วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 23:57  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 41 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 13:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 13:22
โพสต์: 146

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันไปดูดวงมาค่าดู 900 บาท คือช่วงนั้นดิฉันกำลังอกหักมีคนแนะนำเรื่องแก้กรรมให้ดิฉันไปดูกับอาจารย์คนนี้ หมอดูคนนี้ก็บอกว่าอดีตชาติฉันเคยเป็นหมอทำสเน่ห์ ทำให้คนรักเขาพรัดพรากกัน ฉันจึงเจอแต่คนหลอกลวง ฉันต้องแก้กรรม เป็นเงิน 24000 บาท ตอนแรกฉันอยากทำมาก แต่ไม่มีเงิน เพราฉันเพิ่งเปิดร้านใหม่ต้องใช้เงินมากเป็นเงินหมุนในร้าน หลังจากคิดอยู่สักพัก ฉันจึงโทรกับไปบอกหมอดูว่าฉันยังไม่พร้อม หมอดูบอกว่าขอเวลาสักพักหนึ่งเดียวโทรกับแล้าหมอดูก็โทรกับมาบอกว่าสามารถให้ฉันผ่อนได้จ่ายมาเท่าที่มีก่อน แล้วค่อยผ่อนมาให้ ตอนแรกดิฉันคิดว่าเขาใจดีจัง ดิฉันจึงโอนเงินงวดเเรกให้ไป 5000 บาท และวันที่ 9 ที่ผ่านมาเขาโทรมาบอกให้ฉันโอนให้เพราะของจะมาส่ง (ดิฉันไม่เคยเจอหน้าเขาเลยไม่รู้ว่าเขาทำแบบไหน) เงินงวดหลังฉันต้องกดอิออนให้เขาเพราะหมุนเงินไม่ทัน ฉันจึงอยากเลิกทำเพราะต้องจ่ายอีก 14000 ฉันจึงโทรกับไปเพื่อขอยกเลิก แต่หมอดูบอกทำไปแล้วไม่สามารถยกเลิกได้ เพราะถ้าหยุดเงินที่เสียไปจะไม่เป็นผลอะไรเลย หมอดูก็เลยให้ฉันผ่อนเท่าที่มีได้ ฉันรู้สึกลำบากใจ เป็นทุกข์มากกว่าตอนที่ไม่แก้กรรมอีก ฉันควรทำยังไงดี

.....................................................
ทำไมต้องปล่อยว่าง
เพราะทุกอย่างมี ความว่าง มาแต่เดิม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 14:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2009, 20:48
โพสต์: 744


 ข้อมูลส่วนตัว


คิดดี ทำดี พูดดี เขียน:
ดิฉันไปดูดวงมาค่าดู 900 บาท คือช่วงนั้นดิฉันกำลังอกหักมีคนแนะนำเรื่องแก้กรรมให้ดิฉันไปดูกับอาจารย์คนนี้ หมอดูคนนี้ก็บอกว่าอดีตชาติฉันเคยเป็นหมอทำสเน่ห์ ทำให้คนรักเขาพรัดพรากกัน ฉันจึงเจอแต่คนหลอกลวง ฉันต้องแก้กรรม เป็นเงิน 24000 บาท ตอนแรกฉันอยากทำมาก แต่ไม่มีเงิน เพราฉันเพิ่งเปิดร้านใหม่ต้องใช้เงินมากเป็นเงินหมุนในร้าน หลังจากคิดอยู่สักพัก ฉันจึงโทรกับไปบอกหมอดูว่าฉันยังไม่พร้อม หมอดูบอกว่าขอเวลาสักพักหนึ่งเดียวโทรกับแล้าหมอดูก็โทรกับมาบอกว่าสามารถให้ฉันผ่อนได้จ่ายมาเท่าที่มีก่อน แล้วค่อยผ่อนมาให้ ตอนแรกดิฉันคิดว่าเขาใจดีจัง ดิฉันจึงโอนเงินงวดเเรกให้ไป 5000 บาท และวันที่ 9 ที่ผ่านมาเขาโทรมาบอกให้ฉันโอนให้เพราะของจะมาส่ง (ดิฉันไม่เคยเจอหน้าเขาเลยไม่รู้ว่าเขาทำแบบไหน) เงินงวดหลังฉันต้องกดอิออนให้เขาเพราะหมุนเงินไม่ทัน ฉันจึงอยากเลิกทำเพราะต้องจ่ายอีก 14000 ฉันจึงโทรกับไปเพื่อขอยกเลิก แต่หมอดูบอกทำไปแล้วไม่สามารถยกเลิกได้ เพราะถ้าหยุดเงินที่เสียไปจะไม่เป็นผลอะไรเลย หมอดูก็เลยให้ฉันผ่อนเท่าที่มีได้ ฉันรู้สึกลำบากใจ เป็นทุกข์มากกว่าตอนที่ไม่แก้กรรมอีก ฉันควรทำยังไงดี



ยืนยันนะงับ

กรรมในปัจจุบันที่เรากระทำ แก้ได้

แต่กรรมที่ทำไปแล้วในอดีต คือ วิบากกรรมแก้ไม่ได้นะงับ

กรรมอดีตแม้แต่พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุดในโลกยังแก้ไม่ได้เลยงับ

กรรมในปัจจุบันที่แก้ได้คือ

ทำกรรมให้สุจริต ทั้งกาย วาจา ใจ งับ

.....................................................
“เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น”

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อสันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 15:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2007, 15:22
โพสต์: 603

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


เสียไป 5000 แล้ว ถ้าไม่ไหวก็อย่าไปเสียดายเลย
เดี๊ยวจะเสียอีก 14000

ไม่ว่าเขาจะข่มขู่ยังไงก็ให้เลิกเถอะ ข้องเกี่ยวกะพวกนี้แล้วไม่ดีเลยจริงๆ ไม่แน่ถ้าเขาไม่พอใจหรือยังอยากดูดเงินคุณต่อ เขาสามารถเล่นไสยศาสตร์ใส่คุณได้นะ เพื่อเงินน่ะ

แก้กรรมน่ะ... แค่ถวายสังฆทาน หรืออะไรทำนองนี้ก็พอแล้ว เขาไม่เรียกเก็บเงินคุณแบบรีดเลือดปูแบบนี้หรอก

เรามีนะ คนที่จะสามารถแสกนกรรมได้น่ะ... ถ้าสนใจก็ติดต่อได้นะ

มีจ่ายแค่ค่าบูชาครูและค่าถวายสังฆทานให้เจ้ากรรมนายเวรราวๆ 300 บาท

แต่คิวยาว ถ้าสนใจก็ติดต่อได้

ปล่อยวาง 5000 ไป เดี๊ยวจะเหมือน ล๊อตตอรี่ ยิ่งเล่นยิ่งเสีย
เก็บเงินไว้ใช้พักผ่อนหัวใจตัวเองเเถอะนะ....


แก้ไขล่าสุดโดย kanalove เมื่อ 13 ก.พ. 2010, 15:35, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 15:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 เม.ย. 2009, 13:18
โพสต์: 70

อายุ: 0
ที่อยู่: ลาดพร้าว

 ข้อมูลส่วนตัว


โดนหลอกแล้วค่ะ ไม่ต้องโอนไปอีกแล้วนะคะ

กรรมแก้แทนกันไม่ได้ แต่ขออโหสิให้เบาบางลง ยังไงเราก็ยังโดนเศษกรรมอยู่ดี
สวดมนต์ นั่งสมาธิ อยู่บ้านไม่ต้องเสียเงินสักบาทแต่ขอให้ตั้งใจจริงๆ ไว้มีเงินแล้วอยากทำบุญก็ค่อยไปทำมีน้อยก็ทำน้อย อย่ารอเวลาให้มีมากแล้วค่อยไปทำอยุ่ที่เจตนาเราตั้งใจยังไงก็บุญเต็มเปี่ยมค่ะ
ขอเป็นกำลังใจให้ผ่านพ้นอุปสรรคนะคะ

.....................................................
ตามความคิดเห็นส่วนตัวของเรา

หากเราเปรียบเจ้ากรรมนายเวรของเราเป็นเจ้าหนี้
เราคือ ลูกหนี้ที่มีสิทธิ์โดนทวงได้ทุกเวลา
การทำบุญ ถวายสังฆฑาน ปล่อยชีวิตสัตว์ หรือการทำทาน เป็นเพียงการใช้ดอกเบี้ย
การทำสมาธิแล้วสื่อจิตถึงเจ้ากรรมนายเวรและขออโหสิกรรมนั้น เป็นการใช้เงินต้นที่เราได้ติดเขานั่นเอง


ลองดูสิว่าถ้ากลับกันตัวคุณเป็นเจ้าหนี้ คุณอยากให้ลูกหนี้ใช้หนี้คุณแบบไหนกันล่ะ ^^


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 16:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 13:22
โพสต์: 146

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณทุกคำตอบค่ะ ดิฉันให้หมอดูไปแล้วเป็นเงิน 10,000 บาทค่ะ
ดิฉันส่งอิเมลล์ไปขอยกเลิกแล้วเดียวนี้เองไม่รู้ผลจะเป็นยังไงค่ะ

.....................................................
ทำไมต้องปล่อยว่าง
เพราะทุกอย่างมี ความว่าง มาแต่เดิม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 16:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2007, 15:22
โพสต์: 603

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


คะ....

ขอให้เป็นไปได้ด้วยดีนะคะ ><


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2009, 20:48
โพสต์: 744


 ข้อมูลส่วนตัว


คิดดี ทำดี พูดดี เขียน:
ขอบคุณทุกคำตอบค่ะ ดิฉันให้หมอดูไปแล้วเป็นเงิน 10,000 บาทค่ะ
ดิฉันส่งอิเมลล์ไปขอยกเลิกแล้วเดียวนี้เองไม่รู้ผลจะเป็นยังไงค่ะ



ให้ตำรวจจัดการเลยงับ

หน้าที่เรา คือ ทำกุศลให้ถึงพร้อมงับ

ส่วนเจ้ากรรมนายเวร ผี ไสยเวทย์ที่ไหน

ไร้สาระสิ้นดี

ไม่ต้องไปสนใจงับ

กรรมในอดีต คือ วิบาก ยืนยันแท้จริงว่าแก้ไม่ได้แน่นนอน

อ้างคำพูด:
แต่ขออโหสิให้เบาบางลง ยังไงเราก็ยังโดนเศษกรรมอยู่ดี


ขออโหสิได้กรรมก็ไม่เบาบางลงนะงับ

อย่างอันตริยกรรม 5 จะไปขออโหสิกับใคร

ไม่มีทาง กรรมที่ไม่ตั้งใจทำ ไร้เจตนา มีเศษกรรม ที่เรียก ว่า กรรมที่สักแต่ว่าทำหรือกรรมไม่เจตนา (กตัตตากรรม)

นอกนั้นความเห็นที่ผมอ่านมาในนี้ถือว่า ยังหลงอยู่เยอะงับ


เอาไปอ่านนะงับ

จะได้เข้าใจเรื่องกรรมดี นอกนั้นมันแอบแฝงเข้ามาในศาสนาพุทธ งับ ไม่มีหรอก ทรงเจ้าเข้าผี ไปหลงหัวมันทำไมงับ

สีรพัตรปรามาสชัด แบบนี้ ไม่มีประโยชน์งับ

เอาเรื่องกรรมของพระพุทธเจ้าไปอ่านนะงับ

กรรมจตุกะ 4
แบ่งออกเป็น4ประเภทคือ
1.กิจจจตุกะ 4 คือ หน้าที่ของกรรม
2.ปากทานจตุกะ 4 คือ ประเภทของกรรม
3.ปากกาลจตุกะ 4 คือ ลำดับการให้ผลของกรรม
4.ปากฐานจตุกะ 4 คือ เหตุแห่งวิบาก

กิจจจตุกะ 4 มีกรรมอันนำให้เกิด อุดหนุน ทั้งเบียดเบียน และ ตัดรอน ทั้งกรรมดี และ กรรมชั่ว
กรรมพาให้เกิด (ชนกกรรม) คนเราที่มาเกิด ก็เนื่องจากกรรมที่ตนเองได้เคยสร้างไว้ในอดีตชาติ บันดาลให้มาเกิดตามเหตุปัจจัยที่ได้สะสมไว้ อันเป็นพลังอำนาจของกรรมที่เรียกว่า “ชนกกรรม” หรือกรรมที่พาให้เกิดเมื่อกรรมบันดาลให้ไปเกิด เช่น ผู้ที่มักโกรธ ถ้าไม่ไปเกิดเป็นอสุรกาย เนื่องจากมีกรรมที่ดีนำมาให้เกิดเป็นมนุษย์ก็จะมีกรรมวิบากให้เกิดมากผิวสีคล่ำไม่สวยหยาบ ผู้ที่มีจิตใจโลภก็จะได้มากเกิดในตระกูลที่ยากจน หรือไม่ก็ไปเกิดเป็นเปรต เป็นต้น
กรรมสนับสนุนหรือกรรมอุปถัมภ์ (อุปัตถัมภกรรม) กรรมที่ช่วยอุปถัมภ์ค้ำจุนชนกกรม เช่นทำกรรมฝ่ายดี ให้เจริญยิ่งขึ้น และกรรมฝ่ายชั่ว ให้ชั่วยิ่งขึ้น เรียกว่า “กรรมสนับสนุน” หรือ “อุปัตถัมภกรรม”ถึงแม้ว่าในชาติปัจจุบันที่เราเกิดมาแล้วนี้ เราจะพลาดพลั้ง เกิดมาในสภาพไม่ดีนัก ไม่น่าพอใจนัก แต่เราก็สามารถเพิ่มเติม ปรับปรุงแก้ไข ให้ดีกว่าเดิมได้ เช่นถ้าหากเกิดมาจน ก็แก้กรรม ด้วยความขยันขันแข็ง อดทน แบ่งรายได้ ทำบุญทำทานบ้างเป็นปกตินิสัย ซึ่งมีทั้ง กรรมฝ่ายดี และกรรมฝ่ายไม่ดี บางคนพอเริ่มเข้าท้องแม่ ก็มีพลังบันดาลให้พ่อแม่โชคดีมีลาภ ทำอะไรก็แลดูดีไปหมด อย่างนี้เรียกว่า พลังอำนาจของกรรมอุปถัมภ์ฝ่ายดี มีตัวอย่างของอุปถัมป์กรรมฝ่ายชั่วมาเป็นตัวอย่างดังนี้ ในสมัยพุทธกาล มีเศรษฐีผู้หนึ่ง มีชื่อว่า “อานันทเศรษฐี” ถึงแม้ว่าจะเป็นเศรษฐี แต่ก็เป็นคนตระหนี่ขี้เหนียว ทานไม่ไห้ ศีลไม่รักษา หาทรัพย์มาได้เท่าใด ก็เก็บรักษาเอาไว้ โดยไม่ยอมจ่ายอะไรเกินความจำเป็น แม้จะกินก็อดๆ อยากๆ จิตเต็มไปด้วยความโลภอยากได้ และก็ยิ่งโลภจัดขึ้นทุกวัน ที่เกิดเป็นเศรษฐีในชาตินี้ได้ ก็เพราะเคยใส่บาตรพระอรหันต์ ที่มาบิณฑบาตรหน้าบ้านในอดีตชาติก่อนโน้นต่อมาเมื่อเศรษฐีเฒ่าถึงแก่กรรม แต่จิตก็เต็มไปด้วยความหวงและห่วงใยในทรัพย์สมบัติ เพราะฉะนั้น ชนกกรรมอกุศล หรือกรรมพาให้เกิด จึงชักนำไปเกิดในครรภ์ของหญิงจัณฑาลยากจนคนหนึ่ง จากนั้นพลังอำนาจของกรรมอุปภัมภ์ฝ่ายชั่วก็สนับสนุน โดยดลบันดาลให้คนจัณฑาลในหมู่บ้านนั้น ซึ่งอดอยากอยู่แล้ว อดอยากหนักเข้าไปอีก ในที่สุดคนจัณฑาลทั้งหลาย ก็ได้ประชุมหารือ หาคนที่เป็นกาลกีณีโดยแบ่งเป็น 2 พวก ถ้าพวกไหนขัดสนลาภ ก็แสดงว่า คนกาลกีณีอยู่ในพวกนั้น ก็ให้แบ่งพวกอย่างนี้ จนกว่าจะพบคนที่เป็นกาลกีณี ในที่สุดก็หาพบ หญิงจัณฑาลมีครรภ์ จึงถูกขับไล่ออกจากหมู่ให้ไปอยู่อย่างโดดเดี่ยว เที่ยวซัดเซพเนจรไปเรื่อยๆ ได้รับความลำบากเป็นหนักหนาต่อมาได้คลอดบุตร ซึ่งแสนจะน่าเกลียดน่าชัง ยังกับผีเปรตแสนทุเรศไม่เหมือนคน ซึ่งทารกน้อยโตขึ้นจนรู้เดียงสา ก็ได้กะลาเป็นสมบัติ แล้วอำลาแม่เที่ยวขอทานเขาเลี้ยงชีวิต ไปทั่วทุกทิศ วันหนึ่ง ก็ได้เดินทางมาถึงปราสาทอันมโหฬาร คลับคล้ายคลับคลาว่าคุ้นๆ จึงเดินดุ่มเข้าไป จึงถูกขับไล่ทุบตี แต่ด้วยความรู้สึกในจิตใต้สำนึกว่า ปราสาทนี้ตนเป็นเจ้าของ จึงจะเข้าไปให้ได้ ในที่สุดก็ถูกทุบตีจนบอบช้ำหยุดนิ่งพอดีขณะนั้น พระพุทธองค์ได้เสด็จผ่านมา ด้วยญาณรู้ พระองค์จึงบอกแก่คนทั้งหลายให้ทราบว่า“ขอทานหน้าผีเปรตนี้ คือเศรษฐีเจ้าของปราสาท กลับชาติมาเกิด เศรษฐีลูกชายไม่เชื่อ พระพุทธองค์จึงให้เศรษฐีในคราบของขอทานเล่าประวัติของตนในชาติก่อน พร้อมทั้งให้ไปชี้ขุมทรัพย์อีก 5 แห่งที่แอบฝังไว้ไม่ให้คนอื่นรู้ก็เป็นอันพิสูจน์ได้ เศรษฐีลูกชายจึงเชื่อเรื่อง พลังอำนาจของกรรม ตั้งแต่นั้นมา
กรรมเบียดเบียน (อุปปีฬกกรรม) กรรมที่ทำหน้าที่เบียดเบียนกรรมอื่นที่ตรงข้ามกับตน ที่กำลังให้ผลไม่ว่าจะเป็นผลดี หรือผลชั่วมิให้เกิดผลอีกต่อไป เรียกว่า “กรรมเบียดเบียน” หรือ “อุปปีฬกกรรม” ซึ่งจะให้ผลแบบค่อยเป็นค่อยไป พลังอำนาจของกรรมเบียดเบียน มีอิทธิพลต่อชีวิตมาก ทั้งฝ่ายดีและฝ่ายชั่ว อย่างเช่น คนที่สร้างกรรมไว้ดีแล้ว กำลังได้รับสนองผลของกรรมดี ประสบความสุขความเจริญ อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพย์สมบัติ ลาภยศ บริวาร หรือที่เคยยากจนกำลังทำท่าจะมั่งมี ที่มั่งมีอยู่แล้วก็กำลังจะรวยใหญ่กลายเป็นเศรษฐี มหาเศรษฐี แต่ให้เผอิญ กรรมเบียดเบียน ตามมาทัน จึงเกิดพลังอำนาจเข้าไปทำหน้าที่เบียดเบียนบั่นทอนชีวิตที่กำลังก้าวหน้านั้น ให้อับเฉาหยุดความก้าวหน้าลง อดีตกาลนานมาแล้ว มีชายคนหนึ่งมีที่พักอาศัยอยู่ ใกล้ๆ วัดริมแม่น้ำ ในยามเย็นใกล้ค่ำ วันหนึ่ง ขณะอาบน้ำอยู่ที่ท่าน้ำหน้าบ้าน ก็พอดีมีสามเณรน้อยน่ารักองค์หนึ่ง พายเรือผ่านมา ชายผู้นี้นึกคะนองขึ้นมาก็แกล้งสามเณร เอามือวักน้ำสาดไปที่สามเณร สามเณรก็หลบด้วยสัญชาตญาณ จึงเป็นเหตุให้เรือล่มทันที สามเณรน้อยตกใจ รีบว่ายน้ำใจคอสั่น ส่วนปากก็ตะโกนด่าว่า ชายคนนั้นก็ยังเกิดความโกรธ จึงเข้าไปตบที่หูของสามเณร 2-3 ที แล้วดึงสามเณรขึ้นมาสู่ริมฝั่งแม่น้ำ จากนั้นกลับบ้านด้วยอารมณ์ขุ่นมัว ต่อมาอีกไม่นานนัก ชายคนนี้ได้ตายไป ก็เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสังสารเป็นเวลาช้านาน จนในสมัยพุทธกาลนี้ จึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ มีนามว่า “สุนักขัตตลิจฉวี” เมื่อเติบใหญ่เจริญวัยขึ้น ได้มีโอกาสฟังธรรม ก็เกิดความเลื่อมใส ในพระพุทธศาสนา แล้วขอบวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ ในสำนักของพระพุทธเจ้า โดยตั้งใจที่จะฝึกบำเพ็ญวิปัสสนา เพื่อตัดกิเลส เป็นอริยบุคคลในภายหลัง พระพุทธองค์ได้บอกอุบายวิธีอันถูกต้องเหมาะสมกับจริต ในไม่ช้า พระสุนักขัตตลิจฉวี ก็ได้สำเร็จฌานและบรรลุ ทิพพจักขุอภิญญา โดยเร็วภายในเวลาไม่กี่วัน มีตาทิพย์ สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ เหนือวิสัยของคนธรรมดา เช่น มองเห็น เทวโลก และพรหมโลก เป็นต้น ภิกษุใหม่ดีใจนักหนา จึงเข้าไปทูลขออุบายวิธี เพื่อที่จะฝึกวิชา ทิพพโสตอภิญญา หรือ วิชาหูทิพย์ ให้สำเร็จต่อไป พระพุทธองค์ก็ทรงให้ บริกรรมภาวนา แต่ไม่ได้บอก อุบายวิธี เพราะทรงทราบว่า จะมีพลังอำนาจของกรรมเบียดเบียน หรือ อุปปีฬกกรรม มาเบียดเบียน มิให้ได้วิชา หูทิพย์ เพราะกรรมที่เคยได้ ตบหูสามเณร ในอดีตชาติ จะมาฝึกวิชาที่เกี่ยวกับ หู ให้สำเร็จได้อย่างไรพระสุนักขัตติลิจฉวี ได้ฝึก วิชาหูทิพย์ อยู่ 3 ปี ก็หาได้สำเร็จไม่ ก็เกิดความเบื่อหน่าย และคิดผิดว่าพระพุทธเจ้า คงไม่มีวิชาที่วิเศษไปกว่านี้อีกแล้ว จึงลาสิกขาแล้วไปอยู่สำนักอื่นนอกพระพุทธศาสนา ครั้นตายไปก็ไปเกิดในนรก นี่คืออาการของพลังอำนาจของกรรมเบียดเบียนฝ่ายชั่วที่เข้าเบียดเบียนทำร้าย
กรรมตัดรอน (อุปฆาตกกรรม หรือ อุปเฉทกกรรม) กรรมใดที่ทำหน้าที่ฆ่ากรรมอื่นให้สิ้นสุดลงอย่างเด็ดขาด เรียกว่า “กรรมตัดรอน” หรือ “อุปฆาตกกรรม”พลังอำนาจของ กรรมตัดรอน ก็มีสองอย่างเช่นเดียวกัน คือกรรมฝ่ายดี และกรรมฝ่ายชั่ว มีหน้าที่ตัดกรรมฝ่ายตรงข้ามกับตนให้สิ้นสุดลงอย่างเด็ดขาด ซึ่งรุนแรงยิ่งกว่าพลังอำนาจของกรรมเบียดเบียนอย่างเช่น บุคคลที่บริบูรณ์ด้วยทรัพย์สินเงินทอง ลาภยศสรรเสริญ ฟุ้งเฟื่องเลื่องลือ เป็นที่นับถือแห่งมหาชนทั้งปวง แต่ครั้งกรรมตัดรอนฝ่ายชั่วตามมาทัน ก็จะเกิดพลังอำนาจ ให้เกิดภัยพิบัติอันตรายต่างๆ ยับเยิน ดังถูกพะเนินทุบตีถึงความพินาศในชั่วพริบตา หรือล้มตายหมดอายุ ในชั่วครูเดียว ทั้งๆ ที่ยังไม่น่าจะตายเลย เช่นบุคคลนั้นมักมีปกติเบียดเบียนสัตว์ ก็จะเป็นผลให้กรรมตัดรอนอายุของตนให้สั้นลง
ปากทานจตุกะ4 คือ กรรมหนัก กรรมในเวลาใกล้ตาย กรรมที่ทำบ่อยๆ กรรมที่ทำโดยไม่เจตตนา
กรรมหนัก (ครุกกรรม) กรรมหนัก หรือครุกกรรม เป็นกรรมที่พลังอำนาจมากให้ผลก่อนกรรมอื่นๆ และไม่มีกรรมใดมาขวางกั้นได้ มีพลังแรงอย่างทันตาเห็นในชาติปัจจุบันและสามารถส่งผลถึงชาติหน้าได้ ในส่วนชั่ว หรือบาปหนัก นั้น เรียกว่า อนันตริยกรรม ซึ่งมีอยู่ห้าประการด้วยกัน คือ สังฆเภท คือการที่พระสงฆ์รูปใดรูปหนึ่งหรือหลายรูป ได้กระทำการทำให้คณะสงฆ์ตั้งแต่สี่รูปขึ้นไปมีความเห็นผิดตามคำยุยงแห่งตนไปกระทำสังฆกรรมต่างหาก ไปสวดพระปาติโมกข์ต่างหาก ผู้ทำสังฆเภทได้นั้น หมายเฉพาะ พระสงฆ์ เท่านั้น แต่ถ้าผู้กระทำเป็นสามเณร อุบาสก อุบาสิกา ชาวพุทธทั่วไป หรือคนภายนอกพุทธศาสนา นักปราชญ์ ขี้เหล้าเมายา ทิดบาเรียนทั้งหลาย ไม่จัดอยู่ในบาปหนัก ในข้ออนันตริยกรรมนี้ แต่บาปหนักนั้นก็เสมออนันตริยกรรม ในบรรดาอนันตริยกรรมนี้ สังฆเภทเป็นกรรมที่หนักที่สุด ให้ผลก่อนอนัตริยกรรม ประเภทอื่น และสิ้นสุดลงในชาติหน้าเท่านั้น เพราะฉะนั้นถ้าหากได้ทำ อนันตริยกรรม ไว้หลายอย่าง ก็จะได้รับผลของ สังฆเภท อันเป็นกระทงที่หนักที่สุด และอนันตริยกรรมประเภทอื่นก็จะกลายเป็นอโหสิกรรม โลหิตปาท คือ การทำร้ายพระพุทธเจ้าจนเกิดอาการห้อเลือด ในสมัยพุทธกาล พระเทวทัต ได้เป็นผู้กระทำ อนันตริยกรรมข้อ โลหิตปาท นี้จนถูกธรณีสูบตกนรกอเวจีไป ในปัจจุบันนี้หากทำลายล้างวัตถุที่แทนองค์พระพุทธเจ้า เช่น ทำลายพระพุทธรูป ทำลายเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ทำลายต้นไม้มหาโพธิ์ ก็มีผลในกรณีเดียวกับโลหิตปาทอรหันตฆาต หรือ การฆ่าพระอรหันต์ บุคคลผู้ใดมีเจตนาชั่วร้าย ฆ่าพระอรหันต์ ได้ชื่อว่าเป็นอรหันต์ฆาตทั้งนั้นคฤหัสถ์ที่บรรลุธรรมวิเศษ เป็นพระอรหันต์ แต่ยังไม่ทันได้บวชเป็นพระสงฆ์ ผู้ใดฆ่าก็เป็นอนันตริยกรรม และถึงแม้ขณะเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ท่านถูกทำร้ายด้วยอาวุธหรือยาพิษในน้ำดื่มหรืออาหาร เกิดทุกขเวทนา แล้วท่านได้กำหนดเอาทุกขเวทนามาเป็นบาทแห่งวิปัสสนา จนเกิดมรรคผลสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วดับผลสู่นิพพาน ผู้ทำร้ายย่อมได้ชื่อว่า เป็นผู้ฆ่าพระอรหันต์ มาตุฆาต คือ การฆ่าแม่บังเกิดเกล้า เท่านั้น แม่เลี้ยง แม่บุญธรรม แม่ยาย ไม่เข้าข่ายเป็นมาตุฆาต และต้องเป็นการฆ่าของลูกมนุษย์ต่อแม่มนุษย์เท่านั้น การที่สัตว์เดรัจฉานฆ่าพ่อแม่ของตนนั้นไม่จัดเป็นอนันตริยกรรม การฆ่าแม่นั้นถึงแม้ว่าจะสำคัญผิดหรือไม่รู้ก็จัดเป็นอนันตริยกรรม ปิตุมาต หรือ การฆ่าพ่อบังเกิดเกล้า นัยเดียวกันกับ มาตุฆาต แต่ต่างกันตรงที่กรรมหนักใดจะเป็นผู้ให้ผลก่อน ถ้า แม่กับพ่อ เป็นคนดีมีศีลธรรมเสมอกัน มาตุฆาต ย่อมให้ผลก่อนปิตุฆาต ยกเว้นในกรณีที่พ่อ เป็นผู้มีเคุณธรรม มีศีลธรรมมากกว่า แม่ เท่านั้น ปิตุฆาต จึงจะให้ผลก่อนมาตุฆาต
นิยตมิจฉาทิฏฐิ 3 มีผลเท่ากับอนันตริยกรรม 5 แต่มีข้อแตกต่างกับอนันตริยกรรม5 คือ ถ้ากระทำอนันตริยกรรม 5 แล้วจะขว้างกันกุศลกรรมทั้งหมดเวลาทำกุศลก็จะน้อมนึกถึงบาปนั้นๆอยู่ตลอดเวลาจะไม่สามารถจะกระทำ ฌาน มรรค ผล นิพพาน ให้บังเกิดได้ แต่ถ้าเป็น นิยตมิจฉาทิฏฐิ เมื่อถอนแล้วจะสามารถกระทำ ฌาน มรรค ผล นิพพาน ให้บังเกิดได้
นิยตมิจฉาทิฏฐิ 3 คือ นัตถิกทิฏฐิ คือ การมีความเห็นว่าสัตว์ทั้งหลายที่จะได้รับความดีความชั่ว ที่จะได้มีความสุขหรือความทุกข์ ฯลฯ ในภพข้างหน้านั้น ไม่ได้เป็นผลสืบเนื่องไปจากการกระทำอันเป็นบุญหรือเป็นบาป ของตนเองที่ตนทำไว้ในชีวิตปัจจุบัน
อเหตุกทิฏฐิ คือ การมีความเห็นว่าความดี ความชั่ว ความสุข ความทุกข์ ฯลฯ ที่สัตว์ทั้งหลายได้รับอยู่ในชีวิตปัจจุบันนี้ ไม่ได้เป็นผลสืบเนื่อง มาจากการกระทำอันเป็นบุญหรือเป็นบาปของตนเอง ในภพก่อน
อกริยทิฏฐิ คือ มีความเห็นว่าการกระทำของสัตว์ทั้งหลาย ถึงแม้ว่าจะทำดีก็ไม่ชื่อว่าเป็นบุญ ถึงแม้กระทำชั่วก็ไม่ชื่อว่าเป็นบาป แต่เชื่อว่าการกระทำไม่ว่าดีหรือไม่ดีก็แค่เป็นไปตามธรรมดา ไม่เชื่อบุญไม่เชื่อบาป สำหรับครุกรรมส่วนดีนั้น ได้แก่ การเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ในผลทันทีในปัจจุบันชาติคือให้สำเร็จ มรรค ผล นิพพานในชาตินี้เลยแล้วยังตามส่งให้สนับสนุนทำความดี ศึกษาธรรมในทุกชาติ จนกว่าจะถึงพระนิพพาน การบำเพ็ญสมถกรรมฐาน จนถึงระดับ ปฐมฌาน จนถึง จตุตถฌาน ซึ่งเป็นรูปฌาน และบำเพ็ญอรูปฌาน จนถึงระดับ อากาสานัญจายตนะ (เพ่งอากาศ) วิญญาณัญจายตนะ (เพ่งวิญญาณ) อากิญจัญญายตนะ (เพ่งความว่าง) เนวสัญญานาสัญญายตนะ (เพ่งความจะมีสัญญาก็ไม่ใช่จะไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่) ตามลำดับ กรรมใกล้ตาย (อาสันนกรรม) ได้แก่กรรมที่กระทำก่อนใกล้จะตาย หรือการระลึกถึงกรรมที่เคยกระทำไว้ในเวลาที่ใกล้จะตาย ซึ่งมีทั้งฝ่ายดี และฝ่ายชั่ว บางคนจะเห็นเป็นนิมิตที่ต่างกันเช่น ถ้าจะได้ไปเกิดเป็นเทวดา ก็จะเห็นบุพนิมิต เห็นปราสาทวิมาร เทพบุตร เทพธิดา เห็นรถทิพย์มารับจากสวรรค์ เห็นอุทยานทิพย์ เห็นต้นไม้กัลปพฤกษ์ และ ต้นปาริชาติทิพย์บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ จะเกิดเป็นมนุษย์อาจมีบุพนิมิตเห็น ครรภ์ มารดา บ้านเรือน เห็นก้อนเนื้อ เห็นคนมาเชิญให้ไปอยู่ด้วย ถ้าเกิดเห็นบุญที่ตนทำแล้วเกิดปิติโสมนัสขณะตายย่อมเข้าสู่สุคติภูมิ ถ้าเห็นบาปที่ตนได้กระทำไว้ก็ย่อมเข้าสู่ อบาย ทุคติ วินิบาต และ นรก กรรมที่ทำเป็นประจำ (อาจิณณกรรม) กรรมที่กระทำบ่อยๆ หรือกระทำเป็นประจำเรียกว่า อาจิณณกรรม หรือพหุลกรรม ซึ่งมีทั้งฝ่ายดีและฝ่ายชั่ว และแม้แต่การกระทำซึ่งถึงแม้จะกระทำเพียงครั้งเดียว แต่การกระทำนั้นกินใจหรือประทับใจอย่างรุนแรง จึงทำให้ต้องนึกถึงอยู่บ่อยๆ และเมื่อนึกถึงก็ประหนึ่งเหมือนพึ่งกระทำลงไป อย่างนี้ก็เป็น อาจิณณกรรม เหมือนกัน คนมีใจบาปหยาบช้า กระทำความไม่ดีต่างๆ ด้วยกายบ้าง วาจาบ้าง ด้วยใจบ้าง แล้วกระทำความไม่ดีนั้นอยู่เสมอ เช่น ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตอยู่เป็นประจำ เมื่อตายไปก็ย่อมเข้าสู่ อบาย ทุคติ วินิบาต นรก ยกตัวอย่างเช่น นายจุนทสูกริกนั้น ฆ่าสุกรทั้งหลายกินบ้าง ขายบ้าง เลี้ยงชีวิต อยู่สิ้น ๕๕ ปี. ในเวลาข้าวแพง เขาเอาเกวียนบรรทุกข้าวเปลือกไปสู่ชนบท แลกลูกสุกรบ้านด้วยข้าวเปลือกประมาณ ๑ ทะนานหรือ ๒ ทะนาน บรรทุกเต็มเกวียนแล้วกลับมา ล้อมที่แห่งหนึ่งดุจคอก ข้างหลังที่อยู่แล้วปลูกผักในที่นั้นนั่นแล เพื่อลูกสุกรเหล่านั้น เมื่อลูกสุกรเหล่านั้น กินกอผักต่างๆ บ้าง สรีรวลัญชะ (คูถ) บ้าง ก็เติบโตขึ้น, (เขา) มีความประสงค์จะฆ่าตัวใดๆ ก็มัดตัวนั้นๆ ให้แน่น ณ ที่ฆ่าแล้ว ทุบด้วยค้อน ๔ เหลี่ยม เพื่อให้เนื้อสุกรพองหนาขึ้น รู้ว่า เนื้อหนาขึ้นแล้ว ก็ง้างปากสอดไม้เข้าไปในระหว่างฟัน กรอกน้ำร้อนที่เดือดพล่าน เข้าไปในปากด้วยทะนานโลหะ. น้ำร้อนนั้นเข้าไปพล่านในท้อง ขับกรีสออกมาในส่วนเบื้องต่ำ (ทวารหนัก) กรีสน้อยหนึ่งยังมีอยู่เพียงใด ย่อมออกเป็นน้ำขุ่นเพียงนั้น เมื่อท้องสะอาดแล้ว จึงออกเป็นน้ำใส ไม่ขุ่น, ทีนั้น เขาจึงราดน้ำที่ยังเหลือบนหลังสุกรนั้น. น้ำนั้นลอกเอาหนังดำออกไป. แต่นั้นจึงลนขนด้วยคบหญ้าแล้ว ตัดศีรษะด้วยอาบอันคม รองโลหิตที่ไหลออกด้วยภาชนะ เคล้าเนื้อด้วยโลหิต แล้วปิ้งนั่งรับประทาน ในท่ามกลางบุตรและภรรยา ขายส่วนที่เหลือ. เมื่อเขาเลี้ยงชีวิตโดยทำนองนี้นั่นแล, เวลาได้ล่วงไป ๕๕ ปี. เมื่อพระตถาคตประทับอยู่ในธุรวิหาร, การบูชาด้วยดอกไม้เพียงกำหนึ่งก็ดี การถวายภิกษาเพียงทัพพีหนึ่งก็ดี ชื่อว่าบุญอื่นน้อยหนึ่งก็ดี มิได้มีแล้วสักวันหนึ่ง.เมื่อความเร่าร้อนนั้น ปรากฏแก่นายจุนทสูกริกนั้นแล้ว, อาการอันเหมาะสมด้วยกรรมก็เกิดขึ้น. เขาร้องเสียงเหมือนหมู คลานไปในท่ามกลางเรือนนั่นเอง, ไปสู่ที่ในทิศตะวันออกบ้าง สู่ที่ในทิศตะวันตกบ้าง. ลำดับนั้น พวกคนในเรือนของเขา จับเขาไว้ให้มั่นแล้วปิดปาก. ธรรมดาผลแห่งกรรม อันใครๆ ไม่สามารถจะห้ามได้. เขาเที่ยวร้องไปข้างโน้นบ้าง ข้างนี้บ้าง. คนใน ๗ หลังคาเรือนโดยรอบ ย่อมไม่ได้หลับนอน. อนึ่ง คนในเรือนทั้งหมด เมื่อไม่สามารถจะห้ามการออกไปภายนอกของเขาผู้ถูกมรณภัยคุกคามแล้วได้ จึงปิดประตูเรือน ล้อมรักษาอยู่ภายนอกเรือน โดยประการที่เขาอยู่ภายใน ไม่สามารถจะเที่ยวไปข้างนอกได้ แม้นายจุนทสูกริก เที่ยวร้องไปข้างโน้นบ้าง ข้างนี้บ้าง ภายในเรือนนั่นเอง ด้วยความเร่าร้อนในนรก. เขาเที่ยวไปอย่างนั้นตลอด ๗ วัน, ในวันที่ ๘ ทำกาละ (ตาย) แล้ว ไปเกิดในอเวจีมหานรก. อเวจีมหานรก กรรมที่สักแต่ว่าทำหรือกรรมไม่เจตนา (กตัตตากรรม) กรรมที่สักแต่ว่าทำ โดยผู้กระทำไม่มีเจตนา ไม่ได้มีความตั้งใจอย่างเต็มที่ คล้ายกับว่า ไม่เต็มใจทำ เรียกว่า กรรมไม่เจตนา หรือ กตัตตกรรม ยกตัวอย่างเช่น ชายผู้หนึ่งมีอาชีพทำนา วันหนึ่งชาวบ้านชาวเมืองได้พากันไปทำบุญ และทำการสักการบูชาแด่พระพุทธเจ้า และได้ชักชวนชาวนาผู้นี้ด้วย แต่ชาวนาผู้นี้กลับมีความเห็นผิด มองเห็นว่า การไปทำบุญนั้นเป็นการเสียประโยชน์ เสียเวลาทำมาหากิน เสียเวลาไถนา แต่เมื่อถูกชักชวนหว่านล้อม มากๆ ก็เลยพูดประชดออกไป โดยไม่มีเจตนาดูถูกดูหมิ่นพระพุทธเจ้าว่า “พระพุทธเจ้าดีจริง แต่เราตั้งใจไว้แล้วว่า ถ้าท่านสามารถมาจับหางไถ ไถนาได้อย่างเราเมื่อไรนั่นแหละ จึงจะไปทำบุญด้วย เหมือนกับยุคปัจจุบัน ที่มีผู้มาบอกบุญบ่อยๆ ด้วยความไม่อยากทำบุญ ก็จะพูดประชดประชัน และบางทีก็พาลหาเรื่อง กลายเป็นเรื่องใหญ่โตไปเลยก็มี แม้แต่พระภิกษุสงฆ์ ซึ่งเขาถวายข้าวสารอาหารแห้ง ให้เป็นของสงฆ์ หรือที่เราเรียกว่า สังฆทาน แต่กลับนำของนั้นมาใช้หรือนำไปให้ผู้อื่น โดยไม่ได้รับอนุญาตจากสงฆ์ ก็เป็น กตัตตากรรมฝ่ายชั่ว พาไปสู่ ทุคติ กตัตตกรรมฝ่ายดี กบน้อยตัวหนึ่ง ได้ยินเสียงของพระพุทธเจ้าที่กำลังแสดงธรรม ก็เกิดความซาบซึ้งยินดีในน้ำเสียงนั้น ถึงแม้ว่าจะไม่มีความเข้าใจในเนื้อความ ไม่รู้ว่าอะไรเป็นบุญ อะไรเป็นบาป เหมือนกับพวกเราชาวพุทธ ที่ฟังพระสงฆ์สวดมนต์ ก็ให้รู้สึกปลื้มปีติจิตแน่วแน่ หารู้ความหมายในเสียงสวดมนต์นั้นไม่ แต่ก็รู้สึกเพลิดเพลินในใจมีความสุข อย่างนี้เป็นกตัตตกรรมฝ่ายดี เมื่อตายไปสามารถพาไปสู่ สุคติได้ การจับมือลูกหลานให้ถือทัพพีใส่บาตรพระ การจับมือเด็กให้ประนมมือไหว้พระ หรือสอนให้ภาวนา พุทโธๆๆ ซึ่งทารกเหล่านั้นก็แสดงกิริยาบุญไปอย่างนั้นเอง หาได้รู้ว่าหรือมีเจตนาว่าเป็นสิ่งดีมีคุณเป็นบุญเป็นกุศล เหมือนกับนกแก้ว นกขุนทอง นกสาลิกา สอนให้พูดภาษาคนได้ สอนให้สวดมนต์ได้ก็จัดเป็น กตัตตกรรมฝ่ายดี นกเค้าแมวตัวหนึ่ง ได้แลเห็นพระพุทธเจ้าออกบิณฑบาตรด้วยอาการสำรวม สง่างาม ก็มีจิตรักใคร่ชอบใจ จึงออกบินไปส่งครึ่งทาง เป็นประจำตลอดเวลาที่พระพุทธเจ้าได้ประทับอยู่ ณ ถ้ำที่นกเค้าแมวตัวนี้อาศัยอยู่ ไม่แต่เท่านั้น วันหนึ่งในเวลาเย็นใกล้ค่ำ ขณะตะวันกำลังสาดแสงสีเหลืองแดง นกเค้าแมวตัวนี้ถึงกับบินออกจากซอกถ้ำ ไปยืนอยู่หน้าพระพุทธองค์ พร้อมยกปีกซ้ายขวาประหนึ่งถวายความเคารพ ทั้งๆ ที่ไม่รู้บุญรู้บาป แต่กระทำไปเพราะอยากจะทำ อย่างนี้ก็เป็น กตัตตกรรมฝ่ายดี ที่นำไปสู่สุคติได้ ปากกาลจตุกะ4 คือ การให้ผลของกรรม ในปัจจุบันชาติ ชาติที่2 ชาติที่ 3 และ กรรมที่ตามไม่ทัน
กรรมทันตาเห็นหรือกรรมที่ให้ผลชาตินี้ (ทิฐธรรมเวทนียกรรม) กรรมที่ให้ผลในชาติปัจจุบันหรือกรรมที่ให้ผลทันตา (ทิฐธรรมเวทนียกรรม) เป็นกรรมที่มีพลังอำนาจให้ผลในชาตินี้เลยทีเดียว ไม่มีแรงกรรมไปถึงชาติหน้าหรือชาติอื่นๆ มีทั้งที่ให้ผลทันตาภายในเจ็ดวัน (ปริปักกทิฐธรรมเวทนียกรรม) และหลังเจ็ดวันล่วงไปแล้ว แต่ไม่ข้ามภาพข้ามชาติคงให้ผลเฉพาะในชาตินี้เท่านั้น (อปริปักกทิฐธรรมเวทนียกรรม) ตัวอย่างเช่นชายยากจนเข็ญใจคนหนึ่ง ซึ่งมีนามว่า นายมหาทุคคตะ ได้มีโอกาสถวายภัตตาหารแด่ องค์สมเด็จพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อถวายเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ได้รับผลกรรมทันตาเห็น คือ ได้กลายเป็นเศรษฐีร่ำรวยมหาศาลภายในเจ็ดวันนั่นเอง ชายยากจนเข็ญใจอีกคนหนึ่ง ซึ่งมีนามว่า นายปุณณะพร้อมกับภรรยาของเขา ได้มีโอกาสถวายภัตตาหารแด่องค์พระสารีบุตรมหาเถรเจ้า ซึ่งเพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติ พอถวายเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ได้รับผลกรรมทันตาเห็น คือ ได้กลายเป็นเศรษฐีมีสมบัติมาก เกิดความร่ำรวยมหาศาลภายในเจ็ดวัน ชายยากจนเข็ญใจอีกคนหนึ่ง ซึ่งมีนามว่า นายกากวฬิยะ พร้อมกับภรรยาของเขา ได้มีโอกาสถวายภัตตาหารแด่พระกัสสปสังฆเถรเจ้า ซึ่งเพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติ พอถวายเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ได้รับผลกรรมทันตาเห็น คือ ได้กลายเป็นเศรษฐีมีสมบัติมาก เกิดร่ำรวยมหาศาลภายในเวลาเจ็ดวัน ส่วนกรรมที่ให้ผลทันตาเห็นภายในเจ็ดวัน ฝ่ายชั่ว ก็มีตัวอย่าง เช่น มานพผู้หนึ่ง ซึ่งมีนามว่า นันทะ เป็นคนไร้สติปัญญามากด้วยโมหะจริต มีจิตคิดปฏิพัทธ์รักใคร่ใน พระอุบลวรรณาเถรี ซึ่งเป็นพระอรหันต์ตัดกิเลส วันหนึ่งได้มีโอกาสเข้าไปปลุกปล้ำองค์พระอรหันต์ สำเร็จเป็น กรรมทันตาฝ่ายชั่ว ถูกธรณีสูบไปเสวยทุกข์อยู่ในนรกภายในเจ็ดวัน สมเด็จพระเจ้าสุปพุทธะราชาธิบดี แห่งเทวทหะนคร ซึ่งเป็นพระราชบิดรองค์เจ้าชายเทวทัตและฟ้าหญิงยโสธรา ผู้มีจิตอาฆาตพยาบาทต่อองค์สมเด็จพระบรมศาสดา ภายหลังได้เสวยน้ำจัณฑ์จนมีพระอาการมึนเมา แล้วเข้าปิดกั้นทางโคจรบิณฑบาตรแสดงอาการไม่เคารพขับไล่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ สำเร็จ เป็นกรรมทันตาเห็น แล้วถูกธรณีสูบไปเสวยทุกข์อยู่ในนรก ภายในเวลาเจ็ดวัน จะเกิดได้ต้องได้รับการเกื้อหนุนเป็นพิเศษ คือ ฝ่ายกุศลต้องประกอบด้วย สัมปัตติ 4 คือ ต้องเกิดในสุคติภูมิ ต้องเกิดในสมัยที่มีพระศาสนาและมีร่างกายครบ 32 ประการ และ ต้องเพียรประพฤติแต่สุจริตกรรมคือให้ทานรักษาศีลเจริญภาวนาอยู่เสมอๆ ส่วนอกุศลจะเป็นฝ่ายตรงข้าม ผู้ที่ได้รับหรือถูกกระทำจะต้องเป็น ผู้ที่มีคุณวิเศษเหนือมนุษย์ เช่น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์ พระอนาคามี ที่สำคัญจะต้องได้รับผลในชาตินี้เท่านั้นถ้าไม่ได้จะเป็นอโหสิกรรม กรรมที่ให้ผลชาติหน้า (อุปปัชชเวทนียกรรม) เป็นกรรมที่บุคคลใดได้กระทำแล้วย่อมมีพลังอำนาจให้ผลในชาติหน้า อันเป็นชาติที่ 2 ต่อจากชาตินี้ เป็นกรรมที่ทำโดยมีเจตนาแรงกล้า ให้ผลในชาติหน้าเท่านั้น ถ้าไม่ให้ผลจะเป็นอโหสิกรรม กรรมประเภทนี้มักเป็นกรรมประเภท กรรมหนัก ทั้งฝ่ายดี และฝ่ายชั่ว ถ้าเป็นฝ่ายชั่ว ก็เป็นประเภท อนันตริยกรรม และ นิยตมิจฉาทิฏฐิ บุคคลเหล่านี้เมื่อตายไปย่อมถูกพลังอำนาจของกรรมชักนำไปเกิดในนรกทันทีอันที่จริงเมื่อทำกรรมประเภทนี้แล้ว ผลแห่งกรรมก็ปรากฏให้เห็นในชาตินี้ด้วยเพียงเล็กน้อย กรรมที่ต้องรับในนรก มันแรงและแสนสาหัสกว่า ระยะเวลามันยาวนานจนนับไม่ถ้วน จึงเรียกว่ามันมีพลังอำนาจแรงกว่า ในอดีตกาลนานมาแล้ว ณ เมืองพาราณสี มีพระราชกุมารทรงพระนามว่า พรหมทัตกุมาร และมีบุตรของปุโรหิตคนหนึ่ง มีชื่อว่า สังกิจจกุมาร ทั้งสองเป็นสหายสนิทกัน ถึงแม้ว่าจะมีฐานะแตกต่างกัน เมื่อทั้งสองได้สำเร็จการศึกษา จาก ตักกศิลานคร พรหมทัตกุมาร ก็ได้รับการสถาปนาให้ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอุปราชแห่งพาราณสีมหานคร ส่วน สังกิจจกุมาร ก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอำมาตย์คนสนิทแห่งเจ้าอุปราชผู้เป็นสหายแห่งตน วันหนึ่งเจ้าอุปราชเกิดมักใหญ่ใฝ่สูง อยากจะได้ครอบครองสมบัติและอำนาจ จึงคิดปลงพระชนม์สมเด็จพระราชบิดา แต่ก็ได้รับการทัดทานจาก อำมาตย์สังกิจจกุมาร เจ้าอุปราชก็หาได้ฟังคำทันทานไม่ กลับซ่องสุมผู้คนและกำลังอาวุธ จนในที่สุดก็ทำบาปหนัก ด้วยการปลงพระชนม์สมเด็จพระราชบิดาของตน ส่วนสังกิจจกุมาร เมื่อไม่อาจขัดขวางได้ ก็ได้ปลีกตัวไปบวชเป็นฤาษีในป่าใหญ่ เจริญภาวนาจนสำเร็จฌานอภิญญา สามารถจัดแสดงฤทธิ์ต่างๆ ได้ และมีความรู้เหนือวิสัยคนธรรมดา ด้วยอำนาจแห่งอภิญญาที่ได้บรรลุ เมื่อพรหมทัตกุมาร ทำการสำเร็จ ก็ยินดีปรีดากันอยู่ไม่นาน แต่การฆ่าบิดาอันเป็นกรรมหนัก อนันตริยกรรม จึงทำให้กษัตริย์องค์ใหม่ร้อนรุ่มกลุ้มพระทัย กลัวบาปกรรมนรกเป็นที่สุด จึงให้นึกถึงสหายเก่า และได้สืบเสาะค้นหา สังกิจจฤาษี เมื่อได้พบและ สังกิจจฤาษี ได้แสดงด้วยฤทธาให้เห็นถึงสภาพนรกต่างๆ กษัตริย์ผู้สำนึกบาปก็ได้บริจาคทานและรักษาศีลเป็นเนืองนิตย์ แต่ก็เป็นที่สังเวชใจยิ่งนัก เมื่อถึงกาลสิ้นพระชนม์พลังอำนาจของบาปกรรมที่ฆ่าพ่อก็ฉุดกระชากให้ไปเกิดเป็นสัตว์นรกอเวจี กรรมที่ให้ผลชาติที่ 3 จนถึง พระนิพพาน (อปราปริยเวทนียกรรม) กรรมหรือการกระทำไม่ว่าดี หรือชั่ว ที่มีพลังอำนาจส่งผลแก่ผู้กระทำ ตั้งแต่ชาติที่ 3 เป็นต้นไป (ชาติปัจจุบันนับเป็นชาติที่ 1 ชาติหน้านับเป็นชาติที่ 2) ไม่ว่าจะเป็นชาติใด เมื่อกรรมประเภทนี้มีโอกาสเมื่อใดย่อมให้ผลเมื่อนั้น ดุจสุนัขล่าเนื้อ ตามทันเมื่อไรย่อมกัดเมื่อนั้น ไม่มีการเป็นอโหสิกรรม จนกว่าผู้กระทำจักได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ และดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพานแล้วเท่านั้น จึงจักหมดฤทธิ์ไม่อาจติดตามต่อไปได้ เพราะท่านไม่เกิดอีกแล้ว ถึงแม้ว่าจะสำเร็จอรหันต์แล้วแต่ยังไม่ดับขันธ์ ก็ยังคงต้องมีโอกาสรับกรรมประเภทนี้อยู่อีกนั่นเองกรรมชนิดนี้เรียกว่า “อปราปริยเวทนียกรรม” เป็นกรรมที่มีพลังแรงและมีอายุยืนยาวกว่ากรรมใดๆ ข้อประการอันทำให้ อกุศลอปราปริยเวทนียกรรม ตามไม่ทัน ทำแต่สิ่งที่ดีงาม คือ ให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา = ปุพเพกตปุญญตา มีความยินดีในปฏิรูปเทศ คือ อยู่ในสถานที่มีคนดีมีศีลธรรม ให้เป็นคนมีปัญญา คือ งดเว้นจากคนชั่ว ไม่เกลือกกลั้วคนพาล คบบัณฑิต ใครในการศึกษา คือ อุตสาหะสดับตรับฟังธรรม และ หมั่นศึกษาธรรมที่ถูกต้อง โดยไม่ใช่วิชาทางโลกซึ่งเรียกกว่า เฉโก แปลว่าฉลาดในการเอาเปรียบ ให้เป็นคนดีมีศีลธรรม คือ พยายามรักษา กาย วาจา ใจ ของตนให้อยู่ในทางสุจริต กรรมที่ตามไม่ทัน (อโหสิกรรม) กรรมที่ได้กระทำลงไปแล้ว แต่ยังไม่มีโอกาสให้ผล เรียกว่า “อโหสิกรรม"คนเราเกิดมามักกระทำทั้งกรรมดี และกรรมชั่วสลับกันไป กรรมหลายอย่าง ที่เป็นกรรมชนิดที่ให้ผลในชาตินี้ เป็นกรรมทันตาเห็น ซึ่งเป็นผลหนักเบาต่างกัน เมื่อได้กระทำลงไปแล้ว กรรมทันตาเห็น ประเภทหนักสุด ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายดี หรือฝ่ายชั่ว ย่อมให้ผลก่อน แต่ให้ผลไปจนกระทั่งเราตายจากชาตินี้ไป กรรมทันตาเห็นประเภทรองๆ ลงไป ซึ่งเป็นกรรมที่ต้องให้ผลในชาตินี้เหมือนกัน เมื่อชาตินี้หมดไปแล้ว กรรมเหล่านี้ก็กลายเป็น อโหสิกรรม ตัวอย่างเช่น ในกรณีที่พระภิกษุสงฆ์ถือศีล 227 ข้อ แต่วันหนึ่งเกิดไปผิดศีลที่ไม่ถึงกับปราชิกแต่ไม่ปลงอาบัติ เมื่อตายไปจึงตกนรกก่อนแล้วกรรมที่รักษาศีลมาดีที่ให้ผลไปสวรรค์ จึงกลายเป็นอโหสิกรรมไป หลังจากตกนรกแล้ว จึงไปเกิดเป็นเปรต สัตว์เดรัจฉาน ครั้นหมดกรรมแล้วจึงจะไปเกิดเป็นเทพบุตร อโหสิกรรมไม่ใช่กรรมที่ไม่ต้องใช้แต่เป็นเพียงกรรมที่ต้องใช้ในโอกาสหน้าเท่านั้นเอง 4.ปากฐานจตุกะ 4 แบ่งเป็น อกุศลกรรม กามาวจรกุศลกรรม รูปาวจรกุศลกรรม อรูปาวจรกุศลกรรม อกุศลกรรม คือ กรรมที่เกิดจาก อกุศลมูล เหตุ คือ อกุศลจิต 12 มี โมหมูลจิต 2 โลภมูลจิต 8 โทสมูลจิต 2 และ อกุศลกรรมบถ 10 ประกอบใน 3 ทวาร อันมี กาย 3 ได้แก่ การเบียดเบียนและคิดจะฆ่าสัตว์จนฆ่าสำเร็จ การลักทรัพย์ การล่วงประเวณี วจี 4 ได้แก่ พูดปด พูดคำหยาบ พูดส่อเสียด พูดเพ้อเจ้อ ใจ 3 คือ เพ่งเล็งอยากได้ของผู้อื่น พยาบาทคิดปองร้ายผู้อื่น มิจฉาทิฏฐิ มีความเห็นทื่ผิด กามาวจรกุศลกรรม คือ กรรมที่เกิดจาก กุศลมูล คือ กุศลกรรมบถ 10 ใน 3 ทวาร กายสุจริต3 วจีสุจริต4 มโนสุจริต3 และ กระทำบุญกิริยาวัตถุ 10 ๑. ทาน(ทานมัย) ที่จะให้ผลเกิดย่อมประกอบด้วยคุณสมบัติดังต่อไปนี้ คือ
๑. มีศรัทธาอันถูกต้องในการสร้างทานนั้น
๒. มีเจตนา ๔ ในการทำทานนั้น คือ
๑. เจตนาก่อนที่จะทำทานนั้น
๒. เจตนาขณะที่กำลังทำทานนั้น
๓. เจตนาขณะที่ทำทานนั้นเสร็จแล้วใหม่ๆ
๔. เจตนาที่ทำทานนั้นเสร็จไปแล้วเป็นเวลานาน
๓. มีจิตเป็นมหากุศลดวงใดดวงหนึ่งใน ๘ ดวงในเจตนา ๔
๔. องค์ทานที่จะทำนั้นต้องได้มาด้วยความบริสุทธิ์
๕. องค์ทานนั้นต้องมีประโยชน์กับปฏิคาหกหรือผู้รับ
๖. ปฏิคาหกหรือผู้รับต้องเป็นบุคคลที่สมควร ( มีคุณธรรมสูงสุด คืออริยบุคคล ต่ำสุด คือผู้มีนิจศีล)
๒ ศีล(ศีลมัย) ที่จะให้ผลเกิดย่อมประกอบด้วยคุณสมบัติดังต่อไปนี้ คือ
๑. มีศรัทธาอันถูกต้องในการที่จะรักษาศีลอันถูกต้อง
๒. มีเจตนา ๔ ในการรักษาศีลนั้น คือ
๑. เจตนาก่อนที่จะรักษาศีล
๒. เจตนาขณะที่กำลังอยู่ในศีล
๓. เจตนาที่พ้นจากศีลใหม่ๆ
๔. เจตนาที่พ้นจากศีลนานแล้ว
๓. มีจิตเป็นมหากุศลดวงใดดวงหนึ่งใน ๘ ดวงในเจตนา ๔
๔. ศีลแต่ละตัวจะต้องมีคุณสมบัติครบถ้วนไม่ขาดตกบกพร่อง
๕. ประเภทของศีลอย่างหยาบๆมีดังนี้คือ
๑. นิจศีล หมายถึง ศีลที่ติดอยู่ตลอดไปโดยไม่ละทิ้ง และมีความถูกต้องครบถ้วน
๒. อุโบสถศีล หมายถึง ศีล ๒ อันได้แก่
๑. ปาฏิโมกขสังวร คือ ศีลทั้ง ๘ ตัว จะต้องมีครบถ้วนไม่บกพร่อง
๒. ภาวนา คือ ในขณะที่รักษาศีลอยู่นั้นจะต้องมีการภาวนาในอนุสสติ ๕ ให้เกิดขึ้นตลอดเวลาที่รักษาศีล คือ พุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ สีลานุสสติ เทวตานุสสติ
๓. วิสุทธิศีล หมายถึง ศีล ๔ อันได้แก่
๑. ปาฏิโมกขสังวร คือ ศีลที่รักษามีกี่ตัวจะต้องครบถ้วนสมบูรณ์
๒. อินทรีย์สังวร คือ การสำรวมทางทวาร ๖ อยู่ในความเป็นอุเบกขา
๓. อาชีวสังวร คือ การเลี้ยงชีวิตโดยชอบ ภิกษุได้แก่การบิณฑบาต ถ้าเป็นคฤหัสถ์จะต้องเป็นสัมมาอาชีวะ
๔. ปัจจยสังวร คือ การกินอาหารต้องพิจารณาว่ากินเพื่อดำรงชีวิตอยู่ การแต่งกายต้อง
พิจารณาว่าแต่งกายเพื่อป้องกันอุณหภูมิร้อนเย็น และป้องกันความอุจาดลามก ที่อยู่อาศัยจะต้อง
พิจารณาว่าเพื่อป้องกันแดดป้องกันฝน การกินยารักษาโรคต้องพิจารณาว่าเพื่อบำบัดทุกขเวทนา
ให้ลดน้อยถอยลง จะได้ทำคุณงามความดีให้เกิดขึ้นได้
๓ ภาวนา(ภาวนามัย) ที่จะให้ผลเกิดย่อมประกอบด้วยคุณสมบัติดังต่อไปนี้ คือ
๑. มีศรัทธาอันถูกต้องในการที่จะสร้างภาวนาให้เกิดขึ้น
๒. มีเจตนา ๔ ในการภาวนานั้น คือ
๑. เจตนาก่อนภาวนา
๒. เจตนาขณะกำลังภาวนา
๓. เจตนาเมื่อภาวนาเสร็จแล้วใหม่ๆ
๔. เจตนาเมื่อภาวนาเสร็จไปนานแล้ว
๓. มีจิตเป็นมหากุศลดวงใดดวงหนึ่งใน ๘ ดวงในเจตนา ๔
๔. ภาวนาอันถูกต้องในพระธรรมของพุทธศาสนา
๕. มีความรู้ความหมายของบทบริกรรมภาวนานั้นว่ามีความหมายประการใดแล้วโน้มจิตตามไป
๔. การเคารพบุคคลที่ควรเคารพหรือการอ่อนน้อมถ่อมตน(อปจายมัย) ที่จะให้ผลเกิดย่อมประกอบด้วยคุณสมบัติดังต่อไปนี้ คือ
๑. มีศรัทธาอันถูกต้องในบุคคลผู้นั้น
๒. มีเจตนา ๔ ในการเคารพหรือการอ่อนน้อมถ่อมตน คือ
๑. เจตนาก่อนทำ
๒. เจตนาขณะกำลังทำ
๓. เจตนาเมื่อทำเสร็จแล้วใหม่ๆ
๔. เจตนาเมื่อทำเสร็จแล้วเป็นเวลานาน
๓. มีจิตเป็นมหากุศลดวงใดดวงหนึ่งใน ๘ ดวงในเจตนา ๔
๔. บุคคลผู้นั้นมีคุณสมบัติอันดีทางโลกหรือทางธรรมอันถูกต้อง
๕. เคารพโดยการอนุโมทนาในคุณงามความดีในทางโลกหรือทางธรรมอันถูกต้องของผู้นั้น
๕. ขวนขวายในกิจที่ชอบ(เวยยาวัจจมัย) ที่จะให้ผลเกิดย่อมประกอบด้วยคุณสมบัติดังต่อไปนี้ คือ
๑. มีศรัทธาอันถูกต้องในการที่จะขวนขวายในกิจที่ชอบ
๒. มีเจตนา ๔ ในการขวนขวายในกิจที่ชอบนั้น คือ
๑. เจตนาก่อนทำการขวนขวายในกิจที่ชอบ
๒. เจตนาขณะทำการขวนขวายในกิจที่ชอบ
๓. เจตนาที่ขวนขวายในกิจที่ชอบเสร็จแล้วใหม่ๆ
๔. เจตนที่ขวนขวายในกิจที่ชอบเสร็จแล้วนาน
๓. มีจิตเป็นมหากุศลดวงใดดวงหนึ่งใน ๘ ดวงในเจตนา ๔
๖. การแผ่กุศลผลบุญ(ปัตติทานมัย) ที่จะให้ผลเกิดย่อมประกอบด้วยคุณสมบัติดังต่อไปนี้ คือ
๑. มีศรัทธาอันถูกต้องที่จะให้ความเอื้อเฟื้อความสุขความสบายแก่ผู้อื่น
๒. มีเจตนา ๔ ในการที่จะแผ่กุศลผลบุญนั้น คือ
๑. เจตนาก่อนที่จะแผ่กุศลผลบุญนั้น
๒. เจตนาขณะที่กำลังแผ่กุศลผลบุญนั้น
๓. เจตนาที่แผ่กุศลผลบุญนั้นเสร็จแล้วใหม่ๆ
๔. เจตนาที่ได้แผ่กุศลผลบุญนั้นเสร็จนานแล้ว
๓. มีจิตเป็นมหากุศลดวงใดดวงหนึ่งใน ๘ ดวงในเจตนา ๔
๔. ตนได้สร้างกุศลอันถูกต้องให้เกิดขึ้นแล้ว อันได้แก่ กามาวจรกุศล รูปาวจรกุศล อรูปาวจรกุศล โลกุตตรกุศล อันถูกต้องในพระพุทธศาสนา
๕. การแผ่กุศลเสร็จแล้ว ควรจะได้ขออโหสิกรรมซึ่งกันและกัน ทั้งนี้เพราะผู้นั้นอาจเคยเป็น เจ้าเวรนายกรรมมาแต่ก่อนก็ได้
๖. ระบุผู้ที่ควรแก่การแผ่กุศลนั้นด้วยเจตนาอันมั่นคง และสมควรแก่ฐานะที่เราจะแผ่กุศลผลบุญให้แก่เขา หรือสมควรแก่ฐานะของผู้รับจะได้รับหรือไม่
๗. การอนุโมทนาบุญ(ปัตตานุโมทนามัย) ที่จะให้ผลเกิดย่อมประกอบด้วยคุณสมบัติดังต่อไปนี้ คือ
๑. มีศรัทธาอันถูกต้องที่ผู้นั้นกระทำคุณงามความดีอันถูกต้องในทางโลกหรือทางธรรม
๒. มีเจตนา ๔ ในการอนุโมทนาคุณงามความดีของผู้นั้น คือ
๑. เจตนาก่อนที่จะอนุโมทนา
๒. เจตนาขณะที่กำลังอนุโมทนา
๓. เจตนาขณะที่อนุโมทนาเสร็จแล้วใหม่ๆ
๔. เจตนาขณะที่อนุโมทนาเสร็จเป็นเวลานานแล้ว
๓. มีจิตเป็นมหากุศลดวงใดดวงหนึ่งใน ๘ ดวงในเจตนา ๘. การฟังธรรม(ธัมมัสสวนมัย) ที่จะให้ผลเกิดย่อมประกอบด้วยคุณสมบัติดังต่อไปนี้ คือ
๑. มีศรัทธาอันถูกต้องที่ได้ฟังธรรมในพระพุทธศาสนา
๒. มีเจตนา ๔ ในการฟังธรรมนั้น คือ
๑. เจตนาก่อนที่จะฟัง
๒. เจตนาขณะที่กำลังฟังธรรม
๓. เจตนาที่ฟังธรรมเสร็จแล้วใหม่ๆ
๔. เจตนาที่ฟังธรรมเสร็จนานแล้ว
๓. มีจิตเป็นมหากุศลดวงใดดวงหนึ่งใน ๘ ดวงในเจตนา ๔
๔. ตั้งใจฟังด้วยความเคารพในธรรมของพุทธศาสนาและพยายามจดจำไว้
๕. เมื่อฟังแล้วพิจารณากลั่นกรองด้วยเหตุด้วยผล และพิจารณาว่าธรรมนั้นสมควรแก่ฐานะของตัวเราที่จะประพฤติปฏิบัติได้หรือไม่
๖. เมื่อมีข้อสงสัยก็สนทนาไต่ถามเพื่อทำความเข้าใจอันถูกต้อง
๗. ประพฤติปฏิบัติธรรมที่ได้ฟังให้ถูกต้องตามควรแก่ฐานะ คือ การสืบต่อพระพุทธศาสนานั่นเอง
๙. การให้ธรรมเป็นทาน(ธัมมเทสนามัย) ที่จะให้ผลเกิดย่อมประกอบด้วยคุณสมบัติดังต่อไปนี้ คือ
๑. มีศรัทธาอันถูกต้องเพื่อดำรงไว้ซึ่งพุทธศาสนา
๒. มีเจตนา ๔ ในการที่ให้ธรรมอันสมควร คือ
๑. เจตนาก่อนให้ธรรม
๒. เจตนากำลังให้ธรรม
๓. เจตนาที่ให้ธรรมเสร็จแล้วใหม่ๆ
๔. เจตนาที่ให้ธรรมเสร็จนานแล้ว
๓. มีจิตเป็นมหากุศลดวงใดดวงหนึ่งใน ๘ ดวงในเจตนา ๔
๔. เป็นธรรมในพระพุทธศาสนาอันถูกต้อง
๕. ธรรมที่ให้นั้นเป็นธรรมที่เหมาะสมและเป็นประโยชน์แก่ผู้ฟังที่จะนำไปประพฤติปฏิบัติ
๖. ชี้แจงให้ผู้ฟังมีความเข้าใจ สามารถนำไปประพฤติปฏิบัติได้โดยถูกต้องตามฐานะ
๑0. ทิฏฐุชุกรรม ( การทำความเห็นให้ถูก ) ที่จะให้ผลเกิดย่อมประกอบด้วยคุณสมบัติดังต่อไปนี้ คือ
๑. มีศรัทธาอันถูกต้องโดยเชื่อพระธรรมในพุทธศาสนาแต่ละเรื่องและขั้นตอนในการที่กระทำสิ่งนั้นๆ ให้ถูกต้อง
๒. จะต้องมีการค้นคว้าในพระธรรมคำสอนอันถูกต้อง
๓. จะต้องมีการประพฤติธรรมปฏิบัติธรรมอันสมควรแก่ธรรมและผลเกิดขึ้นแล้วจึงจะสามารถรู้ได้ว่าอย่างใดผิดอย่างใดถูก
๔. ต้องใช้สติและปัญญาประกอบด้วยเหตุและผลแต่ละขั้นละตอน
๕. ในเรื่องแต่ละเรื่องจะต้องพิจารณาด้วยเหตุและผลด้วยจิตเป็นอุเบกขา ทั้งในเรื่องดีและเรื่องชั่ว
๖. สิ่งที่ถูกต้องตามพระธรรมคำสอนนั่นก็คือ " ละความชั่ว ทำแต่ความดี "
๗. เมื่อการทำความเห็นให้ถูกต้องแล้ว จะกระทำในสิ่งอันถูกต้องนั้นจะต้อง ประกอบด้วยเจตนา
๔ อันมีจิตเป็นมหากุศลดวงใดดวงหนึ่ง ใน ๘ ดวง
กัมมสกตาปัญญา มีธรรมเป็นปัจจัย คือ สุตมยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการฟัง จินตามยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการคิด พิจารณาไตร่ตรอง ภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน รูปาวจรกุศลกรรม คือ กุศลกรรมที่เกิดจาก มหัคคตกุศลมูล เป็นภาวนามัยที่เกิดทางมโนทวารเพียงทางเดียว โดย กัมมัฏฐาน 26 คือ กสิน 10 อสุภ 10 กายคตาสติ 1 อานาปานสติ 1 พรหมวิหาร 4 เป็นเหตุให้เกิด รูปาวจรกุศลกุศลกรรม คือ รูปาวจรกุศลจิต 5 รูปฌาน 5 องค์ธรรม
1.ปฐมฌาณ มีองค์ฌาน คือ วิตก วิจาร ปิติ สุข เอกัคคตา
2.ทุติยฌาน มีองค์ฌาน คือ วิจาร ปิติ สุข เอกัคคตา
3.ตติยฌาน มีองค์ฌาน คือ ปิติ สุข เอกัคคตา
4.จตุถะฌาน มีองค์ฌาน คือ สุข เอกัคคตา
5.ปัจมฌาน มีองค์ฌาน คือ อุเบกขา เอกัคคตา อรูปาวจรกุศลกรรม คือ กุศลกรรมที่เกิดจาก มหัคคตกุศลมูล เป็นภาวนามัยที่เกิดทางมโนทวารเพียงทางเดียว โดย กัมมัฏฐาน 4 กสิณุคฆาฏิมากาส 1 อากาสานัญจายตน 1 นัตถิภาวบัญญัติ 1 อากิญจัญญายตน 1 เหตุให้เกิด อรูปาวจรกุศลกุศลกรรม คือ อรูปาวจรกุศลจิต 4 อรูปฌาน 4 ปัญจมฌาน (องค์ฌาน 2 มี อุเบกขา เอกัคคตา ) อากาสานัญจายตนฌาน วิญญาณัญจายตนฌาน อากิญจัญญายตนฌาน เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน

.....................................................
“เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น”

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อสันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2009, 20:48
โพสต์: 744


 ข้อมูลส่วนตัว


kanalove เขียน:
เสียไป 5000 แล้ว ถ้าไม่ไหวก็อย่าไปเสียดายเลย
เดี๊ยวจะเสียอีก 14000

ไม่ว่าเขาจะข่มขู่ยังไงก็ให้เลิกเถอะ ข้องเกี่ยวกะพวกนี้แล้วไม่ดีเลยจริงๆ ไม่แน่ถ้าเขาไม่พอใจหรือยังอยากดูดเงินคุณต่อ เขาสามารถเล่นไสยศาสตร์ใส่คุณได้นะ เพื่อเงินน่ะ

แก้กรรมน่ะ... แค่ถวายสังฆทาน หรืออะไรทำนองนี้ก็พอแล้ว เขาไม่เรียกเก็บเงินคุณแบบรีดเลือดปูแบบนี้หรอก

เรามีนะ คนที่จะสามารถแสกนกรรมได้น่ะ... ถ้าสนใจก็ติดต่อได้นะ

มีจ่ายแค่ค่าบูชาครูและค่าถวายสังฆทานให้เจ้ากรรมนายเวรราวๆ 300 บาท

แต่คิวยาว ถ้าสนใจก็ติดต่อได้

ปล่อยวาง 5000 ไป เดี๊ยวจะเหมือน ล๊อตตอรี่ ยิ่งเล่นยิ่งเสีย
เก็บเงินไว้ใช้พักผ่อนหัวใจตัวเองเเถอะนะ....



ท่านหลงแล้วนะ ท่าน kanalove

ใครมาเล่นไสยเวทย์ก็ช่างหัวมัน ทำสมาธิภาวนาดูกายใจ รูปนามเป็นอารมณ์ ตลอดเวลา มันเด้งกลับไปเลย

ไอ้หมอดู หมอผี บ้าทุกราย

ไอ้แก้กรรมหลงสุดๆแล้ว ไม่มีหรอกแก้กรรม ไอ้กรรมหมอหลอกหมอผี มันต้องไป อเวจี ไป โลกันตนรก ไปหมดทั้งนั้นแหละ

เราเชื่อมัน ตามมัน เดี่ยวก็ได้ตามมันไปนรก

เจ้ากรรม นายวง นายเวร มันไม่มีทั้งนั้นแหละ พระพุทธเจ้า ไม่ได้สอน

มันหลง

ส่วนสังฆทานทำไว้ก็เป็นบุญของเรา

ภาวนา เอารูปนามเป็นอารมณ์ไปเลย นี่ละ ภูมิพระอนาคามี เท่านี้ ก็ไปอยู่กับพระพุทธเจ้า แดนนิพพาน แล้ว

อย่าหลง

.....................................................
“เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น”

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อสันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 18:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


บอกเขาไปว่า พอดีไปดูอีกหมอดูนึง
แล้วหมอดูคนใหม่เขาบอกว่า
หมอดูคนนี้(ที่เราจ่ายเงินไป) เป็นเจ้ากรรมนายเวรของชาติก่อน
แล้วหมอคนใหม่สามารถจะปลดเจ้ากรรมนายเวรคนนี้ให้ได้ในราคา 9 บาท เป็นค่ายกครู

บอกเขาไปอีกว่า... ดิฉันเชื่อหมอดูคนใหม่มากกว่า
เพราะท่านบอกไม่ให้จ่ายเงินให้คุณอีก ให้จบแค่นี้
และทันทีที่ดิฉันเชื่อ ดิฉันก็ไม่ต้องจ่ายเพิ่มอีกจริงๆ
ดิฉันเสีย 9 บาทเอง แทนที่จะเสียอีก 2 หมื่น

บอกเขาไปอย่างนี้นะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 18:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ม.ค. 2010, 16:32
โพสต์: 323

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


smiley

น่าสงสารมาก น่าสงสาร

หลวงจีนงมงายเห็นใจคุณมาก

ถ้ารู้จักกันก็ดีนะ เสียดาย ๆ ถ้าชอบแบบนี้

จะพาไปหาเพื่อนงมงายเอง เป็นคนธรรมดา ไม่เสียตังค์

บอกตรง เพื่อนงมงาย เข้าฌานแบบไม่หลับตา

ไม่มีพิธีรีตองอะไรมากมาย เขาดูกรรม แล้วแก้ตามอาการ

พาคนที่เรารักไปหลายคนแล้ว ได้ผลทุกคน

สงสาร สงสาร สงสาร


..........

แม้ตัวเองจะงมงาย แต่อยากจะให้คนอื่นหายงมงาย

.onion.


แก้ไขล่าสุดโดย หลวงจีนงมงาย เมื่อ 13 ก.พ. 2010, 18:23, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 19:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ
กรรม!

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 21:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.พ. 2010, 13:35
โพสต์: 355

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรรมในอดีต คือ วิบาก ยืนยันแท้จริงว่าแก้ไม่ได้แน่นอน....จริงหรือ?

ผมยืนยันว่า เราสามารถแก้กรรมในอดีตของเราเอง หรือคนอื่นสามารถช่วยแก้กรรมให้เราได้ด้วยครับ

เพราะ(บาป)กรรมคือ การกระทำอกุศลต่อสิ่งมีชีวิตอื่น หรือจิตดวงอื่น เขาจึงเป็นเจ้ากรรมนายเวรของเรา ด้วยเหตุนี้ เมื่อเขาให้อภัยหรืออโหสิกรรมให้เรา วิบากกรรมนั้นก็ต้องกลายเป็นเศษกรรมไป เหมือนคุณเป็นหนี้เขา 100 บาท พอคุณทำกรรมฐาน แผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวรในเรื่องนั้น ซึ่งมีผลบุญ 500 บาท เจ้ากรรมนายเวรในเรื่องนั้นส่วนใหญ่ก็คงต้องรับ และให้อภัย อโหสิกรรมให้ แต่ถึงแม้เขายังไม่ให้อภัย แลไม่อโหสิกรรมให้คุณในตอนนั้น ถึงอย่างไรเขาก็ต้องยอมลดวิบากกรรมคุณลงมาแน่นอน

ในกรณีเดียวกัน คุณเป็นหนี้เขาในเรื่องนั้น 100 บาท แต่มีพระอรหันต์แผ่เมตตามีพลังบุญ 1 ล้านบาท ใช้หนี้กรรมแทนเรา เจ้ากรรมนายเวรเขาพอใจ วิบากกรรมนั้น แม้จะสลายไป แต่ก็ให้ผลเบาบางมาก ที่ต้องให้ผล เพราะเป็นเรื่องของกฎแห่งกรรม คุณทำกับขันธ์ของเขา คุณย่อมต้องรับผลของกรรมกับขันธ์ของคุณด้วย

ถ้าพ่อหรือลูกเราป่วย เราก็สามารถช่วยแก้กรรมหรือลดวิบากกรรมให้เขาได้ โดยทำบุญหรือถวายสังฆทาน อุทิศกุศลผลบุญนั้นให้เจ้ากรรมนายเวรของคนป่วย ส่วนใหญถ้ากรรมนั้นไม่หนักมาก เจ้ากรรมนายเวรเขาย่อมพอใจในผลบุญที่เราอุทิศให้เขา คนป่วยก็จะหายป่วยได้ง่ายมาก

สมมุติสงฆ์ของเราจำนวนมาก สอนไม่ถูก โดยบอกว่า เราทำกรรมมามากมายนับภพชาติไม่ถ้วน บาปกรรมจึงแก้ไม่ได้ บาปเหมือนกับน้ำทะเลในมหาสมุทร จะแก้ได้อย่างไร?....นั่นคือบาปรวมยอด แก้ไม่ได้หรอก แต่บาปเฉพาะเรื่อง ที่ให้ผลกับเราในชาตินี้ เช่น เป็นไส้ติ่ง เราสามารถทำบุญอุทิศกุศลไปให้เจ้ากรรมนายเวรไส้ต่งของเราได้

จากประสพการณ์ส่วนตัวของผม ถ้าเจ้ากรรมนายเวรรับผลบุญที่เราทำให้เขา กฎสวรรค์จะหักหนี้บาปออกจากผลบุญที่เราทำให้เขาไปเลย ถ้าเราใช้หนี้เขาไปครบ 100 แล้ว และเจ้ากรรมนายเวรเต็มใจรับผลบุญที่เราทำให้เขาครบ 100 หรือเกิน 100 แล้ว เขาไม่มีสิทธิ์ลงโทษเราในบาปเรื่องนั้นอีก เพราะเราใช้หนี้กรรมครบแล้ว


แก้ไขล่าสุดโดย คนดีที่โลกลืม เมื่อ 13 ก.พ. 2010, 22:03, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.พ. 2010, 11:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 13:22
โพสต์: 146

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถามคุณคนดีที่โลกลืมค่ะ
ดิฉันควรเสียเงินให้หมอดูต่อหรือปล่าวค่ะ
แล้วดิฉันจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาแก้กรรมให้ฉันแล้วจริงๆ :b2:

.....................................................
ทำไมต้องปล่อยว่าง
เพราะทุกอย่างมี ความว่าง มาแต่เดิม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.พ. 2010, 11:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2007, 15:22
โพสต์: 603

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


คิดดี ทำดี พูดดี เขียน:
ถามคุณคนดีที่โลกลืมค่ะ
ดิฉันควรเสียเงินให้หมอดูต่อหรือปล่าวค่ะ
แล้วดิฉันจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาแก้กรรมให้ฉันแล้วจริงๆ :b2:

Comment ของคนอื่น ไม่ได้ช่วยอะไรคุณเลยสินะ...

งมงาย จริงๆ...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.พ. 2010, 12:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


คนเราถ้าผิดหวังในเรื่องรัก แล้วสามารถเสียเงิน
เพื่อทำให้รักกลับมาสมหวังได้ งั้นเศรษฐีมีเงินทั้งหลายคงสมหวังในรัก
กันหมดคงไม่มีใครอกหักเลย

คุณเองก็ยังไม่รู้เลยว่าเขารับเงินไปแล้ว เขาทำอย่างไร?
ที่จะช่วยคุณได้ คุณเอาอะไรมาพิสูจน์ว่าอดีต
คุณเป็นอย่างที่เขาทำนายมา

ทำไมถึงไว้เนื้อเชื่อใจ ยอมให้เงิน
มากมายขนาดนั้นแก่เขา ไม่สงสารตัวเองบ้างหรือค่ะ?
เสียคนรักแล้วยังต้องมาเสียเงินอีก......ตื่นเถอะค่ะ
อะไรที่เสียแล้วก็ช่างมัน.....

อดึตเป็นมาอย่างไร? เราไม่รู้ อยู่กับปัจจุบันดีกว่า
ทำปัจจุบันของคุณให้ดี ตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากิน
ตั้งมั่นอยุ่ในศิลธรรมอันดี "คิดดี ทำดี พูดดี"
คุณก็จะได้รับแต่สิ่งดีๆ จะได้พบแต่คนดีๆ โดยที่ไม่ต้อง
ให้ใครมาช่วย...ขอภาวนาให้คุณ"คิดได้ คิดดี" นะค่ะ :b8:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


แก้ไขล่าสุดโดย ทักทาย เมื่อ 14 ก.พ. 2010, 12:41, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 41 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 55 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร