วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 00:42  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 29 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2010, 00:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ก.พ. 2009, 01:02
โพสต์: 337


 ข้อมูลส่วนตัว




love&family.jpg
love&family.jpg [ 25.84 KiB | เปิดดู 9360 ครั้ง ]
:b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b42: :b42: :b42: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41:

ได้อ่านบทความดีดี มีสาระ เกี่ยวกับความรักและชีวิตคู่ ขอนำมาฝากครับ cool

ส่วนที่น่ากลัวที่สุดของคนมีความรัก


เคยได้ยินสำนวนอันหนึ่งไหมครับ ที่บอกว่า
สิ่งที่ดูน่ากลัว มักจะไม่อันตราย
สิ่งที่อันตราย มักจะดูไม่น่ากลัว

ว่ากันว่า.. ส่วนที่น่ากลัวที่สุดของคนมีความรัก
คือการที่รักกันมาแนบแน่น สวยหรู
โดยไม่เคยมีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งเลย
เพราะความสวยงามราบรื่น มันทำให้เรา "วางใจ"
จนอาจลืมไปว่า.. ยังไงๆ เขาก็เป็น "คนอื่น"
ยังไงๆ เขาก็มีหัวใจคนละดวงกับของเรา
สมองคนละก้อน ตัดสินใจได้เอง รู้สึกได้เอง
ว่าจะรัก จะเลิก จะอยู่หรือจะไป

ในเวลาอกหัก ใครจะมาบอกมาพูดอะไรสามวันสามคืน
ก็ไม่ช่วยอะไรได้มาก เท่ากับการมีปัญญาขึ้นในใจเราเอง

ถ้าเราเข้าใจได้ว่า คนเราเกิดมาเพื่อพบกัน
เพื่อมีวันเวลาที่ดีด้วยกัน
และเพื่อพรากจากกันในที่สุด ไม่ช้าก็เร็ว
เราก็จะทำใจ และปล่อยวางได้
โดยไม่ต้องการคำอธิบาย หรือตรรกะเหตุผลอะไรมากมาย

เวลาเจอเรื่องแบบนี้
อย่าเสียเวลาถามว่า "ทำไม" ให้มากความนะครับ
คิดเสียว่าเขาตายจากชีวิตเราไปแล้ว
คนที่เคยเป็นคนรักแสนดีของเรา เขาไม่อยู่ในโลกของเราแล้ว

ถ้าเรารักเขามากจริงๆ อย่างที่บอกเขาเสมอ
นี่ไง.. สิ่งสุดท้ายที่เราจะให้เขาได้
"ให้อภัย" ไงครับ

คิดเสียว่า เขาจะมีความสุขมากกว่าที่ได้อยู่กับเรา
อวยพรให้เขาโชคดี ในโลกใหม่ของเขา

ไม่ต้องรอเขาหรอกนะครับ
อย่าไปหวังลมๆแล้งๆ ว่าคนตายแล้วจะฟื้นกลับมา
เพราะมันมีแต่ในหนังแฟรงเก้นสไตน์

และถึงเขาจะกลับมา เชื่อเถอะครับว่า
ความรู้สึกดีๆ มันจะไม่เหมือนเดิมแล้ว

เขาเลือกทางเดินชีวิตของเขาแล้ว
เขาเริ่มต้นชีวิตใหม่ของเขาแล้ว
เราก็เลือกได้เหมือนกัน
ว่าจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ หรือจมปลักในทุกข์นี้ต่อไป

อยากร้องไห้ก็ร้องแต่พองาม พอให้รู้สึกว่าเรามีเลือดเนื้อ
แต่อย่าร้องจนเสียจริต เหมือนคนคิดสั้น
เพราะถึงเราจะร้องจนน้ำท่วมทุ่งกุลาร้องไห้
ก็ไม่ทำให้อะไร อะไร กลับมา เหมือนเดิม

เราอาจรู้สึกเหมือนโลกดับ วับหาย
แต่เปล่าหรอก.. ชีวิตเพิ่งจะเริ่มเรียนรู้ความจริง

การเรียนรู้ความรู้สึกของการสูญเสียครั้งใหญ่
เป็นบทเรียนสำคัญของมนุษย์
ที่จะได้สอนตัวเองว่า .. อย่ายึดมั่นถือมั่น
ทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป


ทั้งเรา ทั้งเขา ทั้งใครๆ
ทั้งสิ่งนั้น สิ่งนี้ สิ่งไหน
ทั้งโลกนี้ จักรวาล และกาลเวลา


sad s007 sad s007 sad s007 sad s007
ที่มา ธรรมะใกล้ตัวฉบับ Lite ฉบับวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๕๒

:b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43:

เคล็ดลับ 19 ประการ เพื่อความสุขชีวิตคู่

( แนะปรับคนละครึ่ง และก้าวเดินไปพร้อมกัน)

บทความนี้เขียนขึ้นจากประสบการณ์จริง ของพาเมลา ฮิลล์ เนตเติลตัน อยู่ในนิตยสารเรด บุ๊ก ซึ่งรวบรวมความผิดพลาดจากชีวิตสมรสของเธอ ชนิดกลั่นออกมาจากใจ ทำให้พอจะมีบทเรียนเล่าสู่กันฟัง เป็นอุทาหรณ์ไม่ให้คุณผู้อ่านก้าวพลาดอย่างที่เธอเคยถลำมาแล้ว

เธอเขียนไตเติลว่า “ทุกครั้งที่ฉันแต่งงาน ฉันคิดเสมอว่า มันหมายถึงการผูกพันตลอดกาล แต่ที่ไหนได้ ฉันโชคร้าย และผ่านการแต่งงานแล้ว 4 ครั้ง หลังหย่ามา 3 หน” จากประสบการณ์หย่ามา 3 หนนี้เอง ทำให้เรียนรู้ถึงเคล็ดลับที่จะใช้ชีวิตคู่อย่างมีความสุขสักที จะได้ไม่เป็นม่ายถาวร เหตุนี้ถ้าใครอยากมีความสุขในชีวิตรัก จงรู้ไว้เถอะว่า...

1. อย่าเปลี่ยนเขา แต่เปลี่ยนตัวคุณเอง อย่างไรก็ตาม ถ้าเขาทำอะไรให้คุณไม่ชอบใจชนิดรับกันไม่ได้จริงๆ ลองบอกสิ่งนั้นให้เขาฟัง แต่อย่าใช้น้ำเสียงโมโหโกรธาหรือตั้งท่าจะราวี
2. บางครั้งคุณจำเป็นต้องปฏิบัติไปตามกฎของคนที่คุณรักบ้าง ไม่ควรทำอะไรตามแต่ใจตัวเอง อย่าลืมว่าคุณกำลังใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันนะ ไม่ใช่เป็นโสดอีกต่อไปแล้ว
3. ปรับจิตใจตัวเองเสียใหม่ ไม่ว่าคุณจะเป็นคนเหล็กแค่ไหน ถ้าต้องอยู่กับใครสักคนขึ้นมา คุณต้องดัดแปลงทัศนคติ, ความคิดและการแสวงหาความสุขแบบเดิมๆ มาเป็นในลักษณะที่มนุษย์ 2 คนทำร่วมกันได้ แล้วจะรู้ว่าชีวิตยังมีเรื่องสนุกให้ตักตวงไปพร้อมๆ กันอีกหลายอย่าง
4. แต่ขอให้ระลึกไว้ว่า คุณเป็นคนควบคุมชีวิตของตัวเอง จะทำสวยหรือโปรยเสน่ห์ให้เขาหลง ก็ขึ้นอยู่กับคุณเองนั่นแหละ ว่าจะหมั่นทำตัวเซ็กซี่หรือปล่อยเป็นพะโล้
5. คุยถึงเรื่องที่ดีและไม่ดี ให้กันและกันฟัง
6. บางครั้งก็ต้องเป็นหมอ (จิตแพทย์) ที่รักษาเรื่องบาดหมางระหว่างกัน
7. พูดให้น้อย แต่ทำให้มาก ซึ่งประการหลังหมายถึงหมั่นแสดงความรักต่อเขา เช่น จุมพิตกันบ่อยๆ หรือส่งสายตาระยิบระยับให้กัน
8. รักในข้อบกพร่องของคนที่เรารัก
9. ทำใจให้ได้ว่า ผู้ชายไม่ชอบเรื่องหยุมหยิมของภรรยาเหมือนกันทุกคน
10. ตรงข้าม ผู้ชายจะต่างกันในเรื่องการเอาใจใส่ภรรยา
11. อย่ากังวลกับเรื่องจุกจิกมากเกินไป เช่น บางคู่แม้แต่ยาสีฟันยังใช้คนละยี่ห้อ จึงเสนอวิธีคลี่คลายปัญหาซื้อมันเสียทั้ง 2 ยี่ห้อนั่นแหละ จะได้ไม่ต้องพะวงว่า ควรซื้อยี่ห้อไหนดี
12. ถ้าจำเป็นต้องมีปากเสียงกัน ให้เลือกทะเลาะในเรื่องที่ฉลาดๆ หน่อย อย่าลืมว่า ความคิดต่างกันไม่ได้หมายความว่า เราไม่รักกัน
13. ท่องไว้ว่า มีทางออกสำหรับข้อขัดแย้งทั้งปวงเสมอ
14. หัดใช้ความเข้าใจเป็นสะพานเชื่อมถึงกัน
15. อยากจะรักกันนานๆ ควรปฏิบัติต่อกันอย่างให้เกียรติและนุ่มนวล
16. อย่าสับสนว่า ชีวิตสมรสจะเหมือนการออกเดท เพราะมีอีกหลายอย่าง ที่คุณต้องฟันฝ่าอุปสรรคร่วมกัน
17. ถ้ามีปัญหาในชีวิตคู่ ควรช่วยกันแก้ไข โดยเฉพาะปัญหาใหญ่ๆ อย่าตัดสินใจคนเดียว
18. หยุดชี้นิ้วสั่งโน่นสั่งนี่ เป็นเจ้าแม่ เสียทีเถอะ
19. หวานใส่กันเรื่อยๆ เช่น อย่าลืมกระซิบคำพูดแสนหวานให้เขาฟัง, จูงมือกันยามเดินข้ามถนน หรือแม้แต่บอกให้เขารู้ว่าเขาจะพิชิตใจคุณได้อย่างไร


:b1: :b12: :b16: :b1: :b12: :b16: :b1: :b12: :b16: :b6: :b6: :b6:

ที่มา: ตลาดริมน้ำออนไลน์

:b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43:

เจริญในธรรมครับ :b8: :b8: :b8: smiley

:b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b42: :b42: :b42: :b41: :b41: :b41: :b41:

.....................................................
ราตรีของผู้ตื่นอยู่นาน...โยชน์ของผู้ล้าแล้วไกล
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2010, 03:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ม.ค. 2010, 18:17
โพสต์: 10

แนวปฏิบัติ: พุทโธ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
สิ่งที่ชื่นชอบ: รักแท้มีจริง
ชื่อเล่น: หนูเล็ก
อายุ: 0
ที่อยู่: 47ม.3ต.หินฮาวอ.หล่มเก่าจ.เพชรบูรณ์

 ข้อมูลส่วนตัว


-เข้ามาอ่านจ้า ขอบคุณนะค่ะ สำหรับ สาระดีๆๆอ่านแล้วจะนำเอาไปใช้กับฉีวิตค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2010, 17:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ธ.ค. 2009, 11:14
โพสต์: 87

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุโมทนาสาธุคะ ขอให้เจริญในธรรม เป็นประโยชน์มากมายคะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ม.ค. 2010, 14:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ม.ค. 2010, 20:20
โพสต์: 47

ชื่อเล่น: ซี
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ความเข้าใจในกันและกัน

จะทำให้ความรักของคนทั้งคู่ยั่งยืน

ขออนุโมทนากับบทความดี ๆครับ :b50:

.....................................................
ใดใดในโลกล้วน อนิจจัง
คงแต่บาปบุญยัง เที่ยงแท้
คือเงาติดตัวตรัง ตรึงแน่น
ตามแต่บาปบุญแล ก่อเกื้อรักษา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ม.ค. 2010, 02:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ก.พ. 2009, 01:02
โพสต์: 337


 ข้อมูลส่วนตัว




&ความรัก.jpg
&ความรัก.jpg [ 21.64 KiB | เปิดดู 9102 ครั้ง ]
:b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b42: :b42: :b42: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41:

รองเท้าแตะมีขายตามร้านทั่วไป เวลาที่เราไปเห็นก็จะนึกสนใจ มีคนเสนอขายให้ราคาถูกๆ ก็ไม่เคยคิดจะซื้อ แต่พอจำเป็นเข้าจริงๆ ก็ต้องไปซื้อมาแก้ขัดก่อนอยู่ดี
……………………………………………………..
รองเท้าบางคู่ใหม่ๆ อาจรู้สึกสบาย แต่ถ้าใส่นานๆ เข้า อาจจะรู้สึกว่ารองเท้า คู่นี้ไม่เหมาะกับเรา อยากจะถอดทิ้งเสียเหลือเกิน
………………………………………………………….
รองเท้าบางคู่ลองใส่ที่ร้านแล้วรู้สึกแปลกๆ อาจมีบ้างที่คับไป หรือ หลวมไป แต่ใครจะรู้ บางทีพอใส่ไปซักพัก หนังอาจจะขยายพอดีกับเท้าของเรา จนรู้สึกว่าดีเหลือเกินที่ตอนนั้นตัดสินใจเลือกคู่นี้
……………………………………………………….
รองเท้าบางคู่ ดูภายนอกอาจตลก แต่รู้มั๊ยว่าบางทีเมื่อมันมาอยู่คู่กับเท้าของเรา อาจจะทำให้ทั้งเท้าของเราและรองเท้าดูดีผิดหูผิดตาไป
……………………………………………………….
ส่วนรองเท้าคู่ไหนที่เห็นคนอื่นใส่แล้วดูดี ก็ไม่แน่เสมอไปว่าเมื่อเราใส่แล้วจะดีเหมือนกับที่คนอื่นใส่
……………………………………………………………
ใครที่มีรองเท้ามากเกินความจำเป็น เขาเหล่านั้นก็คงจะไม่รู้ว่าคู่ไหนเป็นคู่โปรด ตราบเมื่อเค้าได้เสียรองเท้าคู่นั้นไป ซึ่งมันก็อาจจะสายไปเสียแล้วที่จะทวงคืน
…………………………………………………..
แล้วรองเท้าตามโรงแรมล่ะ รองเท้าสาธารณะเหล่านั้นได้ผ่านเท้า ของผู้คนมามากมาย บางคู่อาจยังใหม่ บางคู่อาจดูโทรม บางคู่อาจจะนำพาโรคมาสู่ผู้ที่ใส่ แต่รองเท้าสาธารณะเหล่านี้ มีความเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง คือ อยากมากจนเรียกว่าแทบจะไม่มีเลย ที่จะมีคนมาขอซื้อ เป็นเจ้าของ นอกเสียจากซื้อไว้ดูเล่น ซึ่งจะไม่มีทางได้สัมผัสความรักระหว่างเจ้าของกับรองเท้า
…………………………………………………………
รองเท้าที่เหมาะกับเรา หาได้ไม่ยาก และไม่ง่ายแต่ถ้าเดินไปแล้วเจอคู่ที่ถูกใจ ควรรีบตัดสินใจซื้อ
ก่อนที่จะถูกคนอื่นมาตัดหน้าไปก่อน ซึ่งรองเท้าคู่นั้น อาจจะเป็นคู่เดียวในโลกที่เหมาะกับเรามากที่สุดก็ได้
…………………………………………………………..
ส่วนรองเท้าบางคู่ที่ไม่เหมาะกับเรา ใส่แล้วไม่รู้สึกสบาย อย่าพยายามใส่ต่อไปอีกเลย มีแต่จะทำให้เราทรมาน และในที่สุดเราก็ต้องโยนมันทิ้งไปอยู่ดี
………………………………………………………….
รองเท้าสมัยใหม่ ดูแล้วเท่ แต่รองเท้าสมัยเก่า ใส่แล้วก็ดูดีไปอีกแบบ จะสมัยไหนก็ช่าง ขอให้ใส่แล้วสบายที่สุด เมื่อเจอแล้วควรใส่อย่างถะนุถนอมจะได้อยู่กับเราไปนานเท่านาน….


:b45: :b45: :b45: :b45: :b45: :b45: :b45: :b45: :b45: :b45: :b45:


ความรักกะ รองเท้าที่ไม่พอดี


วันหนึ่ง.........ฉันอยากได้รองเท้าฉันเดินเข้าไปในร้านที่มีรองเท้าหลากสี-หลายแบบวางเรียงรายร้านแล้วร้านเล่า

แต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะได้รองเท้าถูกใจกลับไปด้วยแม้แต่คู่เดียว เลือกแล้ว เลือกอีก จนในที่สุดก็มาหยุดอยู่หน้ากระจกร้านหรูแห่งหนึ่ง รองเท้าส้นสูงสีส้มคู่นั้น สะท้อนเงาเฉิดฉายผ่านกระจกออกมา แตะตาฉันตั้งแต่แรกเห็น
มันช่างเป็นรองเท้าที่สวย จนอยากมีไว้ประดับคู่เท้าในทุกย่างก้าว

โดยไม่รอรี......ฉันเดินตรงลิ่วเข้าไปหามัน แม้ป้ายราคาเล็ก-เล็กที่ติดเอาไว้จะบอกราคาที่ไม่เล็กนัก แต่ฉันไม่ลังเลสักนิดเดียวที่จะจ่ายเงินจำนวนนั้นออกไปเพื่อให้ได้รองเท้าที่ถูกใจที่สุดในวันนี้

'แน่นนิดนึงนะคะ...มีคู่ใหม่ที่ใหญ่กว่านี้มั้ย'

ฉันถามพนักงานขายขณะที่กำลังพยายามสอดเท้าลงไปในรองเท้าคู่สวยให้พอดีแล้วพบว่ามันพอดิบ-พอดี จนขยับเท้าไม่ได้

'ไม่มีหรอกค่ะ....เรามีแบบละคู่เท่านั้นรับรองว่าใส่แล้วไม่ซ้ำแบบใคร'

พนักงานขายเสนอข้อได้เปรียบในการซื้อสินค้า

'แต่ดิฉันว่าใส่แล้วก็พอดีนะคะเผื่อมันยืดออกอีกนิดหน่อย'

เธอยังคงเสนอต่อเมื่อเห็นแววตาที่ฉันชื่นชมสินค้าของเธอ เย็นวันนั้นฉันกลับบ้านด้วยรอยยิ้มกรุ่น พร้อมกับรองเท้าคู่สวยที่อยู่ในมือ ฉันจัดแจงโยนรองเท้าผ้าใบคู่เก่าที่ใส่มาแรมปีทิ้งไปอย่างไม่แยแส

วันรุ่งขึ้น............ ..ฉันออกเดินด้วยรองเท้าคู่ใหม่อย่างเฉิดฉาย ยิ่งมีใครต่อใครชมว่ามันสวยนักหนาฉันก็ยิ่งปลื้มใจ ทว่าไม่ทันข้ามวันรองเท้าเจ้ากรรมก็แผลงฤทธิ์จนฉันเดินโขยกเขยก และเย็นวันนั้นฉันก็ต้องกลับมาบ้านพร้อมกับเท้าที่ระบม

หา ก ชีวิต ค น เ ร า เ ป็ น เ หมื อ นกา รเดินท า ง ไ กล

ความรัก….ก็คงเป็นเหมือนรองเท้า แท้ที่จ ริ ง แ ล้ ว น่ ะ นะ

ฉันว่าคนเราไม่ได้ต้องการ 'รองเท้าสวย' มากไปกว่า”รองเท้าที่ใส่สบาย”
แต่ก็นั่นแหละ ใคร-ใคร ก็ย่อมชอบรองเท้า สวย-สวย ด้วยกันทั้งนั้น ถึงไม่น่าแปลก ที่หลายคนมักตัดสินใจซื้อรองเท้า เพราะว่า 'มันสวย' มากกว่า 'มันพอดีกับเท้า' และแม้มันจะใส่แล้วคับไปนิด...อึดอัดไปหน่อยก็ยังไม่วางมือ เหตุเพราะว่ามันสวยถูกใจ หรือแม้มันจะราคาแพงลิบลิ่วก็ยังอยากเป็นเจ้าของให้ได้

- - -หากว่าเราต้องเดินทางอีกไกล- - -

แม้จะมีรองเท้าสวยหรูราคาแพงยี่ห้อแบรนด์เนม มันก็คงไม่มีประโยชน์
แม้จะสวยแค่ไหนแต่ถ้ามันทำเท้าเราเจ็บ...สุดท้ายก็คงต้องถอดมันออก
เพราะถ้าขืนเราเดินทั้งเท้า เจ็บ-เจ็บ เราคงไปไม่ถึงปลายหนทาง

ค ว า ม รั ก ก็ เ ช่ น กัน

เราอาจใฝ่ฝันที่จะมีคนรักสวยรวย เก่งฉลาด เลิศหรู

.....แต่ความจริงแล้ว....

เราเพียงต้องการคน-คนนั้นเพื่อให้ตัวเราดูดีขึ้นมาเท่านั้นเอง
ฉันว่านะ....รองเท้าที่ใส่แล้วสบายไม่จำเป็นต้องสวยเด่นอะไร

เพราะฉะนั้น

คนที่จะมาจับจูงมือเราไปตลอดทางของชีวิตก็ไม่จำเป็น ต้องเป็นคนที่ดีเลิศที่สุดจนใครนึกอิจฉา แต่คงเป็น...คนที่เค้ารักเรา ดูแลเราดีต่อเราเข้าใจเราไม่ทำให้เราเจ็บ ไม่ทำให้เสียใจ ซะมากกว่า...

บางที...การใส่รองเท้าที่เดินแล้วสบายมันอาจทำให้เรามีความสุขมากกว่า
เพราะฉันเชื่อว่ามันจะพาเราไปจนถึงจุดหมาย โดยที่เราไม่ต้องเจ็บเท้าและนึกอยากจะโยนมันทิ้งไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด

...
...
ตลอดการเดินทาง...

(.....จาก FWD Mail.....)

:b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43:

เจริญในธรรมครับ :b8: :b8: :b8: smiley

:b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b42: :b42: :b42: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41:

.....................................................
ราตรีของผู้ตื่นอยู่นาน...โยชน์ของผู้ล้าแล้วไกล


แก้ไขล่าสุดโดย ningnong เมื่อ 24 ม.ค. 2010, 02:10, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ม.ค. 2010, 02:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.ย. 2007, 23:29
โพสต์: 1065


 ข้อมูลส่วนตัว


ข้าพเจ้าว่า.... :b6:

สำหรับบางคน....

การเดินเท้าเปล่า....บนหนทางไกล
อาจทำให้เส้นทางสู่เป้าหมายนั้น...ใกล้ขึ้น
:b12: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ม.ค. 2010, 22:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 ก.ย. 2009, 14:50
โพสต์: 69

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุโมทนา ในสาระดี ๆ

ขอบคุณครับ :b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ม.ค. 2010, 22:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมะนี้แหละ...

เข้าใจ..ได้เท่าไร

ชีวิตคู่..ก็ดีเท่านั้น

:b12: :b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2010, 01:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ก.พ. 2009, 01:02
โพสต์: 337


 ข้อมูลส่วนตัว




20396.jpg
20396.jpg [ 18.88 KiB | เปิดดู 8903 ครั้ง ]
:b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b42: :b42: :b42: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41:

อ้างคำพูด:

ข้าพเจ้าว่า.... :b6:

สำหรับบางคน....

การเดินเท้าเปล่า....บนหนทางไกล
อาจทำให้เส้นทางสู่เป้าหมายนั้น...ใกล้ขึ้น
:b12: :b8:


cool

สวัสดีครับ คุณมัทนา ณ หิมะวัน :b12: :b16: :b16:

สำหรับบางคนแล้ว.. :b6: :b6:

คิดว่า... หากยังต้องเดินทางอยู่ การมีรองเท้าดี ดี ที่พอดีกับเท้า สวมใส่สบาย จะทำให้การเดินทางสบายขึ้น อุ่นใจขึ้น ไม่ต้องกลัวกับขวากหนาม หรือกรวดหิน ที่จะสร้างบาดแผลให้กับเท้า ขึ้นอยู่กับการเลือกของแต่ละคน (เป้าหมายของการเดินทางคืออะไร) ว่าต้องการเร่งร้อน ออกจากสังสารวัฏแค่ไหน ถ้ายิ่งเร่ง ก็ต้องยิ่งปฏิบัติจิตใจ ให้เข้มข้น ถี่ยิบ กำหนดสติให้มาก ฝึกสติให้รู้ จนเกิดปัญญารู้เท่าทัน แต่ถ้ายังเลือกแบบค่อยเป็นค่อยไป ยังสนุกกับการเวียนว่าย ตายเกิด ก็เป็นอีกเรื่อง ถ้าเป็นอย่างนี้ ก็ค่อยๆ ทำค่อยๆ ไป ตั้งใจฝึกบ่อยๆ ไปเรื่อยๆ สติปัญญาก็จะค่อยๆ สั่งสมเพิ่มพูน ไปเอง

กล่าวกันว่าความรักคืออารมณ์ และอารมณ์ก็คือเวทนา และเวทนาก็คือกิเลส ผู้ใดมีกิเลสก็กล่าวได้ว่าผู้นั้นยังไม่พ้นทุกข์ คือยังไม่ไปถึงฝั่งนิพพาน ผู้ใดยังมีความรักผู้นั้นก็เสมือนว่ายังมีทุกข์ และนั่นก็คือ “ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์” ทุกข์ในที่นี้ก็คือ ทุกข์ในไตรลักษณ์ อันประกอบไปด้วย “อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา” นั่นเอง ผู้ใดยังมีความรักอยู่ ผู้นั้นก็ยังไม่สิ้นกิเลส ผู้นั้นยังอยู่ในความเปลี่ยนแปลงไม่มีที่สิ้นสุด ไม่ใช่หมายถึง “ใครมีความรักแล้วคนนั้นจะมีความทุกข์” เพราะทั้งความทุกข์และความสุขที่เรียกว่า “โลกียสุข” นั้นก็ล้วนแล้วแต่เกิดเพราะความรักทั้งสิ้น อยู่ที่ผู้มีความรักจะรู้จักควบคุม รู้จักปล่อยวาง กับมันได้อย่างไร แค่ไหน เพียงไร การเดินทางบนหนทางไกล เพื่อให้ไปถึงจุดหมาย ก็อยู่ที่การเลือกว่าจะเลือกใส่รองเท้าหรือเดินเท้าเปล่า ตลอดการเดินทาง.....

:b43: :b43: :b43: :b43: :b43:

เจริญในธรรมครับ
:b8: :b8: :b8: smiley


:b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b42: :b42: :b42: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41:

.....................................................
ราตรีของผู้ตื่นอยู่นาน...โยชน์ของผู้ล้าแล้วไกล
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2010, 01:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2007, 15:22
โพสต์: 603

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ชอบมากเลยคะ T^T ชอบมากๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2010, 03:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.ย. 2007, 23:29
โพสต์: 1065


 ข้อมูลส่วนตัว


Ningnong เขียน:
cool

สวัสดีครับ คุณมัทนา ณ หิมะวัน :b12: :b16: :b16:

สำหรับบางคนแล้ว.. :b6: :b6:

คิด ว่า... หากยังต้องเดินทางอยู่ การมีรองเท้าดี ดี ที่พอดีกับเท้า สวมใส่สบาย จะทำให้การเดินทางสบายขึ้น อุ่นใจขึ้น ไม่ต้องกลัวกับขวากหนาม หรือกรวดหิน ที่จะสร้างบาดแผลให้กับเท้า ขึ้นอยู่กับการเลือกของแต่ละคน (เป้าหมายของการเดินทางคืออะไร) ว่าต้องการเร่งร้อน ออกจากสังสารวัฏแค่ไหน ถ้ายิ่งเร่ง ก็ต้องยิ่งปฏิบัติจิตใจ ให้เข้มข้น ถี่ยิบ กำหนดสติให้มาก ฝึกสติให้รู้ จนเกิดปัญญารู้เท่าทัน แต่ถ้ายังเลือกแบบค่อยเป็นค่อยไป ยังสนุกกับการเวียนว่าย ตายเกิด ก็เป็นอีกเรื่อง ถ้าเป็นอย่างนี้ ก็ค่อยๆ ทำค่อยๆ ไป ตั้งใจฝึกบ่อยๆ ไปเรื่อยๆ สติปัญญาก็จะค่อยๆ สั่งสมเพิ่มพูน ไปเอง

กล่าวกันว่าความรักคืออารมณ์ และอารมณ์ก็คือเวทนา และเวทนาก็คือกิเลส ผู้ใดมีกิเลสก็กล่าวได้ว่าผู้นั้นยังไม่พ้นทุกข์ คือยังไม่ไปถึงฝั่งนิพพาน ผู้ใดยังมีความรักผู้นั้นก็เสมือนว่ายังมีทุกข์ และนั่นก็คือ “ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์” ทุกข์ในที่นี้ก็คือ ทุกข์ในไตรลักษณ์ อันประกอบไปด้วย “อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา” นั่นเอง ผู้ใดยังมีความรักอยู่ ผู้นั้นก็ยังไม่สิ้นกิเลส ผู้นั้นยังอยู่ในความเปลี่ยนแปลงไม่มีที่สิ้นสุด ไม่ใช่หมายถึง “ใครมีความรักแล้วคนนั้นจะมีความทุกข์” เพราะทั้งความทุกข์และความสุขที่เรียกว่า “โลกียสุข” นั้นก็ล้วนแล้วแต่เกิดเพราะความรักทั้งสิ้น อยู่ที่ผู้มีความรักจะรู้จักควบคุม รู้จักปล่อยวาง กับมันได้อย่างไร แค่ไหน เพียงไร การเดินทางบนหนทางไกล เพื่อให้ไปถึงจุดหมาย ก็อยู่ที่การเลือกว่าจะเลือกใส่รองเท้าหรือเดินเท้าเปล่า ตลอดการเดินทาง.....

เจริญในธรรมครับ :b8: :b8: :b8: smiley

:b43: :b43: :b43: :b43: :b43:


สาธุเจ้าค่ะ...ท่านนิ้งหน่อง :b8:

สำนวนสาธยายธรรมของท่านช่างกินใจ และคุ้นๆยังไงก็ไม่รู้ :b6: :b10:

ก็จริงของท่านอยู่...

หากได้รองเท้าคู่ที่ใส่แล้วนุ่มเท้า แถมและทนทานแบบ Hush Puppies ก็นับว่าเป็นบุญแท้
แต่ก็คงต้องหอบหิ้ว...กันไปอีกหลายภพชาติ


ข้าพเจ้าเลือกแล้ว...
ถึงได้เดินกะเผลกใส่ข้างเดียวอยู่อย่างนี้
ก็เห็นทีจะต้องลากกันไปอีกยาว...
จะก้าวที...มันก็เลยยังไปไม่ถึงไหน

แต่....เส้นทางนี้ยังอีกไกล
เดินมาถึงครึ่งทางอาจพบว่า..
มันเกะกะน่ารำคาญ
เลยถอดทิ้ง....เดินตัวปลิวฉิวไปเลย...นะท่าน!!! :b13:

ทำไมเวลาเค้าเดินจงกรมกัน...ไม่เห็นมีใครเค้าใส่รองเท้าเลยนะ!!!?! :b6:


แก้ไขล่าสุดโดย มัทนา ณ หิมะวัน เมื่อ 31 ม.ค. 2010, 03:22, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2010, 00:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ก.พ. 2009, 01:02
โพสต์: 337


 ข้อมูลส่วนตัว




6987kapook-17359-7549.jpg
6987kapook-17359-7549.jpg [ 19.97 KiB | เปิดดู 8692 ครั้ง ]
:b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b42: :b42: :b42: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41:
ขอมอบสาระดี ดี มาให้อีกครับ...

อารมณ์รัก ของชีวิตคู่
รศ.นพ.อัมพล สุอำพัน

ทั้งความรักและกามารมณ์ที่มีให้ต่อกันและกันอย่างต่อเนื่องและยาวนาน คงเส้นคงวาตามความเหมาะสมแห่งวัยและกาลเวลา และด้วยความซื่อสัตย์ รวมทั้งเป็นความรักและความผูกพันด้วยปัญญามิใช่ความลุ่มหลง ความรักแบบนี้จะทำให้เกิดความอ่อนโยนต่อกัน และอภัยต่อกันเมื่อมีความขัดแย้งกัน

มนุษย์ปุถุชนอย่างพวกเราทุกคนที่ดิ้นรนอยู่ในวงชีวิตและสังคมที่สับสนวุ่นวายอย่างทุกวันนี้ ดูจะหมุนวน วนแล้ววนเล่า ซ้ำแล้วซ้ำเล่า และไม่สามารถดิ้นรนให้หลุดออกมาได้จากความต้องการและกองกิเลส 3 กอง คือ เรื่องกิน กาม และเกียรติ

ถ้าเราเป็นผู้ที่มีอุปนิสัยที่ชอบในการหาของกินที่เอร็ดอร่อย และเป็นผู้ที่ติดใจในรสชาติของอาหาร เราก็จำเป็นต้องแสวงหาดั้นด้นเพื่อให้ได้มาซึ่งความถูกลิ้นความถูกปากอยู่เรื่อยๆ

สำหรับในเรื่องของกามนั้นถ้ามีความต้องการมาก รวมทั้งลุ่มหลงกระสันหาอย่างไม่ระวังแล้ว ก็จะทำให้มนุษย์มีความดิ้นรนทุรนทุราย ไขว่คว้าให้ได้มาตามที่ตนอยาก ที่ตนต้องการและปรารถนา บ่อยครั้งทีเดียวที่พลังแห่งความต้องการนี้ผลักดันให้มนุษย์แสดงพฤติกรรมและการกระทำที่ขาดความเหมาะสม ขาดความยั้งคิด ขาดศีลธรรมจรรยา ขัดต่อขนบธรรมเนียมประเพณี เมื่อได้มาตามความต้องการก็จะเกิดความพึงพอใจ อาจจะไม่พึงพอใจอย่างมากจนนำไปสู่การเกิดเป็นความก้าวร้าวรุนแรงมากจนถึงกับมีการทำร้ายซึ่งกันและกัน หรือทำร้ายตัวเองให้ดับสิ้นชีวิตไป

ในด้านของเกียรติยศชื่อเสียงก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่มนุษย์ต้องการ นัยว่าเพื่อเป็นหน้าเป็นตาต่อวงศ์ตระกูลและครอบครัว ซึ่งพิจารณาให้ดี พิจารณาอย่างลึกซึ้งจริงๆ แล้วก็เป็นการใฝ่หามาเพื่อตนเองเป็นเบื้องต้น และเมื่อได้มาแล้วก็เป็นภาระที่ต้องแบกเอาไว้ ดังนั้น บุคคลที่ยังยึดติดอยู่ในชื่อเสียงเกียรติยศ ติดอยู่ในความมีหน้ามีตาจึงต้องเหน็ดเหนื่อยอยู่ตลอดเวลาโดยไม่รู้ตัว เพราะต้องแบกเกียรติยศแบกหน้าแบกตาเอาไว้

ความจริงสิ่งเหล่านี้องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงอบรมสั่งสอนมวลมนุษย์มากว่า 2,000ปีมาแล้ว ว่าถ้าเรายังติดในเรื่องของความต้องการเหล่านี้อยู่มาก แม้ว่าเมื่อได้มาในสิ่งที่ต้องการเราจะรู้สึกเป็นสุขอย่างมากก็ตาม แต่ก็เป็นความสุขเพียงชั่วคราว และความสุขที่ได้รับมานานนั้นจำเป็นต้องใฝ่คว้า ใฝ่หามาด้วยความเหน็ดเหนื่อย รวมทั้งยังเป็นความสุขที่ตั้งอยู่บนกองเพลิงอีกด้วย เพราะเมื่อมีมากไป มีซ้ำๆ จำเจก็เบื่อหน่าย และเป็นทุกข์ว่า ทำไมต้องมาทำมารับสิ่งนั้นซ้ำๆ อยู่ตลอดไป แต่ในอีกด้านหนึ่งเมื่อสิ่งที่เรามี เราได้ เรารักอยู่นั้นหมดไป เราก็ทุกข์อีกเพราะไม่อยากให้มันหมดไป เรียกว่าทุกข์ไม่รู้จักจบ แล้วก็ดิ้นรนต่อไปอีกไม่มีวันสิ้นสุดและไม่มีวันจบ

แล้วอะไรเล่าครับจึงจะเป็นความสุขที่ดูยั่งยืนถาวรในวิถีชีวิตของปุถุชนธรรมดาอย่างพวกเรา พระพุทธองค์ท่านทรงอบรมสั่งสอนไว้ว่า ความสงบแห่งจิตใจนั้นถือว่าเป็นความสุขที่นุ่มนวลถาวร เป็นสุขที่สุด แต่ทั้งๆ ที่รู้ก็ดูจะสละกองแห่งกิเลสนั้นได้ยาก ยกเว้นผู้ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบฝึกฝนจิตใจเจริญภาวนา จนเป็พระอริยสงฆ์เท่านั้นจึงจะละสิ่งที่ทำให้จิตใจเป็นทุกข์และเศร้าหมองได้ แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าเราเพียงตระหนักรู้ คิด และพิจารณาอยู่เป็นระยะๆ ได้ ก็ถือว่าพอจะเตือนจิตใจได้บ้างไม่มากก็น้อย ซึ่งเพียงแค่นี้เราก็เป็นสุขขึ้นได้ และถ้ามีโอกาสได้พัฒนาจิตใจตามแนวทางของพระพุทธองค์ด้วย ชีวิตก็จะมีความสุขมากขึ้นๆ

เมื่อเรายังละสิ่งต่างๆ ไม่ได้ เราจึงต้องหมุนอยู่บนความสุขและความทุกข์อยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของความรักและกามารมณ์ซึ่งดูจะเป็นเรื่องยากหรือเป็นไปไม่ได้ที่เราจะละได้ สำหรับเรื่องของความรักและกามารมณ์เมื่อเราเติบโตย่างเข้าสู่วัยหนุ่มสาว ด้วยการเจริญเติบโตของร่างกายและฮอร์โมน ทำให้ร่างกายมีการพัฒนาอย่างมากมาย มีความเปล่งปลั่ง ล่ำสัน สาวขึ้นหนุ่มขึ้น สัญชาตญาณของการมีคู่ครองจะมีพลังมากขึ้น มีพลังมากจนผลักดันให้มนุษย์มีความคิด มีพฤติกรรมรวมทั้งใช้วาจาสื่อสัมพันธ์ เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ตนปรารถนา ดังนั้น อารมณ์สองอารมณ์จึงผสมผสานเกิดขึ้นมาพร้อมๆ กันกับสัญชาตญาณของการเลือกคู่นั้นคือ อารมณ์รักและผสมผสานด้วยกามารมณ์


ความรัก หมายถึง ความรู้สึกชอบ ผูกพัน พร้อมด้วยความรู้สึกชื่นชมยินดี
ส่วนกามารมณ์ (กาม + อารมณ์) หมายถึง สิ่งที่น่าปรารถนาในรูปที่เห็น รสที่รับรู้ ดม เสียงที่ได้ยิน สัมผัสที่ได้รู้สึก และความปรารถนาในการร่วมสัมพันธ์เนื่องด้วยเพศ มีผู้รู้ให้ข้อสังเกตว่าในสังคมที่เราอยู่ด้วยกันทุกวันนี้ เราสามารถจำแนกความรักและกามารมณ์ออกได้เป็น 3 ชนิด

ชนิดที่ 1 คือ มีความรักแต่ไม่มีกามารมณ์ ลักษณะอย่างนี้เราจะพบได้ชัดในความรักที่พ่อแม่มีให้กับลูก ลูกมีให้กับพ่อแม่ ครูมีให้กับศิษย์ ศิษย์มีให้กับครู เป็นต้น
ชนิดที่ 2 คือ มีทั้งความรัก และกามารมณ์ ความรักประเภทนี้เป็นความรักของคู่ครองทั่วไปที่อยู่กันราบรื่น สดใส มีชีวิตชีวา มีความรักใคร่ คล้องใจซึ่งกันและกันอย่างผสมกลมกลืนเป็นที่สุด
ชนิดที่ 3 คือ ไม่มีความรักให้ มีแต่กามารมณ์เพียงอย่างเดียว ความสัมพันธ์แบบนี้ป็นความสัมพันธ์ ที่มีแต่ความต้องการทางเพศเท่านั้น ไม่มีความผูกพัน ไม่มีความรักความเมตตา ไม่มีเงื่อนไขใดๆ เกิดขึ้น

สำหรับในชีวิตคู่นั้น ในฐานะที่ผู้เขียนเป็นจิตแพทย์เด็ก ผู้เขียนอยากให้ชีวิตคู่ทุกๆ คู่ มีความรักและความผูกพันชนิดที่ 2 คือ มีทั้งความรักและกามารมณ์ที่มีให้ต่อกันและกันอย่างต่อเนื่องและยาวนาน คงเส้นคงวาตามความเหมาะสมแห่งวัยและกาลเวลา และด้วยความซื่อสัตย์ รวมทั้งเป็นความรัก และความผูกพันด้วยปัญญามิใช่ความลุ่มหลง ความรักแบบนี้จะทำให้เกิดความอ่อนโยนต่อกัน และอภัยต่อกันเมื่อมีความขัดแย้งกันบ้าง

อารมณ์และบรรยากาศของความรักความผูกพันประเภทที่ 2 นี้ ภายในครอบครัวหมายถึงระหว่างสามีภรรยา ถือว่าเป็นฐานที่ดีที่สุดสำหรับชีวิตของทั้งลูกสาวและลูกชายที่เติบโตพัฒนาไปเป็นผู้ที่มีบุคลิกที่ดี มีวุฒิภาวะที่ดี เป็นผู้ที่รักคนเป็น รักความสงบ เป็นมิตร และเป็นผู้ที่พร้อมจะหลีกเลี่ยงความรุนแรงที่จะเกิดขึ้น

ท่านลองทบทวนอารมณ์และความผูกพันของท่านกับคู่ของท่านดูนะครับว่าเป็นความรักชนิดใด ถ้าไม่ตรงกับชนิดที่ 2 แล้วละก็ พยายามปรับให้มาเป็นชนิดที่ 2 นะครับ ชีวิตของครอบครัวจะมีความสุขขึ้นอย่างทันตาเห็นทีเดียวแหละครับ :b16: :b16: :b16:

[ ที่มา.. นิตยสารดวงใจพ่อแม่ ปีที่ 9 ฉบับที่ 101 มีนาคม 2547 ]

:b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43:

เจริญในธรรมครับ :b8: :b8: :b8: smiley

:b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b42: :b42: :b42: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41:

.....................................................
ราตรีของผู้ตื่นอยู่นาน...โยชน์ของผู้ล้าแล้วไกล


แก้ไขล่าสุดโดย ningnong เมื่อ 17 ก.พ. 2010, 01:04, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2010, 09:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ม.ค. 2010, 11:38
โพสต์: 300

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ว่ากันว่า.. ส่วนที่น่ากลัวที่สุดของคนมีความรัก
คือการที่รักกันมาแนบแน่น สวยหรู
โดยไม่เคยมีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งเลย
เพราะความสวยงามราบรื่น มันทำให้เรา "วางใจ"
จนอาจลืมไปว่า.. ยังไงๆ เขาก็เป็น "คนอื่น"


ใช่เลย วางใจ เชื่อใจเขาจนลืมไปว่าเขาเป็นคนอื่น
และก็หลงคิดว่าเขาเป็นของเรา
แต่มาถึงตอนนี้กำลังหาคำตอบให้ตัวเองว่า
ที่เป็นทุกข์แบบนี้ เป็นเพราะว่าเรารักเขา
หรือเพราะว่าเรารักตัวเราเองกันแน่
สับสนจริง ๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.พ. 2010, 00:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ก.พ. 2009, 01:02
โพสต์: 337


 ข้อมูลส่วนตัว




54_1219051173.jpg
54_1219051173.jpg [ 18.81 KiB | เปิดดู 8550 ครั้ง ]
:b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b42: :b42: :b42: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41:
cool

อ้างคำพูด:
ที่เป็นทุกข์แบบนี้ เป็นเพราะว่าเรารักเขา
หรือเพราะว่าเรารักตัวเราเองกันแน่
สับสนจริง ๆ


สวัสดีครับ คุณ pra_nee

อ่านแล้วนึกถึง “ความรัก” ในอีกแง่มุมหนึ่งขอนำมาฝากครับ คัดย่อ เรียบเรียง จากบางส่วนของ
ความรักในทางพุทธศาสนา พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) จากธรรมกถาในวันมาฆบูชา ปี ๒๕๔๔ เรื่อง ความรักจากวาเลนไทน์สู่ความเป็นไทย

ความรัก...ในความหมายที่แท้คืออยากเห็นเขาเป็นสุข เหมือนอย่างพ่อแม่รักลูก ก็คืออยากเห็นลูกเป็นสุข แต่ยังมีความรักอีกแบบหนึ่ง คือความรักที่อยากได้เขามาทำให้ตัวเองเป็นสุข อย่างนี้ไม่ใช่รักเขาจริงหรอก เป็นความรักเทียม คือราคะนั่นเอง

ความรักมี ๒ ประเภท คือ

๑. ความรักที่อยากได้เขามาทำให้ตัวเราเป็นสุข ความรักแบบนี้ ต้องได้ ต้องเอา ซึ่งอาจจะทำให้คนอื่นเป็นทุกข์ หรือต้องมีการแย่งชิงกัน ความรักประเภทนี้คนทั่วไปรู้เข้าใจกันว่าเป็น “ความรักระหว่างเพศ” หรือความรักทางเพศ มีจุดเด่นอยู่ที่ความชื่นชม ติดใจ หรือความปรารถนาในรูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัสกายของผู้ที่ตนรัก อันนี้เป็นความรักสามัญของปุถุชน ซึ่งมีลักษณะสำคัญคือความต้องการหาความสุขให้แก่ตนเอง หมายความว่า ที่รักเขานั้นก็เพื่อเอาเขามาเป็นเครื่องบำเรอความสุขแก่ตน ต้องการเอาความสุขเพื่อตัวเอง ที่แท้แล้วคือการคิดจะเอาจากผู้อื่น จึงมีข้อเสียที่สำคัญติดมาด้วย คือถ้าหากว่าเขาผู้นั้นไม่อยู่ในภาวะที่จะสนองความปรารถนาให้เรามีความสุขได้ เราก็จะเบื่อหน่าย แล้วก็อาจจะรังเกียจ จึงเห็นได้ว่าไม่ยั่งยืน

นอกจากนั้นเนื่องจากมุ่งจะเอาความสุขให้แก่ตัว ความรักแบบนี้จึงมีลักษณะจำเพาะเจาะจง โดยมีบุคคลที่ชอบใจถูกใจเป็นเป้า เป็นความยึดติดผูกพันเฉพาะตัว เมื่อลักษณะสองอย่างนี้มาผนวกกันเข้า ก็ทำให้เกิดปัญหาตามมาคือความหึงหวง ความรักแบบนี้จึงมาคู่กับความหึง มีการยึดถือเป็นของตัว ต้องการครอบครองเป็นเจ้าของแต่ผู้เดียว ไม่ต้องการให้ใครอื่นมายุ่งเกี่ยว หรือแม้แต่ได้รับความเอาใจใส่ ความหวงแหนผูกพันเฉพาะตัวและต้องการให้เขาหรือเธอให้ความสุขแก่ตัวผู้เดียวนี้ แสดงออกทั้งทางกายและทางใจ ทางกายก็ต้องการให้เป็นของตนผู้เดียว ไม่ให้ใครอื่นมายุ่งเกี่ยวอย่างที่เรียกว่า หวงผัสสะ ส่วนทางด้านจิตใจ ก็ต้องการความเอาใจใส่ ความมีใจภักดีให้ฉันคนเดียวเป็นผู้ครองหัวใจเธอ หรือให้ใจเธออยู่กับฉันอย่าปันใจให้คนอื่น

ความรักแบบนี้มักจะมาด้วยกันกับความหวงแหน เห็นแก่ตัว หรือความหึงหวง จึงอาจทำให้เกิดการแย่งชิง ทะเลาะเบาะแว้ง แม้จะไม่ได้แย่งชิงทะเลาะเบาะแว้งกับใครก็มักจะเกิดความมัวเมาหมกมุ่น จนกระทั่งบางทีก็ถึงกับละทิ้งกิจหน้าที่ หรือความดีงามที่ควรจะทำ หรือไม่เช่นนั้นก็จะเป็นไปในอีกลักษณะหนึ่ง คือ ทำให้ยิ่งโลภ แล้วพยายามแสวงหาอะไรต่าง ๆ มุ่งแต่จะกอบโกยเอามาเพื่อตัวเอง และเพื่อคนที่ตนรักเท่านั้น โดยไม่เห็นแก่ผู้อื่นเลย จึงอาจทำให้เกิดการเบียดเบียนกันได้มาก

ที่ว่ามานี้คือโทษประการต่าง ๆ ซึ่งในที่สุดแล้วจุดจบของมันก็คือความไม่ยั่งยืน เพราะว่าแท้จริงแล้วมันเป็นเรื่องของการหาความสุขให้แก่ตนเอง คนทั่วไปที่มีชีวิตอยู่กับความชอบใจ ไม่ชอบใจ ยังไม่ได้ขัดเกลาจิตใจ จะมีความรักประเภทนี้ก่อน แต่เมื่อความเป็นมนุษย์พัฒนาขึ้น ก็จะมีความรักที่แท้จริงในข้อต่อไปมากขึ้นคือ

๒. ความรักที่อยากเห็นเขามีความสุข พออยากเห็นเขาเป็นสุข ก็อยากทำให้เขาเป็นสุข พอทำให้เขาเป็นสุขได้ ตัวเองก็เป็นสุขด้วย เหมือนพ่อแม่อยากเห็นลูกมีความสุข พอทำให้ลูกเป็นสุขได้ ตัวเองก็เป็นสุขด้วย จึงเป็นความรักที่พร้อมจะให้และสุขด้วยกัน ความรักที่อยากให้เขามีความสุข หรืออยากเห็นเขามีความสุข อย่างที่เรียกว่าเป็นความปรารถนาดี เรารักใครก็อยากให้คนนั้นมีความสุข อยากทำให้เขามีความสุข และอยากทำอะไร ๆ เพื่อให้เขามีความสุข

ลองถามตัวเองก่อนว่า เราต้องการความสุขเพื่อตัวเรา หรือเราอยากให้เขามีความสุข ถ้าเป็นความรักที่แท้ก็ต้องอยากให้เขามีความสุข การที่จะทำให้คนอื่นมีความสุขนั้น การกระทำที่สำคัญก็คือการให้ เป็นการทำให้เกิดความสุขจากการให้ ถ้าเรารักเขาโดยอยากให้เขามีความสุขแล้ว มันก็มีความยั่งยืนมั่นคง เมื่อเขาได้ความทุกข์ความเดือดร้อน แม้ว่าเขาจะไม่สามารถสนองความต้องการของเราได้ เราก็ยังรักเขา และเราจะเกิดความสงสาร ตอนแรกเรามีความรัก ความปรารถนาดี อยากให้เขามีความสุข พอเขาเกิดความทุกข์ มีความเดือดร้อนขึ้นมา ความรักของเราก็กลายเป็นความสงสาร อยากจะช่วยเหลือเขาให้พ้นจากความทุกข์ เราจะไม่เบื่อหน่ายรังเกียจ

ความรักแบบที่หนึ่งนั้นทางพระท่านเรียกว่า “ราคะ” หรือ “เสน่หา” ส่วนความรักแบบที่สองทางพระท่านเรียกว่า “เมตตา” รวมทั้ง “ไมตรี” ทีนี้ ถ้าหากว่าคนที่เรารักนั้น เขาเกิดเปลี่ยนเป็นมีความทุกข์ ลำบาก เดือดร้อน เมตตานั้นก็เปลี่ยนไปเป็น “กรุณา” คือความสงสารคิดหาทางช่วยเหลือปลดเปลื้องทุกข์ จึงมี เมตตา – กรุณา เป็นคู่กัน


นี่คือลักษณะของความรักสองแบบ รักแบบอยากให้เขามีความสุข กับ รักแบบจะหาความสุขจากเขา หรือเอาเขามาทำให้เรามีความสุข เรียกเป็นคำศัพท์ว่า รักแบบเมตตา กับ รักแบบราคะ/เสน่หา ความรักที่พึงประสงค์ คือความรักประเภทที่ ๒ ซึ่งเป็นความรักแท้ ได้แก่ ความรักที่อยากให้เขาเป็นสุข เวลานี้เรามีวันแห่งความรัก แต่ไม่รู้ว่าเป็นรักประเภทไหน รักจะได้เอาเพื่อตนเอง หรือ รักอยากให้เขาเป็นสุข ก็ไปพิจารณาให้ดี .........

พระพุทธศาสนายอมรับธรรมชาติของมนุษย์ปุถุชนเป็นอันดับที่หนึ่งก่อน แต่ไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น คือ มีการพิจารณาต่อไปว่า ในกรณีที่ธรรมชาติของปุถุชนนั้น มีข้อบกพร่องหรือมีโทษ ก็จะสอนถึงการปรับปรุงแก้ไข หรือทำให้ดียิ่งขึ้น เรียกว่า การศึกษา หรือการพัฒนาชีวิต อันนี้ก็ไปสอดคล้องกับธรรมชาติของมนุษย์อีกประการหนึ่ง ที่ว่ามนุษย์นั้นเป็นสัตว์ที่ฝึกได้ หรือพัฒนาได้ หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่าต้องพัฒนา และศักยภาพสูงสุดที่จะพัฒนาได้จนเป็นผู้ที่ประเสริฐอย่างยิ่ง เราก็เอาหลักการสองอย่างนี้มาใช้ โดยวางวิธีการว่าทำอย่างไรจะให้เกิดผลดี กรณีที่มีความรักแบบที่ว่าตามธรรมชาติของปุถุชนที่จะมีครอบครัว ก็กำหนดว่าทำอย่างไรจะให้เป็นไปในลักษณะที่ไม่เกิดโทษแก่ผู้อื่น แก่สังคม แต่ให้ดำเนินไปในทางที่ดีงาม ที่เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่ชีวิตและแก่สังคมนั้น อย่างน้อยก็แก่ทั้งสองคนนั้นแหละ ให้เขาอยู่ด้วยกันด้วยดีมีสุข อันนี้เป็นขั้นที่หนึ่ง

สำหรับขั้นนี้ก็มีคำแนะนำให้ว่าควรจะพัฒนาจิตใจอย่างไร พร้อมทั้งหลักการในการดำเนินชีวิตและในการปฏิบัติต่อกัน เพื่อให้มีผลดีทั้งต่อระหว่างสองคน และในแง่ของแต่ละคน โดยคำนึงถึงจิตใจของแต่ละคน โดยเฉพาะความสุขของแต่ละฝ่าย ตลอดจนประโยชน์ที่จะขยายออกไปสู่สังคมวงกว้างด้วย รวมทั้งถ้าเขามีบุตรก็ให้เป็นประโยชน์แก่บุตรหลานของเขาต่อไปด้วย

ที่เหนือกว่านั้น ทำอย่างไรจะพัฒนาขึ้นไปให้สามารถมีความสุขที่สูงขึ้นไปอีก ให้มีความรู้สึกที่ประณีตดีงาม ชนิดที่เป็นคุณธรรมเข้ามาเสริมคุณค่าของความรักแบบแรกนี้ ซึ่งอาจจะเรียกว่าเป็นความรักแบบที่สอง และเมื่อความรักแบบที่สองนี้เจริญงอกงามมากขึ้น ก็จะช่วยให้ความรักแบบที่หนึ่งประณีตงดงาม จนกระทั่งแม้เมื่อไม่สามารถอาศัยความรักแบบที่หนึ่งต่อไปได้ ก็ยังมีความรักประเภทที่สองหล่อเลี้ยงชีวิตร่วมกันอยู่ตลอดไป

เป็นอันว่า สำหรับความรักประเภทที่หนึ่งนี้ ท่านก็ยอมรับแต่จะต้องให้อยู่ในกรอบ หรือในขอบเขตที่ดีงาม แล้วก็ใช้ให้เป็นประโยชน์ แต่ก็ว่ายังมีส่วนที่เป็นโทษ จึงต้องปรับปรุงพัฒนาต่อไป ในทางพุทธศาสนา ท่านพิจารณาทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งในแง่ข้อดีหรือคุณ และข้อเสียหรือโทษ คือข้อบกพร่อง แล้วก็บอกทางออกหรือทางแก้ไขให้ด้วย อันนี้เป็นหลักในการพิจารณาทุกอย่าง เพื่อให้เราปฏิบัติต่อทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องด้วยสติและปัญญาอย่างรอบคอบ ที่จะแก้ไขปัญหาได้และเข้าถึงประโยชน์สุขที่แท้จริง


sad sad sad sad sad s007 s007 s007 s007 s007

คุณพาณี ลองค้นหาตัวเอง ค้นหาความรักดู ขอให้มีความสุขครับ

:b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43:

เจริญในธรรมครับ
:b8: :b8: :b8: smiley

:b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b42: :b42: :b42: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41:

.....................................................
ราตรีของผู้ตื่นอยู่นาน...โยชน์ของผู้ล้าแล้วไกล
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.พ. 2010, 08:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ม.ค. 2010, 11:38
โพสต์: 300

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณ คุณningnong มาก ๆ ค่ะ
รักเขาอยากเห็นเขามีความสุข
แต่ก็คาดหวังกับเขามากเกินไป
คงต้องพยายามคิดให้ได้ว่า เราเปลี่ยนแปลงให้เขา
เป็นอย่างที่เราต้องการไม่ได้

ขออนุโมทนากับคำแนะนำค่ะ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 29 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 24 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร