วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 15:55  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 41 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.พ. 2009, 13:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.พ. 2009, 13:31
โพสต์: 4


 ข้อมูลส่วนตัว


อัตตา คือ การมีตัวตนๆก็คือ การเอาตัวเองเป็นใหญ่ (Ego)
ดังนั้นอัตตาเป็นฝ่ากิเลสดังนั้นอัตตา
จะเป็นนิพพานไม่ได้.
อัตตาธิปไตย คือ การปกครองโดยการเอาตนเป็นใหญ่จากความหมายนี้
อัตตาก็หมายถึง ตัวกู ของกู นั่นเอง ซึ่งก็เป็นฝ่ายกิเลส
ดังนั้นอัตตาจึงเป็นนิพพานไม่ได้

*ข้อควรระวังคำว่า มีตัวตน กับ คำว่า มีอยู่จริงความหมาย
ไม่เหมือนกัน นิพพานมีอยู่จริงแต่ไม่ใช่อัตตาหรือตัวตน เพราะอัตตาหรือตัวตน
หมายถึง การสมมุติชั่วคราวหรือบางครั้งหมายถึง ความมีตัวเรา ของเราหรือการ
เอาแต่ตัวเองเป็นใหญ่ตลอดจนรวมไปถึงความเห็นแก่ตัว ดังนั้นอัตตาคือของสมมุติ
หรือกิเลสจะเป็นนิพพานไม่ได้*


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.พ. 2009, 22:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


อัตตาที่เป็นกิเลส พระพุทธเจ้าเรียกว่า อัตตานุทิฏฐิ ( หรือ อัตตวาทุปาทาน ) ครับ

อัตตา ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนปัญจวัคคีย์ในอนัตตลักขณสูตร ต้องมีลักษณะดังนี้ครับ


ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้ารูป(เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)นี้จักได้เป็นอัตตา (มีตัวตน หรือเป็นของตัวตน อย่างแท้จริง) แล้ว รูป ฯลฯ นี้ไม่พึงเป็นเพื่ออาพาธ (ความเสื่อม ความเจ็บไข้ ความแปรปรวน) และบุคคลพึงได้(หมายถึง ย่อมบังคับบัญชาได้ตามปรารถนา) ในรูป ฯลฯ ว่า
รูปฯลฯ ของเรา จงเป็นอย่างนี้เถิด รูป ฯลฯ ของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย

ตัดข้อความที่ไม่จำเป็นออกนะครับ


ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ...(สิ่งใด)...จักเป็นอัตตา ... (สิ่งนั้น)...ไม่พึงเป็นเพื่ออาพาธ และบุคคลพึงได้ใน ...(สิ่งนั้น)...ว่า...(สิ่งนั้น)...ของเรา จงเป็นอย่างนี้เถิด ...(สิ่งนั้น)...ของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย

หรือ สิ่งใดจักเป็นอัตตา สิ่งนั้นไม่พึงเป็นเพื่ออาพาธ และบุคคลพึงได้ในสิ่งนั้นว่า สิ่งนั้นของเรา จงเป็นอย่างนี้เถิด สิ่งนั้นของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย


ได้ความหมายแท้จริงของ "อัตตา" แล้วหรือยังครับ หรือยังถูกมารลวงอีก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.พ. 2009, 23:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


ลักษณะของสังขตธรรม คือ ปรากฏความเกิด ๑ ปรากฏความเสื่อมสลาย ๑ เมื่อตั้งอยู่ ปรากฏความแปรปรวน ๑ นี้อย่างหนึ่ง

.....ก็คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย

ลักษณะของอสังขตธรรม สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงอสังขตะลักษณะไว้ว่า

ไม่ปรากฏความเกิด ๑ ไม่ปรากฏความเสื่อมสลาย ๑ เมื่อตั้งอยู่ไม่ปรากฏความแปรปรวน ๑

.....ก็คือ ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย นั่นเอง

สิ่งใดจักเป็นอัตตา สิ่งนั้นไม่พึงเป็นเพื่ออาพาธ และบุคคลพึงได้ในสิ่งนั้นว่า สิ่งนั้นของเรา จงเป็นอย่างนี้เถิด สิ่งนั้นของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย


อสังขตธาตุนี้จึงเป็น "อัตตา" นั่นเอง เพราะไม่พึงเป็นเพื่ออาพาธ ส่วนข้อที่ว่า บุคคลพึงได้ในสิ่งนั้นว่า สิ่งนั้นของเรา จงเป็นอย่างนี้เถิด สิ่งนั้นของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย มีอะไรล่ะที่จะทำเช่นนั้นได้ ก็คือ จิตของเราไม่ใช่หรือครับ จะคิดให้มันเป็นสิ่งใดก็ได้

อีที่นี้ถ้าจิตมันไปคิดปรุงแต่ง สังขตธาตุก็เกิด แต่ถ้าจิตมันไม่คิดปรุงแต่ง อสังขตธาตุก็เกิด มันจึงจะเป็นรูปอะไรก็ได้ขึ้นอยู่กับจิตของเราจะนึกให้มันเป็น พูดง่ายๆ จิตสามารถจินตนาการภาพในจินตนาการให้เป็นอะไรก็ได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2009, 00:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พระพุทธองค์ทรงจำแนกธรรม ในการตรัสสอนไว้อย่างเป็นระบบ

อัตตาวาทุปาทาน เป็นไฉน?
ปุถุชนในโลกนี้ ผู้ไร้การศึกษา ไม่ได้เห็นพระอริยเจ้าทั้งหลาย ไม่ฉลาดในธรรมของ
พระอริยเจ้า ไม่ได้ฝึกฝนในธรรมของพระอริยเจ้า ไม่ได้เห็นสัตบุรุษทั้งหลาย ไม่ฉลาดในธรรม
ของสัตบุรุษ ไม่ได้ฝึกฝนในธรรมของสัตบุรุษ ย่อมเห็นรูปเป็นตน หรือเห็นตนมีรูป เห็นรูป
ในตน เห็นตนในรูป ย่อมเห็นเวทนาเป็นตน หรือเห็นตนมีเวทนา เห็นเวทนาในตน เห็น
ตนในเวทนา ย่อมเห็นสัญญาเป็นตน หรือเห็นตนมีสัญญา เห็นสัญญาในตน เห็นตนในสัญญา
ย่อมเห็นสังขารเป็นตน หรือเห็นตนมีสังขาร เห็นสังขารในตน เห็นตนในสังขาร ย่อมเห็น
วิญญาณเป็นตน หรือเห็นตนมีวิญญาณ เห็นวิญญาณในตน เห็นตนในวิญญาณ ทิฏฐิ ความ
เห็นไปข้างทิฏฐิ ป่าชัฏคือทิฏฐิ กันดารคือทิฏฐิ ความเห็นเป็นข้าศึกต่อสัมมาทิฏฐิ ความผันแปร
แห่งทิฏฐิ สัญโญชน์คือทิฏฐิ ความยึดถือ ความยึดมั่น ความตั้งมั่น ความถือผิด ทางชั่ว
ทางผิด ภาวะที่ผิด ลัทธิเป็นบ่อเกิดแห่งความพินาศ การถือโดยวิปลาส มีลักษณะเช่นว่านี้
อันใด นี้เรียกว่า อัตตวาทุปาทาน.

แม้แต่การยึดเอา นิพพาน เป็นของตน เป็นตน ก็เป็น อัตตาวาทุปาทาน
อัตตาวาทุปาทานย่อม เกิดสักกายะทิฏฐิ
สักาายะทิฏฐิ เที่ยงหรือไม่เที่ยง
เป็นสังขตะหรืออสังขตะ

สิ่งที่ท่านพลศักดิ์ ลอกอยู่เห็นอยู่นั้น เป็นการแสดงธรรม อันกล่าวตู่ต่อคำสอนว่า
สพฺเพธมฺมา อนัตตา
โดยอ้างอรรถพยัญชนะ ผิดบริบท มาทำความเข้าใจให้สับสนกัน
การนำ ธรรมาสับสนปนเปกัน โดยอ้างเอาพยัญชนะปฏิรูปของบรรดาหลวงปู่ต่างๆ ที่ท่านยกมาหลายหนในที่นี้ นับว่า "จะทำให้สัทธรรมนี้ อันตรธาน"

ท่านจะมาบอกว่า สังขตะเป็นอนัตตา และ อสังขตะเป็นอัตตาอย่างนั้นหรือ?
ถ้าท่านพึงเห็นอสัขตะเป็นของตน เป็นตน เมื่อไหร่ ท่านก็เกิดอัตตวาทุปาทาน ทันทีซึ่งเป็นสักกายทิฏฐิ แล้วก็ถามต่อไปว่า สักกายะทิฏฐิเวียนรอบ แบบนี้ เป็นอัตตา หรือ อนัตตา

การพิจารณาไตรลักษณ์ เพื่อให้รู้ลักษณะธรรมชาติธรรดาของธรรม ให้เห็นความดับ เท่านั้น
หากยังไปปรุงแต่งต่อว่า นิพพานเป็นของเที่ยง ไม่มีความเกิด ชรา ว่าเป็นอัตตา นั่นเป็นความเข้าใจของท่าน ที่ยังต้องการให้นิพพานมีภาวะอยู่ ซึ่งเป็นภวาสวะ เป็นกิเลส

นิพพาน เป็นอนัตตา มีเหตุปัจจัย คือมรรค 4 ผล4 เมื่อได้อรหัตผล ก็นิพพานในอีกขณะจิตหนึ่งต่อไป
ถ้าหากนิพพานเป็นอัตตาไซร้ ท่านจงสั่งให้นิพพานเมื่อไหร่ก็ได้ ท่านทำได้ไม๊
ไม่ทำเหตุ ก็ไม่นิพพาน ทำเหตุผลสำเร็จ ก็นิพพาน ถึงตอนนิพพานท่านก็สั่งให้ไม่นิพพาน ก็ไม่ได้อีกเช่นกัน

เพราะฉะนั้น แสดงธรรม แสดงด้วยการจำแนกธรรม ให้ถูกต้องตามอรรถตามพยัญชนะ ไม่ใช่แสดงธรรมแบบศรีธนญชัย เล่นไปตามคำที่เข้าใจโดยปุถุขน

เจริญธรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2009, 01:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3836

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ เขียน:

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ...(สิ่งใด)...จักเป็นอัตตา ... (สิ่งนั้น)...ไม่พึงเป็นเพื่ออาพาธ และบุคคลพึงได้ใน ...(สิ่งนั้น)...ว่า...(สิ่งนั้น)...ของเรา จงเป็นอย่างนี้เถิด ...(สิ่งนั้น)...ของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย



เนี่ยะ เนื้องอก ไม่มีในพระไตรปิฏก
มันไปเอาคำพูดพระพุทธเจ้าขึ้นต้นให้น่าเชื่อ
แล้วแอบเอาคำพูดพระพุทธเจ้ามากลับข้างเองแบบเนียนๆ
ธรรมะนั้นไม่ใช่ว่ากลับข้างแล้วจะถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2009, 01:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ม.ค. 2009, 22:30
โพสต์: 61


 ข้อมูลส่วนตัว


พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ เขียน:
อัตตาที่เป็นกิเลส พระพุทธเจ้าเรียกว่า อัตตานุทิฏฐิ ( หรือ อัตตวาทุปาทาน ) ครับ

อัตตา ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนปัญจวัคคีย์ในอนัตตลักขณสูตร ต้องมีลักษณะดังนี้ครับ


ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้ารูป(เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)นี้จักได้เป็นอัตตา (มีตัวตน หรือเป็นของตัวตน อย่างแท้จริง) แล้ว รูป ฯลฯ นี้ไม่พึงเป็นเพื่ออาพาธ (ความเสื่อม ความเจ็บไข้ ความแปรปรวน) และบุคคลพึงได้(หมายถึง ย่อมบังคับบัญชาได้ตามปรารถนา) ในรูป ฯลฯ ว่า
รูปฯลฯ ของเรา จงเป็นอย่างนี้เถิด รูป ฯลฯ ของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย

ตัดข้อความที่ไม่จำเป็นออกนะครับ


ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ...(สิ่งใด)...จักเป็นอัตตา ... (สิ่งนั้น)...ไม่พึงเป็นเพื่ออาพาธ และบุคคลพึงได้ใน ...(สิ่งนั้น)...ว่า...(สิ่งนั้น)...ของเรา จงเป็นอย่างนี้เถิด ...(สิ่งนั้น)...ของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย

หรือ สิ่งใดจักเป็นอัตตา สิ่งนั้นไม่พึงเป็นเพื่ออาพาธ และบุคคลพึงได้ในสิ่งนั้นว่า สิ่งนั้นของเรา จงเป็นอย่างนี้เถิด สิ่งนั้นของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย


ได้ความหมายแท้จริงของ "อัตตา" แล้วหรือยังครับ หรือยังถูกมารลวงอีก





มารเตี่ยไร ไม่เห็นสักตัว

ใครหลงกันแน่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2009, 11:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณคามินธรรม และคุณว่างเปล่า ครับ



ผมยกข้อความของพระพุทธเจ้ามา แต่ผมเอาอวิชชาที่ปิดบังจิตของคุณไว้ออก แค่นี้พวกคุณยังไม่เห็นหรือ ทำไมพวกคุณจึงเอาอวิชชาเข้ามาอีกล่ะครับ?

ถ้าจะกล่าวหาผม ก็ยกข้อความของพระพุทธเจ้า และแยกออกเป็นจุดแบบผมซิครับ คุณจะเห็นความจริงที่มนต์ดำแห่งกิเลสมารมันปิดบังไว้

ผมหลงโง่มา 50 ปี เพิ่งฉลาดที่สุดวันนี้ ผมเป็นบัวที่โผล่พ้นน้ำแล้ว แต่จะช่วยดึงบัวที่ยังไม่โผล่พ้นน้ำนี้ ทำได้ยากจริงๆ

" ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต ผู้ใดไม่เห็นธรรม ผู้นั้นย่อมไม่เห็นเราตถาคต "


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2009, 11:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
พระพุทธองค์ทรงจำแนกธรรม ในการตรัสสอนไว้อย่างเป็นระบบ

อัตตาวาทุปาทาน เป็นไฉน?
ปุถุชนในโลกนี้ ผู้ไร้การศึกษา ไม่ได้เห็นพระอริยเจ้าทั้งหลาย ไม่ฉลาดในธรรมของ
พระอริยเจ้า ไม่ได้ฝึกฝนในธรรมของพระอริยเจ้า ไม่ได้เห็นสัตบุรุษทั้งหลาย ไม่ฉลาดในธรรม
ของสัตบุรุษ ไม่ได้ฝึกฝนในธรรมของสัตบุรุษ ย่อมเห็นรูปเป็นตน หรือเห็นตนมีรูป เห็นรูป
ในตน เห็นตนในรูป ย่อมเห็นเวทนาเป็นตน หรือเห็นตนมีเวทนา เห็นเวทนาในตน เห็น
ตนในเวทนา ย่อมเห็นสัญญาเป็นตน หรือเห็นตนมีสัญญา เห็นสัญญาในตน เห็นตนในสัญญา
ย่อมเห็นสังขารเป็นตน หรือเห็นตนมีสังขาร เห็นสังขารในตน เห็นตนในสังขาร ย่อมเห็น
วิญญาณเป็นตน หรือเห็นตนมีวิญญาณ เห็นวิญญาณในตน เห็นตนในวิญญาณ ทิฏฐิ ความ
เห็นไปข้างทิฏฐิ ป่าชัฏคือทิฏฐิ กันดารคือทิฏฐิ ความเห็นเป็นข้าศึกต่อสัมมาทิฏฐิ ความผันแปร
แห่งทิฏฐิ สัญโญชน์คือทิฏฐิ ความยึดถือ ความยึดมั่น ความตั้งมั่น ความถือผิด ทางชั่ว
ทางผิด ภาวะที่ผิด ลัทธิเป็นบ่อเกิดแห่งความพินาศ การถือโดยวิปลาส มีลักษณะเช่นว่านี้
อันใด นี้เรียกว่า อัตตวาทุปาทาน.


แม้แต่การยึดเอา นิพพาน เป็นของตน เป็นตน ก็เป็น อัตตาวาทุปาทาน
อัตตาวาทุปาทานย่อม เกิดสักกายะทิฏฐิ
สักาายะทิฏฐิ เที่ยงหรือไม่เที่ยง
เป็นสังขตะหรืออสังขตะ

สิ่งที่ท่านพลศักดิ์ ลอกอยู่เห็นอยู่นั้น เป็นการแสดงธรรม อันกล่าวตู่ต่อคำสอนว่า
สพฺเพธมฺมา อนัตตา
โดยอ้างอรรถพยัญชนะ ผิดบริบท มาทำความเข้าใจให้สับสนกัน
การนำ ธรรมาสับสนปนเปกัน โดยอ้างเอาพยัญชนะปฏิรูปของบรรดาหลวงปู่ต่างๆ ที่ท่านยกมาหลายหนในที่นี้ นับว่า "จะทำให้สัทธรรมนี้ อันตรธาน"

ท่านจะมาบอกว่า สังขตะเป็นอนัตตา และ อสังขตะเป็นอัตตาอย่างนั้นหรือ?
ถ้าท่านพึงเห็นอสัขตะเป็นของตน เป็นตน เมื่อไหร่ ท่านก็เกิดอัตตวาทุปาทาน ทันทีซึ่งเป็นสักกายทิฏฐิ แล้วก็ถามต่อไปว่า สักกายะทิฏฐิเวียนรอบ แบบนี้ เป็นอัตตา หรือ อนัตตา

การพิจารณาไตรลักษณ์ เพื่อให้รู้ลักษณะธรรมชาติธรรดาของธรรม ให้เห็นความดับ เท่านั้น
หากยังไปปรุงแต่งต่อว่า นิพพานเป็นของเที่ยง ไม่มีความเกิด ชรา ว่าเป็นอัตตา นั่นเป็นความเข้าใจของท่าน ที่ยังต้องการให้นิพพานมีภาวะอยู่ ซึ่งเป็นภวาสวะ เป็นกิเลส

นิพพาน เป็นอนัตตา มีเหตุปัจจัย คือมรรค 4 ผล4 เมื่อได้อรหัตผล ก็นิพพานในอีกขณะจิตหนึ่งต่อไป
ถ้าหากนิพพานเป็นอัตตาไซร้ ท่านจงสั่งให้นิพพานเมื่อไหร่ก็ได้ ท่านทำได้ไม๊
ไม่ทำเหตุ ก็ไม่นิพพาน ทำเหตุผลสำเร็จ ก็นิพพาน ถึงตอนนิพพานท่านก็สั่งให้ไม่นิพพาน ก็ไม่ได้อีกเช่นกัน

เพราะฉะนั้น แสดงธรรม แสดงด้วยการจำแนกธรรม ให้ถูกต้องตามอรรถตามพยัญชนะ ไม่ใช่แสดงธรรมแบบศรีธนญชัย เล่นไปตามคำที่เข้าใจโดยปุถุขน

เจริญธรรม


เฉพาะท่านที่ทำหมึกเข้าเท่านั้นเป็นข้อความของพระพุทธเจ้า ของความหลังจากนั้นเป็นข้อความของมารที่อยู่ในใจคุณมันเขียนขึ้นมาเอง เรียกว่า มารเจ้า ผมจะยกข้อความเต็มๆมาให้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2009, 11:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณเช่นนั้น และทุกท่านครับ ข้อความเต็มๆของพระพุทธเจ้าเป็นเช่นนี้ครับ


[๗๘๔] อัตตาวาทุปาทาน เป็นไฉน?
ปุถุชนในโลกนี้ ผู้ไร้การศึกษา ไม่ได้เห็นพระอริยเจ้าทั้งหลาย ไม่ฉลาดในธรรมของ
พระอริยเจ้า ไม่ได้ฝึกฝนในธรรมของพระอริยเจ้า ไม่ได้เห็นสัตบุรุษทั้งหลาย ไม่ฉลาดในธรรม
ของสัตบุรุษ ไม่ได้ฝึกฝนในธรรมของสัตบุรุษ ย่อมเห็นรูปเป็นตน หรือเห็นตนมีรูป เห็นรูป
ในตน เห็นตนในรูป ย่อมเห็นเวทนาเป็นตน หรือเห็นตนมีเวทนา เห็นเวทนาในตน เห็น
ตนในเวทนา ย่อมเห็นสัญญาเป็นตน หรือเห็นตนมีสัญญา เห็นสัญญาในตน เห็นตนในสัญญา
ย่อมเห็นสังขารเป็นตน หรือเห็นตนมีสังขาร เห็นสังขารในตน เห็นตนในสังขาร ย่อมเห็น
วิญญาณเป็นตน หรือเห็นตนมีวิญญาณ เห็นวิญญาณในตน เห็นตนในวิญญาณ ทิฏฐิ ความ
เห็นไปข้างทิฏฐิ ป่าชัฏคือทิฏฐิ กันดารคือทิฏฐิ ความเห็นเป็นข้าศึกต่อสัมมาทิฏฐิ ความผันแปร
แห่งทิฏฐิ สัญโญชน์คือทิฏฐิ ความยึดถือ ความยึดมั่น ความตั้งมั่น ความถือผิด ทางชั่ว
ทางผิด ภาวะที่ผิด ลัทธิเป็นบ่อเกิดแห่งความพินาศ การถือโดยวิปลาส มีลักษณะเช่นว่านี้
อันใด นี้เรียกว่า อัตตวาทุปาทาน.
สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอุปาทาน.

[๗๘๕] ธรรมไม่เป็นอุปาทาน เป็นไฉน?
เว้นอุปาทานธรรมเหล่านั้นเสีย กุศลธรรม อกุศลธรรม อัพยากตธรรมที่เหลือ ซึ่งเป็น
กามาวจร รูปาวจร อรูปาวจร โลกุตตระ คือ เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์ รูปทั้งหมด
และอสังขตธาตุ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมไม่เป็นอุปาทาน.


ธรรมไม่เป็นอุปทานนี้คือ อัตตา ครับ อัตตา คือ อสังขตธาตุ อัตตาคือตน อัตตาคือธรรม พระพุทธเจ้าตรัสว่า:

"พวกเธอจงมี ตน เป็นที่พึ่งเถิด อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่ถึงเลย จงมี ธรรมเป็นที่พึ่งเถิด อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่ถึงเลย"

ชัดเจนหรือยังครับ ... อัตตา = ตน ที่พระพุทธเจ้าหมายถึง คือ ธรรม ตน(อัตตา) กับ ธรรม จึงเป็นสิ่งเดียวกัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2009, 12:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านจะมาบอกว่า สังขตะเป็นอนัตตา และ อสังขตะเป็นอัตตาอย่างนั้นหรือ?
ถ้า ท่านพึงเห็นอสัขตะเป็นของตน เป็นตน เมื่อไหร่ ท่านก็เกิดอัตตวาทุปาทาน ทันทีซึ่งเป็นสักกายทิฏฐิ แล้วก็ถามต่อไปว่า สักกายะทิฏฐิเวียนรอบ แบบนี้ เป็นอัตตา หรือ อนัตตา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2009, 13:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ถามพลศักดิ์ วังวิวัฒน์

อัตตาเกิดจากเหตุปัจัยยา

รถยนต์เกิดจากตัวถังรถ ประกอบเข้ากับเครื่องยนต์และล้อ เติมน้ำมันแล้ววิ่งได้เรืยกว่ารถยนต์

ความหมายของรถยนต์คือปัจจัยรวมทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมด

หากขาดปัจจัยอย่างไรอย่างหนึ่งไปเราจะเรียกว่ารถยนต์ได้หรือไม่

เป็นต้นว่าโรงงานประกอบมาให้ไม่สมบูรณ์

เช่นขาดระบบจ่ายน้ำมัน ขาด ล้อ ทำให้รถวิ่งไม่ได้

อัตตาของรถยนต์คื่อปัจจัยทั้งหลายที่ประกอบเข้าด้วยกันแล้วเกิดผลเช่นรถยนต์ต้องวิ่งได้

ตัวตนเดี่ยวๆของรถยนต์นั้นไม่มี

มีแต่เหตุปัจจัย

เมื่อหมดปัจจัยเป็นต้นว่าสักวันหนึ่งตัวถังต้องผุ เครื่องต้องพัง ยางต้องเสื่อม

คือสิ้นสภาพของรถยนต์แน่นอนเรียกว่าเป็นอนิจจัง อนัตตา

ตราบที่เหล็กอยู่ลำพังในธรรมชาติเรายังไม่นำมาสร้างเป็นส่วนประกอบของรถยนต์ เหล็กก็ยังไม่เป็นอัตตาของรถ

เมื่อไม่มีอัตตาจึงไม่มีอนัตตา

อัตตาเป็นเพียงสมมุติบัญญัติ

อนัตตาเป็นสภาวะ

นายก.เกิดจาก ธาตุ อินทรีย์คือ คาร์บอน ไฮโดร์เจน ไนโตรเจน และ อ๊อกซิเจน

ปัจจัยข้างต้นประกอบเป็นชีวิตนายก.เรียกตามสมมุติว่านายก.คืออัตตา

นำนายก.มาแยกธาตุ

นายก.ต้องตาย

นายพลศักดิ์ วังวิวัฒน์ลองนำธาตุเหล่านั้นที่เคยเป็นปัจจัยของชีวิตนายก.มาประกอบเป็นนายก.ใหม่ได้หรือไม่

ถ้าไม่ได้

ก็ ซ.ต.พ.ได้ว่า

บางสิ่งบางอย่างนำมาย้อนกลับไม่ได้

อย่ามาว่าผมว่า


มาร มาร มาร

มาร มาร มาร

มาร มาร มาร

หรือมารสิงใจผมอีกละ

เพราะมารที่ว่า

มันเป็นแค่อุปทานของพลศักดิ์ วังวิวัฒน์

มันอยู่แต่ในจิตของพลศักดิ์ วังวิวัฒน์

ไม่เคยเยืองกายไปไหนได้เลย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2009, 17:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


ทางเข้านิพพานคือ - คุณต้องไม่อยากมีตัวตน ต้องละตัวตน(อัตตาอุปทาน)ให้ได้ ถ้าคุณทำได้สมบูรณ์ ตัวตน หรือ อัตตาที่แท้(ไม่ใช่สมมุติ)จะโผล่ออกมา

" ถ้าอยากมีตัวตน จะพบแต่อัตตา(อุปทาน) ถ้าปฏิบัติได้จริง ละตัวตน(อัตตาอุปทาน)ได้ จะพบอัตตา(แท้) ตัวตนจริง"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2009, 17:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณmesครับ



คุณไม่เข้าใจจริงๆ หรือว่าแกล้งโง่ครับ อัตตาทางโลก เช่น รถยนต์ ตัวคุณ บ้านของคุณ ล้วนแล้วแต่เป็น อัตตาวาทุปาทาน หรือ อัตตาเก๊ หรืออัตตา(อุปทาน)

แต่อัตตาที่พระพุทธเจ้าพูดถึงในอนัตตลักจณะสูตรนั้น คือ อัตตาจริง


อ่านช้าๆ และช้าที่สุด ถ้าไม่เข้าใจอีก แสดงว่าพระท่านยังไม่ให้คุณรู้ความจริง


ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ...(สิ่งใด)...จักเป็นอัตตา ... (สิ่งนั้น)...ไม่พึงเป็นเพื่ออาพาธ และบุคคลพึงได้ใน ...(สิ่งนั้น)...ว่า...(สิ่งนั้น)...ของเรา จงเป็นอย่างนี้เถิด ...(สิ่งนั้น)...ของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย

ย้ำ!!! สิ่งใดจักเป็นอัตตา สิ่งนั้นไม่พึงเป็นเพื่ออาพาธ และบุคคลพึงได้ในสิ่งนั้นว่า สิ่งนั้นของเรา จงเป็นอย่างนี้เถิด สิ่งนั้นของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2009, 17:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
ท่านจะมาบอกว่า สังขตะเป็นอนัตตา และ อสังขตะเป็นอัตตาอย่างนั้นหรือ?


ใช่แล้วครับ...

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดง อสังขตะลักษณะ ไว้ว่า

- ไม่ปรากฏความเกิด ๑

- ไม่ปรากฏความเสื่อมสลาย ๑

- เมื่อตั้งอยู่ไม่ปรากฏความแปรปรวน ๑


จุดใหญ่ที่สุดของศาสนาพุทธ คือ ให้ทิ้งธรรมชาติของสังขตธรรม ที่เป็น อนัตตา แล้วกลับไปสู่ ธรรมชาติของอสังขตธรรม ที่เป็น อัตตาแท้จริง

หรือพูดอีกนัยหนึ่ง... พระพุทธเจ้าสอนให้เรา หลุดออกจากอัตตา(อุปทาน)ที่เป็นอนัตตา กลับไปหาอัตตา(แท้จริง)

๑๘. ธรรมชาติที่ไม่เกิด ไม่ถูกปรุงแต่ง มีอยู่


"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติที่ไม่เกิด ไม่เป็น ไม่มีใครทำ ไม่มีอะไรปรุงแต่ง มีอยู่ ถ้าไม่มีธรรมชาติที่ไม่เกิด ไม่เป็น ไม่มีใครทำ ไม่มีอะไรปรุงแต่ง ความพ้นไปจากธรรมชาติที่เกิด ที่เป็น ที่มีใครทำ ที่มีอะไรปรุงแต่ง ก็จะปรากฏไม่ได้ เพราะเหตุที่มีธรรมชาติที่ไม่เกิด ไม่เป็น ไม่มีใครทำ ไม่มีอะไรปรุงแต่ง ความพ้นไปจากธรรมชาติที่เกิด ที่เป็น ที่มีใครทำ ที่มีอะไรปรุงแต่ง จึงปรากฏได้."


อิติวุตตก ๒๕/๒๕๗


สรุปพระสูตรบทนี้ ก็เหมือนกับที่ผมบอกไว้นั่นแหละว่า

ธรรมชาติมี 2 อย่าง

1. ธรรมชาติที่เกิด ที่เป็น ที่มีใครทำ ที่มีปัจจัยปรุงแต่ง = สังขตธาตุ(นามรูป)

2. ธรรมชาติที่ไม่เกิด ไม่เป็น ไม่มีใครทำ ไม่มีอะไรปรุงแต่ง = อสังขตธาต(นิพพาน)

ต้องทิ้งตัว 1 ก่อน ตัว 2 จึงจะเกิด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2009, 17:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3836

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


คงทำกรรมหนักมากๆ มากจริงๆ
ตอนปฏิสนธิมาเกิดถึงได้เป็นพวกทวิเหตุกะ
จุติโดยขาดปัญญา ชาตินี้ไม่มีแจ้งในอริยสัจจได้

เรื่องง่ายแสนง่ายก็ไม่เข้าใจได้
อะไรที่มันวิปริตก็กลับไปยึดถืออย่างเหนียวแน่น


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 41 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 52 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร