วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 06:36  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 45 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ย. 2008, 15:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 พ.ย. 2008, 14:39
โพสต์: 34


 ข้อมูลส่วนตัว


ผมฝึกกสิณกรรมฐาน เป็นกสิณน้ำ นั่งปฏิบัติสมาธิทุกวัน แต่ไม่มีความก้าวหน้าเนื่องจากพอบริกรรมนิมิตไปสักครู่จิตจะเข้าภวังค์เป็นเวลานาน บางครั้ง 2.5 -3.0 ชั่วโมง จิตจึงถอนออกมารับรู้อารมณ์ภายนอก เป็นแบบนี้มาแล้วเป็นปีๆ อย่างน้อย 2-3 ปีแล้ว ผมพยายามหาวิธีให้จิตขึ้นวิถี ในปัจจุบันพยายามฝึกสติปัฏฐาน ๔ ดูกายดูจิต และเดินจงกรม 1-1.5 ช.ม ยังไม่สามารถแก้การตกภวังค์ได้

ผมใคร่ขอคำปรึกษาในการปฏิบัติเพื่อทำให้นิมิตกสิณเกิดให้ ได้อุคหนิมิตและปฏิภาคนิมิต ควรปฏิบัติอย่างไร ผมใคร่ขอคำแนะนำด้วยครับ :b45:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 พ.ย. 2008, 07:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 พ.ย. 2008, 14:39
โพสต์: 34


 ข้อมูลส่วนตัว


จากการติดตามอ่านในอินเตอร์เน็ต ผมพบว่าในเว็ปไซท์นี้ มีผู้รู้ที่ตอบปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมได้ดีมาก แบบตรงใจ และเข้าใจว่าผู้ตอบปัญหาได้ปฏิบัติจนเห็นธรรมแล้ว
อย่างเช่นที่ปรากฏในบอร์ด ผมขอความกรุณาจากท่านช่วยพิจารณาให้คำแนะนำหน่อยครับตามแต่จะเห็นสมควร หรือว่าการปฏิบัติของผมนั้นเหตุปัจจัยยังไม่ถึงพร้อม ผลจึงยังไม่บังเกิดขึ้น
ด้วยความจริงใจจริงๆครับ ผมขอขอบคุณล่วงหน้าครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 พ.ย. 2008, 19:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณ Bhonprot ดูกาย ดูจิตและเดินจงกรมยังไงครับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ย. 2008, 15:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 พ.ย. 2008, 14:39
โพสต์: 34


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณมากครับคุณกรัชกาย ที่ให้ความสนใจ
การปฏิบัติของผมนั้นเริ่มแต่ตื่นนอนขึ้นมา ประมาณตี ๓ .ครึ่งหรือตี ๔ จะเริ่มทำสติความรู้สึกตัวให้ทันปัจจุบัน ตามอิริยาบถ ยืนเดินนั่งนอน และทำกิจวัตรระจำวัน
ล้างหน้าแปรงฟันอย่างมีสติอยู่กับการกระทำนั้นๆ หลังจากนั้นผมจะเดินจงกรมภายในบ้าน ซึ่งมีระยะทางเดินประมาณ 10 เมตร กลับไปกลับมา อย่างช้าๆ ยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ กำหนดความรู้สึกในการเดินอยู่ที่เท้าทุกก้าวที่เดิน และหยุด พยายามมีสติอยู่กับปัจจุปันขณะให้ต่อเนื่อง แต่อย่างไรก็ตามในขณะเดินนี้ ก็อดมีความคิดแทรกเข้ามาเสมอว่า เราเดินจงกรมนี้เพื่อให้เห็นความจริงว่า กาย ใจนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตน มีเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไปทุกๆย่างก้าว เดินอยู่เช่นนี้ประมาณ 1-1.30 ช.ม
ก็จะไปเตรียมอาหารเพื่อใส่บาตรพระ โดยที่ขณะที่ดำเนินการนั้นก็ยังพยายามสร้างสติรู้ตัวอยู่ตลอดเวลาว่ากำลังทำอะไรอยู่ ต่อจากที่ถวายทานแล้วผมจะเปิดเน็ตหาความรู้เกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติธรรม หลังจากนั้นประมาณ 8.00หรือ 8.30 น ผมจะเข้าห้องพระสวดมนต์ไหว้พระ และ ทำสมาธิกรรมฐาน เพ่งกสิณน้ำ โดยทำตามแบบที่พระวิปัสสนาจารย์ได้อธิบายไว้ในวิสุทธิมรรค และวิมุติมรรคนั้น ใช้เวลาอีกประมาณตั้งแต่ 9.00 น ถึง 11.30 หรือ12.00 น แล้วแต่จิตแต่ละวันในการปฏิบัติธรรม
บางครั้งจิตตกภวังค์ยาวสั้นแตกต่างกัน ในระยะหลังนี้ผมสังเกตเห็นว่า การตกภวังค์จะเกิดขึ้นเป็นช่วงๆ หายไป 1.00 ช.ม หรือ 1.30 ช.ม จะกลับมารู้สึกตัวใหม่อีกครั้ง
ผมจะเริ่มปฏิบัติใหม่อีกก็จะมีอาการตกภวังค์เหมือนเดิม ผมเข้าไปค้นอ่านในลานธรรมสนทนา นำมาทดลองปฏิบัติตามที่ผู้รู้ได้พูดแนะนำกันไว้ ยังไม่ได้ผลครับ หลังจากเที่ยงผมจะเข้าเน็ตหาความรู้ต่อเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรม ช่วงบ่าย 15.30 น - 16.30 หรือ 17.00 น จะไปเดินจงกรมนอกบ้าน มีระยะทางเดินจงกรมประมาณ 25 ม
ช่วงค่ำ ตั่งแต่ 20.00-20.30 จะสวดมนต์ไหว้พระ และนั่งสมาธิเพ่งกสิณน้ำเหมือนเดิมครับ แบบนี้จะเป็นกิจวัตรปกติถ้าไม่มีภารกิจอื่นใด การรักษาศีล มีศีล 5 ปกติครับ
พยายามรักษาศีลให้บริสุทธิ์ครับ จิตใจ ในวันหนึ่งๆจะวนเวียนอยู่กับการปฏิบัติธรรมตลอดเวลาครับ กำลังคิดว่า ถ้าต่อยังไม่สามารถแก้ไขการตกภวังค์ได้ คงต้องออกบวชแล้วละครับ
หาที่ที่เป็นสัปปายะประพฤติปฏิบัติต่อไป กรุณาให้คำแนะนำค้วยครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ย. 2008, 17:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถามหน่อยครับว่า...คุณเพ่งกสิณน้ำ (อาโปกสิณ) พร้อมกับบริกรรม อาโป กสิณังๆๆๆๆๆ แล้วจู่ๆจิตก็เงียบไม่รับรู้อารมณ์ปัจจุบันเหมือนคนนอนหลับ กะเวลาได้ประมาณดังกล่าวจึงรู้สึกตัวใช่ไหมครับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ย. 2008, 17:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณควรเดินจงกรมระยะที่ 1 ซ้าย ย่าง หนอ ขวา ย่าง หนอ ฯลฯ ให้มากกว่านั่ง (ตัวอย่าง เดิน 1 ช.ม. นั่ง 30 นาทีเป็นต้น เพราะคุณใช้กรรมฐานไม่เคลื่อนที่ จิตจึงจมดิ่งกับอารมณ์ได้ง่าย อีกอย่างหนึ่งสมาธิเกินอินทรีย์อื่นๆ) และไม่พึงเดินช้าเกินไป เดินให้เร็วนิดหนึ่ง ขณะจงกรมเป็นต้นอยู่ ความคิดดังว่าเป็นต้นเกิดแทรกขึ้น พึงกำหนดรู้ความคิดนั้นด้วย ไม่ควรปล่อยความคิดให้ผ่านไปลอยๆเฉยๆ ครับ

ศึกษาจงกรมลิงค์นี้ครับ

http://www.free-webboard.com/view.php?u ... d=4&topic=เดินจงกรม

http://www.free-webboard.com/view.php?u ... d=5&topic=ว่าด้วย การปรับอินทรีย์

ระยะนี้คุณควรเดินจงกรมระยะที่ 1 ให้มากเข้าไว้ เพื่อเจริญสติสัมปชัญญะให้มาก ให้จิตตื่น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ย. 2008, 14:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 พ.ย. 2008, 14:39
โพสต์: 34


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณสำหรับคำแนะนำครับ โดยแท้จริงแล้วผมพยายามค้นหาวิธีแก้ไขมานานแล้วครับ พอผมเพ่งกสิณน้ำ (อาโปกสิณ) พร้อมกับบริกรรม อาโป กสิณังๆๆๆๆๆ แล้วจู่ๆจิตก็เงียบไม่รับรู้อารมณ์ปัจจุบันเหมือนคนนอนหลับครับ ตามที่คุณกรัชกายว่านั่นแหละครับ ผมไม่สามารถควบคุมการที่จู่ๆจิตก็เงียบ ไม่รับรู้อารมณ์ปัจจุบันเหมือนคนนอนหลับครับ ได้พยายามตั้งสติและตั้งใจหลายครั้ง แต่ทุกครั้งก็ไม่ประสพความสำเร็จ เมื่อพยายามหาทางแก้ไข ก็อ่านจากเน็ตนี่แหละครับ มีอยู่ครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้เอง ตอนค่ำหลังจากผมไหว้พระสวดมนต์และเพ่งกสิณตามปกติ ในคืนนั้นผมสามารถควบคุมจิตรับรู้อารมณัปัจจุบันโดยสามารถเพ่งกสิณน้ำได้อย่างต่อเนื่อง ลืมตาบ้างหลับตาบ้าง ซึ่งจิตไม่ตกภวังค์เหมือนอย่างเคย ผมเข้าใจว่าเป็นเรื่องฟลุคครับ รู้ได้ว่าจิตจะเป็นสมาธิมากขึ้น เห็นวงกสิณสวยงามขึ้นกว่าแต่ก่อน คมชัด เวลาในขณะนั้นดำเนินไป 3 ช.ม เหมือนชั่วแว๊ปเดียว หลังเทียงคืนแล้วผมเข้านอน ผมนอนไม่หลับครับ จิตตื่นอยู่ตลอดทั้งที่หลับตา ต้องภาวนานอนหนอๆ ๆไปเรื่อยๆ นั่นเป็นครั้งแรกครับ เมื่อคืนนี้หลังได้อ่านคำแนะนำจากคุณกรัชกาย และผมได้ปฏิบัติสมาธิตามปกติ ได้มีเหตุการณ์ทำนองเดียวกันนั้นได้เกิดกับผมอีกครั้ง เมื่อคืนนี้เองครับ อารมณ์ปรากฎเหมือนคราวก่อนทุกอย่าง ผมไม่ทราบว่าเหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะไม่เกิดนิวรณ์ 5 ใช่ หรือไม่ แต่ผมมั่นใจว่าทุกๆครั้งที่จิตตกภวังค์ ผมไม่ง่วงนอนหรือมีนิวรณ์ หลายครั้งก่อนเพ่งกสิณผมสำรวจดูตนเองว่ามีนิวรณ์ 5 อยู่หรือไม่ แต่จะไม่พบครับ ผมเลยเข้าใจเอาว่าจิตผมหยาบเกินไปจึงไม่สามารถค้นหานิวรณ์ 5 ได้ อย่างไรก็ตามจากจิตไม่ตกภวังค์อีกครั้งในครั้งหลังนี้ ทำให้ผมรู้สึกเกิดปิติเล็กๆขึ้น ทำให้เห็นว่าน่าจะมีความหวังตามคำชี้แนะของคุณ ถ้าคุณกรัชกายจะกรุณาผมเพิ่มเติม กรุณาชี้แนะการแก้ไขนิวรณ์ 5 ในภาคปฏิบัติได้จริงๆ ทั้งที่เป็น สมถยานิก และวิปัสสนายานิก ทั้งสองแบบด้วย ขอขอบคุณอย่างสูงมา ณ ที่นี้ ผมจะปรับการการปฏิบัติใหม่เพื่อปรับอินทรีย์ให้สมดุลย์กันครับ คงต้องเดินจงกรมให้ถูกต้องและเพิ่มเวลามากขึ้นไปอีก :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ย. 2008, 20:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
มีอยู่ครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้เอง ตอนค่ำหลังจากผมไหว้พระสวดมนต์และเพ่งกสิณตามปกติ ในคืนนั้นผมสามารถควบคุมจิตรับรู้อารมณัปัจจุบันโดยสามารถเพ่งกสิณน้ำได้อย่างต่อเนื่อง ลืมตาบ้างหลับตาบ้าง ซึ่งจิตไม่ตกภวังค์เหมือนอย่างเคย ผมเข้าใจว่าเป็นเรื่องฟลุคครับ
รู้ได้ว่าจิตจะเป็นสมาธิมากขึ้น เห็นวงกสิณสวยงามขึ้นกว่าแต่ก่อน คมชัด เวลาในขณะนั้นดำเนินไป 3 ช.ม เหมือนชั่วแว๊ปเดียว หลังเทียงคืนแล้วผมเข้านอน ผมนอนไม่หลับครับ จิตตื่นอยู่ตลอดทั้งที่หลับตา ต้องภาวนานอนหนอๆ ๆไปเรื่อยๆ นั่นเป็นครั้งแรกครับ



การฝึกอบรมจิตไม่มีคำว่า ฟลุค ครับ ที่เป็นเช่นนั้น เพราะเหตุปัจจัยขององค์ธรรม ปรับตัวมันเองได้สม่ำเสมอพอเหมาะแก่การ ตัวอย่างเช่น เราเพ่งกสิณมากชั่วโมงสมาธิก็เจริญมาก แล้วพักช่วงที่ผ่อนที่พักนั่นแหละ องค์ธรรมต่างๆ ได้ปรับตัว หรือจะพูดว่า สมาธิได้ลดระดับลงมาพอสมกัน เป็นช่วงนี้ จึงเป็นเช่นนั้น

อ้างคำพูด:
เมื่อคืนนี้หลังได้อ่านคำแนะนำจากคุณกรัชกาย และผมได้ปฏิบัติสมาธิตามปกติ ได้มีเหตุการณ์ทำนองเดียวกันนั้นได้เกิดกับผมอีกครั้ง เมื่อคืนนี้เองครับ อารมณ์ปรากฎเหมือนคราวก่อนทุกอย่าง ผมไม่ทราบว่าเหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะไม่เกิดนิวรณ์ 5 ใช่ หรือไม่
แต่ผมมั่นใจว่าทุกๆครั้งที่จิตตกภวังค์ ผมไม่ง่วงนอนหรือมีนิวรณ์ หลายครั้งก่อนเพ่งกสิณผมสำรวจดูตนเองว่ามีนิวรณ์ 5 อยู่หรือไม่ แต่จะไม่พบครับ
ผมเลยเข้าใจเอาว่าจิตผมหยาบเกินไปจึงไม่สามารถค้นหานิวรณ์ 5 ได้


โดยภาพรวม อย่างที่บอกก่อนหน้า ว่าสมาธิคุณมากล้ำเกินองค์ธรรมอื่น ควรเดินจงกรมระยะที่ 1 ซ้าย ย่าง หนอ ขวา ย่าง หนอ ฯลฯ ให้มาก และเดินให้เร็วกว่าที่คุณเคยเดิน จิตจะได้ตื่นไม่จมแช่กับอารมณ์เกินไป
ที่สำคัญพึงกำหนดความคิดด้วย คิดอะไร รู้สึกอย่างไร ให้กำหนดจิตลงไปตามที่คิดตามที่รู้สึก สมถะกับวิปัสสนาจะเกิดคู่กันไป (ศีล สมาธิ ปัญญา=ศีลเพื่อสมาธิ สมาธิเพื่อปัญญา ปัญญาเพื่อวิมุตติ)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ย. 2008, 06:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 พ.ย. 2008, 14:39
โพสต์: 34


 ข้อมูลส่วนตัว


ผมต้องขอบคุณอย่างสูงอีกครั้งหนึ่งครับ ผมเคยอ่านเรื่องการปรับอินทรีย์ให้สมดุลย์มาหลายครั้งในเรื่องที่ผู้รู้ได้ยกหัวข้อกระทู้คุยกัน ผ่านๆไปในเน็ตนั้น แต่ผมก็ได้แต่อ่านผ่านๆไป ไม่ค่อยได้ให้ความสนใจมากนักแต่เพิ่งจะเข้าใจถึงความสำคัญของการปรับอินทรีย์ให้สมดุลย์นั้นจากพุทธพจน์ที่คุณกรัชกายยกมาให้อ่านตามที่ได้กล่าวไว้แล้วนั้น ผมมั่นใจในสิ่งที่คุณกรัชกายได้ให้คำแนะนำนั้น จะได้นำพาผมไปถึงจุดหมายปลายทางได้อย่างไม่ต้องสงสัย ต้องขอขอบคุณเป็นอย่างสูงครับ ผมหวังว่าถ้ายังมีปัญหาบางอย่างที่ผมไม่สามารถแก้ไขได้ในกาลข้างหน้า คุณกรัชกายคงจะกรุณาผมอีกนะครับ ขอขอบคุณด้วยความจริงใจอย่างมากเลยครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ย. 2008, 12:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 พ.ย. 2008, 14:39
โพสต์: 34


 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีครับคุณกรัชกาย และผู้อ่านกระทู้ทุกท่านครับ
ผมได้ทดลองปฏิบัติธรรมโดยการปรับอินทรีย์ให้สมดุลย์ตามที่คุณกรัชกายแนะนำครับ แต่จากความอยากรู้ มีความเข้าใจเกี่ยวกับการปรับอินทรีย์ให้สมดุลย์ให้ถ่องแท้ ผมได้ทดลอง เดินจงกรมเพิ่มเวลาเข้าไปเป็น 2 ชม. และหยุดพัก 1 ชม. และเดินจงกรมต่ออีก 2 ชม. หลังจากนั้นจะพักประมาณ 1.30 ชม. เริ่มอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายสวดมนต์ไหว้พระ และเพ่งกสิณน้ำต่อ จิตผมไม่รับทราบผลการปฏิบัติเดินจงกรมเลยครับ ยังคงตกภวังค์เหมือนเดิม ผมต้องกลับมาทบทวนถึงวิธีที่คุณกรัชกายได้แนะนำการปฏิบัติไว้ โดยในวันต่อมาผมเปลี่ยนเป็นเดินจงกรม 1 ชม. และรีบอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายสวดมนต์ไหว้พระ และเพ่งกสิณน้ำต่ออีก 1 ชม. ครั้งนี้ไม่ผิดหวังครับ อินทรีย์ ๕ได้ถูกปรับโดยการเดินจงกรม ทำให้จิตไม่ตกภวังค์ดังแต่ก่อน เป็นที่น่ายินดียิ่งครับ เพราะนั่นหมายความว่าต่อไป อุคคหนิมิต และปฏิภาคนิมิตของกสิณจะเกิดขึ้นได้ตามเหตุตามปัจจัยต่อไป ขอขอบคุณคุณกรัชกายที่ให้การชี้แนะครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ย. 2008, 12:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พึงกำหนดตามดูรู้ทันความคิดด้วย คิดแวบไปอย่างไรกำหนดอย่างนั้น หากไม่รู้ดูไม่ทัน ประเดี๋ยวจะเงียบไปอีก
จงกรมระยะที่ 1 พึงตามดูทันรู้เท้าซ้าย-ขวา ที่ก้าวสลับไปสลับมาชัด ซ้ายเป็นซ้าย ขวาเป็นขวา จิตก็จะไม่เงียบหรือตกภวังค์ลึกจนไม่รับรู้อารมณ์ปัจจุบันอีก

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ย. 2008, 17:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 พ.ย. 2008, 14:39
โพสต์: 34


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณมากๆๆๆ ครับ คุณกรัชกาย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ธ.ค. 2008, 21:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 พ.ย. 2008, 12:29
โพสต์: 814

ที่อยู่: กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b35: :b35: คุณกรัชกาย เก่งจังเรยนะครับ แก้สภาวะการตกภวังค์ของเจ้าของกระทู้ที่เพ่งสมาธิแบบอาโปกสิณ ผมเพิ่งรู้เลยนะว่า กสิณแบบนี้จิตตกภวังค์บ่อยมากๆ ไม่เหมือนเพ่งกสิณแบบอื่นๆ :b39: :b40:

.....................................................
"มีสติเป็นเรือนจิต ใช้ชีวิตเป็นเรือนใจ ใช้ปัญญาเป็นแสงสว่างส่องทางเดินไปเถิด จะได้ล้ำเลิศในชีวิตของท่าน มีความหมายอย่างแท้จริง"
ในการปฏิบัติธรรม หลวงพ่อท่านบอกว่า ให้ตัดปลิโพธกังวลใจทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ลูก สามี ภรรยา ความวุ่นวายทั้งหลายทั้งปวง อย่าเอามาเป็นอารมณ์ จากหนังสือ: เจริญกรรมฐาน7วันได้ผลแน่นอน หัวข้อ12: ระงับเวรด้วยการแผ่เมตตา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2008, 22:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ค. 2006, 20:52
โพสต์: 1210

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เข้าอ่านแล้วก็เอาไปปฏิบัติ จขกท.ไม่สงวนลิขสิทธิ์ เลยได้ประโยชน์ไปด้วย สาธุ แมวขาวเลยหายจากสภาวะสงบๆ นิ่งๆ เฉยๆ มามีสติตามรู้กายรู้จิต คืนที่แล้วตามดูจิตตลอดคืนไม่ง่วงเลยจากเที่ยงคืนเข้านอน ก็ตามดูกายที่เริ่มนอน พอนอนก็รู้ว่าหัวใจเต้นสม่ำเสมอดี ลมหายเข้า ลมหายใจออก ก้รู้ว่าร่างกายมันทำงาน รู้ว่าจิตรู้อยู่ เพลินจากตี 1 ไปตี 2.30 ไปตี 3.45 คือไม่ได้กำหนดว่าจะหลับค่ะจนตี 5.30 น. รู้สึกจิตเบาสบายดี ไม่มีอาการมึนศรีษะจากการอดนอนเลย (ปกตินอนน้อยจะปวดมึนศรีษะทุกครั้ง) ติดใจค่ะอ้อ.หลงติดสุขอีก เฮ้อ..

.....................................................
สัพเพ สังขารา อนิจจา
สัพเพ ธรรมา อนัตตา...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ธ.ค. 2008, 11:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


(คุณแมวฯ พิจารณาหลักปฏิบัติต่อความสุขของพระพุทธศาสนา)

หลักการใหญ่ของพระพุทธศาสนาสำหรับปฏิบัติต่อความสุขมี ๓ หัวข้อ
ดังพุทธพจน์ว่า

“ภิกษุทั้งหลาย ความพยายามจะมีผล ความเพียรจะมีผลได้อย่างไร ? ภิกษุในธรรมวินัยนี้

๑. ไม่เอาทุกข์ทับถมตนที่ไม่มีทุกข์ทับถม
๒. ไม่ละทิ้งความสุขที่ชอบธรรม
๓. ไม่หมกมุ่นสยบในความสุขนั้น”
(ม.อุ. 14/12/13)

ลิงค์แสดงเกี่ยวกับความสุข ๑๐ ระดับ
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=18652

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 45 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 24 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron