ้างคำพูด:
การจะปฏิบัติในเรื่องของพระวินัยได้ มันต้องละกิเลสในเรื่องของศีลพรตปรามาสได้แล้ว


ต้องกลับไปแก้ไข และพิจารณาให้ดีๆว่า ผู้ที่ละสีลพัตตปรามาส ได้แล้วนั้น เป็นคุณสมบัติของบุคคลประเภทใด

พระสงฆ์ที่บวชมาในพุทธศาสนานี่ท่านละสีลพัตตปรามาสกันได้หมดแล้วหรือ จึงปฏิบัติวินัยของสงฆ์กันได้

รู้สึกว่าใกล้จะถึงวันปีใหม่นี่ โฮฮับยิ่งเพี้ยนมากขึ้นทุกที เป็นยังไง ไม่ค่อยสบายหรือเปล่า ถนอมสุขภาพกาย สุขภาพจิตหน่อยนะ จะได้ตื่นขึ้นมารับวันใหม่ในปีใหม่ด้วยความสุขสดชื่นอย่างชาวบ้านชาวเมือง ชาวโลกเขานะ
:b38: :b38: :b38: :b38:
:b34: :b34: :b34: :b34:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ม.ค. 2014, 07:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


deecup เขียน:
พระจริงมักไม่ให้พร ขณะบิณฑบาต

ดูพระจะดูเฉพาะกริยาภายนอก ไม่ได้หรอก ..

พระปัจเจกพุทธเจ้า เมื่อท่านบิณฑบาตเสร็จท่านก็ให้พรแล้วเหาะขึ้นเขาไป
พระธุดงค์บางองค์ ท่านลงจากเขามาบิณฑบาต ท่านก็ให้พรก่อนกลับ
ชาวบ้านจะได้ไม่ต้องตามขึ้นเขาไปเพื่อขอพรท่าน ..

:b1:


.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ม.ค. 2014, 08:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
โฮฮับเคยรู้เรื่องการบรรลุเป็นพระอรหันต์ของพระเจ้าสุทโธทนะไหม?.....ลองไปค้นอ่านดูนะ


อย่ามั่ว! โสกะรู้ได้อย่างไรว่า พระเจ้าสุทโธทนะบรรลุอรหันต์ด้วยศีลห้า
พูดธรรมต้องยึดพระธรรมเป็นหลัก อย่าแต่งเรื่องเอาเอง แบบนี้มันผิดวิสัยชาวพุทธที่ดี
นี่เป็นประเด็นหนึ่ง

และอีกประเด็น ทั้งในพระไตรปิฎกและอรรถกถา บันทึกไว้ว่า.....
พระเจ้าสุทโธทนะ เป็นผู้บรรลุโสดาปัตติผล ไม่ใช่พระอรหันต์แบบที่โสกะมั่ว :b32:

http://www.84000.org/tipitaka/attha/att ... 5&i=23&p=2

asoka เขียน:
แล้วคำพูดที่พูดไว้ดังอ้างอิงมานี้

อ้างคำพูด:
การจะปฏิบัติในเรื่องของพระวินัยได้ มันต้องละกิเลสในเรื่องของศีลพรตปรามาสได้แล้ว


ต้องกลับไปแก้ไข และพิจารณาให้ดีๆว่า ผู้ที่ละสีลพัตตปรามาส ได้แล้วนั้น เป็นคุณสมบัติของบุคคลประเภทใด

พระสงฆ์ที่บวชมาในพุทธศาสนานี่ท่านละสีลพัตตปรามาสกันได้หมดแล้วหรือ จึงปฏิบัติวินัยของสงฆ์กันได้

รู้สึกว่าใกล้จะถึงวันปีใหม่นี่ โฮฮับยิ่งเพี้ยนมากขึ้นทุกที เป็นยังไง ไม่ค่อยสบายหรือเปล่า ถนอมสุขภาพกาย สุขภาพจิตหน่อยนะ จะได้ตื่นขึ้นมารับวันใหม่ในปีใหม่ด้วยความสุขสดชื่นอย่างชาวบ้านชาวเมือง ชาวโลกเขานะ


ผมว่าโสกะนั้นแหล่ะ ฉลองปีใหม่กับเพื่อนศิษย์บนเขา ทำให้เมากะแช่ สาโทไม่สร่าง
อาการเมาค้าง จึงขาดสติไตร่ตรองว่า พระวินัยบัญญัติขึ้นในสมัยพุทธกาล
และเหล่าบรรดาสาวกของพุทธองค์ ก่อนจะให้พระพุทธเจ้าบวชให้ ทั้งหมดล้วนแล้วแต่
เป็นผู้มีดวงตาเห็นธรรมมาแล้วทั้งนั้น พุทธสาวกย่มต้องเข้าใจในเรื่องศีลพรตปรามาสเป็นอย่างดี

ส่วนเรื่องของพระสมัยนี้ มันเป็นเรื่องของสมมุติสงฆ์
การบวชอาจบวชด้วยเหตุผลของแต่ล่ะคน หาใช่บวชเพราะเกิดดวงตาเห็นธรรม :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ม.ค. 2014, 17:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
ศีล 5 โสดาบัน.....อาจถึง สกิทาคา อนาคา จนถึงอรหันต์ แต่หลังจากนั้นเป็นเรื่องของแต่ละท่านดแต่ละองค์จะพิจารณาด้วยวินิจฉัยของท่านเอง

อโสกะไปวินิฉัยภูมิธรรมของระดับพระอริยะบุคคลได้อย่างไร ว่าอริยะบุคคลที่บรรลุพระโสดาบัณขึ้นไปปฏิบัติอยู่ในระดับศีล5 อโสกะไม่รู้จริงอย่ามามั่ว
จิตของพระอริยะบุคคล ภูมิธรรมอยู่ในระดับ โคตรภูญาณเป็นญาณที่อยู่ระหว่างโลกียะกับ โลกุตระ เพราะฉะนั้นต้องแยกศีล5ที่เป็นปุถุชนปฏิบัติกับพระโสดาบัณ เอาเป็นว่าจิตของท่านเป้นจิตที่ห่างไกลจากกิเลศ ไม่ใช่ปุถุชนถือศีล5แต่กิเลศหนาโบ๊ะ :b32: ญาณแบบนี้คงต้องรู้ได้เฉพาะตนคือไม่สามารถอธิบายให้ทราบได้นะเจ้าค่ะ เพราะคุณน้องก็ยังไม่ได้ไปถึงไหนยังว่ายน้ำรอบสระเก็บดอกบัวเล่นอยู่ :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ม.ค. 2014, 11:36 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
asoka เขียน:
โฮฮับเคยรู้เรื่องการบรรลุเป็นพระอรหันต์ของพระเจ้าสุทโธทนะไหม?.....ลองไปค้นอ่านดูนะ


อย่ามั่ว! โสกะรู้ได้อย่างไรว่า พระเจ้าสุทโธทนะบรรลุอรหันต์ด้วยศีลห้า
พูดธรรมต้องยึดพระธรรมเป็นหลัก อย่าแต่งเรื่องเอาเอง แบบนี้มันผิดวิสัยชาวพุทธที่ดี
นี่เป็นประเด็นหนึ่ง

และอีกประเด็น ทั้งในพระไตรปิฎกและอรรถกถา บันทึกไว้ว่า.....
พระเจ้าสุทโธทนะ เป็นผู้บรรลุโสดาปัตติผล ไม่ใช่พระอรหันต์แบบที่โสกะมั่ว :b32:

โฮฮับนั่นแหละมั่ว ไม่รู้จริง มีคฤหัสถ์บรรลุธรรมจนถึงพระอรหันต์อยู่หลายท่านที่ปรากฏชื่อในพระไตรปิฏก

คือ พระเจ้าสุทโธทนะ.....สันตติอำมาตย์.....อุตติยคฤหบดี ......เสตุมาณพ .......ท่านพาหิยะ และอีกหลายท่าน

สำหรับท่านสันตติอำมาตย์ยิ่งมีสิ่งพิเศษที่เกี่ยวกับศีล 5 เพราะศีลข้อที่ 5 ของท่านยังบกพร่องอยู่เลย แต่พอท่านวางแก้วเหล้าลงแล้วได้ฟังธรรมของพระบรมศาสดา ได้น้อมพิจารณาตามธรรมจนบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์

onion onion
มีอ้างอิงที่พอค้นมาได้จากอรรถกถาจารย์ที่วิเคราะห์ เรื่องคฤหัสถ์บรรลุธรรมในมิลินทปัญหา

อ้างคำพูด:
ปัญหา ถึงกระนั้นก็มีการกล่าวถึงคฤหัสถ์อีกสองท่าน กล่าวคือ อุตติยคฤหบดี และเสตุมาณพเอาไว้ว่าได้บรรลุธรรมในขณะที่เป็นคฤหัสถ์เช่นเดียวกัน[๓๐] แต่หลักฐานที่ ปรากฏนั้นมิได้กล่าวว่าหลังบรรลุอรหัตผลแล้วได้บวชหรือไม่? ส่วนคฤหัสถ์ท่านอื่นๆ ตามที่ปรากฏในคัมภีร์ว่าได้บรรลุพระอรหัตผล คือ สันตติมหาอำมาตย์[๓๑] และพระเจ้าสุทโธทนะ[๓๒] ได้เลือกที่จะนิพพานหรือตายในทันทีที่บรรลุอรหัตผลแล้ว ส่วนนางเขมาเถรี พระยสะ และอุคคเสฏฐีบุตร ก็เลือกที่จะบรรพชาอุปสมบทเป็นภิกษุณี และพระภิกษุตามลำดับ ภายหลังที่ได้บรรลุพระอรหัตผล


อ้างอิงพระไตรปิฎกที่โฮฮับยกมานี้เป็นตอนฟังธรรมครั้งแรกของพระเจ้าสุทโธทนะ ต้องค้นการฟังธรรมครั้งสุดท้ายของพระเจ้าสุทโธทนะมาดู แล้วอย่าลืมค้นเรื่องการบรรลุอรหันต์ของท่านสันตติอำมาตย์ กับท่านพาหิยะมาดูด้วย

http://www.84000.org/tipitaka/attha/att ... 5&i=23&p=2

asoka เขียน:
แล้วคำพูดที่พูดไว้ดังอ้างอิงมานี้

อ้างคำพูด:
การจะปฏิบัติในเรื่องของพระวินัยได้ มันต้องละกิเลสในเรื่องของศีลพรตปรามาสได้แล้ว


ต้องกลับไปแก้ไข และพิจารณาให้ดีๆว่า ผู้ที่ละสีลพัตตปรามาส ได้แล้วนั้น เป็นคุณสมบัติของบุคคลประเภทใด

พระสงฆ์ที่บวชมาในพุทธศาสนานี่ท่านละสีลพัตตปรามาสกันได้หมดแล้วหรือ จึงปฏิบัติวินัยของสงฆ์กันได้

รู้สึกว่าใกล้จะถึงวันปีใหม่นี่ โฮฮับยิ่งเพี้ยนมากขึ้นทุกที เป็นยังไง ไม่ค่อยสบายหรือเปล่า ถนอมสุขภาพกาย สุขภาพจิตหน่อยนะ จะได้ตื่นขึ้นมารับวันใหม่ในปีใหม่ด้วยความสุขสดชื่นอย่างชาวบ้านชาวเมือง ชาวโลกเขานะ


ผมว่าโสกะนั้นแหล่ะ ฉลองปีใหม่กับเพื่อนศิษย์บนเขา ทำให้เมากะแช่ สาโทไม่สร่าง
อาการเมาค้าง จึงขาดสติไตร่ตรองว่า พระวินัยบัญญัติขึ้นในสมัยพุทธกาล
และเหล่าบรรดาสาวกของพุทธองค์ ก่อนจะให้พระพุทธเจ้าบวชให้ ทั้งหมดล้วนแล้วแต่
เป็นผู้มีดวงตาเห็นธรรมมาแล้วทั้งนั้น พุทธสาวกย่มต้องเข้าใจในเรื่องศีลพรตปรามาสเป็นอย่างดี

ส่วนเรื่องของพระสมัยนี้ มันเป็นเรื่องของสมมุติสงฆ์
การบวชอาจบวชด้วยเหตุผลของแต่ล่ะคน หาใช่บวชเพราะเกิดดวงตาเห็นธรรม
:b32:

:b34: :b34:
ส่วนท่อนนี้ก็เฉโกอีกแล้วนั่นแหละตามนิสัยของโฮฮับ ดูคำพูดของตนเองให้ดีๆ
:b3:
อ้างคำพูด:
การจะปฏิบัติในเรื่องของพระวินัยได้ มันต้องละกิเลสในเรื่องของศีลพรตปรามาสได้แล้ว

:b3:
ไม่มีสะโคป หรือคำพูดชี้ชัดว่าเป็นเรื่องของพระสมัยพุทธกาล ........พอรู้ว่าผิด ก็ยังเฉโกไปอ้างเรื่องพระครั้งพุทธกาล

แล้วที่พระดีๆท่านปฏิบัติเคร่งครัดในพระวินัย ทุกวันนี้ ก็ละกิเลสในเรื่องของศีลพรตปรามาสได้แล้วทุกรูปทุกองค์ละ่ซิ

พูดผิดก็ยอมรับผิดแล้วพูดใหม่ในอันที่ถูกต้องเสียซิ ไม่มีใครมาลงโทษหรอก แต่ถ้าเฉไฉ เฉโก จะเอาผิดเป็นถูกให้ได้อย่างนี้ บาปกรรมจะตามทัน มาผลักดันให้ตกในหลุมพรางของมาร พาตนให้จมลึกลงในอวิชชา มานะทิฏฐิ ยิ่งๆขึ้นไป จนยากจะไถ่ถอน .......

ดังเรื่องที่กำลังพยายามจะบิดเบือนให้ชาวโลกเข้าใจผิดว่า ธรรมะ ไม่ใช่ธรรมชาติที่กำลังตั้งกระทู้ถกเถียงกับท่านกรัชกายอยู่ขณะนี้

:b34: :b34: :b34: :b34:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 15 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 52 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร