วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 21:44  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 9 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ธ.ค. 2008, 20:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ธ.ค. 2008, 22:07
โพสต์: 30


 ข้อมูลส่วนตัว


คือเรานั่งมานานแล้วหละ แต่ไม่รู้ว่าถูกไหมอะครับ ยังไงคนไหนเป็นก็ช่วยๆๆ ดูหน่อยนะจ้า
คือ ตอนบวชเรานั่งสมาธิ ตอนนั้นเราไม่แน่ใจว่ามันยังไงกันแน่อะนะ แต่พอนั่งไป มันดิ่งลงไป
ครึ่งโลกได้มั้งแล้วมันก็มีแสงพุ้งจากด้านล่างทะลุกลางตัวไปหัวประหนึงเป็นเทพเลยรู้สึกตกใจ
เลยออกจากสมาธิ ต่อมา เราสึกออกมาแล้ว แต่ก็ยังนั่งสมาธิอยู่ มันแปลกๆๆ ปรากฎว่า
แม้นั่งอยู่ตรงๆๆ แต่เหมือน กำลังนั่งแบบ 90 องศานะแบบว่าเขาทิ่มพื้นหัวไปซ้ายหรือทางขวา
ประมาณนั้น ยังมีอีก ต่อมาพอนั่งมาเรื่อยๆๆ พอเราดับเสียงที่พิจารณาแล้ว ปรากฎว่า
กลายเป็นเสียงลม เคยเห็นไหมเวลาเราหิวข้าวท้องมันร้องยังไง มันร้องแบบดังโคลกๆๆ
เป็นจังหวะ ต่อมา พอเราดับลม แล้วเหลือแต่ สติ ที่นี้กลายเป็นว่างเปร่า ไม่รู้จะไปไงต่อ
ให้ระดับมันสูงกว่านี้ ไครเป็นสอนหน่อยนะจ้าาา อยากเห็น เทวดากะนางฟ้าแต่ไม่เคยเห็นซะที
เคยเห็นนิมิตทีเดียว แต่แปรไม่ออกไครช่วยแปรหน่อยซิ เคยเห็นว่า มีหนอนขึ้นมือเต็มไปหมดเลย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ธ.ค. 2008, 07:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2008, 07:45
โพสต์: 234


 ข้อมูลส่วนตัว


ผมคิดว่าท่านเองก็มีความรู้เรื่องนี้อยู่มากถ้าจะให้แนะนำคงมิกล้า
แต่มีสถานที่อยู่แห่งหนึ่งสอนเรื่องสมาธิโดยตรงและน่าจะเข้าทางและตอบข้อสงสัยคุณได้เข้าไปเลยครับ
มีหลังสูตรครูสมาธิสอนด้วยครับ

http://www.samathi.com

.....................................................
ธรรมะคือธรรมชาติ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ธ.ค. 2008, 19:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ส.ค. 2008, 21:29
โพสต์: 45


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: ขออนุญาติตอบคร๊าบบบ

คำถาม : พอเราดับลม แล้วเหลือแต่ สติ ที่นี้กลายเป็นว่างเปร่า ไม่รู้จะไปไงต่อ
ให้ระดับมันสูงกว่านี้ ?

คำตอบ : จนใจกัฟ google หาคำตอบนี้มะเจอ

คำถาม : อยากเห็น เทวดากะนางฟ้า(ประเด็นนี้เหมือนคล้ายเรา...เราอยากเจอ..8เซียน)

คำตอบ : อันนี้ดูแล้ว google ตอบแบบเราเองก็งง // มะเห็นเกี่ยวกับวิธีที่จะได้เจอเทพเลย
อันนี้ผมก็ขอผ่านน่ะกัฟ

ความเห็นส่วนตัว อะคับดูอันนี้กว่าคิดว่าน่าจาเปงคำตอบกัฟ
http://www.thewayofdhamma.org/page3_2/patum37.html
:b9: แต่มันยากส์นิดนุงอะคับ // ตอนนี้ผมก็อ่านแล้ว..งง...แล้วอ่านอยู่อะกัฟ

หวังว่าคงพอช่วยได้ไม่มากก็น้อยน่ะคร๊าบบบบบ

เจริญในธรรมกัฟ

.....................................................
ว่างเปล่า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ธ.ค. 2008, 20:26 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ย. 2008, 17:29
โพสต์: 191

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอฝากคำสอนของหลวงปู่ดูสย์ไว้พิจารณานะคะ

--------------------------------------------------------------------------------
จริง แต่ไม่จริง

ผู้ปฏิบัติกัมมัฏฐาน ทำสมาธิภาวนา เมื่อปรากฏผลออกมาในแบบต่างๆ ย่อมเกิดความสงสัยขึ้นเป็นธรรมดา เช่น เห็นนิมิตในรูปแบบที่ไม่ตรงกันบ้าง ปรากฏในอวัยวะร่างกายของตนเองบ้าง ส่วนมากมากราบเรียนหลวงปู่เพื่อให้ช่วยแก้ไข หรือแนะอุบายปฏิบัติต่อไปอีก มีจำนวนมากที่ถามว่า ภาวนาแล้วก็เห็นนรก สวรรค์ วิมานเทวดา หรือไม่ก็เป็นองค์พุทธรูปปรากฏอยู่ในตัวเรา สิ่งที่เห็นเหล่านี้เป็นจริงหรือ

หลวงปู่บอกว่า

“ที่เห็นนั้น เขาเห็นจริง แต่สิ่งที่ถูกเห็น ไม่จริง”

.............................................................................................


แนะวิธีละนิมิต

ถามหลวงปู่ต่อมาอีกว่า นิมิตทั้งหลายแหล่ หลวงปู่บอกว่ายังเป็นของภายนอกทั้งหมด จะเอามาทำอะไรยังไม่ได้ ถ้าติดอยู่ในนิมิตนั้นก็ยังอยู่แค่นั้น ไม่ก้าวต่อไปอีก จะเป็นด้วยเหตุที่กระผมอยู่ในนิมิตนี้มานานหรืออย่างไร จึงหลีกไม่พ้น นั่งภาวนาทีไร พอจิตจะรวมสงบก็เข้าถึงภาวะนั้นทันที หลวงปู่โปรดได้แนะวิธีละนิมิตด้วยว่า ทำอย่างไรจึงจะได้ผล

หลวงปู่พูดว่า

“เออ นิมิตบางอย่างมันก็สนุกดี น่าเพลิดเพลินอยู่หรอก แต่ถ้าติดอยู่แค่นั้นมันก็เสียเวลาเปล่า วิธีละได้ง่ายๆ ก็คือ อย่าไปดูสิ่งที่ถูกเห็นเหล่านั้น ให้ดูผู้เห็น แล้วสิ่งที่ไม่อยากเห็นนั้นก็จะหายไปเอง”

ขอให้เจริญในธรรมคะ


แก้ไขล่าสุดโดย ทางเดินที่พ้นทุกข์ เมื่อ 12 เม.ย. 2009, 22:02, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ม.ค. 2009, 16:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ม.ค. 2009, 18:57
โพสต์: 159


 ข้อมูลส่วนตัว


ภิกษุ ท.! สมัยใด ภิกษุเป็นผู้ ตามเห็นกายในกาย (หรือ ตามเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลาย หรือ ตามเห็นจิตในจิต หรือ ตามเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย) อยู่เป็นประจำ มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้,
สมัยนั้น สติของภิกษุผู้เข้าไปตั้งไว้แล้ว ก็เป็นธรรมชาติไม่ลืมหลง ภิกษุ ท.! สมัยใด สติของภิกษุผู้เข้าไปตั้งไว้แล้ว เป็นธรรมชาติไม่ลืมหลงสมัยนั้น สติสัมโพชฌงค์ ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นปรารภแล้ว, สมัยนั้นภิกษุชื่อว่าย่อมเจริญสติสัมโพชฌงค์, สมัยนั้นสติสัมโพชฌงค์ของภิกษุ ชื่อว่าถึงความเต็มระบบแห่งการเจริญ.
ภิกษุนั้น เมื่อเป็นผู้มีสติเช่นนั้นอยู่ ย่อมทำ การเลือก ย่อมทำ การเฟ้น ย่อมทำ การใคร่ครวญ ซึ่งธรรมนั้นด้วยปัญญ า. ภิกษุ ท.! สมัยใดภิกษุเป็นผู้มีสติเช่นนั้นอยู่ ทำการเลือกเฟ้น ใคร่ครวญธรรมนั้นอยู่ด้วยปัญญา,สมัยนั้น ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นปรารภแล้ว, สมัยนั้นภิกษุชื่อว่าย่อมเจริญธัมมวิจยสัมโพชฌงค์, สมัยนั้นธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ของภิกษุชื่อว่าถึงความเต็มรอบแห่งการเจริญ.
ภิกษุนั้น เมื่อเลือกเฟ้น ใคร่ครวญ อยู่ซึ่งธรรมนั้น ด้วยปัญญาความเพียรอันไม่ย่อหย่อนชื่อว่าเป็นธรรมอันภิกษุนั้นปรารภแล้ว. ภิกษุ ท.!สมัยใด ความเพียรไม่ย่อหย่อนอันภิกษุผู้เลือกเฟ้นใคร่ครวญในธรรมนั้นด้วยปัญญาปรารภแล้ว. สมัยนั้น วิริยสัมโพชฌงค์ ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นปรารภแล้ว. สมัยนั้นภิกษุชื่อว่าย่อมเจริญวิริยสัมโพชฌงค์. สมัยนั้นวิริยสัมโพชฌงค์ของภิกษุ
ชื่อว่าถึงความเต็มรอบแห่งการเจริญ.
ภิกษุนั้น เมื่อมีความเพียรอันปรารภแล้ว ปีติอันเป็นนิรามิสก็เกิดขึ้น. ภิกษุ ท.! สมัยใด ปีติอันเป็นนิรามิส เกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้มีความเพียรอันปรารภแล้ว, สมัยนั้น ปีติสัมโพชฌงค์ ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นปรารภแล้ว.สมัยนั้นภิกษุชื่อว่าย่อมเจริญปีติสัมโพชฌงค์, สมัยนั้นปีติสัมโพชฌงค์ของภิกษุชื่อว่าถึงความเต็มรอบแห่งการเจริญ.
ภิกษุนั้น เมื่อมีใจประกอบด้วยปีติ แม้กายก็รำ งับ แม้จิตก็รำ งับ ภิกษุ ท.! สมัยใด ทั้งกายและทั้งจิตของภิกษุผู้มีใจประกอบด้วยปีติ ย่อมรำงับ. สมัยนั้น ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นปรารภแล้ว, สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่าย่อมเจริญปัสสัทธิสัมโพชฌงค์. สมัยนั้นปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ของภิกษุชื่อว่าถึงความเต็มรอบแห่งการเจริญ.
ภิกษุนั้น เมื่อมีกายอันรำ งับแล้ว มีความสุขอยู่ จิตย่อมตั้งมั่น.ภิกษุ ท.! สมัยใด จิตของภิกษุผู้มีการอันรำงับแล้วมีความสุขอยู่ ย่อมตั้งมั่น. สมัยนั้น สมาธิสัมโพชฌงค์ ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นปรารภแล้ว. สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่าย่อมเจริญสมาธิสัมโพชฌงค์, สมัยนั้นสมาธิสัมโพชฌงค์ของภิกษุ ชื่อว่าถึงความเต็มรอบแห่งการเจริญ.
ภิกษุนั้น ย่อมเป็นผู้เข้าไปเพ่งเฉพาะซึ่งจิตอันตั้งมั่นแล้วอย่างนั้นเป็นอย่างดี. ภิกษุ ท.! สมัยใด ภิกษุเป็นผู้เข้าไปเพ่งเฉพาะซึ่งจิตอันตั้งมั่นแล้วอย่างนั้น เป็นอย่างดี, สมัยนั้น อุเบกขาสัมโพชฌงค์ ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นปรารภ แล้ว. สมัย นั้น ชื่อว่า ย่อม เจริญ อุเบกขา สัม โพชฌงค์. สมัย นั้นอุเบกขาสัมโพชฌงค์ของภิกษุ ชื่อว่าถึงความเต็มรอบแห่งการเจริญ.

ภิกษ ุ ท .! สติปัฏฐาน ทั้งสี่ อัน บุคคล เจริญแล้ว อย่างนี้ ทำให้มากแล้ว อย่างนี้แล ชื่อว่าทำโพชฌงค์ทั้งเจ็ดให้บริบูรณ์ได้.
- อุปริ. ม. ๑๔/๑๙๗/๒๙๐.
:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ม.ค. 2009, 16:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ม.ค. 2009, 18:57
โพสต์: 159


 ข้อมูลส่วนตัว


วิชชา-วิมุตติบริบูรณ์เพราะโพชฌงค์บริบูรณ์

ภิกษุ ท.! โพชฌงค์ทั้งเจ็ด อันบุคคลเจริญแล้ว อย่างไร ทำ ให้มากแล้วอย่างไร จึงทำวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์ได้?

ภิกษุ ท.! ภิกษุในกรณีนี้ ย่อมเจริญ สติสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวกอันอาศัยวิราคะ อันอาศัยนิโรธ อันน้อมไปเพื่อโวสสัคคะ (ความสละลง);

ย่อมเจริญ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก อันอาศัยวิราคะอันอาศัยนิโรธ อันน้อมไปเพื่อโวสสัคคะ ;

ย่อมเจริญ วิริยสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก อันอาศัยวิราคะ อันอาศัยนิโรธ อันน้อมไปเพื่อโวสสัคคะ ;

ย่อมเจริญ ปีติสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก อันอาศัยวิราคะ อันอาศัยนิโรธ อันน้อมไปเพื่อโวสัคคะ ;

ย่อมเจริญ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก อันอาศัยวิราคะ อันอาศัยนิโรธ อันน้อมไปเพื่อโวสัคคะ ;

ย่อมเจริญ สมาธิสัมโพชฌงค์อันอาศัยวิเวก อันอาศัยวิราคะ อันอาศัยนิโรธ อันน้อมไปเพื่อโวสสัคคะ ;

ย่อมเจริญ อุเบกขาสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก อันอาศัยวิราคะ อันอาศัยนิโรธ อันน้อมไปเพื่อโวสสัคคะ ;

ภิกษุ ท.! โพชฌงค์ทั้งเจ็ด อันบุคคลเจริญแล้ว อย่างนี้ ทำให้มากแล้ว อย่างนี้แล ชื่อว่าทำวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์ได้, ดังนี้.
- อุปริ. ม. ๑๔/๒๐๑/๒๙๑.
:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ค. 2009, 09:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 406

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรียนคุณ popopo
ขอออกตัวก่อนนะครับ ไม่ถึงกับเป็นคำแนะนำนะครับแต่เป็นความเห็น ที่ได้ปฏิบัติกับตัวเองตามคำแนะนำของพระอาจารย์คับ ตามแนวทางสติปัฎฐานสี่
อาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นมันเป็นของนอกรายการคับ ถ้าเรามุ่งผลการปฏิบัติคือ ปัญญา ซึ่งจะเกิดได้ต้องอาศัย สติ กับ สมาธิ เป็นสำคัญ ผมขออธิบายอย่างนี้ว่า ถ้ามีแสงเกิดขึ้น ได้ยินเสียง แล้วเราไปสนใจมัน ไม่ได้กำหนดรู้ จะทำให้เราขาดสติช่วงนั้น สติเกิดไม่ต่อเนื่อง เป็นผลให้ไม่สามารถพัฒนาสมาธิให้สูงขึ้นได้ เป็นผลให้ปัญญาไม่เกิด ถ้ามีแสงเกิดขึ้นก็ให้รีบกำหนดรู้ โดยใช้บัญญัติเข้าช่วย ว่าเห็นหนอๆ ๆ เมื่อกำหนดจนจิตรู้แล้วก็ให้กลับมาอยู่ที่ ยุบหนอ พองหนอ หรือที่เวทนาถ้ามี ตอนแรกๆ จิตจะยังไปสนใจแสงที่เกิดขึ้นอยู่เราก็กำหนดตามไป กำหนดจนรู้แล้วก็ให้กลับมาเหมือนเดิม ทำไปซักพักจิดก็จะไม่ไปสนใจมันแล้วละคับ มันก็จะหายไปเอง อาการอื่นๆ เช่น ได้ยินเสียง ได้กลิ่น ก็ทำลักษณะเดียวกันนี้ละครับ แต่ถ้าอาการที่เกิดขึ้นบอกสภาวะไม่ถูกก็ กำหนดรู้หนอ ๆๆ ไปเรื่อยจนจิตรู้สภาวะ แล้วก็กลับมาที่วิหารธรรมเดิมของเรา แต่การกำหนดรู้หนอ นี่มีข้อพึงระวังอยู่อย่างนึงก็คือถ้ากำหนดนานอาจจะไหลกลายเป็นสมถะไปได้ ควรกำหนดเฉพาะตอนแรกๆ พอจิตรู้ ก็กลับมาที่วิหารธรรมเดิมนะครับ
ตัวผมเองเคยนั่งกำหนดแล้วเห็นนิมิต ต่างๆ มากมาย ผมเคยลองตามมันดูสักพัก มันไม่มีที่จบสิ้นครับ ทำให้เสียเวลาเปล่าๆ คับ ส่วนการที่อยากเห็นเทวดา นั้นก็เช่นกัน มันจะทำให้เสียเวลาเปล่าๆ ครับ ผมคิดว่าเป็นการตั้งเป้าหมายที่ไม่ควรนะครับ เพราะว่าถ้าเราปฏิบัติจนสามารถเห็นเทวดาได้แล้ว แต่ปัญญายังไม่เกิด พอมีทุกข์เกิดขึ้นที่ใจเรา เทวดาก็ไม่สามารถมาแก้ทุกข์ในใจเราได้ครับ ผมว่าเทวดาเองก็มีทุกข์ของเทวดาเหมือนกัน

และสำหรับนิมิตนั้นสามารถแบ่งได้ 2 แบบ คือ นิมิตใน กับนิมิตนอก

นิมิตใน หมายถึง สิ่งที่เราเห็นเกิดจากการปรุงแต่งของจิตของเราเองคับ หรือเป็นสัญญาที่เราได้เคยรู้เคยเห็นมาแล้ว ซึ่งมันจะเกิดขึ้นมากมายไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าเราไปสนใจมัน นิมิตนี้ส่วนมากจะเกิดกับการทำสมาธิอยู่ในระดับ ขณิกะ กับอุปจาระสมาธิ ดังมีครูบาอาจารย์บางท่านเคยกล่าวไว้ว่า เห็นนะเห็นจริง แต่สิ่งที่เห็นมักไม่จริง นะครับ
ส่วนนิมิตนอก เป็นนิมิตที่เกิดจาก มีเทวดา นางฟ้า หรือ เปรต มาปรากฏ ให้เห็นจริง ส่วนมากน่าจะเป็นพวกเปรต กับพวกเจ้ากรรมนายเวรของเรา ถ้ามีพวกนี้มาปรากฏ ก็ให้อุทิศส่วนกุศลให้ นิมิตพวกนี้จะเกิดน้อย นิมิตพวกนี้มักจะเกิดกับคนที่ได้สมาธิระดับอุปจาระสมาธิระดับปลาย จนถึงสมาธิระดับอัปปมาสมาธิ ซึ่งเป็นสิ่งที่ได้ยากคับถ้าเราไม่ได้ปฏิบัติธรรมอย่างเดียวทั้งวันทั้งคืน


หวังว่าคงเป็นประโยชน์บ้างนะครับ
ขอความเจริญในธรรมจงมีแด่ท่าน

อายะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ค. 2009, 13:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 พ.ย. 2008, 12:29
โพสต์: 814

ที่อยู่: กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ต่อมา พอเราดับลม แล้วเหลือแต่ สติ ที่นี้กลายเป็นว่างเปร่า ไม่รู้จะไปไงต่อ
ให้ระดับมันสูงกว่านี้ ไครเป็นสอนหน่อยนะจ้าาา


มีเรื่องอ้างอิงจะเล่าให้ฟัง ดังนี้
อ้างคำพูด:
การปฏิบัติสมาธิภาวนาของท่านมีอันต้องสะดุดหยุดอยู่กับที่ คล้ายกับเดินไปถึงจุดๆ หนึ่ง แล้วเดินต่อไปไม่ได้ หลวงพ่อฟื้นความหลังให้ลูกศิษย์ฟังว่า

"...ขณะนั้นคิดว่า ใครหนอจะช่วยเราได้ ก็นึกถึงอาจารย์วัง ท่านอยู่ที่ภูลังกา ก็ไม่เคยพบท่านหรอก แต่ได้คิดว่าพระองค์นี้ท่านคงจะมีดีอย่างใดอย่างหนึ่งแน่ จึงขึ้นไปอยู่บนยอดเขาอย่างนั้น"

คืนหนึ่ง หลังเสร็จจากกิจวัตรส่วนตัว หลวงพ่อได้ขอโอกาสสนทนาและถามปัญหาธรรม ที่ตนขัดข้องต่อท่านอาจารย์วัง หลวงพ่อได้ถ่ายทอดให็ศิษย์ฟังว่า
"ที่ผมขึ้นมากราบท่านอาจารย์ครั้งนี้ เพราะผมจนปัญญาแล้ว คล้ายๆ กับว่าเราเดินไปบนสะพานที่ทอดยาวไปในแม่น้ำ เราเดินไปแล้วก็หยุดอยู่ไม่มีที่จะไปอีก พอหันเดินกลับมา บางทีก็เดินเข้าไปอีก นี่เป็นสมาธินะครับ ไปถึงตรงนั้นแล้วมันก็จบอยู่ ไม่มีที่ไป เลยต้องหันกลับมาอีก กำหนดไปต่อก็ไปไม่ได้ บางทีกำหนดไปเหมือนมีอะไรมาขวางอยู่ แล้วก็ชนกึ๊กอยู่ตรงนั้น เป็นอาการอย่างนี้มานานแล้ว มันคืออะไรครับ"

ท่านอาจารย์วังตอบว่า
".... มันเป็นที่สุดแห่งสัญญาแล้ว เมื่อเป็นอย่างนี้ก็ไม่ต้องไปไหน ให้ยืนอยู่ตรงนั้นแหละ ให้กำหนดอยู่ตรงนั้น มันจะแก้สัญญามันจะเปลี่ยนเอง ไม่ต้องไปบังคับมันเลย ให้เรากำหนดรู้ว่า อันนี้มันเป็นอย่างนี้ เมื่อมีความสุขอย่างนี้แล้ว จิตมีอาการอย่างไร ก็ให้รู้ว่าเป็นอย่างนั้น ให้รู้เข้ามา ถ้ารู้จักแล้ว เดี๋ยวมันก็เปลี่ยน เปลี่ยนสัญญา คล้ายๆ กับว่าสัญญาของเด็กเปลี่ยนเป็นสัญญา ผู้ใหญ่ อย่างเด็กมันชอบของเล่นอย่างนี้ พอโตขึ้นมาเห็นของชิ้นเก่านี้ไม่น่าเล่นเสียแล้ว ก็เลยไปเล่นอย่างอื่น นี่มันเปลี่ยนอย่างนี้"
ท่านอาจารย์วังเสริมต่ออีกว่า
"...มันเป็นได้ทุกอย่างก็แล้วกันเรื่องสมาธินี่ แต่จะเป็นอะไรก็ช่างมันเถอะ อย่าไปสงสัย เมื่อ เรามีความรู้สึกอย่างนี้ เดี๋ยวมันก็ค่อยเปลี่ยนไปเอง ให้กำหนดรู้และเพ่งตรงนี้ แต่อย่าเข้าใจว่า มันหมดนะ เดี๋ยวจะมีอีก แต่ให้วางมัน รู้ไว้ในใจแล้วปล่อยวางเสมอ อย่างนี้ไม่เป็นอันตราย กำหนดอยู่ อย่างนี้ให้มีรากฐาน อย่าไปวิ่งตามมัน พอเราแก้อันนี้ได้ มันก็ไปได้"

หลวงพ่อเรียนถามอีกว่า "ทำไมบางคนไม่มีอะไรขัดข้องในการภาวนาล่ะครับ ?"
"อันนี้เป็นบุพกรรมของเรา ต้องต่อสู้กันในเวลานี้ ตอนจิตมันรวมนี่แหละ สิ่งที่เกิดขึ้นมา ไม่ใช่ของร้ายอย่างเดียวนะ ของดี ของน่ารักก็มี แต่เป็นอันตรายทั้งนั้น อย่าไปหมายมันเลย" ท่าน อาจารย์วังตอบ

http://www.isangate.com/dhamma/life-15.htm

.....................................................
"มีสติเป็นเรือนจิต ใช้ชีวิตเป็นเรือนใจ ใช้ปัญญาเป็นแสงสว่างส่องทางเดินไปเถิด จะได้ล้ำเลิศในชีวิตของท่าน มีความหมายอย่างแท้จริง"
ในการปฏิบัติธรรม หลวงพ่อท่านบอกว่า ให้ตัดปลิโพธกังวลใจทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ลูก สามี ภรรยา ความวุ่นวายทั้งหลายทั้งปวง อย่าเอามาเป็นอารมณ์ จากหนังสือ: เจริญกรรมฐาน7วันได้ผลแน่นอน หัวข้อ12: ระงับเวรด้วยการแผ่เมตตา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ค. 2009, 17:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ค. 2006, 20:52
โพสต์: 1210

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
หลวงพ่อเรียนถามอีกว่า "ทำไมบางคนไม่มีอะไรขัดข้องในการภาวนาล่ะครับ ?"
"อันนี้เป็นบุพกรรมของเรา ต้องต่อสู้กันในเวลานี้ ตอนจิตมันรวมนี่แหละ สิ่งที่เกิดขึ้นมา ไม่ใช่ของร้ายอย่างเดียวนะ ของดี ของน่ารักก็มี แต่เป็นอันตรายทั้งนั้น อย่าไปหมายมันเลย" ท่าน อาจารย์วังตอบ


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
สัพเพ สังขารา อนิจจา
สัพเพ ธรรมา อนัตตา...


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 9 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 13 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร