วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 20:16  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 15 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2008, 01:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ย. 2008, 22:30
โพสต์: 222

ที่อยู่: เวียนว่ายในวัฏสงสาร (-_-!)

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: ถ้าเราทำสมาธิอยู่ แล้วเกิดอาการอะไรก็แล้วแต่ หรือ รู้สึก เห็น หรือสำผัส เราจะแยกได้อย่างไรว่านี้เป็น นิมิต หรือจิตเราปรุงแต่งเอง ขอรับ :b8:

.....................................................
ขอประสบความสุขทั้งทางโลกและทางธรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2008, 19:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทั้งหลายทั้งปวงก็เกิดจากจิต เกิดจากความคิดปรุงแต่งของจิตทั้งนั้น แต่เพราะความไม่รู้จิตเลยปรุงแต่งนิมิต หรือ ปรุงความคิดหรือสภาวะซ้ำเข้าอีก นิมิตหรือสิ่งนั้น สภาวะนั้นจึงผกผันพิสดารไปตามจิตอีกที เช่น ที่คุณประสบ คือ อาการหัวโต ฯลฯ ก็เกิดจากการคิดปรุงแต่ง

นั่งฝึกสมาธิอยู่ (หุบปากอยู่แท้ๆตัวอย่างกระทู้ข้างบน) แต่รู้สึกว่าเหมือนปากขยับได้เอง ก็เป็นการปรุงแต่งของจิต เกิดจากความคิด

ที่เว็บพลังจิตส่วนมาก ฝึกแล้วเผลอหลับบ้าง สลืมสลือบ้าง แต่ยังไม่หลับสนิท คือ เบลอๆ แล้วจิตเห็นนั้นเห็นนี่ เห็นตนเองหลุดลอยออกไปเดินเพ่นพ่านที่นั่นที่นี่ เห็นร่างหนึ่งนั่งสมาธิ อีกร่างหนึ่งยืนดูอยู่

คนที่มีความเชื่อ มีความคิดโน้มเอียงเชื่อเรื่องกายทิพย์ เรื่องถอดจิตถอดวิญญาณ ก็ปักใจเชื่อไปทางนั้น
แต่ไปดูเถอะครับ จะเล่าว่าหลับ หรือเกือบหลับขาดสติทั้งนั้น ตื่นมาก็ปรุงแต่งซ้ำไปเลย เพ้อเรื่องกายทิพย์เป็นต้น อีก :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2008, 20:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ค. 2006, 20:52
โพสต์: 1210

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมสวัสดิ์จ้ะหลานอวบฯ ตามอ่าน นิมิตรนี่ไม่เคยเจอแต่คิดไปเองนี่บ่อย หุ หุ

สาธุค่ะท่านกรัชกาย

.....................................................
สัพเพ สังขารา อนิจจา
สัพเพ ธรรมา อนัตตา...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2008, 21:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขณะกำลังฝึกจิตอยู่ เมื่อจิตพอเป็นสมาธิบ้าง อาจเห็น ได้ยินเสียงต่างๆ ได้กลิ่น (เหม็น,หอม)
รส (รู้สึกถึงรสอาหารที่ติดใจ,ฝังใจ) กาย (นึกถึงสัมผัสที่ฝังใจมาก่อน) ทางใจ (เรื่องคิดในใจ,สิ่งที่ผ่านมาจะถูกบันทึกไว้ที่นามธรรม)

มีตัวอย่างหนึ่งได้ยินเสียง แล้วไม่กำหนดจึงปรุงเรื่อยจนกลายเป็นกิเลสไปอีก


เคยนั่งสมาธิแล้วได้ยินเสียง แต่เป็นเสียงถาม

คือนั่งสมาธิแล้วนิ่งมากอยุ่ในภวังค์แต่ยังไม่หลับ แล้วได้ยินเสียงเหมือนผู้ชาย
ได้ยินแล้วตกใจรีบถอนออกจากสมาธิ แล้วไม่เคยนั่งได้อีกเลย เป็นเพราะ
ความอยากได้ยินอีกหรือเปล่าคะ ที่ทำใ้ห้ไม่ได้ยินอีก



วิธีปฏิบ้ติต่ออามณ์นั้นมีทางเดียวคือกำหนดรู้ตามเป็นจร้ง อย่างที่เคยบอกไปแล้ว "เสียงหนอๆๆ"
คิดก็ "คิดหนอๆๆ" กำหนดแล้วปล่อย ไปกำหนดกรรมฐานหลักที่ตนใช้ :b42:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2008, 23:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ย. 2008, 22:30
โพสต์: 222

ที่อยู่: เวียนว่ายในวัฏสงสาร (-_-!)

 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้าอย่างนั้น นิมิตร ก็ไม่มีจริงสิครับ :b5:
เป็นแค่จิตปรุงแต่ทั้งนั้น แล้วแต่ว่าจิตเราจะปรุงไปทางไหน
:b6:

แล้วที่บางสำนักให้เราทำสมาธิแล้วให้ เรากำหนดเห็นดวงแก้ว กับ การ เพ็งกสิน ให้ เปลี่ยนสีไปมาได้ หรือให้น้ำวนซ้าย วนขวา ไฟเต้นระบำ หละครับ เป็นการที่จิตปรุงแต่ง หรือนิมิตรเพราะเกิดจากจิตเป็นสมาธิขอรับ :b23: :b23:

.....................................................
ขอประสบความสุขทั้งทางโลกและทางธรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ธ.ค. 2008, 11:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ถ้าอย่างนั้น นิมิตร ก็ไม่มีจริงสิครับ
เป็นแค่จิตปรุงแต่ทั้งนั้น แล้วแต่ว่าจิตเราจะปรุงไปทางไหน




เขียนได้ ๒ รูปดังนี้ นิมิต-นิมิตต์

ประเด็นนี้พึงเข้าใจด้วยอุปมา

ถามว่า เงาเรามีไหม ?
ตอบว่า มี
เห็นเงาไหม ?
...เห็น
ถามต่ออีกว่า เงายกมือได้ไหม
...ไม่ได้
อ้าว....เงาก็มีมือแล้วทำไมยกมือ ไม่ได้
ตอบ เพราะเจ้าของเงาไม่ยกมือ
ถาม เงายิ้ม เป็นต้นได้ไหม
ตอบแล้วแต่เจ้าของเงา เจ้าของยิ้ม เงาก็ยิ้ม เจ้าของเงาอยู่นิ่งๆ เงาก็อยู่นิ่ง ฯลฯ

สรุป นิมิตเปรียบเหมือนเงา มีเหมือนไม่มี แต่ที่พลิกผันพิสดารเพราะจิตปรุงแต่งไป

ทำความเข้าใจประเด็นนี้ไปก่อน น่าจะพอเข้าใจประเด็นที่เหลือ
ขอเวลาพิมพ์ก่อน บอกใบ้ให้ว่า ก็คล้ายๆประเด็นนี้นั่นเอง คือเขาเล่นนิมิตด้วยอาศัยจิตที่เป็นสมาธิ
จิตยังหยาบก็วาดภาพนิมิตได้หยาบขรุกขระ ฝึกไปๆ จิตมีสมาธิมากขึ้นๆ ละเอียดขึ้นก็นึกภาพนิมิตได้ประณีตสวยงามขึ้นๆ จะขยายหรือย่อนิมิตให้ใหญ่-เล็กได้ดังใจนึก

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ธ.ค. 2008, 15:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
แล้วที่บางสำนักให้เราทำสมาธิแล้วให้ เรากำหนดเห็นดวงแก้ว กับ การ เพ่งกสิน ให้ เปลี่ยนสีไปมาได้ หรือให้น้ำวนซ้าย วนขวา ไฟเต้นระบำ หละครับ เป็นการที่จิตปรุงแต่ง
หรือนิมิตรเพราะเกิดจากจิตเป็นสมาธิขอรับ



กรณี เพ่งลูกแก้ว เพ่งพระพุทธรูป เพ่งกสิณมีปฐวีกสิณ เป็นต้น เขาใช้วัตถุนั้นเป็นสื่อสร้างนิมิตขึ้น
คือเพ่งวัตถุนั้นให้ติดตา จนหลับตาเห็นรูปนิมิต ติดใจแล้ว เมื่อกสิณติดใจแล้ว ก็เพ่งกสิณซึ่งเป็นลูกแก้วเป็นต้น ต่อไป เป็นวันเป็นเดือนเป็นปี ฝึกไปเรื่อยๆ เพ่งไปเรื่อยๆ แรกๆจิตยังหยาบกสิณก็หยาบตามจิต
คือไม่ชัด ไม่แจ่ม ไม่เนียน ก็บริกรรมกสิณนั่นไปเรื่อยๆ เมื่อสมาธิมากขึ้นๆ จิตจะประณีตขึ้นละเอียดขึ้น
มีกำลังมากขึ้น นิมิตก็ประณีตขึ้นตามจิต
รูปกสิณก็ปรากฏในใจชัด ทรงอยู่ได้นานเลี้ยงกสิณได้นานขึ้น ก็ฝึกเล่นกสิณให้เป็นไปตามที่ตนต้องการ จะให้เปลี่ยนสีไปมา ให้วนซ้ายวนขวา ดึงเข้ามาตรงหน้า นึกผลักให้ถอยออกไป นึกขยายให้ใหญ่
นึกย่อให้เล็กลง ตรึงให้หยุดนิ่งอยู่ตรงนั้นตรงนี้ก็ทำได้ แล้วแต่กำลังของสมาธิอ่ะครับ :b39:


มีคำถามคุณอวบอั๋น ฯ ชอบฝึกแบบนี้หรอครับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ธ.ค. 2008, 15:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


เคยอ่านเจอบ่อยๆครับ "ที่เห็นน่ะเห็นจริง แต่สิ่งที่ถูกเห็นนั้นไม่จริง"

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ธ.ค. 2008, 16:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ค. 2006, 20:52
โพสต์: 1210

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แมวฯเคยไปอบรมเรื่อง Organ-Dewellopment แล้วช่วงดึกเค้าจะมีวิทยากรมาคุยเรื่องพลังจิตแล้วให้หัดเล่นดูคะ คือพอทำสมาธิสักครู่ก็ให้กำหนดพลังไว้ที่ฝ่ามือแล้วลองไปผลัก ปากกาที่วางนอนอยู่บนโต๊ะโดยที่มือไม่สัมผัส(ห่างราว 5 นิ้ว)กับวัตถุ(ปากกา) เลย ทำกันได้ทั้งหมด30กว่าคนเลยค่ะ ก็ตื่นเต้นกันไป(นานประมาณ 15 ปีแล้วค่ะ) มีแบบอื่นๆด้วยค่ะ

.....................................................
สัพเพ สังขารา อนิจจา
สัพเพ ธรรมา อนัตตา...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ธ.ค. 2008, 20:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ธ.ค. 2008, 20:09
โพสต์: 112


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
ขออนุญาตตอบ

ส่วนที่ 1อ้างถึง
http://www.84000.org/tipitaka/dic/d_seek.php?text=นิมิต
จากผลการค้น ลำดับที่ 1/3
นิมิต3 (เครื่องหมายสำหรับให้จิตกำหนดในการเจริญกรรมฐาน, ภาพที่เห็นในใจอันเป็นตัวแทนของสิ่งที่ใช้อารมณ์กรรมฐาน )
1. บริกรรมนิมิต (นิมิตแห่งบริกรรม)
2. อุคคหนิมิต (นิมิตที่ใจเรียน)
3. ปฏิภาคนิมิต (นิมิตเสมือน, นิมิตเทียบเคียง ได้แก่ นิมิตที่เป็นภาพเหมือนของอุคคหนิมิตนั้น แต่เป็นสิ่งที่เกิดจากสัญญา เป็นเพียงอาการปรากฏแก่ผู้ได้สมาธิจึงบริสุทธิ์จนปราศจากสีเป็นต้น และไม่มีมลทินใดๆ ทั้งสามารถนึกขยายหรือย่อส่วนได้ตามปรารถนา )

เมื่อเกิดปฏิภาคนิมิตขึ้น จิตย่อมตั้งมั่นเป็นอุปจารสมาธิ จึงชื่อว่าปฏิภาคนิมิตเกิดพร้อมกับอุปจารสมาธิ เมื่อเสพปฏิภาคนิมิตนั้นสม่ำเสมอด้วยอุปจารสมาธิก็จะสำเร็จเป็นอัปปนาสมาธิต่อไป ปฏิภาคนิมิตจึงชื่อว่าเป็นอารมณ์แก่อุปจารภาวนาและอัปปนาภาวนา

ส่วนที่2 อ้างอิง
http://rirs3.royin.go.th/new-search/wor ... -all-x.asp
นึก = คิด เช่น นึกถึงความหลัง นึกถึงอนาคต นึกไม่ถึง, คิดขึ้นมาในฉับพลัน


ส่วนที3 แสดงความคิดเห็นส่วนตัว ..
ถ้าอาการที่เกิดขึ้นระหว่างการทำสมาธิ ถ้าเป็นเพียงแต่นึกคิดเอง = สิ่งเหล่านั้นไม่สามารถ ทำได้อย่าง ปฏิภาคนิมิต

**ตัวผมเองก็เห็นนิมิต(นิมิตมาร..ช่อง3)

คำตอบผมไม่ทราบว่าตรงประเด็นไหมครับ //ผิดพลาดแนะนำ
เจริญในธรรม
:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ธ.ค. 2008, 22:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ย. 2008, 22:30
โพสต์: 222

ที่อยู่: เวียนว่ายในวัฏสงสาร (-_-!)

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: ธรรมสวัสดี เช่นกันครับ คุณ แมวขาวมณี
smiley

.....................................................
ขอประสบความสุขทั้งทางโลกและทางธรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ธ.ค. 2008, 23:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ย. 2008, 22:30
โพสต์: 222

ที่อยู่: เวียนว่ายในวัฏสงสาร (-_-!)

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:

มีคำถามคุณอวบอั๋น ฯ ชอบฝึกแบบนี้หรอครับ


:b26: :b25:
ยังไม่เคยฝึกแบบที่ว่าขอรับคุณกรัชกาย อยากเรียนว่าก็พึ่งจะรู้ว่า การวิปัสนากรรมฐานมีหลายสาย s002
เพราะตั้งแต่คุณทวดมาก็ผูกสาย อาณาปาณะสติมาตลอด ไปมาหลายวัดที่คุณแม่พาไปก็สาย อาณาปาณสติ เลยคิดว่ามีสายอาณาปาณสติสายเดียวในโลกใบนี้เสียอีก :b32: เลยรู้สึกเป็นเขียดน้อยในโลกใบใหญ่ :b28:

ก็เลยอยาก ลองแบบอื่นบ้าง เพื่อ จะมีอะไร ตื่นเต้น บ้างอะครับ เพราะเวลาสอบอารมย์ทีไร อายพระอาจารย์ทุกที :b3: เพราะ ไม่มีนิมิตร ไม่เห็นอะไรเลยอย่างที คนอื่นเขาเห็นแล้วมาเล่าให้ฟังว่าเห็น พญานาคบ้าง เห็นเทวดา นางฟ้าบ้าง เห็น อัญมณีมากมาย หอมกลิ่นหอมบ้าง ส่วนผมไม่เห็นอะไรเลย :b34:

เวลาสอบอารมย์ ผมเลย หนีสอบอารมย์บ่อยๆ :b4: แต่พระอาจารย์ก็ไม่ว่าเพราะเห็นว่าเป็นเด็ก :b18:

บ่อยครั้งที่ผมเจอสะภาวะเช่น บางทีนาฬิกาที่ตั้งเวลาไว้30 นาที บางที มีความรู้สึก นั่งไปได้ 2-3 นาที ก็ดังละ ผมก็คิดว่า ผมคงตั้งผิด :b34: เป็นบ่อยๆก็คิดว่าน่าจะแอบงีบแน่เรา :b34: เลยอายไม่กล้าบอกพระอาจารย์ กลัวโดนดุ :b33:
บางทีเดินจงกลม มีความรู้สึก พื้น เป็นคลื่นเหมือนจะเป็นลมบ่อยๆ เห็นลายพรม ชัดบ้างลายบ้าง ก็ คิดเองว่า สงสัยน่ามืด เพราะ ไม่ได้กินข้าวเย็นแน่ๆ ไม่ไหว ๆ :b7: ร่างกายอ่อนแอ มากๆ
บางทีไปวิปัสนา ก็ขี้เกียดเหลือเกินนอนอย่างเดียว ง่วงเหลือเกิน :b23: หดหู่ ผมก็อายไม่กล้าบอกท่านเพราะกลัวท่านว่าขี้เกียด :b2: เดินจงกลมเห็นแสงเป็นสีแดง สีเขียวก็คิดสงสัยตาพร่า พรมเป็นคลื่นๆ เหมือนจะเป็นลม :b30: ลมพัด เย็นๆ ซ้าย ที ขวาที ก็นึกว่าธรรมดา ลมพัด เพราะเป็นวัดทางเหนืออากาศเย็นลมพัดก็ธรรมดา ไม่เห็นเจอเทวดา นางฟ้า ลูกแก้ว ท้องอุ่น เลยคิดว่าเราปฏิบัติไปไม่ถึงไหนเลยเบื่อๆ :b30: จนสภาวะสุดท้ายที่ เรียนถาม ทาง บอร์ด หละครับ เพราะมันชักแปลกประหลาด จนเกินจะคิดว่าธรรมดา :b19: เลยมีกำลังใจ ปฏิบัติ ธรรม ต่อ แต่ทำๆๆ ไปก็ไม่เห็นมีแสง ขาว จิตไม่เห็นสว่างจ้า หลับตาก็ยังมืดเหมือนเดิม ไม่เห็น อะไร เลย :b7: เลยคิว่าตัวเองแปลกหรือเปล่า หรือปฏิบัติไม่ถูกก็เท่านั้น ขอรับ :b25:

.....................................................
ขอประสบความสุขทั้งทางโลกและทางธรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2008, 14:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณอวบฯ พึงทราบความหมาย วิปัสสนา สั้นๆ ดังนี้

“ความเห็นแจ้งรู้เข้าใจสิ่งทั้งหลายตามสภาวะที่มันเป็น เพื่อให้จิตหลุดพ้นเป็นอิสระ นี่คือ
วิปัสสนา” ครับ

ส่วนรูปแบบปฏิบัติที่คุณเคยเห็นเคยได้ยินมา หากให้พูดตรงๆแล้ว ยังไม่ใช่ตัวสาระ “วิปัสสนา” เป็นเพียงรูปแบบปฏิบัติเริ่มต้นเท่านั้น อุปมาก็เหมือนเราเริ่มตอกตะปูด้วยค้อน ยังไม่รู้เลยว่าจะตอกได้สุดหรือไม่ ตะปูจะงอจะหักตรงไหน หรือตอกๆจนเมื่อยจนล้า แล้วท้อเลิกตอกเสียกลางคัน หรือตอกๆโดนเล็บโดนนิ้วตนเองจนเลือดสาด ฯลฯ

---แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่ารูปแบบอย่างไหนนำส่งถึง วิปัสสนา ดูตรงนี้อีกขั้นหนึ่ง
ดูสิว่ารูปแบบปฏิบัตินั้นสงเคราะห์เข้ากับหลักธรรมข้อใหญ่ๆเช่นสติปัฏฐาน ได้ไหม
สมมุติว่าเข้ากับหลักธรรมข้อใหญ่นั้นได้ ก็เข้าตำรานั่งตอกตะปูอีก

อ้างคำพูด:
บางทีเดินจงกลม มีความรู้สึก พื้น เป็นคลื่นเหมือนจะเป็นลมบ่อยๆ เห็นลายพรม ชัดบ้างลายบ้าง ก็คิดเองว่า สงสัยน่ามืด เพราะ ไม่ได้กินข้าวเย็นแน่ๆ ไม่ไหว ๆ ร่างกายอ่อนแอ มากๆ
บางทีไปวิปัสสนา ก็ขี้เกียดเหลือเกินนอนอย่างเดียว ง่วงเหลือเกิน หดหู่

เดินจงกลมเห็นแสงเป็นสีแดง สีเขียวก็คิดสงสัยตาพร่า พรมเป็นคลื่นๆ เหมือนจะเป็นลม
ลมพัด เย็นๆ ซ้าย ที ขวาที ก็นึกว่าธรรมดา ลมพัด



สิ่งทั้งหลายตั้งอยู่ตามสภาพของมัน และเป็นไปตามธรรมดาของมัน
พูดเป็นภาพพจน์ว่า ความจริงเป็นเปิดเผยตัวมันเองอยู่ตลอดเวลา แต่มนุษย์ปิดบังตนเองจากมัน
หรือไม่ก็มองภาพของมันบิดเบือนไป หรือไม่ก็ถึงกับหลอกลวงตัวของมนุษย์เอง

ธรรมะหรือธรรมชาติปรากฏแก่คุณอวบฯ อยู่แล้วทุกขณะ เช่น ขี้เกียจ หดหู่ ท้อแท้ ความสงสัยว่าเราเป็นนั่นเป็นนี่ รู้สึกเหมือนจะเป็นลม เป็นต้น แต่คุณกลับคิดปรุงแต่งเป็นนี่เป็นนั่นหรือไม่เป็นนั่นเป็นนี่เสีย ไม่กำหนดตามสภาวะนั้นๆตามที่มันเป็น ตามที่รู้สึก

ต่อไปคิดนึกอย่างไร เป็นอย่างไร ให้กำหนดตามนั้น ด้วยอุบายวิธีที่เคยบอกก่อนหน้านี้นะครับ
:b42:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ม.ค. 2009, 22:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ธ.ค. 2008, 18:54
โพสต์: 4


 ข้อมูลส่วนตัว


ลักษณะนิมิตจะเป็นสัมผัสที่เป็นธรรมชาติมากกว่า ส่วนการคิดไปเองจะเป็นลักษณะที่เราฟุ้งซ่านสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวทำให้พิจาราณาสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างไม่ค่อยเข้าใจ ส่วนนิมิตจะทำความเข้าใจได้ง่ายกว่าแต่พระท่านบอกไม่ให้ยืดเพราะมันก็ยังไม่เที่ยงเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นจริงแค่ภพภูมิหนึ่งเท่านั้น เหตุเพราะชีวิตเราไม่ใช่อยู่แค่ภพภูมิเดียว เป็นเพราะกรรมและความผูกพันทำให้ภพภูมิเราเปลี่ยนไปได้เรื่อยๆ จึงทำให้รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่เที่ยง.

.....................................................
การไม่มีตัวเราตัวเขาหรือตัวเขาตัวเราคือคนๆ เดียวกัน
หรือปลายสุดคือความว่างเปล่าแล้วกลับมาเริ่มต้นใหม่.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ม.ค. 2009, 10:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 พ.ย. 2008, 20:15
โพสต์: 45


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอแนะนำให้ลองเข้าไปศึกษาเรื่องนิมิต ในเวป http://khunsamatha.com/ ดูนะครับ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 15 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 19 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร