วันเวลาปัจจุบัน 19 มี.ค. 2024, 11:36  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=8



กลับไปยังกระทู้  [ 344 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5 ... 23  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ม.ค. 2009, 12:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ม.ค. 2009, 14:33
โพสต์: 60


 ข้อมูลส่วนตัว


รู้จักพอ..ก่อสุข ทุกสถานค่ะ..

"ผู้ที่รู้จักพอ แม้จะยากจนข้นแค้นก็ยังมีความสุข
ผู้ที่ไม่รู้จักพอแม้จะร่ำรวยมียศถาบรรดาศักดิ์ก็ยังมีความทุกข์"

มีคำของอี้หมิงที่กล่าวเอาไว้ว่า

"สำหรับผู้ที่รู้จักพอ แม้จะยากจนข้นแค้นก็ยังมีความสุข
ผู้ที่ไม่รู้จักพอแม้จะร่ำรวยมียศถาบรรดาศักดิ์ก็ยังมีความทุกข์"

หากต้องการมีความสุข จะต้องมีความพึงพอใจในสิ่งที่ตนเป็นและมีอยู่
สามารถชื่นชมกับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวันได้
โดยไม่คิดน้อยใจหรือคิดว่าตนเองต่ำต้อยด้อยค่า

ผู้ที่จะมีความสุขได้นั้นคือผู้ที่พอใจในสิ่งที่ตนเองมี
ขอเพียงแต่มีความพยายามในการทำให้ประสบความสำเร็จก็เพียงพอ

ไม่เป็นทุกข์เป็นร้อนกับสิ่งที่ไม่สามารถจะหามาได้
และทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด

ไม่หวังผลเลอเลิศจนเกินความสามารถของตนเอง
รู้จักกำหนดขอบเขตของความปรารถนา

สิ่งใดที่ควรได้ควรมี ก็จงพยายามทำให้สำเร็จ
สิ่งใดเกินกำลัง ก็จงยอมรับว่าแม้ยังไม่สามารถไขว่คว้ามาได้
ก็จะหาหนทางในคราวต่อไปเมื่อโอกาสมาถึงพร้อม

และที่สำคัญก็คือ

อย่าหาทุกข์ใส่ตัว ใช้ชีวิตอย่างราบเรียบสมถะ
มีความขยันอดทน และไม่อายทำกิน
อย่าก่อหนี้ก่อสินเพิ่มขึ้นดั่งพุทธภาษิตสอนใจให้คิดว่า

"เข้านอนโดยไม่มีอาหารค่ำ ดีกว่าตื่นขึ้นมาพร้อมกับมีหนี้สิน"

เพราะการมีหนี้สินมากเกินไป
อาจสร้างปัญหาในระยะยาว
จนไม่อาจจะลืมตาอ้าปากได้ในโอกาสต่อไป

.....................................................
ก้มกราบบ่อยๆ จะช่วยขจัดความหยิ่ง-ทะนงออกไป...


แก้ไขล่าสุดโดย ปลายฟ้า... เมื่อ 19 ส.ค. 2009, 22:35, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ม.ค. 2009, 12:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ม.ค. 2009, 14:33
โพสต์: 60


 ข้อมูลส่วนตัว


อย่าใส่ใจกับเสียงล้อเลียน...

เขาพูดอะไรให้ยิ้มไว้ก่อน และเลิกใส่ใจในคำพูดนั้น
ถ้าสุดวิสัย เอ่ยถ้อยคำขันๆให้สถานการณ์คลี่คลาย

เมื่อเราเริ่มต้นแสวงหา
และเข้าสู่การเติบโตจากภายในจิตใจของเราอย่างแท้จริงนั้น
การมองโลกและชีวิตรวมทั้งการใช้เวลาจะเปลี่ยนไป

คุณอาจถูกครอบครัวกับเพื่อนที่ไม่ได้เดินในแนวทางเดียวกันล้อเลียน
ทั้งที่ไม่มีเจตนาทำร้าย

ดังนั้น เขาพูดอะไรให้ยิ้มไว้ก่อน และเลิกใส่ใจในคำพูดนั้น

อย่าปล่อยให้เป็นเรื่องใหญ่โต
คุณย่อมรู้ดีว่าชีวิตและจิตใจมีอะไรกำลังเปลี่ยนแปลง
และถึงแม้จะไม่เข้าใจความลี้ลับแห่งจักรวาลอย่างถ่องแท้

แต่อย่ายอมให้คนอื่นที่ไม่เข้าใจมารบกวน
สิ่งเดียวที่คุณควรทุ่มเทให้คือ ความงอกงามภายในตน

หากต้องอยู่ในสถานการณ์ที่มีคนพูดจาทิ่มแทง
มีวิธีการหลายร้อยพันให้เลือกใช้ เป็นไปได้ควรหลีกพ้นเสีย

เพื่อนสนิทฉันเคยคบหากับสามีภรรยาคู่หนึ่ง
ซึ่งฝ่ายสามีติดนิสัยชอบล้อเลียน
คนที่เขาคิดว่าใช้ชีวิตแตกต่างจากคนธรรมดา

แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าวาจากระเซ้าเย้าแหย่ของเขาไม่มีพิษภัย
แต่ความใจแคบของเขาทำให้เพื่อนฉันอึดอัด
จนต้องเลิกคบกันในที่สุด

ถ้าสุดวิสัย จงใช้อารมณ์ขันให้เป็นประโยชน์
เอ่ยถ้อยคำขันๆให้สถานการณ์คลี่คลาย
อาจเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เสียบ้าง
หรือไม่ก็ฟังเฉยๆและลองนั่งนึกดูว่า
คนพูดจาแบบนี้จะเป็นบทเรียนอะไรแก่คุณบ้าง

เหนือสิ่งอื่นใด ให้สำรวมใจไม่แสดงออก
พึงระลึกเสมอว่า
เมื่อก่อนคุณก็เคยมีนิสัยแบบนั้นมาแล้วเหมือนกัน

.....................................................
ก้มกราบบ่อยๆ จะช่วยขจัดความหยิ่ง-ทะนงออกไป...


แก้ไขล่าสุดโดย ปลายฟ้า... เมื่อ 19 ส.ค. 2009, 22:46, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ม.ค. 2009, 12:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ม.ค. 2009, 14:33
โพสต์: 60


 ข้อมูลส่วนตัว


ความเครียดกำลังบอกอะไรกับเรา

ถ้าเราหัดฟังสัญญาณจากความเครียดบ้าง เราจะรู้ทันทีว่า ถึงเวลาแล้วที่เราต้องพักผ่อน
หรือปล่อยวางความคิดลงเสียบ้าง...

ทมยันตีเคยเล่าว่านวนิยายเบาสมองของเธอที่ใช้นามปากกาว่า "โรสลาเลน" นั้น
ล้วนเขียนในยามที่กำลังเครียดทั้งนั้น

มุขตลกของชาร์ลี แชปลิน
ซึ่งนำความครื้นเครงมาสู่ชาวโลกนั้นส่วนใหญ่ก็ขุดมาจากเบื้องหลังอันทุกข์ระทม

ดาวตลกจำนวนไม่น้อยก็มีชีวิตไม่ต่างจากเขา
เพราะฉะนั้นความเครียดจึงมิใช่สิ่งกดดันบั่นทอนชีวิตแต่ถ่ายเดียว
หากแต่เป็นปัจจัยแห่งการสร้างสรรค์ด้วย

จริงอยู่ความเครียดทำให้ชีวิตเป็นทุกข์
แต่ขณะเดียวกันมันก็เป็นแรงผลักดันให้ชีวิตจิตใจดิ้นรนขวนขวายหาสิ่งอื่นที่ดีกว่า
อันได้แก่ความโปร่งเบา สบาย ราบรื่นและสมดุล

ในยามเครียด จิตจะว่องไวเป็นพิเศษในการฉกฉวยอะไรก็ได้
เพื่อมาบรรเทาความเครียด หรือบางทีก็ "หลุด" ออกไปจากเรื่องจำเจได้ง่าย

ของบางอย่างในยามที่เราปกติ ก็เห็นเป็นเรื่องธรรมดา
แต่เวลาเครียดแล้วจะเห็นเป็นเรื่องตลกหรือไร้สาระไปเลย (ภาษาสมัยใหม่เรียกว่า "เซอร์")

ถ้าเราไม่หมกมุ่นหรือวิตกกังวลกับความเครียดมากเกินไปนัก
ลองมองออกไปนอกตัว เพียงแต่เปลี่ยนมุมมองนิดเดียว
ก็มีเรื่องให้หัวเราะได้มากมาย
บางทีก็คิดเรื่องตลกออกมาได้อย่างน่าแปลกใจ

แต่ถ้าท่านเป็นคนชอบเรื่องจริงจัง ไม่นิยมมุขตลก
ก็ลองมองประโยชน์ของความเครียดในอีกแง่หนึ่งก็ได้

นั่นคือการเป็นสัญญาณเตือนตน
ว่ากำลังมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับเรา

เวลาเจริญสติทำสมาธิภาวนาหากมีความเครียดเกิดขึ้น
นั่นแสดงว่าเรากำลังทำผิดวิธี
อาจจะเพ่งมากไปหรือกดห้ามความคิดเอาไว้ก็ได้

เมื่อรู้เช่นนี้เราก็ควรหย่อนลงมาอีกนิด ทำใจให้เป็นกลางๆ มากขึ้น
ต่อเมื่อความเครียดหายไปนั่นก็หมายความว่าจิตของเราได้สมดุลแล้ว
สามารถ "เดินหน้า" ต่อไปได้

มิใช่จำเพาะแต่การภาวนาเท่านั้น
แม้ในชีวิตประจำวัน
ความเครียดก็เป็นสัญญาณเตือนภัยที่ดีสำหรับเราทุกคน

มันอาจกำลังบอกเราว่าเรานอนน้อยเกินไป เราทำงานมากเกินไป
หรือไม่ก็เตือนว่าเรากำลังคิดมากเกินไปแล้ว

ถ้าเราหัดฟังสัญญาณจากความเครียดบ้าง เราจะรู้ทันทีว่า
ถึงเวลาแล้วที่เราต้องพักผ่อน หรือปล่อยวางความคิดลงเสียบ้าง

ความเครียดเตือนเราให้คืนสู่ดุลยภาพ

ถ้าเรากินมากไป ความอึดอัดจะเตือนให้เราหยุด
ถ้าไม่หยุด ผลร้ายจะเกิดขึ้นตามมา

ในทำนองเดียวกัน ถ้าเราหาเรื่องมาใส่สมองจนแน่นไปหมด
มิตรที่จะเตือนเราให้รู้จักเพลาเสียบ้างก็คือความเครียดนี้เอง

ความเครียดเป็นเสมือนเสียงตะโกนโหวกเหวก
แม้จะรบกวนโสตประสาทไปบ้าง
แต่ก็จำเป็นสำหรับคนขับรถที่กำลังหลับใน
หรือเพลิดเพลินกับการพูดคุยจนไม่รู้ว่ากำลังวิ่งออกนอกเลน

ถ้าเราสดับตรับฟัง "เสียง" ของความเครียดเสียบ้าง
ชีวิตจิตใจก็จะน้อมสู่ทางสายกลางได้มากขึ้น

เป็นเพราะเราเห็นความเครียดเป็นศัตรู
จึงมัวแต่วิตกกังวลกับมันเลยไม่ได้ทำสิ่งที่ควรทำ

มิหนำซ้ำบางทีก็หาทางสยบมันด้วยยาสารพัดชนิด
โดยยังใช้ชีวิตและปล่อยจิตใจให้เสียศูนย์ไปตามเดิม

ผลก็คือโรคภัยไข้เจ็บต่างถามหา
โดยเฉพาะโรคหัวใจ โรคกระเพาะ หรืออาจรวมถึงโรคมะเร็ง

ไม่ต้องพูดถึงโรคประสาทซึ่งกลายเป็นปัญหาใหญ่ของคนสมัยนี้ไปแล้ว

.....................................................
ก้มกราบบ่อยๆ จะช่วยขจัดความหยิ่ง-ทะนงออกไป...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ม.ค. 2009, 12:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ม.ค. 2009, 14:33
โพสต์: 60


 ข้อมูลส่วนตัว


แปรเปลี่ยนพลังแห่งความทุกข์ให้เป็นชีวิตที่เบิกบานและงดงาม

หลาย ต่อหลายขณะ เรารู้สึกรังเกียจอารมณ์ความรู้สึกด้านร้ายของเรา
หลายครั้งเราได้แต่นั่งสำนึกเสียใจในการกระทำของเรา แต่ผ่านไปสักช่วงหนึ่ง
เราก็แสดงอย่างนั้นอีก เป็นอย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า และดูเหมือนว่ามันจะมีพลังเข้มข้น
และเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว เราจะผลักไสอารมณ์ด้านร้ายของเราออกไป
ทำดังกลับว่ามันเป็นศัตรูตัวฉกาจ จริงๆ
แล้วเราจะสามารถผลักไสอารมณ์ด้านร้ายดังที่ว่ามาได้จริงหรือ
กระทำเยี่ยงนี้แล้วมันจะให้ผลดีขึ้นจริงหรือ

ในเมื่ออารมณ์ความรู้สึกเกลียดชังมันเป็นส่วนหนึ่งของเรา
เป็นส่วนหนึ่งเช่นเดียวกับความเมตตากรุณา และความเบิกบานอันเป็นด้านดีของจิตใจเรา
ในทางพุทธศาสนานั้นอธิบายว่า
ความทุกข์ทางจิตใจของมนุษย์เกิดจากรากเหง้าแห่งความไม่รู้จริง
ในสัจภาวะของสรรพสิ่งทั้งปวงว่า มันไม่ได้ดำรงตนอยู่อย่างโดดๆ
หากแต่ประกอบกันขึ้นเป็นสิ่งนั้นเป็นสิ่งนี้ตามเหตุปัจจัย
เป็นไปตามความสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน เป็นอยู่ในสภาพที่ไม่มีตัวตนแท้ถาวร
แต่เพราะเรารับรู้อย่างผิดพลาดอยู่เกือบตลอดเวลา
จนทำให้ยึดมั่นถือมั่นว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงมีตัวตนแท้ดำรงอยู่อย่างอิสระ

มองว่าตัวเราเองเป็นอิสระเอกเทศจากสิ่งอื่นคนอื่น
แยกตัวเราออกจากสิ่งอื่นรอบตัวอย่างเด็ดขาด
มองไม่เห็นว่าตัวเรานั้นสัมพันธ์เชื่อมโยงอย่างไรกับสิ่งอื่นคนอื่น
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เราหลงยึดว่ามีตัวเราและของเรา
อันเป็นความเห็นความรู้สึกที่นำไปสู่จิตใจที่ทุกข์ทน

"กระบวนการเกิดทุกข์ และการแปรเปลี่ยนความทุกข์ให้เป็นชีวิตที่เบิกบานและงดงาม"
ไว้ในหนังสือวิญญาณวาทของท่าน (เป็นหนังสือที่ให้อรรถาธิบายคำสอนของนิกายวิญญาณวาท
ซึ่งเป็นนิกายที่สำคัญของพุทธศาสนามหายาน) ดังนี้
จิตใจของเรานี้เปรียบไปก็คล้ายกับผืนนาอันกว้างใหญ่ไพศาล ที่พร้อมจะรองรับเมล็ดพันธ์ทุกชนิด
และหากเราหล่อเลี้ยงเมล็ดพันธุ์ชนิดใดไว้
เมล็ดพันธุ์นั้นก็จะเติบโตงอกงามขึ้นมามีอิทธิพลต่อชีวิตของเรา
ด้วยเหตุนี้จิตใจที่ถูกกระทำให้เกิดความทุกข์ความเจ็บปวดดังกล่าวในข้างต้น แล้วนั้น

ดังนั้นแต่ละขณะของชีวิตจิตใจของเราจะทำหน้าที่รับรู้และเก็บเอาทุกสิ่งทั้งดีร้าย
และไม่ดีไม่ร้ายไว้จิต ใจของเราก็จะรับรู้และเก็บเอาเมล็ดพันธุ์แห่งความทุกข์นั้นไว้
และหากเราไม่มีสติรู้เท่าทันสรรพสิ่งตามที่เป็นจริง ปล่อยให้เกิดการรับรู้อย่างผิดพลาดเสมอๆ
ก็เท่ากับเราได้รดน้ำพรวนดินหล่อเลี้ยงให้เมล็ดพันธุ์แห่งความทุกข์นั้นเติบ โต
ซึ่งมันจะออกโรงปรากฏให้เราเห็นดังที่กล่าวมา

ไม่ เฉพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความทุกข์ ความเจ็บปวด
หรือความเคียดแค้นชิงชังเท่านั้น เมล็ดพันธุ์แห่งความละโมบ ความทะยานอยากทั้งหลาย
เมล็ดพันธุ์แห่งความรู้สึกเปรียบเทียบแล้วถือตนว่าเหนือหรือต่ำกว่าคนอื่น ฯลฯ
ก็เป็นไปในทำนองเดียวกัน

การพลิกเปลี่ยนจากพลังด้านร้ายของชีวิตให้เป็นพลังด้านดีนั้น
กุญแจสำคัญอยู่ที่การหมั่นฝึกฝนสติให้แหลมคม มีพลังเพียงพอที่จะให้รู้เท่าทันจิตใจ
ทำให้เกิดการรับรู้อย่างตรงไป ตรงมา ไม่รับรู้อย่างผิดพลาด

หรือหลงติดในภาพสัญลักษณ์ที่เราสมมุติกันขึ้น
หลงเข้าใจว่าสรรพสิ่งเป็นอิสระ ดำรงอยู่ได้ด้วยตัวมันเอง
ตัวเราเป็นอิสระดำรงอยู่อย่างไม่สัมพันธ์กับสิ่งอื่นคนอื่น

สติที่ถูกฝึกมาดีแล้วย่อมเป็นเสมือนอุปกรณ์สำคัญ
สำหรับการแปรเปลี่ยนรากเหง้าแห่งอกุศลให้เป็นกุศล
ซึ่งจะเป็นปัจจัยให้ชีวิตเกิดความเบิกบานและงดงาม

แม้อุปนิสัยใจคอด้านร้ายของเราจะเป็นความเคยชิน
ที่สั่งสมติดย้อมใจมานานแสนนานเพียงใดก็ตาม

สติที่ได้รับการฝึกฝนอยู่เสมอก็จะมีพลังเติบกล้าเข้มแข็งจนสามารถแปรเปลี่ยน
ห้วงอารมณ์แห่งความทุกข์ไปสู่ห้วงอารมณ์แห่งความเบิกบานได้อย่างน่าอัศจรรย์

ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่าเราได้ริเริ่มฝึกฝนสติ
และให้เวลาเพื่อพากเพียรกระทำอย่างต่อเนื่องหรือยัง
กล่าวว่า มีอยู่ 3 ทาง
ที่เราจะแปรเปลี่ยนเมล็ดพันธุ์แห่งความทุกข์ ให้ชีวิตพบกับความเบิกบานและงดงาม ดังนี้

1. พยายามใช้พลังแห่งสติสาดแสงเข้าไปในจิตใจ
เพื่อหล่อเลี้ยงเมล็ดพันธุ์แห่งความเบิกบาน และงดงามที่มีอยู่ในตัวเราให้เติบโตงอกงามอยู่เสมอ
ปล่อยให้เมล็ดพันธุ์ที่ว่านี้ ได้แปรสภาพเมล็ดพันธุ์แห่งความทุกข์โดยทางอ้อม
นับเป็นการแปรสภาพความทุกข์ให้อ่อนพลังลงเรื่อยๆ
โดยเราไม่จำต้องจัดการโดยตรงกับเมล็ดพันธุ์แห่งความทุกข์

วิธีการนี้เหมาะควรกับบางคนที่มีปมแห่งความทุกข์ความเจ็บปวดลึกซึ้ง
และทนได้ยากที่จะเผชิญหน้าตรงๆ กับความทุกข์
การใช้สติหล่อเลี้ยงเมล็ดพันธุ์แห่งความเบิกบานและงดงาม
จึงเป็นวิธีการทางอ้อมที่จะลดความเข้มข้นของเมล็ดพันธุ์แห่งความทุกข์ให้เจือจางบรรเทาลงได้บ้าง จากนั้นจึงขยับไปใช้วิธีการในข้อต่อไป

2.วันคืนแห่งการเจริญสติปัฏฐานหากช่วงใดขณะใดที่เมล็ดพันธุ์แห่งความทุกข์
ปรากฏตัวขึ้นมาให้ เราใช้พลังแห่งสติลูบไล้สัมผัสกับเมล็ดพันธุ์แห่งความทุกข์นั้น
เมื่อถูกสัมผัสด้วยพลังแห่งสติแล้ว เมล็ดพันธุ์แห่งความทุกข์นั้นย่อมอ่อนกำลังความเข้มข้นลง
เพียงเราใช้สติเพื่อรู้เท่าทันเมล็ดพันธุ์แห่งความทุกข์อย่างกล้าหาญเท่านั้น
ความทุกข์ที่มีอำนาจเหนือจิตใจเรามาโดยตลอด ก็ย่อมอ่อนกำลังแปรเปลี่ยนสภาพไปในที่สุด

3.เชื้อเชิญเมล็ดพันธุ์แห่งความทุกข์นั้นให้ปรากฏอยู่ในการรับรู้ของจิตใจเราไปเลย
วิธี การนี้เหมาะกับบางคนที่มีสติเข้มแข็งระดับหนึ่งแล้ว
จึงไม่จำเป็นต้องรอให้เมล็ดพันธุ์แห่งความทุกข์มาปรากฏตัวอย่างมิได้คาดฝัน
แต่เรากลับเชื้อเชิญมันมาสู่การรับรู้ของเรา
ทำดังกลับว่าเราพบกับเพื่อนเก่าที่รู้จักกันมานานแล้ว เชื้อเชิญเขามาสู่การพูดคุยกันอย่างลึกซึ้ง

สติที่ถูกฝึกมาดีระดับหนึ่งแล้ว ย่อมทำให้เราสามารถเผชิญหน้ากับความทุกข์ได้อย่างกล้าหาญ
ซึ่งจะนำไปสู่การประจักษ์แจ้งถึงสัจภาวะหรือความจริงสูงสุดของสรรพสิ่ง
อันจะเป็นการบั่นทอนห่วงโซ่แห่งความยึดมั่นถือมั่นให้ขาดลง
แล้วเข้าถึงสภาวะแห่งความเบิกบานและงดงามในที่สุด
เป็นการประจักษ์แจ้งในขณะที่เรายังเวียนว่ายในสังสาระนี้แล

วิธี การทั้ง 3 ที่กล่าวมานี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมสอดคล้องกับตัวเรา
หากเราริเริ่มใส่ใจฝึกฝนนับแต่บัดนี้
ความเบิกบานและงดงามแห่งชีวิตก็พลันจะปรากฏขึ้นในทุกขณะแห่งชีวิต
ยิ่งอำนาจแห่งสติครอบครองจิตใจได้นานและบ่อยครั้งเพียงใด
ความเบิกบานและงดงามในชีวิตยิ่งจะมั่นคงยั่งยืนมากขึ้นเท่านั้น

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้
แม้จะให้ความสำคัญกับการแปรเปลี่ยนด้านในของชีวิตเป็นเรื่องหลัก เพราะเราสามารถทำได้เลย
แต่ก็มิได้ละเลยหรือปฏิเสธการแปรเปลี่ยนปรับปรุงโครงสร้างความสัมพันธ์ทางสังคมทุกระดับ
ที่เป็นปัจจัยภายนอก อันเป็นเหตุก่อให้เกิดความทุกข์ความเจ็บปวดกับคนในสังคม
โครงสร้างความสัมพันธ์ทางสังคมที่ดีนั้น
ย่อมเกื้อกูลให้การแปรเปลี่ยนด้านในของปัจเจกบุคคลเป็นไปอย่างได้ผล
ในทางกลับกัน
หากปัจเจกบุคคลหลายๆ คนต่างพยายามแปรเปลี่ยนจิตใจไปในทางเบิกบานและงดงาม
โครงสร้างความสัมพันธ์ทางสังคมโดยรวมก็ย่อมมีความสงบร่มเย็นเช่นเดียวกัน

.....................................................
ก้มกราบบ่อยๆ จะช่วยขจัดความหยิ่ง-ทะนงออกไป...


แก้ไขล่าสุดโดย ปลายฟ้า... เมื่อ 19 ส.ค. 2009, 22:43, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ม.ค. 2009, 12:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ม.ค. 2009, 14:33
โพสต์: 60


 ข้อมูลส่วนตัว


เดินทอดอาลัยอยู่คนเดียวตามทางที่ไร้ผู้คนและดูเงียบเหงา

เดินไปเรื่อยๆ ฟังเสียงฝีเท้าของตัวเองที่ย่ำลงไปบนพื้นถนน

ทีละก้าวๆ อย่างช้าๆ และมีสมาธิ ด้วยหวังว่าถ้ามีสติสัมปชัญญะแล้ว

บางทีอาจจะช่วยให้อะไรๆ ดีขึ้นบ้าง อาจช่วยคลายความเหงาได้บ้าง

ลมพัดตีหน้าให้รู้สึกสบายๆ แบบเหงาๆ ...อีกไม่นานฟ้าคงมืดสนิท

วันนี้ต่างไปจากทุกๆวัน เพราะฉันรับรู้ถึงการอยู่คนเดียว

เดิน นั่ง คอย...คนเดียว ทั้งๆที่เคยอยู่คนเดียวมาตั้งไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง

แต่ครั้งนี้แปลกที่สุด...เพราะว่ามันรู้สึกเหงาแบบสุดขั้วหัวใจ

แต่ไม่มีน้ำตา ไม่ถึงกับต้องร้องไห้เหมือนกับก่อนๆ ที่ผ่านมา

อาจจะเป็นเพราะว่าฉันเริ่มจะจับต้องกับความเหงา

และเรียกมันเข้ามาคุยกันใกล้ๆอย่างคนคุ้นเคย

ที่ฉันไม่ค่อยอยากรู้จัก แต่วันนี้คงปฏิเสธไม่ได้อีกต่อไป

"เรามาทำความเข้าใจกันดีกว่า" ฉันคิดในใจ

"โดดเดี่ยวแบบนี้ ดีหรือไม่ดี เหงาแบบเมื่อวานก่อนดีมั้ย"

ฉันเริ่มตั้งคำถามกับความเหงา

"................." ไม่มีคำตอบใดๆเล็ดลอดออกมาเลยแม้ประโยคเดียว

ฉันเริ่มคิดได้ และคิดอย่างช้าๆ ในใจว่า

เมื่อคนเราต้องอยู่กับตัวเอง มันทรมานและเจ็บปวดนาน

ฉันจึงพยายามปล่อยให้สมองเว้นว่างจากความเจ็บปวดเหล่านั้นบ้าง

พยายามลืมตาเปิดหัวใจตัวเอง มองดูผู้คนที่รายล้อมอยู่ข้างๆ

มองฟ้าที่วันนี้ก็ดูครึ้มๆ สีหม่นๆ เหมือนกับเมื่อวาน

ฉันเริ่มเข้าสู่ภาวะซึมเศร้าอีกแล้ว...เงียบ - เงียบ

ฉันนั่งนิ่งๆ เงี่ยหูฟังอะไรบางอย่างที่มันเบาๆ มาก ฉันฟังอย่างตั้งใจ

และได้พบว่า...หัวใจห้องที่ 1 ของฉัน....กำลังร้องไห้

:: DIARIST TALK ::

IT'S BEEN A LONG TIME SINCE WE MET?
DO YOU STILL REMEMBER ME?

ฉันตอบประโยคนี้ว่า.....จำได้เสมอ...

: คุณล่ะจำได้มั้ย...?

ปลายฟ้า..น้องใหม่...ช่วยแนะนำด้วยนะค่ะ...

.....................................................
ก้มกราบบ่อยๆ จะช่วยขจัดความหยิ่ง-ทะนงออกไป...


แก้ไขล่าสุดโดย ปลายฟ้า... เมื่อ 19 ส.ค. 2009, 22:43, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ม.ค. 2009, 13:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ม.ค. 2009, 14:33
โพสต์: 60


 ข้อมูลส่วนตัว


เปลี่ยนวิธีเผชิญหน้ากับปัญหา

ครั้งหนึ่ง...
ขณะที่กำลังนั่งอ่านหนังสือเพลินๆ อยู่ในสวนสาธารณะ
ฉันได้ยินเสียงร้องไห้ ดังใกล้เข้ามา
หลังจากเงยหน้าขึ้นมาดู
ก็เห็นผู้ชายวัยคุณพ่อคนหนึ่งกำลังปั่นจักรยานผ่านตรงหน้า
ตามหลังมาด้วยหนูน้อยเจ้าของเสียงอายุประมาณ 7-8 ขวบ
ที่ขานั้น...กำลังปั่นจักรยานคันน้อย
แต่ปาก...ก็ตะเบ็งเสียงร้องไห้เพื่อเรียกร้องความสนใจ
หวังจะให้คุณพ่อ หันกลับมาช่วย
จากการประเมินสถานการณ์
ฉันคิดว่าเด็กน้อยคนนี้กำลังอยากถอดใจ
เพราะคิดว่าตัวเองคงปั่นจักรยานต่อไปไม่ไหวแล้ว
แต่งานนี้- -ดูเหมือนคุณพ่อจะไม่ใจอ่อนง่ายๆ
กลับปั่นจักรยานของตัวเองต่อไปเรื่อยๆ
ส่วนคุณลูก...ก็ตะเบ็งเสียงต่อไปเรื่อยๆ เช่นกัน

จนกระทั่ง อีกอึดใจหนึ่ง คุณพ่อก็เลี้ยวรถกลับมา
แต่สิ่งที่เกินความคาดหมายของฉันก็คือ
คุณพ่อ...ไม่ได้กลับมาช่วย แต่เขากลับมาเพื่อบอกประโยคหนึ่งกับลูกตัวเองว่า
“ น้อง......ครับ พ่อว่า ให้ลูกเปลี่ยนจากออกแรงตะเบ็งเสียง
มาเป็นออกแรงปั่นจักรยานดีกว่านะครับ”
แล้วคุณพ่อใจเด็ด ก็ปั่นจักรยานต่อไป...
ส่วนลูกชาย...ก็ค่อยๆลดเสียงลง แล้วปั่นจักรยานคันน้อยต่อไปอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก

หลายครั้ง...ที่บางคนอาจเคยทำตัวคล้ายๆกับเด็กน้อยคนนี้
แต่เราจะรู้บ้างมั้ยว่า
ในตัวเรา ก็สามารถเปลี่ยนวิธีคิดของตัวเอง
จาก ‘เด็กน้อย’ เป็น ‘คุณพ่อ’ ได้ในเวลาเดียวกัน

เมื่อไหร่ที่เกิดความรู้สึกว่าตัวเองกำลัง ‘ไม่ไหว’
อยากให้ลองถามตัวเองดูใหม่ว่า
ที่ ‘ ไม่ไหว ’ นั้นน่ะ เป็นเพราะเรา...แค่ไม่อยากจะสู้รึเปล่า
มีความจริงอันหนึ่งที่หลายคนอาจจะลืม ก็คือ
ก่อนที่ทุกคนจะหมดแรงนั้น
ธรรมชาติยังมอบ ‘ กำลังเฮือกสุดท้าย ’ ให้เสมอ
และที่เราไม่หยิบมันออกมาใช้
ก็เพราะเราลืมหรือกำลังเหนื่อยกับการตีโพยตีพายอยู่รึเปล่า

ในทุกปัญหาย่อมมีวิธีคลี่คลายที่ถูกจุดและมีช่วงเวลาแก้ที่เหมาะสม
อยู่ที่เราเองเท่านั้น ว่าจะเริ่มต้นเมื่อไหร่ และเปลี่ยนแปลงมันอย่างไร
ที่สำคัญอย่ายอมแพ้...ถ้ายังไม่หมดเวลา.

.....................................................
ก้มกราบบ่อยๆ จะช่วยขจัดความหยิ่ง-ทะนงออกไป...


แก้ไขล่าสุดโดย ปลายฟ้า... เมื่อ 19 ส.ค. 2009, 22:42, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ม.ค. 2009, 13:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ม.ค. 2009, 14:33
โพสต์: 60


 ข้อมูลส่วนตัว


สิ่งที่ไม่ดี... ไม่สวยงาม...
ที่เราใช้แล้ว...ชำรุด ... ทรุดโทรม...
ใช้การไม่ได้อีกต่อไป...
เรียกว่า... "ขยะ"

ถ้าพูดถึงขยะ
หลายคนคงเข้าใจดีแล้วว่า...
ในขยะที่เหลือใช้แล้ว... ที่คนส่วนใหญ่นำไปทิ้ง
เพราะเห็นว่า "ไม่มีคุณค่า – ไม่มีประโยชน์"

แต่ในสิ่งที่เรามองเห็นว่า...
ไม่มีคุณค่า - ไม่มีประโยชน์ สำหรับเรา
อาจมีคุณค่า... สำหรับผู้เก็บของเก่า...
ซึ่งสามารถแปรเปลี่ยนเป็นเงินได้...

แต่สำหรับขยะทางความคิด...
และขยะทางอารมณ์นั้น
…หามีประโยชน์แต่อย่างใดไม่
ยิ่งกลับจะเป็นอันตราย... ทั้งต่อตนเองและคนรอบข้างด้วย

เพราะผู้ที่ชอบเก็บสะสมขยะทางความคิด... ขยะทางอารมณ์
เมื่อเก็บสะสมไว้มากๆ
ก็จะทำให้เกิดมะเร็งร้ายในจิตใจ – ในอารมณ์ความรู้สึกได้

เราจึงไม่ควรที่จะเก็บหรือรักษาสิ่งเหล่านั้นไว้ในจิตใจเลย
…แต่สมควรอย่างยิ่ง
…ที่จะหมั่นตรวจ หมั่นเก็บกวาด
นำขยะทางความคิด - ขยะทางอารมณ์... ออกไปทิ้งเสียโดยพลัน

เพราะขยะทางความคิด
ได้แก่... ความคิดที่ไม่ดี... ไม่ถูกต้อง... ไม่ดีงาม
ผิดจากทำนองคลองธรรม... เป็นมิจฉาทิฎฐิ (เห็นผิด)
คิดในแง่ร้าย... ชอบมองแง่ลบ
มีความคิดเห็นเชิงลบ... ไม่สร้างสรรค์
คิดสิ่งที่ไม่ก่อประโยชน์... ให้โทษแก่ตนเองและผู้อื่น

สิ่งเหล่านี้ถือว่า...
เป็นขยะทางความคิด..
ซึ่งถ้าสะสมไว้มากๆ
ก็จะก่อตัวเป็นมะเร็งร้ายทางความคิดได้
และจะทำให้จิตใจขุ่นมัว... มืดมน
ทำลายสติปัญญา... เกิดความโง่เขลาทางจิตใจ

ส่วนขยะทางอารมณ์...
ได้แก่... อารมณ์โลภ โกรธ หลง อิจฉา - ริษยา
อารมณ์เบื่อ... อารมณ์เซ็ง...
อารมณ์เหงา... อารมณ์เศร้า... และอื่นๆ อีกมากมาย
ถือว่า... เป็นขยะทางอารมณ์

ถ้าใครมีมาก สะสมไว้มาก ไม่ยอมสละออก
ก็จะทำให้เกิดโรคร้ายต่างๆ ตามมา
ที่เราเรียกว่า... "มะเร็งร้ายทางอารมณ์"
ที่จะค่อยๆ กัดกร่อนทำร้ายจิตใจของเราทุกๆ ขณะ
ที่อารมณ์เหล่านี้เกิดขึ้นในจิตใจเรา

คนเรามีขยะทางความคิด – ทางอารมณ์เหมือนกันทุกคน
แต่แตกต่างกันที่ว่า...
เมื่อขยะทางความคิด – ขยะทางอารมณ์เกิดขึ้น
เราจะมีวิธีการนำขยะเหล่านั้นออกจากจิตใจได้อย่างไร ???

การเรียนรู้ที่จะนำขยะทางความคิด - ทางอารมณ์ออกจากจิตใจ
สามารถทำได้ง่ายๆ ก็คือ...
...ไม่ยอมเก็บ...
...ไม่ยอมสะสม...

ดังนั้น ทุกครั้งที่ขยะทางความคิด – ขยะทางอารมณ์เกิดขึ้น
เราต้องรีบปฏิเสธโต้กลับมันทันที
คือ... ไม่ยอมรับ ไม่สะสม ไม่เก็บ
และรู้เท่าทันมันอย่างเข้าใจ
ก็จะสามารถสละมันออกจากจิตใจได้

.....................................................
ก้มกราบบ่อยๆ จะช่วยขจัดความหยิ่ง-ทะนงออกไป...


แก้ไขล่าสุดโดย ปลายฟ้า... เมื่อ 19 ส.ค. 2009, 22:42, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ม.ค. 2009, 13:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ม.ค. 2009, 14:33
โพสต์: 60


 ข้อมูลส่วนตัว


บุญเหนือบุญคือการรู้จักตนเอง
ไร้บทเพลงบรรเลงทุกข์สุขฤาเหงา
บุญเหนือบุญใช่วิมานฝันสวรรค์เงา
บุญของเราหยุดคิดได้ไร้เศร้าใจ..

บุญอยู่ไหนถามใครอยู่ในนี้
ที่จิตดีจิตว่างกระจ่างใส
บุญแบบนี้เรียกว่านิพพานใจ
อย่าสงสัยรอแสนชาติคลาดค้นพบ..

ที่เราทุกข์นักหนาเพราะความคิด
หลงยึดติดยึดมั่นกิเลสกลบ
สร้างบุญญาบารมีเลิกคิดลบ
ก็จะพบใจว่างกระจ่างงาม...

หากแสนยากหยุดคิดติดฟุ้งซ่าน
อุปาทานมากมายคล้ายขวากหนาม
ลองหยุดนิ่งรู้หายใจในทุกยาม
เฝ้าติดตามปราณพรูรู้เท่าทัน..

สั้นหรือยาวเคล้าหยาบฤาละเอียด
ค่อยมาเบียดความคิดจิตเพ้อฝัน
พบมหัศจรรย์ว่างวางพร่างปิติพลัน
ไร้สวรรค์ฤานรกตกต้องใจ..

รจนาภาษาเรียบง่ายจึ้ตรงจุด
สู่วิมุตติหลุดพ้นกว่าคำไหน
ตายก่อนตายหยุดคิดได้สว่างใจ
ไม่วาบไหวหวั่นหวามตามโลกย์รัก..

หลวงพ่อท่านนำทางธรรมสั้นกระชับ
รู้รำงับจับอิริยาบถให้รู้จัก
ความเคลื่อนไหวช้าช้าพาจิตพัก
หยุดทุกข์หนักทุกข์หนาพาพบธรรม..

คือ.กุศโลบายให้จิตจ่อ
เพียรอย่าท้อรู้ฝึกทุกคืนค่ำ
ยามใดเหงาเหว่ว้าวิบากกรรม
จงเพียรทำไร้น้ำตาหาใครมาปลอบใจ..

เพราะผู้ใดไหนเล่าจะช่วยเจ้า
หลุดพ้นเศร้าดายเดียวยามวูบไหว
เจ้าต้องอยู่กับเงาร้าวเปล่าเปลี่ยวใจ
ตราบสิ้นลมหายใจใครไปด้วยช่วยบอกที..

มาลำพังไปลำพังอย่าเขลาโง่
จงรีบโผล่บัวพ้นน้ำงามศักดิ์ศรี
ฝึกหยุดคิดนิมิตหมายนะคนดี
นิพพานที่นี่เดี่ยวนี้สิพบว่างกระจ่างใจ..

ณ..โลกนี้นาทีนี้ใช่โลกหน้า
เลิกเหว่ว้าลืมทางพรางหวั่นไหว
ไม่มีเขาเราอยู่ได้นะดวงใจ
เพราะจิตใสสิ้นทุกข์ได้ไร้ตัวตน...

ตามรอยธรรมรอยทองของพระพุทธ
เพียรรู้หยุดเลิกคิดได้ไร้สับสน
มองเข้าไปในจิตวิญญาณบ้านแห่งตน
สร้างกมลใสว่างพร่างแสงเพชรอัญมณี..!

.....................................................
ก้มกราบบ่อยๆ จะช่วยขจัดความหยิ่ง-ทะนงออกไป...


แก้ไขล่าสุดโดย ปลายฟ้า... เมื่อ 19 ส.ค. 2009, 22:40, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ม.ค. 2009, 13:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ม.ค. 2009, 14:33
โพสต์: 60


 ข้อมูลส่วนตัว


นิทานก่อนตาย

ไอ้จุกวิ่งหน้าตั้งมานั่งหอบ แล้วดึงขอบชายเสื้อเช็ดเหงื่อไหล
หลวงพ่อนั่งสมาธิกุฏิใน ก็ตกใจเสียงไอ้จุกที่ลุกลน

เปิดประตูออกมาเห็นหน้าศิษย์ หลวงพ่อคิดถึงเจตน์และเหตุผล
จึงนั่งลงที่เหมาะเฉพาะตน มิพร่ำบ่นแต่กลับคอยรับฟัง

“ตะกี้จุกเห็นทางลุงข้างบ้าน ลงไปคลานดิ้นรนเหมือนคนคลั่ง
ร้องมอมอเหมือนวัวน่ากลัวจัง จุกหันหลังหลับตาไม่กล้ามอง

สักครู่จึงดูเหมือนหยุดเคลื่อนไหว หรือแกหยุดหายใจจึงไม่ร้อง
น้ำลายไหลเยิ้มเหม็นอยู่เป็นฟอง ตาลุกพองเบิ่งอ้าอย่างน่ากลัว

จุกขอถามหลวงพ่อพอรู้ไหม ตอนหนุ่มใหญ่แกทำแต่กรรมชั่ว
ชอบเชือดไก่จับปลาชอบฆ่าวัว ตอนนี้ตัวตายไปอยู่ไหนกัน”

หลวงพ่อยิ้มชอบใจตอบไอ้จุก “แกรับทุกขเวทนาก่อนอาสัญ
อาจเกิดเป็นสัตว์นรกตกโลกันตร์ อยู่ในนั้นทรมาณเป็นล้านปี”

จุกฟังยิ่งสนใจถามใหม่ว่า “ยังงี้ถ้าคนตายใช่รายนี้
ถ้าเป็นคนเคยทำแต่กรรมดี อยากรู้ที่เกิดบ้างดูอย่างไร”

“คนย่อมทำดีบ้างทั้งสร้างบาป ยากจะทราบชาติเกิดกำเนิดใหม่
ภาพนิมิตติดจินต์ก่อนสิ้นใจ ย่อมบอกใบ้ให้รู้ทุกผู้คน

จะเห็นภาพแต่หลังเหมือนหนังฉาย ภาพสุดท้ายที่เห็นจะเป็นผล
จึงสุดรู้สุดคาดถึงชาติตน แต่ฝึกฝนเลือกได้และง่ายทำ

ถ้าเห็นภาพไฟฟอนเหล็กร้อนฉ่า สัตว์เคยฆ่าย่างกรายหมายขย้ำ
จนหวาดกลัวร้องกรีดดั่งมีดตำ ย่อมดิ่งล้ำลงนรกไฟลุกแรง

ถ้าเห็นภาพข้าวลีบรวงกลีบหล่น ถ้ำมัวหม่นมืดดับและอับแสง
จะเป็นเปรตเวทนานัยน์ตาแดง ลำคอแห้งดั่งทรายกระหายน้ำ

ถ้าเห็นภาพทุ่งหญ้าและป่ากว้าง เห็นม้า ช้าง กวาง ฯลฯ เล่นลมเย็นฉ่ำ
จะเกิดเป็นเดรัจฉานจากฐานกรรม นิมิตย้ำภาพสัตว์อย่างชัดเจน

ถ้าเห็นภาพเนื้อเหมือนว่าเคลื่อนไหว ก้อนหัวใจในครรภ์ที่มันเต้น
จะเกิดเป็นคนใหม่ไปสร้างเวร หรือเลือกเป็นคนดีอยู่ที่เรา

ถ้าเห็นภาพเทวดาและปราสาท รุกชาติงดงามไร้ความเศร้า
จะเป็นเทพมีวิมานอยู่นานเนา ไม่แก่เฒ่าบนสวรรค์ตราบวันตาย

ถ้าเห็นพระพุทธองค์ผู้ทรงฤทธิ์ อรหันต์สานุศิษย์ทุกทิศสาย
เบื่อขันธ์เบือนเรือนร่างที่วางวาย ย่อมเกิดกายเป็นทิพย์อยู่นิพพาน”

ไอ้จุกฟังทุกข้อหลวงพ่อตอบ จึงถามสอบเพื่อแยกให้แตกฉาน
“ถ้าก่อเวรเข่นฆ่ามาช้านาน ก่อนวายปราณเปลี่ยนพับโจรกลับใจ….”

“เอ็งไม่ต้องถามต่อหลวงพ่อรู้ เรื่องที่อยู่หลังตายแล้วใช่ไหม
มีธรรมเนียมน่าสนของคนไทย คนสมัยก่อนเล่าให้เราฟัง

ถ้าใกล้ตาย..มองพระพุทธ ผู้ผุดผ่อง เขาให้ท่อง “สัมมา อะระหัง”
สมัยนี้ละทิ้งไม่จริงจัง สิ่งปลูกฝังยายย่าก็ว่าเชย

ถ้าเราท่องภาวนา จำหน้าพระ ก่อนเราจะสิ้นใจไปเฉยเฉย
โอกาสไปอเวจีไม่มีเลย และไม่เคยมีใครไม่ไปดี

จะเกิดบนสวรรค์แม้ชั้นต่ำ ถึงก่อกรรมฆ่าสัตว์ทำบัดสี
แต่อารมณ์ก่อนสิ้นชาติอินทรีย์ แหละบ่งชี้ที่เกิดดังกล่าวมา”

แต่ว่ากรรมทั้งหลายไม่หายสาป ที่สร้างซ้ำทำบาปจนหยาบหนา
เมื่อหมดสิ้นผลหนุนจากบุญญา ย่อมมุ่งหน้านรกร้อนกลางฟอนไฟ

ไอ้จุกเอ๋ย..ถ้าใครที่ใกล้ดับ หูเลิกรับรู้เสียงแม้เพียงไหน
แม้แต่ภาพพระรัตนตรัย แม้แต่ใครมาฉุดท่องพุทโธ

ภาพทุกภาพถึงเวลาย่อมปรากฏ เรากำหนดไม่ได้ไม่ให้โผล่
จะจนรวยแค่ไหนหรือใหญ่โต ไม่พ้นโซ่ตรวนกรรมที่ทำเวร

พระพุทธองค์จึงตรัสดำรัสไว้ ให้ตั้งใจทำดีอย่ามีเว้น
ลดละบาปไม่ทำแม้จำเป็น หมั่นบำเพ็ญภาวนาเป็นอาการ

ถ้าจิตติดภาวนา..ก่อนลาลับ จิตจะจับท่องจำถ้อยคำขาน
เสียง “สัมมา อะระหัง” จะกังวาน ในดวงมานเรารู้เพียงผู้เดียว

จะลอยลิบสู่ทิพยสถาน อาจนิพพานสำเร็จถ้าเด็ดเดี่ยว
เป็นความจริงแน่แน่โดยแท้เทียว ข้าถึงเคี่ยวเข็ญจุกอยู่ทุกวัน”

จุกก้มกราบหลวงพ่อ “จุกขอโทษ อย่าได้โกรธที่ว่าจุกก๋ากั่น
จะหมั่นท่อง “พุทโธ” เป็นโล่กัน จะสวดมนต์อย่างขยันจุกสัญญา……”

.....................................................
ก้มกราบบ่อยๆ จะช่วยขจัดความหยิ่ง-ทะนงออกไป...


แก้ไขล่าสุดโดย ปลายฟ้า... เมื่อ 19 ส.ค. 2009, 22:40, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ม.ค. 2009, 20:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ม.ค. 2009, 14:33
โพสต์: 60


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอเลื่อนวันตายไปก่อนได้ไหม.....

กระท้อนเป็นนักข่าว อยู่ที่นิตยสารโลกก้าวหน้า
มีคนรักชื่อนพดล ซึ่งเขายังไม่ได้หย่าขาดจาก วิวรรณ ภรรยาเก่า
แต่ก็ตกลงแยกทางเดินกันนานแล้ว
นพดลมีอาชีพเป็นช่างภาพ อยู่ที่นิตยสารโลกก้าวหน้าด้วยเช่นกัน
วันหนึ่งเมื่อไปสัมภาษณ์บุคคลดังผู้หนึ่ง ซึ่งกำลังตกเป็นข่าว
เป็นที่กล่าวขานกันอย่างเกรียวกราว เกี่ยวกับการทุจริต
และพัวพันการคอรัปชั่นของสส.หลายคน
และจากวันนั้นเป็นต้นมากระท้อนก็เริ่มฝันร้าย..

ดึกสงัดทุกหนทุกแห่งเต็มไปด้วยความเงียบ
กระท้อนขยับตัวอยู่ในความมืดสลัวของห้องนอน
นัยน์ตาของหล่อนปิดสนิท แต่หัวคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน
เสียงหายใจแรงๆ พร้อมกับเคลื่อนไหวร่างอย่างกระสับกระส่าย
แสดงให้รู้ว่า หล่อนกำลังตกอยู่ในห้วงฝันร้ายที่น่ากลัว

อากาศโดยรอบค่อนข้างเย็นแถมเปิดพัดลมไว้
เครื่องเดินเงียบสนิทแทบไม่ได้ยินเสียง
แต่กระท้อนก็ยังลุกลนไปมา สีหน้าหมกมุ่นราวกับอึดอัดแทบขาดใจ
ศีรษะได้รูปสวยที่ส่ายไปมาบนหมอนพร้อมกับริมฝีปากที่ขมุบขมิบ
เหมือนกำลังคุยกับใครบางคน ทว่ากลับไม่ได้ยินเสียงหล่อนลอดออกมา
นอกจากเสียงครางเบาๆดังอย่างชัดเจนเป็นระยะๆ

การขยับตัวของหญิงสาวเริ่มแรงและทุรนทุรายขึ้น หน้านิ่วคิ้วขมวดจนดูเหยเก
พร้อมกับดิ้นรนราวกับพยายามจะปลดอะไรบางอย่างที่รัดแน่นตรงลำคอระหง
จนต้องใช้สองมือมือขึ้นแกะวุ่นวายพัลวันไปหมด

และแล้วเสียงที่อัดอั้นไว้นานของกระท้อนก็ดังออกมาราวกับคนตะโกน “ช่วยด้วย!!”
จากนั้นร่างทั้งร่างกระตุกพรืด ลืมตากว้างสะดุ้งตื่นจากฝันร้าย!!

หญิงสาวยกมือขึ้นลูบหน้าที่ชื้นด้วยเหงื่อ
ใจยังเต้นสั่นระริกผิดปรกติ ราวกับจะทะลุออกมานอกอก
แต่ทั้งๆที่เหงื่อซึมเต็มหน้า กระท้อนกลับรู้สึกหนาวจนสั่นสะท้าน..
ราวแช่ร่างอยู่ในถังน้ำแข็งก็ไม่ปาน

หล่อนมองมือเท้าที่ซีดขาวโพลนของตัวเอง..ช่างเหมือนคนตายไม่มีผิด
ความรู้สึกเกรงกลัวดำรงอยู่ได้เพียงครู่
สาวงามก็สูดลมหายใจเข้าแรงๆใช้มือยันกับที่นอน
พยุงตัวลุกขึ้นนั่งอย่างยากเย็น
จากนั้นค่อยเอื้อมมือไปกดสวิทซ์ไฟที่หัวเตียง
ความสว่างของแสงขับไล่ความมืดสลัวออกไปจากห้องทันที

กระท้อนเหลียวไปมองรอบห้อง แล้วถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก
รอยอุ่นๆเริ่มซึมกระจายทั่วกายอีกครั้ง หน้าเริ่มมีเลือดฝาดตามเดิม
หล่อนลุกไปรินน้ำเย็นที่เหยือกน้ำใบย่อมบนโต๊ะเครื่องแป้ง ยกดื่มอย่างกระหาย
พร้อมกับครุ่นคิดไปถึงฝันร้ายเมื่อครู่....

ภาพในความฝันไม่ใช่เหตุการณ์แปลกใหม่
ยังคงซ้ำซากเหมือนทุกคืนที่ผ่านมา
แต่คนประสาทแข็งอย่างหล่อน กลับรู้สึกราวอาบรังสีความกลัวเข้าให้แล้ว
และเป็นรังสีความกลัวชนิดจับจิตจับใจ จับไปทั่วรูขุมขนทุกเส้น
จนเกิดอาการตั้งชันโดยพร้อมเพรียงกันได้เสียด้วย

สามปีกับอาชีพนักข่าวที่มักเจอคนหลากอาชีพ
กับสามปีที่พัวพันปัญหาคาราคาซังของคนรักที่ยังไม่หย่าขาดจนแล้วจนรอด
เคยทำให้กระท้อน “พะบู๊” ชนิดถือไม้ถึงมือกับคนหลายคน
รวมไปถึงการบุกไปที่ทำงานและที่บ้านเพื่อทำร้ายภรรยาเก่าของนพดลอยู่หลายครั้ง
หลังจากที่ขอร้องและข่มขู่เธอให้เธอยอมหย่าไม่สำเร็จ
แต่สาวสวยอย่างกระท้อนก็ไม่เคยกลัวใครย้อนกลับมาแก้แค้น...เท่ากับการกลัวความฝันในครั้งนี้

บ้านส่วนตัวของนายบรรจบเสี่ยปั้มน้ำมันคนดังที่ไปสัมภาษณ์อยู่ในซอยส่วนบุคคล
ที่หน้าปากซอยมีคอนโดฯ สร้างใหม่ที่หรูหรา
และมีเครื่องอำนวยความสดวกสบายกับคนทำงานมากมายหลายอย่าง
ไม่ว่าจะอาหารการกิน หรือการคมนาคมติดต่อ มีรถรับจ้างตลอด24ชั่วโมง มียามดูแลอย่างแข็งขัน
และที่สำคัญ นพดลคนรักของหล่อน ก็มีห้องพักอยู่ที่นี่กับวิวรรณภรรยาเก่า

ห้องชุดห้องนั้นเป็นของขวัญวันแต่งงาน ที่พ่อแม่ออกเงินซื้อให้นพดล
ปัจจุบันเป็นแค่ที่พักของวิวรรณกับลูกสองคน
และยายจันมาอยู่ที่คอนโดฯกับวิวรรณ
ในตอนที่นพดลเก็บข้าวของย้ายมาอยู่กับกระท้อนที่คอนโดฯเช่าได้สองอาทิตย์

ยายจันมาจากไหนคุณยายของวิวรรณอาจจะรู้
เพราะคุณยายเป็นผู้ให้มาอยู่ร่วมบ้านเป็นคนแรก
ยายจันก็เป็นคนเลี้ยงดูแม่ของวิวรรณมาแต่เด็ก
เมื่อแม่ของวิวรรณแต่งงานกับพ่อ....ยายจันก็ขอแยกตัวกลับไปบ้านซึ่งอยู่ในป่าลึก
แม้ว่าแม่ของวิวรรณจะตั้งใจ รวมทั้งขอร้องให้ไปอยู่ด้วยกันที่บ้านก็ตาม
ยายจันก็ยังคงยืนกรานจะขอกลับไปอยู่บ้านป่านั่นเอง

แต่เมื่อแม่เจ็บท้องได้เวลาคลอดวิวรรณ พ่อรีบนำแม่ไปส่งที่โรงพยาบาล
แม้ว่าจะเร็วไม่น้อย เพราะว่าโรงพยาบาลอยู่ซอยถัดจากบ้านวิวรรณเพียงซอยเดียว
แต่ก็ยังช้ากว่ายายจันที่ยืนคอยเป็นกำลังใจให้แม่ที่ห้องคลอดแล้ว
และอีกครั้งในวันที่แม่ตาย ยายจันก็เดินทางมารอที่หน้าวัด
โดยที่ไม่มีวี่แววให้รู้ว่ายายจันมาและไปอย่างไร
เพื่อปลอบโยนวิวรรณ...
หลังจากเผาศพแม่แล้วยายจันก็หายไป

ยายจันไปอยู่ที่ไหนวิวรรณไม่เคยรู้
ไม่เคยมีโอกาสได้ส่งข่าวบอกเล่าเรื่องราวทางบ้าน ให้ยายจันได้รับรู้สักที
ไม่ว่าจะเป็นการป่วยของแม่ ที่อาการหนักจนเพ้อเรียกหายายจันอยู่หลายหน
หรือวันที่เธอแต่งงานกับนพดล ซึ่งพ่อสั่งให้เธอจดหมายไปเชิญยายจันด้วย
แต่วิวรรณมัวยุ่งกับข้าวของในวันแต่งงานจนลืมติดต่อไปหา
จนลูกชายคนโตของวิวรรณครบแปดขวบและคนเล็กครบห้าขวบ ได้เข้าเรียนประจำที่โรงเรียนมีชื่อแห่งหนึ่ง
ซึ่งวิวรรณจะไปรับกลับบ้านเฉพาะวันหยุดเท่านั้น ยายจันที่ไม่เคยปรากฎตัวมานาน

วันหนึ่ง...
ยายจันก็มายืนรอเธอที่หน้าคอนโดฯ
ในเย็นวันที่เธอกลับจากส่งลูกทั้งคู่เข้าโรงเรียนประจำในสัปดาห์นั้นแล้ว

“ยายมาอยู่เป็นเพื่อนหนูวรรณได้ระยะหนึ่ง และขอให้เชื่อยายไม่ต้องหย่ากับสามีนะ”

วิวรรณฟัง..และไม่สงสัยคำพูดยายจันมานานหลายปีแล้ว
รวมทั้งการที่ยายจันรู้ว่าเธออยู่ที่ไหนและมีเหตุการอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตเธอบ้าง
เพราะ...วิวรรณไม่อยากเสียเวลาคิด รู้แค่ทุกครั้งที่เธอจะเอ่ยปากบอกเล่าอะไรก็ตาม
ยายจันเป็นต้องตอบสวนมาก่อนทุกที ราวกับทุกเหตุการณ์ยายจันอยู่ในนั้นด้วยเสมอ

ตอนนี้วิวรรณรู้แค่ว่ายามเธอทุกข์...
ยายจันจะขจัดความทุกข์เหล่านั้นให้เธอได้หมด ราวกับ..เป็นเทวดาประจำกาย
ยายจันอายุเท่าไร วิวรรณก็ไม่เคยแน่ใจ
รู้แค่ทุกครั้งที่พบยายจันจะอยู่ในวัยชราราว 70 เหมือนที่พบเห็นคนแก่ทั่วๆไป
ผมสีเทาเงินที่ตัดสั้นแค่หู กับเรือนร่างผอมบางที่เดินเหินกระฉับกระเฉง คล่องแคล่วแข็งแรง
หลังตรงไม่งอค่อม ส่วนที่สะดุดตาคนมากที่สุด อยู่ที่ดวงตาที่คมกริบ
มีประกายวาวประหลาด ไม่ขุ่นมัว อ่อนล้าเหมือนตาคนชราทั่วๆไป
อีกอย่างเสียงพูดที่แหลมเล็กราวเสียงเด็กๆ
แค่ได้ยินเพียงครั้งเดียวก็ไม่มีใครลืมยายจันได้อีกเลย

“วรรณเชื่อยายจ๊ะ ไม่หย่า คงรออีกไม่นานเขาก็คงกลับมาเป็นพ่อที่ดีของลูกวรรณได้เหมือนเดิม ใช่ไหมจ๊ะยาย”

ยายจันเพียงส่งรอยยิ้มให้ แค่นี้หญิงสาวก็พอใจแล้ว
วิวรรณยังจำพูดของแม่ได้เสมอ ทุกครั้งที่เกิดปัญหาที่แม่แก้ไม่ตก
แม่เพ้อบ่นราวคนเสียสติ ซึ่งแม่บอกว่านั่นคือการสวดมนต์ภาวนาของแม่
และไม่นานเธอก็จะพบว่า แม่ยิ้มแย้มแจ่มใสได้เหมือนเดิม
แม่บอกว่ายายจันได้เดินทางมาช่วยคลี่คลายปัญหาให้แม่แล้ว

ก่อนแม่สิ้นใจ
แม่เรียกวิวรรณเข้าไปหาในห้องหยิบแหวนไม้เก่าๆ มาวงหนึ่ง
สั่งให้วิวรรณร้อยกับสร้อยคอพกติดตัวไว้เสมอ
ยามใดที่มีเรื่องเดือดร้อนใจยากแก้ไข ให้ระลึกถึงยายจันแล้วยายจันจะเดินทางมาช่วย
วิวรรณรับปากแม่ทั้งๆที่ไม่เคยเข้าใจความหมายของแม่และยายจันสักที
แต่เธอก็เชื่อคนทั้งสองมาตลอด
ครั้นยายจันสั่งห้ามหย่า
เธอก็ไม่หย่ากับนพดลตามที่เคยตกลงกันก่อนหน้านั้นไว้

“เธอ จะบ้าไปถึงไหนนะวรรณ เราทั้งคู่ต่างหมดรักกันนานแล้ว เธอจะกอดทะเบียนสมรสใบนั้นต่อไปทำไมให้แสลงใจ ในเมื่อทุกวันนี้ผมก็ไปอยู่กับกระท้อนจนคนรู้กันทั่วแล้ว”

วิวรรณไม่ยอมให้เหตุผลใดๆกับการที่เธอคืนคำ
ทำให้กระท้อนไม่สามารถพานพดลไปนราธิวาสเพื่อพบบิดามารดาทำการสู่ขอสักที
อีกทั้งบางสัปดาห์วิวรรณมักโทรฯไปขอร้องให้นพดลมาดูลูกๆที่งอแงร้องหาพ่อ
ทำให้กระท้อนซึ่งเป็นสาวอารมณ์ร้อนโมโหหึงอยู่บ่อยๆ
เคยตามมาทุบตีวิวรรณที่คอนโดฯก็หลายหน

กระท้อนเห็นยายจันเป็นครั้งแรก
ในวันที่ไปสัมภาษณ์นายบรรจบคนดังของสังคมพร้อมนพดล
เมื่อเสร็จสิ้นงานสัมภาษณ์ในบ่ายวันนั้น
นพดลเกิดนึกอยากกลับไปเอาอุปกรณ์กล้องบางชิ้น
ที่เก็บไว้ที่ห้องเก็บของที่ในคอนโดฯของเขา
ซึ่งเขารู้ดีว่าบ่ายๆเช่นนั้นไม่มีใครอยู่
เพราะวิวรรณไปทำงานจึงชวนกระท้อนขึ้นไปด้วย

แต่เมื่อเปิดห้องเข้าไปทั้งหล่อนและนพดล ต้องตกใจเป็นอย่างยิ่ง
ที่ยายจันทักทายคนทั้งคู่ได้ถูกต้อง ทั้งชื่อและนามสกุล
ทั้งๆ ที่หล่อนมั่นใจว่าไม่เคยพบคนแก่คนนี้มาก่อน
และที่แปลกแถมน่ากลัวยิ่งขึ้น
ตรงที่ยายจันเดินมาเอ่ยเบาๆที่ข้างหูหญิงสาวว่า

“คุณกระท้อนอีกสามวัน ที่คุณจะแอบเข้าบ้านนายบรรจบ เอาหมวกกันน็อต ติดมือเข้าไปด้วยนะคะ”

กระท้อนอึ้งไปนาน
จนนพดลเดินออกมาจากห้อง พร้อมอุปกรณ์กล้องสามชิ้นนั้น เขากระซิบถามคนรักว่า

“กระท้อนรู้จักยายคนนี้ด้วยหรือครับ ผมเพิ่งเคยเห็นญาติวรรณก็ครั้งนี้แหละ”

กระท้อนงงเป็นไก่ตาแตกทันที
ยายคนนี้ทำไมรู้จักหล่อนและนพดลนะ รวมทั้งรู้เรื่อง“อีกสามวัน”
ซึ่งเป็นความลับเฉพาะของหล่อนกับนพดล
และบรรณาธิการผู้เป็นทั้งเจ้าของนิตยสารโลกก้าวหน้าด้วย

การแอบปีนเข้าไปหลบที่สวนของนายบรรจบ
ในยามราตรีเพื่อสืบความเคลื่อนไหวบางอย่าง
ที่ตกเป็นข่าวลือเกี่ยวกับการคอรัปชั่นของนายบรรจบนั้น
เป็นเรื่องซ่อนอันตรายอยู่ไม่น้อย
ถ้ากระท้อนไม่ใช่เคยฝึกวิชาป้องกันตัวมาจากกรมตำรวจบ้าง
คงไม่กล้าเสนอหน้าเข้าไปเสี่ยงกับงานนี้แน่
เรื่องลับแค่ 3 คนรั่วไหลไปให้ยายจันรู้ได้อย่างไรกันนะ?
กระท้อนที่เคยสอบเข้ารับราชการเป็นตำรวจอยู่พักหนึ่ง
เริ่มครุ่นคิดทันที

แต่อย่างไรก็ตามกระท้อนก็นำหมวกกันน็อค
ที่ใช้ตอนขับมอเตอร์ไซด์ถือติดมือเข้าไปด้วย
ในคืนนั้นหลังจากหญิงสาวแอบจอดรถไว้ตรงบ้านของคนฝั่งตรงข้ามกับบ้านนายบรรจบ
โดยอาศัยความมืดสลัวของพุ่มไม้ที่เจ้าของปลูกจนยาวเลื้อยเกาะติดรั้วมาปิดบังตัวรถแล้ว
หล่อนก็ลัดเลาะเข้าไปที่รั้วบ้านนายบรรจบ
ซึ่งนพดลทำเครื่องหมายที่เก็บซ่อนบันไดยึดหดสีคล้ำเล็กเบารอไว้ให้ตัวหนึ่ง

ซึ่งคืนนี้สายบอกมาว่าสมุนส่วนใหญ่จะไม่เข้ามาใกล้ตัวบ้านนายบรรจบ
เพราะสส.ที่มาประชุมลับไม่ต้องการให้ใครรู้เห็นความเป็นไปในบ้านได้
หญิงสาวกับนพดลต้องทำการลอบเข้ามาตั้งแต่ก่อน 4 ทุ่ม
เพราะถนนส่วนบุคคลสายนี้จะปิดตอน 5 ทุ่ม
และเปิดให้ชาวบ้าน และคนขับวินมอเตอร์ไซด์ใช้เป็นทางผ่านเข้าออกได้อีกตอนราว 6 โมงเช้าของอีกวัน

เมื่อกระท้อนดึงบันไดสปริงตัวเบามากางตั้งก่อนปีนขึ้นต้นมะขามหวาน
แล้วกระโดดเข้าไปที่ชานเรือนคนใช้ได้แล้ว
หล่อนจึงโทรฯไปบอกความเรียบร้อยให้นพดลดำเนินแผนขั้นต่อไปทันที
จากนั้นก็ปิดมือถือซ่อนบันไดตัวเล็กเบาที่ทรงคุณภาพที่สั่งตรงจากนอก
สอดไว้ตรงลูกกรงของเรือนคนใช้ที่ไร้คนในยามนี้
ก่อนกระโดดไปที่ระเบียงหลังบ้านของนายบรรจบ ที่ยามนี้เงียบสงบราวบ้านร้างเช่นกัน
กุญแจเก่าๆที่จวนขึ้นสนิมไม่ยากต่อการเปิด
ไม่นานหล่อนก็ลอดตัวเข้าไปในบ้านหลังนั้นได้อีกครั้ง

บ้านไม้หลังเก่าที่เจ้าของบ้านแค่ทาสีใหม่ทุก 2 ปี ไม่ได้มาอาศัย
แต่ใช้เป็นที่ประชุมลับเกี่ยวกับงานหลายต่อหลายหน
กว่าจะซื้อเส้นทางสายนี้เข้ามาที่บ้านนี้ได้
คุณวัทเจ้าของนิตยสารโลกก้าวหน้าจ่ายไปไม่น้อยเลย
การร่วมมือทำงานลับให้กับกรมตำรวจ คนทั้ง 3 ทำมาหลายหนแล้ว
กระท้อนจึงไม่เคยเชื่อเลยว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายของหล่อนด้วย!!!

บนบ้านไม้เก่าๆหลังนี้
ชั้นบนจะมีที่แอบมองผู้คนที่ห้องรับแขกได้ถนัดชัดเจนอยู่ที่หนึ่ง
กระท้อนกบดานรอเวลาอยู่ตรงนั้นเอง

ส่วนนพดลจะทำทีขับรถตู้อ้อมไปอีกถนนด้านหนึ่ง
ซึ่งอยู่ติดกับแม่น้ำ และจากจุดตรงนั้นเขาจะแอบถ่ายภาพสส.
และผู้คนที่ร่วมมือทำชั่วได้สดวก และปลอดภัยจากสายตาคนพบเห็นได้มากที่สุด
ใครเห็นก็จะคิดว่านักท่องเที่ยวมารอถ่ายภาพแม่น้ำในยามอรุณ....ของวันใหม่

คืนนี้กระท้อนมีหน้าที่เข้าไปใกล้คนทั้งสามให้มากที่สุด
เพื่ออัดเสียงทั้งสส.ทวี สส.อรอนงค์ รวมทั้งตัวนายบรรจบด้วย
จะต้องพยายามนำเครื่องเล่นอัดเสียง เข้าไปใกล้คนเหล่านั้นให้มากที่สุด
หล่อนนำเครื่องดักฟังไปวางตามจุดต่างๆหลายแห่งได้ง่ายดาย
เพราะทุกที่ล้วนไร้คนกว่าทุกคนจะเดินทางมาก็คงอีกราว 4 ชั่วโมง
ทางที่หล่อนเล็ดลอดตาสมุนของบรรจบเข้าไป ก็ซื้อไปด้วยเงินก้อนโตอีกเช่นกัน

กระท้อนไม่เคยกลัวการทำงานแบบนี้ หล่อนทำมานับครั้งไม่ถ้วน
นพดลสามีและคุณวัท บรรณาธิการหนุ่มใหญ่ต่างเชื่อใจในฝีมือเสมอมา
คืนนี้หล่อนก็มาด้วยความมั่นใจเช่นเดิม
การเป็นนักข่าวรายได้ไม่ดีเท่าเป็นนักสืบราชการลับให้กรมตำรวจ
คนทั้งสามจึงพร้อมใจมาร่วมมือกัน

กระท้อนเคยคิดว่าจะทำไปอีกสักระยะให้พอมีฐานะดีกว่านี้
และช่วยนพดลเปิดห้องภาพหรูหราและใหญ่ที่สุดในประเทศได้สำเร็จ
ก็จะวางมือมาเป็นแม่บ้านให้เขาเพียงอย่างเดียว
กระท้อนคงไม่เชื่อและไม่มีวันเชื่อ
ถ้ามีใครบอกหล่อนว่า...
นับจากเหตุการณ์คืนนี้ผ่านไปหล่อนจะฝันร้ายไปจนวันตายเลยทีเดียวเชียวละ!!

คืนนั้นหล่อนพบภาพการฆ่าคนเพื่อปิดปากอย่างอำมหิตเลือดเย็นที่สุด
มือปืนที่กระหน่ำกระสุนนัดแล้วนัดเล่า เลือดแดงฉานพุ่งกระจาดกระจาย
และเสียงร้องโหยหวนของสส.ทั้งคู่ ที่ตายอย่างไม่ทันตั้งตัวแถมศพถูกเก็บลงในกระสอบ แล้วนำไปถ่วงลงแม่น้ำ

ทุกภาพกระท้อนเก็บเสียงได้ชัดเจนทุกขั้นตอน
แต่ขณะที่ปีนบันไดกลับออกมาทางเดิม
กระท้อนยังไม่หายตื่นตระหนกจากเหตุการณ์ผิดคาดหมายเมื่อครู่
ทำให้หล่อนก้าวเท้าพลาดไปนิดหนึ่ง ร่างจึงร่วงหล่นที่พื้น เกิดเสียงดังขึ้น
ทำให้มือปืนคนนั้นลงจากรถย้อนเดินกลับมาที่มุมรั้วอีกหน
ทว่าเป็นเวลากับที่กระท้อนขึ้นสตาร์ทรถมอเตอร์ไซด์เก่าๆที่เช่ามาจากวินปากซอยแล้ว...

และด้วยหมวกกันน็อคใบนั้นกับรถมอเตอร์ไซด์เก่าๆ
หล่อนจึงอำพรางตัวหนีรอดจากการตามสกัด ออกมาที่ปากซอยอีกทางได้สำเร็จ
ซึ่งในยามปรกติกระท้อนเป็นผู้หนึ่งที่มักฝ่าฝืนกฎ เกี่ยวกับการสวมหมวกกันน็อคมาเสมอ
เพราะรังเกียจกลิ่นอับเหงื่อของเจ้าของรถที่เช่ามาพร้อมหมวกนั่นเอง
เมื่อกลับมาที่ห้องพักได้
ในคืนนั้นหล่อนก็เริ่มต้นฝันร้ายที่น่ากลัว!!!

ฝันถึงการตายของตัวเอง
ในฝันหล่อนถูกฆ่ารัดคอจากมือปืนปริศนา??
นับวันฝันก็ยิ่งชัดเจนละเอียดมากขึ้นทุกที
จนหล่อนเริ่มปวดหัวระแวงว่าเป็นลางสังหรณ์ บอกเหตุอะไรสักอย่าง
หรือหล่อนจะเป็นคนต่อไปที่ถูกสั่งเก็บ?

การที่นายบรรจบถูกจับตามองจากหลายฝ่าย
ไม่ใช่แค่นิตยสารโลกก้าวหน้ากับหนังสือพิมพ์ข่าวเท็จจริง นำมาขุดคุ้ยเท่านั้น
จึงไม่น่าที่นายบรรจบจะรู้ว่า หล่อนกับนพดลเข้าไปร่วมมือกับตำรวจเพื่อสืบความลับของเขาแน่...
แล้วฝันของเราสื่อถึงลางร้ายอะไรกันแน่นะ?

กระท้อนสลัดหัวไปมาเพื่อขับไล่ความมึนงง
แม้ตอนนี้บรรณาธิการ จะสั่ง ให้หล่อนพักร้อนได้ 2 อาทิตย์ก็ตาม
แต่หล่อนก็ไม่รู้จะเดินทางไปไหนดี
เพราะมัวกังวลแต่เรื่องฝันอยู่ทุกคืน
รึ..ไปหายายจันอีกครั้ง?

“กระท้อน รีบมาที่บ้านพี่วัทด่วนนะ เราได้หลักฐานที่มั่นใจจะลากไอ้บรรจบ เข้าคุกอีกชิ้นแล้วครับ”

กระท้อนจึงต้องพับเก็บความคิดเรื่องส่วนตัวลงอีกครั้ง
จัดแจงคว้ากุญแจแล้วล็อกห้อง
นพดลไม่ได้กลับมานอนที่คอนโดฯนานนับสัปดาห์
เพราะภาพที่ถ่ายมามากมายต้องตัดแต่งหลายแห่ง
เขาจึงย้ายไปพักกับคุณวัทบรรณาธิการคนนั้นที่ห้องชั้นบนของที่ทำงาน
ทั้งคู่ทำงานหามรุ่งหามค่ำ เพื่อเร่งมือให้งานลุล่วงแล้วเสร็จในเร็ววัน

ซึ่งก่อนหน้านั้น
หล่อนจะ เข้าร่วมงานด้วยอย่างกระตือรือร้น
มีแต่อาทิตย์ที่ผ่านมา นับแต่เกิดเรื่องขึ้น
คุณวัทเห็น อาการหน้าซีดเซียวมักเหม่อลอยของหญิงสาว
จึงสั่งให้พักร้อนชั่วคราว เพื่อให้หล่อนได้พักผ่อนอย่างเต็มที่

หลังสนทนาสักครู่
ชายฉกรรจน์หน้าเข้มหนวดดกจึงเดินเตร่ไปมาตรงแถวบริเวณปากซอยนั้น
“เอ็งแน่ใจนะ ” ชายขาพิการพยักหน้า
สมศักดิ์ควักแบ็งค์ร้อยสามใบส่งให้แล้วเดินห่างไป
สมศักดิ์หยิบมือถือออกกดหมายเลขถึงนายบรรจบ?.....

สมศักดิ์รู้ตั้งแต่คืนนั้นแล้วว่า
ชายร่างเล็กบางที่ขับมอเตอร์ไซด์วินหน้าปากซอยเป็นนักข่าวหญิง

ทว่า
มนุษย์ก็คือมนุษย์ยังไม่ละสิ้นจิตใจเมตตา
ในคืนนั้นเขาทั้งเหนื่อยและเพลียเพราะสังหารไปหลายคนพร้อมๆกัน
จึงละเว้นการติดตามกระท้อนอย่างทันที
แม้สายจะรายงานเขาว่าพบหล่อนที่จุดใดแล้ว
สมศักดิ์แค่สั่งให้ลูกน้องเฝ้าดูหญิงสาวห่างๆไว้ก่อนเท่านั้น
ทำให้กระท้อนชะล่าใจ

ห้าทุ่มนพดลลงมาส่งกระท้อนที่รถ
เมื่อรถของหญิงสาวแล่นออกไป
สมศักดิ์ก็ขับตามไปเรื่อยๆ เมื่อกระท้อนดับไฟที่ห้อง

สมศักดิ์ก็เริ่มลงมือทำงาน
เขาตรงไปที่ด้านหลังคอนโดฯ อาศัยความมืดและช่วงเวลาที่
คนเก็บขยะกำลังง่วนกับงาน เล็ดลอดเข้าประตู
ตรงไปที่ห้องของกระท้อนทันที
เขาใช้ผ้าชุบน้ำใสๆ ก่อนคาดปิดปากตัวเองแล้วจุดวัตถุขึ้นชิ้นหนึ่ง
สักพักตลอดทั่วทางเดินเต็มไปด้วยหมอกควันกลิ่นเอียนๆชวนเวียนหัว

กระท้อนเริ่มฝันอีกแล้ว
ชายร่างหนา มือเท้าโตหยาบหนา อย่างคนกรำงานหนัก
เดินไปหยิบเสื้อคลุมเนื้อเนียนบางของหล่อน ที่แขวนอยู่ข้างๆโต๊ะเครื่องแป้ง
เขาจับเสื้อนั้นบิดเป็นเกลียว ก่อนนำมาคล้องรอบคอกระท้อน
มัดเสื้อเข้าหากัน ค่อยๆรัดจนเริ่มติดรอบลำคอระหงนั้น

จากนั้นเขาก็ถอดรองเท้าออกเหลือไว้แต่เพียงถุงเท้า
ยกขาข้างหนึ่งกดยันไว้ตรงปลายคางของกระท้อน
สองมือจับชายเสื้อที่มัดรอบคอหล่อน..กระชากสุดแรงเกิด

กระท้อนสะดุ้งเฮือก
ก่อนดิ้นรนกระเสือกกระสนยิ่งขึ้น
หน้านิ่วคิ้วขมวดจนดูเหยเก
พร้อมกันนั้น
หล่อนก็ยกสองมือขึ้นพยายามแกะสิ่งที่รัดรอบคอตัวเอง
ไม่นานหล่อนเริ่มรู้สึกว่าทั่วร่างเหมือนไร้สิ้นเรี่ยวแรง
มือไม้อ่อนปวกเปียก..และแล้วหญิงสาวก็แน่นิ่งไป

“ไปสู่ที่ชอบๆนะคนสวย บนเส้นทางนั้นมีเพื่อนไปรออยู่แล้ว คงไม่เหงาแน่”

สมศักดิ์ปลดเสื้อออกจากคอกระท้อนม้วนเป็นก้อน
สอดเข้าถุงกระดาษที่หยิบมาจากบนโต๊ะเครื่องแป้ง
เปิดประตู หิ้วถุงเสื้อกับกระเป๋าใส่เครื่องเจาะไฟฟ้า ที่ทิ้งไว้ตรงหน้าห้อง
เดินกลับลงไปที่ทางเดิม
เมื่อผ่านทีวีวงจร ตรงมุมประตู เขาก็ขยับคอเสื้อขึ้นปิดแนบหน้า
ดึงหมวกให้กดต่ำลง ก้มหน้าเปิดประตู
กลับขึ้นรถขับออกไป

“คุณกระท้อนคะ ลุกขึ้นเถิด ยายมารับคุณแล้วค่ะ อย่าให้ท่านทูตรอนานนะคะ”

กระท้อนค่อยๆลืมตาขึ้น ตัวเบาหวิว ร่างลอยไปมาได้??
กระท้อนตาตื่น เหลียวมองยายจัน ยายจันไม่ได้ตอบอะไร นอกจากชี้มือไปที่เตียง
กระท้อนหันไปมองตามร่างที่หลับแน่นิ่งไม่ไหวติง
ช่างเหมือนหล่อนราวกับแฝด
ยายจันตอบคำถามนั้นว่า

“ใช่ค่ะยายมารับวิญญาณคุณ ... ยมทูตเก่าไปเกิดท่านพญายมให้มารอรับคุณ ไปทำหน้าที่ยมทูตคนต่อไป”

“ไม่นะคะยาย กระท้อนมีลูกได้เกือบ2 เดือนแล้ว ให้กระท้อนคลอดลูกก่อนได้ไหมคะ”

หญิงสาวต่อรองด้วยเสียงสั่นสะอื้น
หล่อนยังอาลัยทุกๆอย่างบนโลกนี้รวมทั้งชายคนรัก

“ถ้าคุณไม่ตายตอนนี้
อีกแค่10วันคุณก็จะถูกสิบล้อทับตาย
หรืออีกที อีก3เดือนคุณก็จะตายเพราะแท้งลูก
ตายตอนนี้ตอนไหนก็ต้องตาย...
ไปช่วยท่านพญายมจับวิญญาณเลวร้ายดีกว่านะ
เมื่อกรรมหมดลงก็จะได้ไปเกิดใหม่มีคนรักจริงๆกับเขาสักที
เรารีบไปกันเถิดนะ
แค่เราเดินผ่านสะพานความตายนี้ไปก็จะพบโลกใหม่ทันที”

“กระท้อนยังไม่อยากตาย กระท้อนอยากอยู่กับนพดล ยายช่วยกระท้อนด้วย ฮือๆๆๆ”

“ยายช่วยคุณไม่ได้ค่ะ ที่จริงคุณแค่อาการสาหัส เท่านั้น...แต่ด้วยแรงสาบแช่ง
ถ้าคุณไม่เคยแย่งคนรักใคร.....แต่นี่เคราะห์กรรมคุณหนักมากเป็นสองเท่า
เพราะคุณชอบแย่งคนรักของคนอื่นมาหลายหน
คำสาปแช่งต่างๆของคนเหล่านั้น
จึงกลายเป็นเส้นใยอุปสรรคล้อมชีวิตคุณไว้
ให้พบแต่ความทุกข์ในเรื่องรักมาโดยตลอด......"

"คุณไม่เคยพอใจในรักที่มี....
ชอบทำลายความรักคนอื่น...
โดยเฉพาะความรักของพ่อแม่ที่มีให้...แต่ไร้เงินทอง ....ที่คุณต้องการมากกว่า
บวกแรงอาฆาตแค้นทั้งหลายที่หุ่มตัวคุณมาแต่เก่าก่อน
จึงทะลักพลังออกมาผลักเสริมให้คุณตกลงเคราะห์เบญจเพสของคุณ
ทำให้คุณต้องตายก่อนเวลาถึง 25 ปี
ใน 25 ปีมนุษย์
คุณจะได้ไปเสวยสุขเป็นยมทูตด้วยกรรมดีที่มีต่อบ้านเมือง"

ยายจันจูงมือกระท้อนที่น้ำตาอาบหน้า
เดินผ่านสะพานความเป็นไปสู่สะพานความตายที่ทอดยาวที่เบื้องหน้าอย่างช้าๆ
เมื่อหญิงสาวหันกลับมาที่หน้าต่างห้องพักของตน
ภาพนพดลกับลูกๆและวิวรรณภรรยาปรากฎขึ้นช้าๆ
ทุกคนกำลังโบกมือให้หล่อนพร้อมด้วยรอยยิ้มอันเป็นสุข

กระท้อนหันหน้ากลับเดินตามยายจันโดยไร้หยดน้ำตาอีก…..
ที่กึ่งกลางสะพานความตาย
ยายจันตักน้ำจากตุ่มสีมรกต ยื่นน้ำสีใสเปล่งประกายมาให้ดื่ม
กระท้อนดื่มโดยหมดความลังเลอีกต่อไป

“น้ำละลายความทรงจำ”
หยดสุดท้ายไหลลงลำคอหญิงสาว
ภาพเบื้องหน้าที่ไกลลิบๆลอยใกล้เข้ามา
ชายในร่างสูงสง่า มายืนรอรับด้วยรอยยิ้มอย่างเต็มใจ…

.....................................................
ก้มกราบบ่อยๆ จะช่วยขจัดความหยิ่ง-ทะนงออกไป...


แก้ไขล่าสุดโดย ปลายฟ้า... เมื่อ 19 ส.ค. 2009, 22:38, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2009, 20:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ม.ค. 2009, 14:33
โพสต์: 60


 ข้อมูลส่วนตัว


คนเราจะมีการสร้างความคุ้นเคยกับสิ่งต่าง ๆ ...
และมีการสูญเสียความคุ้นเคย ในบางอย่างเกิดขึ้นค่อนข้างบ่อย...

ซึ่งมันคือหลักฐานในการยืนยันว่าเรื่องราวต่าง ๆ ในชีวิตเป็นแค่สิ่งชั่วคราว..
สุดท้ายแล้ว...ไม่มีอะไรตั้งมั่นอยู่ได้อย่างถาวร...

แต่ถึงแม้จะรู้ว่าโลกนี้ไม่มีสิ่งถาวร
เรายังกลัวจะเสียบางความคุ้นเคยไป

ขณะเดียวกันมีบางความคุ้นเคย หล่นหายโดยไม่รู้ตัว...
เนื่องจากเรายึดความคุ้นเคยแต่ละชนิด ด้วยการถือมั่นไม่เท่ากัน...

แต่ละคนมีวิธีจัดการเรื่องชั่วคราวที่อยู่ในชีวิตได้ไม่เหมือนกัน
มีทั้งคนที่จัดการได้ดีและคนที่จัดการอะไรไม่ได้เลย

บางเรื่อง (ชั่วคราว) ที่สูญหายไปทำให้คนเราพ่ายแพ้อย่างยาวนาน...
มนุษย์ไม่ควรรู้สึกพ่ายแพ้ติดต่อกันนาน ๆ ...

และการรูสึกแพ้นั้นเราจะรู้สึกเกินกว่าสถานการณ์จริงเสมอ
แพ้แค่ 3 ก็อาจรู้สึกว่าแพ้ถึง 10

ชีวิตคือการเดินทางผ่านเรื่องชั่วคราวจำนวนมาก
และสุดท้ายชีวิตของเราแต่ละคนก็เป็นเรื่องชั่วคราว...

ถ้าเราตระหนักให้รู้ชัด ๆ ว่ามันชั่วคราว..
ความทุกข์ในใจก็จะลดน้อยลงทันตาเห็น

แต่อย่างว่า...เราตระหนักกันไม่ได้...
เพราะไม่ยอมเรียนรู้ถึงความชั่วคราวในชีวิตอย่างจริงจัง

แทบทุกวันเราจึงเอาเป็นเอาตายกับเรื่องต่าง ๆ
ราวกับเรื่องเหล่านั้นคือความคงทนถาวรที่จะดำรงอยู่ตลอดไป

ที่บอกว่า "เอาเป็นเอาตาย" ไม่ได้เกินความเป็นจริงเลย...
เด็ก ๆ เอาเป็นเอาตายกับการเรียนพิเศษ...
ผู้ใหญ่เอาเป็นเอาตายกับการทำงาน...
ผู้ชายเอาเป็นเอาตายกับความใคร่...
ผู้หญิงเอาเป็นเอาตายกับความรัก...
บางเวลารู้สึกว่าสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น

และกำลังเป็นอยู่ ในชีวิตคนเราล้วนเพ้อไปทั้งนั้น...
ถ้าหยุดเพ้อลงบ้างก็ดี..การเกลียดใคร หรือรักใคร ก็เป็นการเพ้อ...
ทั้งความรักและความเกลียดไม่ใช่สิ่งถาวร...มันเพิ่มขึ้น...ลดลง...สูญหายได้

การเข้าไปยึดถือ และแบกเอาไว้ ทำให้ชีวิตมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น...

อยู่อย่างเบา ๆ สบายตัวดีกว่า...โปรดสังเกตเวลาที่เราโกรธหรือเกลียดใคร

ความไม่สบายใจ...ความขุ่นข้องใจ...ความหนักใจก็จะเกิดขึ้นในทันที...


.....................................................
ก้มกราบบ่อยๆ จะช่วยขจัดความหยิ่ง-ทะนงออกไป...


แก้ไขล่าสุดโดย ปลายฟ้า... เมื่อ 19 ส.ค. 2009, 22:37, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.พ. 2009, 08:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ม.ค. 2009, 14:33
โพสต์: 60


 ข้อมูลส่วนตัว


ต้นไม้ไร้ดอกผล...........ยั้งร่ม อิงพัก
น้ำใจเพื่อนมิตรรัก..........อิงอุ่น
มิช่วยกายพำนัก...........เบาทุกข์
เพียงหวังดีคลายขุ่น.......น้ำใจ พักอิง
สุขจริงได้อิงตน..........ร่มกิ-เลสร้าย
ร่มเย็นทั่วถึงท้าย...........ปลายชีพ
สุจริตคงคล้าย..............เขตศีล
ทุจริตทุกข์บีบ..............อิงใคร
หากอิงอื่นหมื่นแสน......สังขาร
ล้วนอนิจจาจาร............ไม่เที่ยง
อิงสุขตลอดกาล...........ห่อนได้
สร้างสุขเองอิงเยี่ยม.......อิงธรรม

.....................................................
ก้มกราบบ่อยๆ จะช่วยขจัดความหยิ่ง-ทะนงออกไป...


แก้ไขล่าสุดโดย ปลายฟ้า... เมื่อ 19 ส.ค. 2009, 22:37, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.พ. 2009, 14:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ม.ค. 2009, 14:33
โพสต์: 60


 ข้อมูลส่วนตัว


ค่ำคืนยังคงงดงาม
เป็นไปตามที่มันเคยเป็น
และยังมองเห็นความสุข
อยู่กับเราไม่ไกล

แม้..ค่ำคืนนี้..มีน้ำตา
กับใจที่พังทลายลงมา
แต่ฟ้ายังมีแสงจันทร์สว่าง
ให้เรามองเห็น

เกือบจะลืมว่าฟ้างาม นั้นงามเพียงใด
เกือบจะลืมว่าหัวใจ มีใครให้ผูกพัน
ทุกอย่างรายล้อม มากมายใต้เงาพระจันทร์
และความรักอยู่ตรงนั้น ไม่เคยห่างไกล

เหมือนได้พบและหยุดพัก
ทบทวนเรื่องราว
ให้เรามีวันนี้ที่สุขใจ

อาจเป็นเพราะรักเรา ร้อนรนเกินไป
อาจจะเป็นเพราะหัวใจ รุ่มร้อนจะไขว่คว้า
หาสิ่งที่ฝัน หาวันที่เป็นดังใจ
ยิ่งตามหา ยิ่งห่างไกล ยิ่งทรมาน

คนเรา ถ้ารู้จักพอ ชีวิตก็มีความสุขได้
ไม่จำเป็นจะต้องไปตามหา ไขว่คว้า อยากได้นักหนา
ยิ่งค้น ก็ยิ่งเหนื่อย สุดท้ายก็ไม่ได้อะไรเลย

.....................................................
ก้มกราบบ่อยๆ จะช่วยขจัดความหยิ่ง-ทะนงออกไป...


แก้ไขล่าสุดโดย ปลายฟ้า... เมื่อ 19 ส.ค. 2009, 22:36, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.พ. 2009, 14:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ม.ค. 2009, 14:33
โพสต์: 60


 ข้อมูลส่วนตัว


การเดินทางแต่ละวัน...
เหมือนเป็นการเก็บเกี่ยวข้อมูลตอบคำถามของชีวิตเรา
การเดินทางในสนนสายเดิม ๆ ในเส้นทางเดิม ๆ ถ้าเพียงแต่เราช่างสังเกตสักนิด
จะพบสิ่งต่าง ๆ มากมายน่าสนใจไม่รู้จบ

บ่อยครั้งการได้พบเห็นคนอื่น...การได้สังเกตชีวิตอื่น ๆ ที่แตกต่างจากเรา
กลับกลายเป็นกระจกที่ส่องให้เห็นตัวเราเอง...
อย่างเช่นการได้เห็นคนไร้บ้าน
คนที่อาศัยข้างถนนเป็นที่ซุกหัวนอน...
แต่งตัวสกปรกมอมแมมหรือแม้แต่คนพิการ
นักแสดงศิลปะข้างถนน ที่ล้วนแต่ขอแบ่งปันเศษเหรียญจากคนที่ผ่านไป
เพื่อแลกกับการมีชีวิตอยู่ไปวันๆ
ความสุขใจหรือความพอใจในชีวิตของเขาเหล่านั้น
ดูช่างได้มาอย่างง่ายดาย...ในความขัดสน ไม่มีบ้าน ไม่มีความมั่นคง ไม่มีอนาคต
รวมทั่งไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าใหม่ ๆ
ดูราวกับว่า...พวกเขามีชีวิตอยู่ได้...โดยไม่เดือดร้อนอะไร

เมื่อกระจกเหล่านี้ส่องมาที่ตัวเรา...
ทำให้เราพบว่า เราเองช่างเกิดมาพรั่งพร้อม...
ด้วย "โอกาสดี" แค่ไหน...ขณะที่เรามีบ้าน มีอาชีพ มีครอบครัวที่อบอุ่น
และมีเพื่อนฝูงอยู่มากมาย...
เรายังมักหาเรื่องไม่พอใจ ชีวิตตัวเองได้บ่อย ๆ

บางทีเราก็โวยวายว่าโลกนี้ไม่ดีกับเรา...
เรารู้สึกว่า...ปัญหาขี้ประติ๋วของตัวเองเป็นเรื่องใหญ่
ความทุกข์ในเรื่องเล็กน้อย หยุมหยิมของเรา
ก็ดูสลักสำคัญจะเป็นจะตายเสียให้ได้
ส่องกระจกดูตัวเองให้ชัด ๆ อีกครั้ง
มันง่ายแค่ไหนที่จะทำที่เหลือของชีวิตให้มีความสุข
พอใจในสิ่งที่หามาได้...

"บางทีชีวิต....ก็ไม่ได้ต้องการอะไรมากมายอย่างที่เราเคยคิด "

.....................................................
ก้มกราบบ่อยๆ จะช่วยขจัดความหยิ่ง-ทะนงออกไป...


แก้ไขล่าสุดโดย ปลายฟ้า... เมื่อ 19 ส.ค. 2009, 22:36, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.พ. 2009, 14:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ม.ค. 2009, 14:33
โพสต์: 60


 ข้อมูลส่วนตัว


"รัก" ไม่มีคำว่าเศร้า ทุกข์ ขมขื่น หรืออะไรที่ทำให้รู้สึกไม่ดี ...

"รัก" มีแต่สิ่งดี ดี ให้กันและกัน...
สิ่งไม่ดีที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดจาก "รัก" แต่เกิดจากการคาดหวัง
ที่แต่ละคนคิดว่าหากรักกันแล้ว…ต้องทำให้ได้ทุกอย่าง

ในความเป็นจริงแล้วใช่อย่างนั้นหรือ…การคาดหวังเกิดขึ้นได้กับทุกคน…
แล้วจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อสิ่งที่คาดหวังของคนสองคนไม่ตรงกัน…
คุณคงนึกภาพออก…

แล้วถ้ายิ่งคุณทำอะไรให้กับคนที่คุณรักแล้ว
แต่...ไม่ตรงกับที่คนรักคุณคาดไว้...สิ่งนั้นก็หมดความหมาย...
คนทำก็หมดกำลังใจ...ทำตั้งเยอะไม่ได้อะไรตอบแทนเลย...
จึงกลายเป็นการเรียกร้องเกิดขึ้น...

เมื่อคุณเป็นฝ่ายให้แล้ว ทำไมอีกฝ่ายไม่เป็นฝ่ายให้บ้าง ?...
โดยคุณอาจลืมไปว่าอีกฝ่ายก็ได้ให้คุณเหมือนกัน
เพียงแต่สิ่งนั้นไม่ได้ตรงกับที่คุณคาดไว้...และมันไม่มีความหมายกับคุณเลย ...
เมื่อคนสองคนคิดไม่ตรงกัน…

ที่ต้องการจะเป็นฝ่ายรับ...หรือเรียกร้องที่จะรับโดยบอกให้อีกฝ่ายเป็นฝ่ายให้...
ความทุกข์ต่างๆ ก็จะตามมา...

"รัก" ไม่ต้องคาดหวัง…ทำให้ เมื่ออยากทำ…ไม่ต้องรอสิ่งตอบแทน…
และรับในสิ่งที่อีกฝ่ายให้ เมื่อเขาอยากให้…ไม่ต้องเรียกร้อง
เป็นตัวของตัวเองในบางครั้ง…โอนอ่อนในบางที...
สิ่งดี ดี ก็จะเกิด ..."รัก"...ก็จะปรากฎ...

.....................................................
ก้มกราบบ่อยๆ จะช่วยขจัดความหยิ่ง-ทะนงออกไป...


แก้ไขล่าสุดโดย ปลายฟ้า... เมื่อ 19 ส.ค. 2009, 22:35, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 344 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5 ... 23  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 3 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร