วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 23:35  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 70 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2008, 07:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แตกมาจากลิงค์นี้

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=19632

ไม่ได้ทะเลาะกัน แต่จะสนทนากันและกันด้วยเหตุด้วยผล เพื่อให้เกิดแง่คิดมุมมองเกี่ยวกับธรรมปฏิบัติที่กว้างขึ้น :b1:

(ข้อความในแต่ละหน้าสูญหาย แจ้งลบไปแล้ว แต่ระหว่างรอ เปลี่ยนชื่อกระทู้ใหม่)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 27 ธ.ค. 2008, 15:44, แก้ไขแล้ว 6 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2008, 07:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณวลัยพรครับ ประเด็นที่เราจะสนทนากันเกี่ยวกับข้อธรรมเหล่านี้ซึ่งมาจากลิงค์ดังกล่าว
อ้างคำพูด:

คุณกรัชกาย
สิ่งที่คุณตรงประเด็นนำมาโพสนั้น อธิบายได้ชัดเจนที่สุดแล้ว
"มันไม่มี สติปัฏฐาน ฐานใดๆ ที่ดีที่สุดสำหรับทุกๆคนหรอก แต่ มีสติปัฏฐาน ในฐานต่างๆ ให้เลือกเหมาะสมที่สุดสำหรับแต่ละคน

ท่านผู้รู้กล่าวว่า ไม่ว่าจะเจริญ สติปัฏฐาน ฐานไหน...ถ้าเจริญถูกต้อง สุดท้ายก็จะแจ้งแทงตลอดในทุกๆฐานในที่สุดเองครับ....
โมทนาด้วยค่ะคุณตรงประเด็น

กรัชกาย เขียน:
กรัชกายว่าดีนะครับ จะได้เป็นหลักนำไปปฏิบัติเสียที ไม่อย่างนั้น ผู้เริ่มต้นเช่นคุณ O.wan เห็นคำว่า
สติ เจริญสติ คำพูดเพียงเท่านี้ ยังนำไปปฏิบัติไม่ได้อย่างที่กรัชกายตั้งคำถามคุณวลัยพร ว่าเจริญสติอย่างไร ขอวิธีปฏิบัติ
เอาครับัใครมีวิธีของตนอย่างไรก็บอกกัน ไม่ว่ากันในประเด็นวิธีของใครของมัน แต่ขอความชัดเจน ให้ผู้คนนำไปปฏิบัติได้ว่า ทำอย่างนี้แหละเจริญสติล่ะ

-- จบได้แล้วค่ะคุณกรัชกาย เลิกเอ่ยอ้างถึงบุคคลที่สามได้แล้ว คุณปฏิบัติอย่างไรเรื่องของคุณ คุณถนัดอธิบายอย่างไร เรื่องของคุณ คุณจะให้ทุกคนเขามาคิดหรือทำเหมือนๆคุณนั้น มันเป็นไปไม่ได้ หวังว่าสิ่งที่คุณตรงประเด็นนำมาโพสนั้น คงจะช่วยชี้ทางให้คุณพอได้มองเห็นบ้างนะ เพราะสิ่งที่คุณตรงประเด็นนำมาอธิบายทั้งสองกระทู้นั้น ชัดเจนที่สุดแล้ว

-- เลิกทำตัวเป็นพระเอกขี่ม้าขาวเสียที (ขออณุญาตยืมคำพูดนะคุณขันธ์) ดูคุณตรงประเด็นเป็นตัวอย่าง ดูว่าสิ่งที่ควรทำคืออะไร ดิฉันกับคุณตรงประเด็นไม่ใช่ไม่เคยกระทบกระทั่งกันเรื่องคำพูด ก็มีบ้าง แต่ไม่เคยมาตอแยหรือเจ๊าะแจ๊ะกันแบบนี้ ไม่ใช่เอะอะก็ใช้วาจาเบียดเบียนบุคคลที่สาม เพื่อทำให้ตัวเองดูดีขึ้น มันไม่ได้ทำให้คุณดูดีขึ้นเลยแม้แต่สักนิดเดียว เลยนะคุณกรัชกาย คุณไปทบทวนดูกระทู้ที่คุณโพสก็แล้วกัน

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=19132&start=150

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=19507

-- ถ้าถามว่า แล้วที่ดิฉันโพสตอบโต้คุณนั้นคืออะไร ดิฉันเพียงแค่เล่นตามบทที่คุณโยนมาให้เท่านั้นเอง พอได้แล้วนะ ถนัดแบบไหนก็ทำไป แล้วคำพูดนี้

คุณวลัยพร กรัชกายขอเล่นด้วยคนนะครับ

ขอทายว่า "ไม่มีอะไรผิด ไม่มีอะไรถูก" แบบวางเฉยๆครับ

-- ทำให้เห็น ทำให้ได้ก่อน จะได้รู้ว่า ที่ดิฉันกล่าวว่า ไม่มีอะไรถูกหรือผิดนั้น มันหมายถึงอะไร ใช่การวางเฉย แบบที่คุณนำมากล่าวหรือไม่

-- ที่พูดมาทั้งหมดนี้ ต้องการเพียงชี้แจงบางจุดที่คิดว่า คุณอาจจะดูตัวเองไม่ออก ว่าสิ่งที่ควรทำอยู่นี้ มันไม่ควรทำ จงอย่าเที่ยวไปเบียดเบียนบุคคลที่สามด้วยคำพูดอีกเลย ทั้งเรื่องการปฏิบัติของท่านอื่นๆด้วย อย่าได้เที่ยวไปเบียดเบียนเขา ใครเขาจะคิด จะแนะนำ จะปฏิบัติ อย่างไรมันก็เรื่องของเขา คุณไม่ได้มีหน้าที่เที่ยวมาชี้ว่า อันนั้นถูก อันนี้ผิด คุณแค่เอากรอบความคิดของคุณมาวัดความถูกผิดตามใจของคุณเท่านั้นเอง

เจริญสติให้มากๆนะคุณกรัชกาย ดิฉันบอกคุณได้เท่านี้แหละ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2008, 08:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พึงมองสิ่งที่เกิดขึ้นๆ อย่างสัมพันธ์กัน เป็นเหตุปัจจัยแก่กัน
จึงเริ่มด้วยประโยคของคุณลิงค์เดิมที่ว่า

อ้างคำพูด:
รู้แค่ไหนก็ย่อมแนะนำได้แค่นั้น มันไม่ใช่เรื่องถูกหรือผิด

Walaiporn 16 ธ.ค. 2008, 18:13


ลิงค์เดิมนี้
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=19132&st=0&sk=t&sd=a&start=105

“มันไม่ใช่เรื่องถูกหรือผิด”

จุดเริ่มอยู่ตรงนี้ มันไม่ใช่เรื่องถูกหรือผิด

คำพูดของคุณประโยคนี้แหละที่กรัชกายคิดขอคุณที่ว่า

อ้างคำพูด:
ขออะไรคุณวไลพรซักอย่างได้ไหมครับ


แต่คุณไม่ตอบ (หากคุณตอบก็จะขอว่า ขอว่าอย่าพูดอย่างนั้น) แต่คุณไม่ตอบ จึงมีประโยคต่อๆ มา เช่น สัมมาปฏิปทา มิจฉาปฏิปทา ฯลฯ
เพราะอะไร ?
เพราะการปฏิบัติมีถูกมีผิด นั่นคือประเด็นสภาวะ มิใช่ประเด็นปลุกเร้ากุศล อย่างข้อที่สองดังกล่าวผ่านมา

เนื่องจากกรัชกายกำลังทำความเข้าใจเกี่ยวกับสภาวะที่โยคีผู้หนึ่งประสบอยู่ด้วยข้อความเหล่านี้

เพื่อที่วันหน้าคุณอวบอั๋นจะมีหลักช่วยตนเองได้ กรัชกายจะถามความเข้าใจคุณอีกที
“สภาวะ” ได้แก่ อะไร ?
เมื่อเข้าใจคำว่า สภาวะ แล้ว
ถามต่อ ข้อความนี้หมายถึงอะไร
-รู้ตามสภาวะ - ขึ้นต่อความจริงที่เป็นไปอยู่ตามธรรมดาของมัน จึงมีลักษณะแน่นอนเป็นอย่างเดียว
เมื่อเข้าใจสาระนี้แล้ว คุณจะแก้อารมณ์กรรมฐานได้ทั้งกระบวนบวน
ตอบก่อนแล้วจะเฉลยให้ภายหลัง

อวิชชาและตัณหานั้นมาด้วยกันเสมอ แต่บางครั้งอวิชชาแสดงบทบาทเด่น ตัณหาเป็นตัวแฝง
บางครั้งตัณหาแสดงบทบาทเด่น อวิชชาเป็นตัวแฝง * เมื่อเข้าใจความจริงอย่างนี้แล้ว
พึงทราบลักษณะความคิดตามอวิชชา-ตัณหา ดังนี้

๑. เมื่ออวิชชาเป็นตัวเด่น ความคิดมีลักษณะติดตันวกวนอยู่ที่แง่หนึ่งตอนหนึ่งอย่างพร่ามัว ขาดความสัมพันธ์ ไม่รู้ทางไป หรือไม่ก็ฟุ้งซ่านสับสน ไม่เป็นระเบียบ ปรุงแต่งอย่างไร้เหตุผล เช่นภาพในความคิดของคนหวาดกลัว

๒.เมื่อตัณหาเป็นตัวเด่น ความคิดมีลักษณะโน้มเอียงไปตามความยินดียินร้าย ความชอบใจไม่ชอบใจ หรือความติดใจขัดใจ ติดพันครุ่นอยู่กับสิ่งที่ชอบหรือชังนั้น และปรุงแต่งความคิดไปตามความชอบความชัง

-เมื่อพูดลึกลงไปอีกในด้านสภาวะ อวิชชาเป็นฐานก่อตัวของตัณหา และตัณหาเป็นตัวเสริมกำลังให้แก่อวิชชา ดังนั้น ถ้าจะกำจัดความชั่วร้ายให้สิ้นเชิง ก็จะต้องกำจัดให้ถึงอวิชชา


เจตนากรัชกายจะแนะนำโยคีให้เกิดความเข้าใจด้วยตนเองบ้าง เราแนะนำบ้างไปพร้อมๆกัน

แต่คุณสอดแทรกด้วยคำพูด "มันไม่ใช่เรื่องถูกหรือผิด" เมื่อคติธรรมของคุณยืนพื้นอย่างนี้ กรัชกายจึงไปที่กระทู้ที่คุณเล่นทายปีติอะไรเอ่ย ? ร่วมทายด้วย แล้วกรัชกายทายถูกไหม ที่ว่าไม่มีอะไรผิดอะไรถูก :b1:

ขอบอกคุณวลัยพร ว่าการปฏิบัติกรรมฐานที่ใช้ภาวนาจะใช้อะไรก็ตาม สภาวธรรมที่ปรากฏนั้น ไม่ใช่แค่ผิวเผินเหมือนโพสต์สนทนาจริยธรรมทั่วๆไปแบบโยนิโสมนสิการข้อที่ ๒ :b42: :b41:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2008, 09:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณวลัยพร
กรัชกายรวบรวมสภาวธรรมซึ่งปรากฏจากภาวนามีมากมาย แต่เลือกๆมาลงไว้นิดหน่อยที่

http://www.free-webboard.com/view.php?u ... =28&topic=รวมสภาวะของผู้เริ่มภาวนา

ส่วนคำภาวนาที่ใช้ๆกันมีหลากหลาย เท่าที่กรัชกายแลเห็น

http://www.free-webboard.com/view.php?u ... =27&topic=คำบริกรรมภาวนา

ทั้งหลายทั้งปวงหวังว่าคุณวลัยพร คงไม่พูดว่า มันไม่มีอะไรถูกอะไรผิด อีกนะครับ
อย่างที่บอก ว่าการปฏิบัติมีทั้งสัมมาปฏิปทา กับ มิจฉาปฏิปทา และจะหลงผิดทางกันมากก็ตรงจุดนี้แหละ :b7:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2008, 09:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.พ. 2008, 09:18
โพสต์: 635

อายุ: 0
ที่อยู่: กองทุกข์

 ข้อมูลส่วนตัว www


s001 ผมเกรงว่านี่มันจะไม่ใช่การสนทนาธรรมกันเฉยๆแล้วสิ

.....................................................
"ผู้ที่ฝึกจิต ย่อมนำความสุขมาให้"
คิดเท่าไหรก็ไม่รู้ หยุดคิดจึงจะรู้

http://www.luangta.com
รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2008, 09:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ประโยคเปิดประเด็นครับ นักธรรมจะต้องยอมรับความจริงทุกด้าน โดยไร้อัตตาตัวตน นี่คือการปฏิบัติธรรม นี่
เป็นจุดประสงค์ของภาวนา เพราะคุณวลัยพรท่านก็แนะนำให้กรัชกายเจริญสติให้มากๆอยู่แล้ว อย่ากังวลเลยครับ
อ้างคำพูด:
(เจริญสติให้มากๆนะคุณกรัชกาย ดิฉันบอกคุณได้เท่านี้แหละ)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2008, 10:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ที่พูดมาทั้งหมดนี้ ต้องการเพียงชี้แจงบางจุดที่คิดว่า คุณอาจจะดูตัวเองไม่ออก ว่าสิ่งที่ควรทำอยู่นี้ มันไม่ควรทำ จงอย่าเที่ยวไปเบียดเบียนบุคคลที่สามด้วยคำพูดอีกเลย ทั้งเรื่องการปฏิบัติของท่านอื่นๆด้วย อย่าได้เที่ยวไปเบียดเบียนเขา ใครเขาจะคิด จะแนะนำ จะปฏิบัติ อย่างไรมันก็เรื่องของเขา คุณไม่ได้มีหน้าที่เที่ยวมาชี้ว่า อันนั้นถูก อันนี้ผิด คุณแค่เอากรอบความคิดของคุณมาวัดความถูกผิดตามใจของคุณเท่านั้นเอง


แนวคิดคุณวลัยพรเหมาะสำหรับพูดปลอบใจกันและกันยามเศร้า ยามอกหักรักสลายธรรมดาทั่วๆไป
พูดปลอบให้ชื่นอกชื่นใจชั่วครู่ชั่วยาม พอวันเวลาผ่านไปก็ค่อยยังชั่วขึ้นเองเพราะเค้าปรับตัวปรับใจทำใจได้ แต่เมื่อกระทบกับอิฏฐารมณ์อนิฏฐารมณ์อีกก็ปะทุขึ้นอีก แล้วก็ปลอบกันอีก แบบนี้ใช้แนวคิดคุณวลัยพร
คุยกับคุณวลัยพรได้ แต่จะใช้กับผู้ภาวนาไม่ได้เลย ประเด็นอยู่ตรงนี้ ต้องแยกออกเป็นสองประเด็น
ประเด็นแรกกรัชกายบอกแล้วว่าไม่แสดง คห. มากนักเพราะรู้อยู่ว่าเดี๋ยวก็ปรับตัวได้เอง

ส่ว่นประเด็นกรรมฐานที่ใช้คำบริกรรมคุณวลัยพรไม่มีความเข้าใจเลยเท่าที่พูดมาทั้งหมดตั้งแต่ต้น
แต่เป็นเรื่องส่วนตัวของคุณกรัชกายไม่เกี่ยวไม่สนใจ แต่จะให้ความสนใจและเห็นใจโยคีผู้ประสบปัญหา
เช่นตัวอย่างที่เคยยกมาหลายๆครั้ง

หากคุณวลัยพรจะห้ามกรัชกายกรณีเช่นนี้ อย่าห้ามเลยครับ :b12: กรัชกายไม่เชื่อคุณหรอก
คุณก็เคยห้ามทีหนึ่งก่อนหน้านี้ที่

http://whatami.board.ob.tc/

นอกเสียจากกรัชกายจะเลิกสนใจเอง เพราะเห็นว่าไม่ร้ายแรงเกินไป หรือเห็นว่ามีผู้ให้คำแนะที่พอแก้ปัญหานั้นได้แล้ว เข้าใจนะครับ :b38: เข้าใจแล้วผ่าน :b42:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2008, 11:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
-- เลิกทำตัวเป็นพระเอกขี่ม้าขาวเสียที (ขออณุญาตยืมคำพูดนะคุณขันธ์) ดูคุณตรงประเด็นเป็นตัวอย่าง ดูว่าสิ่งที่ควรทำคืออะไร ดิฉันกับคุณตรงประเด็นไม่ใช่ไม่เคยกระทบกระทั่งกันเรื่องคำพูด ก็มีบ้าง แต่ไม่เคยมาตอแยหรือเจ๊าะแจ๊ะกันแบบนี้ ไม่ใช่เอะอะก็ใช้วาจาเบียดเบียนบุคคลที่สาม เพื่อทำให้ตัวเองดูดีขึ้น มันไม่ได้ทำให้คุณดูดีขึ้นเลยแม้แต่สักนิดเดียว เลยนะคุณกรัชกาย คุณไปทบทวนดูกระทู้ที่คุณโพสก็แล้วกัน


ทำตัวเป็นพระเอกขี่ม้าขาว ทำให้ตนเองดูดี คิดได้ยังไงครับคุณวลัยพร
ถามหน่อยสมาชิกทั้งหมดแปดพันกว่าคน ใครเคยเห็นเคยรู้จักใครเป็นการส่วนตัวบ้าง ไม่มีเลย
แล้วจะสร้างภาพตนให้ดูดีไปเพื่ออะไร ไร้เหตุผล นั่งอยู่หน้าคอมฯ คนเดียว คนคิดอย่างนี้ได้จิตวิปลาส (ขออนุญาตยืมคำพูดคุณขันธ์ที่เรียกคุณบ้างว่า “หญิงประมาท” :b1: )

ที่กระทู้ "ขอคำอธิบาย เจริญสติ" เพราะคนตั้งเค้าเห็นเราสองคนถามไถ่เรื่องการเจริญสติกันอยู่
แล้วยังไม่ได้คำตอบสักที จึงมาตั้งกระทู้ขึ้น กรัชกายก็ไปดู แล้วเห็นสมาชิกสนใจดูกันอยู่
ก็เลยชักชวนกันแสดงความเห็นแนวคิดของแต่ละคนไว้สิ เพื่อจะได้เป็นแนวทางในการปฏิบัติต่อไป ก็เท่านี้ แต่คุณคิดเตลิดไปไกล
ส่วนเรื่องคุณประเด็นก็คุณประเด็น ไม่ใช่กรัชกาย คนละบุคลิกกัน หากรักกรัชกายก็ไม่ต้องบังคับว่าจะต้องทำตัวดัดนิสัยให้เหมือนคุณประเด็น รักที่ความเป็นกรัชกายสิครับ :b1: :b9:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2008, 12:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
คุณกรัชกาย
สิ่งที่คุณตรงประเด็นนำมาโพสนั้น อธิบายได้ชัดเจนที่สุดแล้ว
"มันไม่มี สติปัฏฐาน ฐานใดๆ ที่ดีที่สุดสำหรับทุกๆคนหรอก แต่ มีสติปัฏฐาน ในฐานต่างๆ ให้เลือกเหมาะสมที่สุดสำหรับแต่ละคน

ท่านผู้รู้กล่าวว่า ไม่ว่าจะเจริญ สติปัฏฐาน ฐานไหน...ถ้าเจริญถูกต้อง สุดท้ายก็จะแจ้งแทงตลอดในทุกๆฐานในที่สุดเองครับ....

โมทนาด้วยค่ะคุณตรงประเด็น


ครับผม :b1: :b8:

ชัดเจนไงครับ ชัดเจนเพราะถูกใจถูกจริตคุณหรือ
แล้ววิธีเจริญสติที่คุณแนะนำเขาไว้นี่ ยังชัดเจนไม่พอ หรือ =>

อ้างคำพูด:
อาการที่น้องอวบอธิบายมานั้น พี่เคยเป็นนะตอนฝึกเพ่งกสิณใหม่ๆ อายุ 10 ขวบ หรือ 11 ขวบ ประมาณนี้แหละ แต่ก็ไม่ได้สนใจมัน ตอนนั้นครูบาฯก็ไม่มีใครแนะนำ ทำตามในหนังสือที่หลวงพ่อสมชาย วัดเขาสุกริม จันทบุรี ท่านโยนให้ ท่านบอกว่า ไอ้หนู อ่ะเอาไปฝึกเอาเอง คนอื่นๆท่านก็ไม่ได้ให้ มีคนขอเหมือนกัน ท่านก็บอกว่า ใครอยากได้ก็หยิบเอาเอง ถ้าถามว่ายังจำความรู้สึกตอนนั้นได้ไหม จำได้นะ กลัว กลัวมากๆ ขนหัวตั้งไปหมด กลัวแต่ก็ทำ เพราะอยากรู้ ทำ 3 ครั้งเองมั๊ง พ่อมาเจอเข้าเลยเลิกทำ พ่อบอกว่า เดี๋ยวก็เป็นบ้าไปหรอก ต้องมีครูบาฯไม่ใช่มาทำเอง อันนี้เล่าสู่กันฟังนะ อาจจะเจอเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกันน่ะ

-- วิธีแก้ อันนี้ก็แล้วแต่น้องอวบนะ พี่เพียงแค่บอกให้ฟัง

การฝึกเจริญสติ มี 2 แบบ

1. รู้ตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะทำอะไรหรืออริยาบทไหนก็แล้วแต่ ให้รู้ลงไป ให้รู้นะ ไม่ใช่ให้ดู การดูตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้นคือวิปัสสนา ถ้าดูก็จะเห็นถึงความไม่เที่ยง ถ้ารู้ก็มีจะสติเกิดขึ้น จะมากหรือน้อยก็อยู่ที่ความต่อเนื่อง สะสมไปเหมือนสะสมหน่วยกิต วันนี้อาจจะไม่ทัน จิตมันไว วันหน้าก็อาจจะทัน ทุกอย่างต้องใช้เวลาใช้ความเพียรอย่างต่อเนื่อง

2.ใช้อารมณ์บัญญัติเข้าช่วย เช่นใช้ " หนอ " จะทำอะไรก็ให้มีคำว่า " หนอ " ต่อท้าย เพื่อรั้งจิตให้ช้าลง สติ จะได้เกิดเร็วขึ้น วันใดสติ สัมปชัญญะเข้มแข็งขึ้น คำว่า " หนอ " จะหายไปเอง
ถ้าถามว่าวิธีแบบไหนดีที่สุดหรือถูกที่สุด ดีที่สุดไม่มี ถูกที่สุดไม่มี มีแต่ความถูกใจ ทำแบบไหนแล้วถูกใจ ทำแล้วถนัด ทำแล้วสติ สัมปชัญญะเกิดชัดเจนขึ้น วิธีนั้นย่อมเหมาะแก่จริตของผู้นั้น

-- เท่าที่อ่านที่น้องอวบโพสมานั้น น้องอวบได้ทำแบบแรกแล้ว ยังไม่ได้ผล แต่.... มันก็น่าแปลกนะ ครูบาฯหลายๆท่านที่ได้ปฏิบัติมา ท่านก็ใช้วิธีรู้ลงไปเฉยๆ รู้ลงไปแบบซื่อๆ ไม่มีการปรุงแต่งว่ารู้อะไร เท่าที่อ่านมาหรือได้ฟังมา ท่านก็แก้อารมณ์ด้วยวิธีนี้ หรืออาจจะไม่ใช่แนวที่ถนัดของน้องอวบก็ได้

-- แบบที่ ใช้คำว่า " หนอ " ช่วย หนอ จะเป็นตัวรั้งจิตให้ช้าลง เพื่อสติจะได้เกิดได้เร็วขึ้น กำหนด รู้หนอๆๆๆๆ หายใจยาวๆค่ะ เมื่อสติมันเกิด อาการเหล่านั้น มันจะค่อยๆหายไปเอง แล้วอย่าลืมฝึกเจริญสติในอริยาบทย่อยด้วยค่ะ คือ เช่น เมื่อเวลาจะเดิน ก็ขวาย่างหนอ ซ้าย ย่าง หนอ หยิบหนอ นอนหนอ ฯลฯ ส่วนขณะที่ทำสมาธิแล้วมีอาการต่างๆเกิดขึ้น ดิฉันใช้ กำหนดรู้หนอๆๆๆ ลงไปอย่างเดียวค่ะ คือสักแต่ว่ารู้ รู้ว่ามันเกิดก็เท่านั้นเอง ไม่เคยมาสนใจว่า มันคืออะไร แล้วก็ไม่เคยไปถามใครด้วยว่า เรียกว่าอะไร ทำไมมันถึงเกิด รู้แต่ว่า พอสติมันเกิด อาการเหล่านั้นมันก็หายไปเอง เดี๋ยวมันก็มีอาการอย่างอื่นเกิดขึ้นแทน พอทำอย่างต่อเนื่องคือฝึกเจริญสติ อย่างต่อเนื่อง ต่อไปคำว่า หนอ มันก็จะหายไปเอง


http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=19132&p=89853#p89853

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2008, 12:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ถ้าเจริญถูกต้อง


ถ้าเจริญถูกต้อง (= สัมมาปฏิปทา) ก็แสดงว่า มีเจริญไม่ถูกต้อง (=มิจฉาปฏิปทา) ดังนั้นคำพูดของคุณ
ที่ว่า ไม่มีอะไรถูกไม่มีอะไรผิด คุณจะว่าอย่างไร ไปยกมือสนับสนุนเค้าน่ะ

การฝึกสติหรือการเจริญสติที่เราและท่านทั้งหลายกำลังแสวงหาอยู่นี่ อยู่เพียงจัดกระบวนทัพว่าใครทำหน้าที่อะไร เช่น พลทหาร ก. เป็นพลเดินเท้า นายสิบ ข.เป็นพลม้า ฯลฯ เท่านั้นเอง ยังไม่ได้เข้าสู่สนามรบ เพื่อสู้รบกับข้าศึกคือกิเลสเลย :b42: :b41: กองทัพเกือบแตกแล้ว :b12:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2008, 17:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ค. 2006, 20:52
โพสต์: 1210

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านกรัชกายคะ
อย่าเพิ่งแขวนคีย์บอร์ด ลาวงการเลยค่ะ บัวใต้น้ำอีกหลายเหล่า หลายกอ ที่ถูกจริตกับคำแนะนำ ท้วงติงตามแนวของกรัชกายมีมากมาย แต่ถ้าติดภาระกิจต้องไปสอบอารมณ์เลื่อนขั้นเลื่อนชั้นก็กรุณาลาพักร้อนเถอะนะคะ(แต่อย่าลายาวจนถึงฝน ถึงหนาวไปโน้นเลยค่ะ) เมตตาธรรมค่ะ เมตตา เพราะกรัชกายก็คงทราบแล้วว่าผู้กระหายในธรรมยังมีมาก เมื่อกระหายมาใครให้ดื่มอะไรก็จะรีบร้อนรับมาดื่มไปเสพย์กว่าจะรู้ตัวได้สติก็มีอาการ อาหารเป็นพิษปางตายนะคะ ถ้าถึงมือแพทย์ช้าไป :b2:

ขอโทษที่ คห. ไม่เกี่ยวข้องกับกระทู้นี้ค่ะ
:b8: :b8: :b8:
:b16: :b16: :b16:

.....................................................
สัพเพ สังขารา อนิจจา
สัพเพ ธรรมา อนัตตา...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2008, 19:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5975

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ว่างเปล่า

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 24 ธ.ค. 2008, 21:27, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2008, 19:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


viewtopic.php?f=1&t=19132&st=0&sk=t&sd=a&start=135


ลิงค์ดังกล่าวยังมีบางประเด็นยังไม่ได้ตอบคุณวลัยพร จะตอบที่นั่นเห็นว่ายาวหลายหน้าแล้ว จึงนำมา
ที่นี่ เห็นว่าบางประเด็นเป็นประโยชน์ต่อผู้ศึกษา มีอะไรบ้าง คลี่ให้ดูทั้งหมดก่อน ดังนี้


กรัชกาย เขียน:

ปัญหาของคุณอวบอั๋น ค่ำๆ ฟังคำตอบจากคุณวลัยพรนะครับ ท่านจะบอกวิธีเจริญสติ เพื่อแก้ปัญหานั้นให้แก่คุณ ได้คำตอบอย่างไรก็พึงปฏิบัติตามนั้น กรัชกายลอยตัวอยู่เหนือปัญหาแล้ว
เขียนชื่อคุณวลัยพรผิดมาตลอดแก้ให้แล้วครับ

คุณกรัชกายนี่ตลกนะ

--ตกลงอาการที่ยกลิงค์มาให้อ่านทั้งหมดเป็นของคุณอวบอั๋นหรือ คุณถึงบอกว่า ดิฉันจะบอกวิธีเจริญสติ เพื่อแก้ปัญหาให้คุณอวบอั๋น อ่านแล้วก็ขำๆว่าคุณคิดได้ยังไง เท่าที่จำได้ ตั้งแต่ดิฉันเข้ามาสนทนาในเว็บบอร์ดนี้ ดิฉันไม่เคยโพสคำพูดเลยสักครั้งเดียวว่า จงเชื่อฉันนะ จงทำตามฉันนะ ทำตามฉันแล้วรับรองได้ผล แก้ไขปัญหาได้แน่นอน พูดเองเออเองคนเดียวก็เป็นนะคุณ

-- คำว่า " กรัชกายลอยตัวอยู่เหนือปัญหา" ตกลงหมายถึงอะไรหรือคะ

……

กรัชกาย เขียน:
walaiporn เขียน:
กรัชกาย เขียน:
พูดถึงคำว่า “หนอ” บ้าง บางบอร์ดรังเกียจ บางแห่งคิดว่า คำบริกรรมเป็นสมถะไปโน่นเลย
สำหรับผู้ไม่เอาคำว่า “หนอ” ตัดออกไม่เอาก็ได้ กำหนดสภาวะล้วนๆ เมื่อเพิมคำว่า หนอแล้วมันยาวไป ก็เอาแต่ “เห็นๆๆ” “ได้ยิน” “ เหม็นๆๆ” “ กลัวๆๆ” “ตกใจๆๆ” “ขนลุกๆๆ”
สรูปก็ คือ ขณะนั้นตนรู้สึกอย่างไรก็กำหนดตามนั้น
แต่เมื่อกำหนดแค่นั้นมันสั้นไป จะนำคำอื่นซึ่งไม่มีโทษเสริมก็ได้ ตัวอย่างลมหายใจ พอง-ยุบเป็นต้น ยาวว่า “พอง” ว่า “ยุบ” คำเดียวสั้นไป เพราะยังไม่สุดพอง ยังไม่สุดยุบ ก็หาบริกรรมต่อท้ายได้เอง
ก็เท่านี้เอง ไม่พึงคิดเลยเถิดไป

-- แล้วแบบที่คุณนำมาอธิบายนี้ เรียกว่าอะไรหรือคะ


หากคุณวลัยพรยังติดใจตรงไหนอีกไปนำข้อความนั้นมาเพิ่มได้ครับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 18 ธ.ค. 2008, 19:18, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2008, 19:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณวลัยพร เข้ามาแล้วก็มาคุยกันต่อสิครับ สนทนาเรื่องการเจริญสติก็ได้ กรัชกายคุยคนเดียวคุยไม่ออกครับ
ไม่รู้จะพูดอะไร คำถามของคุณนำมาตอบที่นี่นะครับ
เอาประเด็นนี้ก่อน

อ้างคำพูด:
- คำว่า " กรัชกายลอยตัวอยู่เหนือปัญหา" ตกลงหมายถึงอะไรหรือคะ


ตอบสั้นๆ เมื่อคุณตอบการเจริญสติสำเร็จ กรัชกายก็ไม่ต้องตอบคุณอวบอั๋น ถือว่าคุณตอบแทนแล้ว กรัชกายจึงลอยตัวอยู่เหนือปัญหา เพราะไม่ต้องตอบ ความหมายแค่นี้เองไม่มีอะไร :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2008, 20:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
พูดถึงคำว่า “หนอ” บ้าง บางบอร์ดรังเกียจ บางแห่งคิดว่า คำบริกรรมเป็นสมถะไปโน่นเลย
สำหรับผู้ไม่เอาคำว่า “หนอ” ตัดออกไม่เอาก็ได้ กำหนดสภาวะล้วนๆ เมื่อเพิ่มคำว่า หนอแล้วมันยาวไป ก็เอาแต่ “เห็นๆๆ” “ได้ยิน” “ เหม็นๆๆ” “ กลัวๆๆ” “ตกใจๆๆ” “ขนลุกๆๆ”
สรูปก็ คือ ขณะนั้นตนรู้สึกอย่างไรก็กำหนดตามนั้น
แต่เมื่อกำหนดแค่นั้นมันสั้นไป จะนำคำอื่นซึ่งไม่มีโทษเสริมก็ได้ ตัวอย่างลมหายใจ พอง-ยุบเป็นต้น ยาวว่า “พอง” ว่า “ยุบ” คำเดียวสั้นไป เพราะยังไม่สุดพอง ยังไม่สุดยุบ ก็หาบริกรรมต่อท้ายได้เอง ก็เท่านี้เอง ไม่พึงคิดเลยเถิดไป

-- แล้วแบบที่คุณนำมาอธิบายนี้ เรียกว่าอะไรหรือคะ



เรียกว่าเจริญสติสัมปชัญญะ เป็นต้นตรับ ที่ว่าเป็นต้น เพราะยังมีองค์ธรรมที่ท่านไม่กล่าวถึงอีกคือสมาธิ
ซึ่งเจริญขึ้นๆไปด้วยกันกับการฝึกสติสัมปชัญญะนี้ และมิใช่มีแค่สติสัมปชัญญะและสมาธิเท่านั้น ยังมีอีก
หากจะแยกเรียก เช่น สัญญา เจตนา ศรัทธา วิริยะ เป็นต้น ที่เป็นสัมปยุตธรรม (ประกอบร่วมกันได้) เรื่องนี้ถกเถียงกันมาก ดูหลักก่อน

สติ- การนึกไว้, การคุมจิตไว้กับอารมณ์, การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ
-
สัมปชัญญะ - การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้, การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น


หากนักศึกษาจับสาระหลักการเจริญสติ สัมปชัญญะสั้นๆนี้ได้ แทบจะไม่ต้องอธิบายอะไรมากเลย เพราะเห็นชัดอยู่แล้ว เช่นโยดึคุมจิตไว้กับอารมณ์ หรือคุมจิตไว้กับสิ่งที่กำลังทำ สติทำงานแล้ว

ส่วนสัมปชัญญะก็ทำงานร่วมกับสติ เช่นรู้ชัดสิ่งที่กำลังทำแต่ละขณะๆนั้น

ทีนี้จะอธิบายวิธีปฏิบัติกว้างออกไปเท่าไรก็ย่อมได้ ทั้งในอิริยาบถใหญ่ อิริยาบถย่อย
หากโยคีคุมจิตให้อยู่กับสิ่งที่ทำ และแล้วก็รู้ชัดว่าอะไรกำลังทำอะไร อยู่กับงานนั้น ทั้งสติสัมปชัญญะ สมาธิเป็นต้น เกิดขึ้นเจริญขึ้นแก่โยคีบุคคลตามสมควรการปฏิบัติของเขา

จะยกตัวอย่างการเจริญสติเป็นต้นให้ดูเป็นตัวอย่าง ยกมือข้างซ้ายขึ้นรู้ๆว่าเป็นมือซ้าย ลดมือซ้ายลงรู้ว่ามือ
นั้นกำลังลง วางมือลงก็รู้ว่ากำลังวางมือข้างนั้นลง เท่านี้องค์ธรรมดังกล่าวเกิดแล้ว
กำลังเดินก็ทำนองเดียวกัน

กินอาหารบ้าง กำลังตักอาหารก็รู้ว่ากำลังตัก ยกขึ้นก็รู้ว่ากำลังยกขึ้น ใส่ปากก็รู้ใส่ปาก กำลังเคี้ยวรู้ตัวกำลังเคี้ยว กลืนก็รู้ว่ากำลังกลืน เท่านี้เป็นตัวอย่าง

สรุปก็คืออารมณ์ที่ผ่านเข้ามาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ใช้เป็นฐานเจริญสติ
เป็นต้นได้ทุกอย่าง

.......

ดูอธิบายสติปัฏฐานตามหลักวิชาการที่

http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=13497

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 70 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 61 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร