วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 15:29  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง





กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2008, 16:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

อยู่ด้วยความพอใจไม่มีทุกข์

พระพรหมังคลาจารย์ (หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ)
วันอาทิตย์ที่ ๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๒๐


ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย

ณ บัดนี้ถึงเวลาของการแสดงปาฐกถาธรรมะ
อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว
ขอให้ทุกท่าน อยู่ในอาการสงบ ตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี
เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟัง ตามสมควรแก่เวลา

อ่านข่าวหนังสือพิมพ์ ได้พบข่าวแปลกๆ ในรูปต่างๆ
อ่านแล้วก็นึกในใจว่า มนุษย์เราทุกวันนี้
ช่างปล่อยตัวปล่อยใจไปตามอำนาจของสิ่งแวดล้อมมากเหลือเกิน
แม้คนบางคนจะเป็นผู้มีการศึกษา
อยู่ในประเทศที่มีความเจริญก้าวหน้า
ก็มีความเปลี่ยนแปลงในทางจิตใยไปในทางตกต่ำได้ง่าย
ข่าวที่อ่านแล้วนึกในใจว่าแย่เต็มที
มีอยู่ข่าวหนึ่งคือ ข่าวของนางมากาเร็ต ทรูโด
ซึ่งเป็นภรรยาของท่านนายกรัฐมนตรีประเทศแคนาดา
นางคนนี้มีอายุยี่สิบหกปี สามีอายุหกสิบเจ็ดปี
เขาเรียกว่าสามีแก่เมียสาว ก็ไม่สาวเท่าใดแล้ว
อายุขนาดนั้นไม่เรียกว่าคนสาว
แต่ว่าเป็นคนที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่เต็มตัว
แล้วก็ได้แต่งงานกันมีลูกด้วยกันสามคน
แล้วก็ไปอยู่ในทำเนียบรัฐบาล
แต่ว่าไม่พอใจในการอยู่ในทำเนียบนั้น เลยแยกกับสามี
จะหย่าขาดจากกันก็ไม่ได้
เพราะต่างคนต่างนับถือศาสนาโรมันคาทอลิค

ศาสนาโรมันคาทอลิคนี้ไม่อนุญาตให้สามีภรรยา หย่าจากกัน
แม้จะอยู่กันไม่ได้ก็ไม่ให้หย่า เลยก็ต้องแยกกันอยู่
แยกกันอยู่ก็เหมือนกับหย่าเหมือนกัน
แต่ว่าหย่ากันจริงๆ นั้นไม่ได้เป็นอันขาด
อันนี้ทำให้เกิดเป็นปัญหาในประเทศอิตาลี
เคยมีสมาชิกสภาผู้แทน เสนอกฏหมายเพื่อให้หย่าได้
เพราะว่าคนในอิตาลีที่นับถือโรมันคาทอลิค
อยู่กันไม่ค่อยเรียบร้อย
ในครอบครัวระหองระแหงกันด้วยประการต่างๆ
ก็อยากจะหย่าแต่ก็หย่าไม่ได้
เมื่อหย่าไม่ได้ก็เลยแยกกันอยู่
บางทีต่างคนต่างก็ไปมีใหม่ แต่ก็มีไปอย่างนั้นไม่ได้แต่งงานกัน
อันนี้เป็นปัญหาในทางศีลธรรมที่ไม่มีการปรับปรุง
ความจริงอันนั้นไม่ใช่หลักธรรมแท้ในทางศาสนา
แต่เป็นข้อบัญญัติของโป๊ปซึ่งตั้งขึ้นในภายหลัง

แล้วก็ถือกันอย่างเคร่งครัดอยู่
นายกรัฐมนตรีแคนาดากับภรรยานั้นสงสัยว่าจะเป็นหรือเปล่า
เพราะคนที่นับถือศาสนานั้นจิตใจจะตกต่ำเกินไป
จะไม่เปลี่ยนไปสู่ภาวะการตามใจตัวเองมากมายถึงขนาดนั้น
คือเมื่อแยกกันแล้วก็ไปทำอะไรตามชอบใจ
ไปร้องเพลงบ้างไปเต้นรำบ้าง
ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ว่าไม่ไหว
อยู่ในทำเนียบรัฐบาลนี่ไม่ไหว
ต้องแต่งตัวเป็นระเบียบเรียบร้อย ต้องรับแขก
ต้องยืนนานๆ ต้องยิ้มกับแขกที่ไม่อยากยิ้มด้วยกับเขา
เป็นการทรมานจิตใจ ไม่เกิดความสุขในทางใจ
ไร้อิสรภาพไร้เสรีภาพ สู้มาอยู่อย่างนี้ไม่ได้ อิสระดี เป็นเสรีชน
ไม่ต้องอยู่ในกฏในระเบียบ
แล้วยังแถมท้ายบอกว่า
สูบกันชานี่ดี ทำให้เกิดอารมณ์สดชื่นแจ่มใส

อาตมาอ่านข่าวนี้แล้วก็คิดว่า
แม่คนนี้แกคงไม่เต็มบาทแน่ๆ
แต่ว่าจับพลัดจับผลูไปเป็นเมียนายกรัฐมนตรีเข้าได้
แต่ว่าจิตใจนั้นเป็นพวกปกติ
ถ้าพูดตามภาษาหมอ ทางจิตแพทย์
ก็เรียกว่าเป็นพวกจิตผิดปกติ
ทีพวกฝรั่งเขาเรียกว่า พวกแอ็บนอมอน
พวกนี้มันไม่เหมือนใคร
มีความคิดแผลงๆ อะไรๆ ไปในรูปต่างๆ
อ่านข่าวนี้แล้วก็สะดุดใจ ไม่ใช่มีแต่เพียงคนเดียว
คือ แม่มาดามคนนั้น ในสังคมมนุษย์เราในปัจจุบันนี้
มีสภาพจิตใจอย่างนี้มากเหมือนกัน

เมื่อเกิดอารมณ์ ประเภทอยากสนุก อยากเที่ยว
อยากเพลิดเพลินขึ้นมาแล้ว ไม่นึกถึงอะไร
คือ ไม่นึกถึงวงศ์ตระกูล ไม่นึกถึงขนบธรรมเนียมประเพณี
ไม่นึกถึงศีลธรรมศาสนาอะไรทั้งหมด
นึกแต่เพียงอย่างเดียวว่า ฉันอยากจะมีเสรีตามชอบใจ

ทีนี้เสรีที่เขาเข้าใจนั้น มันไม่ใช่เสรีธรรม ไม่ใช่เสรีภาพ
แต่ว่ามันเป็นเรื่องของการปล่อยตัว ปล่อยใจไปตามอารมณ์
ไปตามสิ่งที่ตนปรารถนาเสียมากกว่า
ไม่มีระเบียบบังคับจิตใจ
แต่เข้าใจการกระทำอย่างนั้น เป็นความสบาย
คือ สบายแบบคนใจต่ำ ไม่ใช่สบายแบบคนมีจิตใจสูง
ความสบายของมนุษย์เรานั้นมันมีสองประเภท
คือ ประเภทหนึ่งนั้นสบายตามอารมณ์
หมายความว่า ได้เที่ยวได้เล่น ได้กิน ได้สนุก
ได้เพลิดเพลินก็เป็นความสบาย
ไม่อยากให้มีอะไรมาบังคับตนเอง
ไม่อยากจะอยู่ในระเบียบในวินัยอะไรทั้งนั้น
อยากจะทำอะไรก็ให้ได้ทำตามชอบใจ
เขาเรียกตัวพวกเขาเองว่า เป็นพวกเสรีชน
ตามความเข้าใจของเขา
คนประเภทเหล่านี้ดูหมิ่นเหยียดหยาม
ต่อบุคคลที่เคร่งครัดต่อระเบียบประเพณี
หาว่าเป็นคนไม่รู้จักหาความสุข ไม่รู้จักหาความสบายใจ
เกิดมาแล้วก็ไม่เท่าก็จะตายลาโลกนี้ไป
เราควรจะหาความสุขให้เต็มที่สักหน่อย
อันนี้มันเป็นพวกมีความสุขตามแบบวัตถุ
ไม่ใช่ความสุขทางจิตใจ ซึ่งเป็นความสุขที่แท้จริง

อันคน ที่หลงใหลมัวเมาอยู่ในความสุขประเภทวัตถุเช่นนี้แหละ
ย่อมทำให้ไม่มีอะไรบังคับจิตใจ
เพราะไม่ชอบการบังคับ ไม่ชอบการขืนใจ
แต่เป็นคนชอบการตามใจตัวตามใจอยากทุกเวลา
ตัวอยากจะไปไหนจะทำอะไร
อยากจะกินจะดื่มอะไร ก็กระทำตามชอบใจ
เขาเล่าว่า ในคราวหนึ่งท่านนายกรัฐมนตรีถูกเชิญไปในทำเนียบขาว
แหม่มคนที่เป็นภรรยาก็ไปด้วย นุ่งกระโปรงสั้นนิดเดียว
เข้าไปในทำเนียบขาว ในงานราตรีสโมสร
เขาแต่งตัวกระโปรงยาวกันทั้งนั้น
เรียกว่า เป็นระเบียบแม่คนนั้จะนุ่งไปคนเดียว
แล้วแกก็นึกว่าแกนี่เป็นคนสมัยกว่าเพื่อนอย่างนั้นแหละ
นี่เขาเรียกว่า มันผิดปกติทางด้านจิตใจ จึงมีสภาพเช่นนั้นไปได้

แล้วผลที่สุดอยู่ในระเบียบไม่ได้ อยู่ในที่สูงไม่ได้
ต้องหล่นลงไปในที่ต่ำต้องไปเที่ยวๆ เต้นๆ รำๆ ไปตามประสา
แล้วบางทีก็บอกว่า ต่อไปข้างหน้าฉันอาจจะแสดงภาพยนตร์ก็ได้
เพราะว่าเจ้าชายชาลแห่งอังกฤษเคยพูดชมว่า
รูปร่างสวยดี พอจะเป็นดาราหนังกับเขาได้
นี่มันเป็นไปถึงอย่างนี้
ญาติโยมทั้งหลายลองคิดดูว่า จิตใจมันเปลี่ยนไปมากเหลือเกิน
คือเปลี่ยนจากสูงไปสู่ความตกต่ำมากมาย
อันนี้เป็นเรื่องที่น่ากลัวเหมือนกัน อ่านข่าวแล้วมันเป็นเรื่องน่ากลัว
ว่ามันจะเกิดมากมายต่อไปในสังคมมนุษย์เรา
เพราะมนุษย์เรามีจิตใจอย่างนี้จึงมีปัญหาในครอบครัว
เกิดปัญหาในงานการอะไรต่างๆ ขึ้นมา
ไม่อยากให้ความคิดประเภทอย่างนี้
มาเกิดขึ้นในจิตใจเหล่าสตรีไทยทั้งหลายซึ่งเรียกว่า เป็นกุลสตรี
เป็นผู้เคารพในระเบียบแบบแผนประเพณี

สตรีไทยเรานั้นเป็นผู้มีกิริยามรรยาทงดงาม สุภาพเรียบร้อย
สุภาพอ่อนโยน ชาวต่างประเทศเขาชอบ เขาชอบตรงนี้
ไม่ใช่ชอบเนื้อชอบหนังอะไรในทางนั้นหรอก
แต่ว่าเขาชอบว่ามีกิริยาแซ่มช้อยนิ่มนวล
ไม่กระด้างแล้วก็เป็นคนอ่อนโยน
ฝรั่งนั้นเขาตามปกติไม่ค่อยอ่อนโยนหรอกเขากระด้าง
แล้วก็ชอบใช้ชายให้ถือข้าวถือของ ทำเนียมเขาอย่างนั้น
ในหลวงรัชกาลที่ห้า ในคราวเสด็จประพาสยุโรป
แล้วเขียนไว้ในหนังสือไกลบ้าน เล่ามาให้พระเจ้าลูกยาเธอ
กรมขุนอู่ทองฟังเป็นจดหมายเรียกว่า หนังสือไกลบ้าน
เขียนไว้ตอนหนึ่งว่า ได้เห็นพ่อสามีถือของพระนุงตุงนังไปหมดเลย
มือหิ้วเต็มรักแร้สองข้างก็หนีบเข้ามาอีก
บอกว่า ยังอย่างเดียวไม่ได้เอามาผูกคอเท่านั้นเอง
เดินมาอย่างหนักทีเดียวแล้วท่านก็บอกว่า
เกิดเป็นผู้ชายฝรั่งนี้แสนจะลำบาก
ต้องเป็นทาสเขาไปทุกสิ่งทุกอย่าง บันทึกไว้ในรูปอย่างนั้น
นี่แสดงว่าฝรั่งเขาเอาใจสตรี แต่ว่าสตรีก็รู้ว่า เขาเอาใจก็ใช้ใหญ่เลย
ให้ถือข้าวถือของพะนุงตุงนังไปหมด อย่างนี้ก็มากไปหน่อย

ในขนบธรรมเนียมไทยเรานั้น เป็นขนบทำเนียมที่รับมาจากอินเดีย
อินเดียนั้นเขามีทำเนียมว่าสตรีเป็นช้างเท้าหลัง ผู้ชายเป็นช้างเท้าหน้า
สตรีต้องอยู่ในบังคับบัญชาของสามี
สุดแล้วแต่สามีจะสั่งให้ทำอะไรก็ต้องทำอย่างนั้น
หากพวกเราคงเคยอ่านหนังสือวรรณคดีชาดก เรื่องเวสสันดร
ในตอนที่พระเวสสันดรถูกขับออกจากเมืองสีพี
ในการถูกขับออกคราวนั้นก็ไม่ใช่เรื่องอะไร
คือว่า ฝืนมติมหาชนมากไปหน่อย
มหาชนเขามีความเชื่อแบบหนึ่ง
คือ เชื่อว่าช้างปัจจัยนาคเป็นช้างศักดิ์สิทธิ์ เป็นช้างพิเศษ
ถ้าอยู่ในบ้านเมืองใดฝนก็จะตกตามฤดูกาล
ถ้าหากว่าที่ใดแห้งแล้วเอาช้างนี้ไปฝนก็จะตก
เขาถือว่าอย่างนั้น
ทีนี้ที่เมืองกาลิงคะ คือแคว้นโอริสาในสมัยนี้
มันอยู่กลางๆ ประเทศอินเดีย
เดี๋ยวนี้มันก็แห้งแล้งเหมือนกันแคว้นนั้น
แต่ไม่มีช้างปัจจัยนาคไปช่วยหรอก
เมืองไทยเรายังมีสิ่งวิเศษกว่าช้างปัจจัยนาค คือ ม.ร.ว.เทพฤทธิ์
นั่นสามารถบันดาลให้ฝนตกลงมาได้ด้วยการทำฝนเทียม

ในสมัยนั้น เขาเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์อย่างนั้น
เมืองกาลิงคะมันแห้งแล้ง ก็เลยจัดพราหมณ์แปดคน
ให้ไปขอช้างปัจจัยนาค จากพระเวสสันดร
พระเวสสันดรท่านเป็นคนใจกว้าง อารีอารอบ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
เห็นความทุกข์ยากของเพื่อนมนุษย์
เหมือนความทุกข์ยากของพระองค์เอง
เมื่อพราหมณ์แปดคนเข้ามาขอช้างเล่าเรื่องให้ฟังทุกประการแล้ว
ไม่อัดอั้นเลย บอกว่า
เอาไปเถอะประชาชนจะได้อยู่เย็นเป็นสุขต่อไป
เลยประทานไปเสียเลย
ชาวเมืองสีพีเมื่อพระเวสสันดรประทานช้างให้ไปนั้น
ก็โกรธเอาทีเดียวหาว่าเหมือนกับถอดเอาดวงใจไปให้แก่ชาวกาลิงคะ
พระเวสสันดรไปรักคนเมืองอื่นมากกว่าเมืองของตัว
ไปก็เลยกราบทูลพระเจ้ากรุงสัญชัยว่า
พระลูกเจ้าไม่ไหวแล้ว ทำอะไรๆ มันผิดเพศมนุษย์
ทำให้คนเดือดร้อนวุ่นวาย ขอให้เนรเทศไปอยู่เขาวงกตเสียเถอะ

ตรงนี้ก็น่าชมน้ำใจพระเจ้ากรุงสัญชัยเหมือนกันที่เคารพต่อมติมหาชน
ไม่เอาใจตัวเป็นใหญ่ คนเรานี่พังเพราะลูกมาไม่รู้กี่รายแล้วในโลกนี้
เขาเรียกว่า พ.พ.ล. พังเพราะลูกนี่มากแล้ว
พระเจ้ากรุงสัญชัยท่านไม่ได้พังเพราะลูกชายหรอก
ท่านจะรักษาสมบัติบ้านเมืองต่อไป
เมื่อเขาบอกอย่างนั้นก็บอกว่า ไม่เป็นไรหรอก
เมื่อท่านทั้งหลายต้องการเราก็จะทำตามมติ ของพวกท่านทั้งหลาย
เราจะให้เจ้าเวสสันดรออกไปอยู่เขาวงกต
เลยเรียกลูกมาบอกว่า พ่อนี่ลำบากใจรักลูกก็รัก
ลูกมีคนเดียวประชาชนเป็นแสนเป็นล้าน
จะเอาใจลูกไม่เอาใจประชาชนก็ผิดหลักการ
ในฐานะเป็นพระเจ้าแผ่นดิน
อันนี้ก็เรียกว่า มีคุณธรรมสูงเหมือนกัน

พวกชาวบ้านชาวเมืองยุ่งเต็มที
เดินขบวนอย่างนี้ไม่ใช้ทหารขับไล่ประชาชน
ก็เกิดความเสียหาย ท่านไม่ทำอย่างนั้น
ท่านเห็นว่าประโยชน์สุขของมหาชน
ยิ่งกว่าประโยชน์สุขของครอบครัว
หรือว่าของตัวคนเดียว เพราะฉะนั้นก็บอกลูกว่า
ลูกเอ๋ยต้องให้พ่อสบายใจ ไปอยู่เขาวงกตเถอะ
เมื่อไหร่มีเหตุการปกติก็ค่อยกลับมาใหม่
เขาเรียกว่า เนรเทศออกจากบ้านจากเมือง
ในสมัยนี้ใครทำผิดเขาส่งเรือบินไปเลย
แต่สมัยนั้นมันไปอย่างนั้นไม่ได้ พระเวสสันดรก็ต้องรับคำพ่อ
เพราะพระเวสสันดรเป็นลูกที่ดี มีความเคารพพ่อแม่
เมื่อรู้ว่าพ่อต้องการอย่างนั้น
ก็สนองพระราชโองการด้วยความเต็มใจ จะไปอยู่เขาวงกต

แต่ว่ามารดาพระนางผุสดี นึกแค้นใจเหมือนกันว่า
อะไรเจ้ากรุงสญชัยนี้เหลือเกิน
ลูกนี่แหละสำคัญกว่าชาวบ้านชาวเมืองเขาอะไรหนักหนา
เจ็บไข้ได้ป่วยชาวเมืองเขามารักษา ตกหล่นลงมาจะลำบาก
แกเลยไปหาพระเจ้ากรุงสญชัยตัดพ้อต่อว่า
พระเจ้ากรุงสญชัยก็มีน้ำพระทัยแข็งเหมือนกัน
แม้พระนางผุสดีจะมาต่อว่าอย่างไรก็ทำเฉย
ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ว่าอย่างนั้นเถอะ
อ้อนวอนไม่สำเร็จก็กลับไปปลอบลูกต่อไป
ให้ลูกเดินทางไป ไปคนเดียวไปแต่พระเวสสันดรเท่านั้น
แต่ว่าพระนางมัทรีต้องไปด้วย เพราะความรักภักดีต่อสามี
นางก็ไปบอกพระเวสสันดรว่าต้องไปด้วย

พระเวสสันดรบอกว่า เธอไม่อยู่ในเขตการขับไล่
ต้องอยู่ในวังเลี้ยงลูกเลี้ยงเต้าไป
นางบอกว่า มันจะสมควรหรือ เวลาสุขก็ลอยนวลอยู่ในวัง
เวลาสามีทุกข์ก็ไม่ไปด้วย
อย่างนั้นมันไม่ได้เกิดเป็นผู้หญิงนี่มันลำบาก
สามีไม่อยู่ลำบากใจ แต่งตัวมากไปก็ไม่ได้
แต่งตัวมอซอไปก็ไม่ได้ เดินก้มก็ไม่ค่อยจะได้ เดินเงยก็ไม่ได้
มันลำบากอยู่คนเดียว ลำบากเดือดร้อน
สามีนี่เป็นฉัตรแก้วกั้นเกศ งามหน้างามเนตรทุกเวลา
พระองค์เดือดร้อนก็ต้องไปด้วย ยินดีจะไป
พระเวสสันดรบอกว่า ในป่ามันลำบาก
ถึงลำบากอย่างไรก็ต้องไป
รับอาสาช่วยเหลือพระองค์ ให้มีความสุขต่อไป
นี่คือน้ำใจของกุมารีเช่นนางมัทรี
ผลที่สุดก็ไปเดินทางไป ทีแรกก็นั่งรถเทียมม้า
คนมาขอม้าไปเสีย เหลือแต่รถมันวิ่งไม่ได้
คนที่มาขอรถเอาไปรวมกับม้าต่อไป สองคนก็อุ้มลูก
พระเวสสันดรก็อุ้มพ่อชาลี
แม่มัทรีก็อุ้มแม่กัณหา เดินไปในป่า

ให้นึกว่ากษัตริย์เดินป่านี่มันทุเรศขนาดไหน
ลำบากขนาดไหน ก็ต้องไปตามเรื่องตามราว
จนไปถึงเมืองเชตุดร
พวกกษัตริย์นั้นมาต้อนรับขับสู้ ให้พักให้ผ่อนเชิญให้อยู่
ท่านบอกว่าไม่ได้เรื่องออกจากเมืองคราวนี้
ไม่ใช่เรื่องธรรมดามันเรื่องการเมืองไปเสียแล้ว
ถ้าเรามาอยู่เมือง ท่านกับเมืองโน้นก็จะขัดใจกัน
ประขาชนทั้งหลายเขาจะหาว่า
พวกกษัตริย์ทั้งหลายเหล่านี้
คบคิดกับพระเวสสันดรส้องสุมผู้คนจะไปตีเมืองนครสีพี
สัมพันธไม่ตรีที่เคยมีก็จะร้าวฉาน
จะเป็นเหตุให้เกิดความเสียหาย
เราคนเดียวจะทำให้คนมากเดือดร้นไม่สมควร
เพราะฉะนั้นขอให้เราเดินทางไปอยู่ป่าตามปกติเถอะ
พวกนั้นก็เลยจัดเสบียงอาการส่งคนนำทางเรียบร้อย
แล้วก็ตั้งด่านกักคน ไม่ให้เข้าไปรบกวน
สั่งนายพรานเจตบุตรให้กันด่านไว้

แต่นายพรานเจตบุตรก็คนป่าโง่หน่อย
เสียท่าตาชูชกจนได้ ตาชูชกก็เลยหลอกว่า
นี่แหละกลักพริกกลักมะเขือนี่แหละ
คือ สารตราพระราชสีห์ จะเอาเข้าไปให้พระเวสสันดร
คนป่าไม่รู่อะไรนึกว่า พระราชโองการอยู่ในกระบอกเกลือ
ก็เชื่อเลยปล่อยไป ชูชกเลยไปขอเอากัณหาชาลีไปเป็นคนใช้
นางมัทรีก็ต้องอยู่กับพระเวสสันดรต่อไป
นี่น้ำใจของคนในสมัยก่อนเขาเป็นอย่างนั้น

เมืองไทยเรานี้รับวัฒนธรรมอารยธรรมจากประเทศอินเดีย
ตามพระพุทธศาสนา เพราะเรารับพระพุทธศาสนา
แล้วก็รับอะไรๆ มาพร้อมกันไปในตัว
ส่วนมากก็เป็นเรื่องดีมีประโยชน์ ไม่ได้เป็นเรื่องเสียหาย
เป็นสิ่งช่วยสร้างรากฐานทางจิตใจของคนไทยเราให้เจริญงอกงาม
อยู่ด้วยคุณงามความดีตามสมควรแก่ฐานะ
เราก็อยู่กันด้วยความสุขตลอดมาจนถึงทุกวันนี้

ทีนี่ในสมัยนี้มันมีเหตุการณ์อะไรบางประการ
เรียกว่า สิ่งแวดล้อม
ซึ่งเป็นความเจริญก้าวหน้าทางสังคม
มีความก้าวหน้าทางวัตถุมากเหลือเกิน
ความก้าวหน้าทางวัตถุนี่แหละ
ทำให้จิตใจคนเปลี่ยนแปลงไปเหมือนกัน
ถ้าคนนั้นไม่มีความเข้มแข็งพอ
ไม่หนักหน่นหรือไม่มีอะไรเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวทางจิตใจ
ก็จะไหลไปตามอำนาจของวัตถุได้
เปลี่ยนแปลงจิตใจไปได้ตามอำนาจวัตถุ
เมื่อไปอยู่ในที่ตนไม่พอใจในเรื่องอะไรบางสิ่งบางประการ
ก็อยากจะหลีกออกจากที่นั้นๆ ไป ก็มีเหมือนกัน

เช่นบางคนแต่งงานแล้วไปอยู่ในบ้านของสามี
แต่ว่าเป็นบ้านที่ค่อนข้างจะโบราณสักหน่อย
พ่อผัวแม่ผัวก็เป็นคนโบราณ
เคร่งครัดตามระบบประเพณีเก่าๆ
ประเพณีเก่าๆ ไม่ใช่เรื่องเสียหาย
เรามองว่าเป็นสิ่งหล้าหลังไม่ทันสมัย
แต่ว่าเป็นสิ่งค้ำจุนจิตใจคนให้อยู่ในสภาพสูงส่งได้
เพราะถ้าเราไม่ถืออะไร
ก็กลายเป็นเสรีชนตามแบบฝรั่งเสรีชนนั้นไม่ใช่ชนที่มีเสรีภาพ
แต่เป็นทาสของอารมณ์และสิ่งแวดล้อม
แต่เขาถือว่านั่นแหละคือ ความสบาย
คนในสมัยนี้เราเข้าใจว่า
การได้ทำอะไรตามใจตัวตามใจอยากเป็นความสุข
แต่ว่ามันไม่ใช่ความสุขแท้ มันเป็นความสุขเพียงชั่วครู่ชั่วคราว
เป็นความเพลิดเพลินไป คล้ายกับคนชอบกินแกงเผ็ดๆ
ถ้าไม่ได้กินเผ็ดมันไม่อร่อย
แม้กินแกงจืด ก็ขอให้ได้เคี้ยวพริกขี้หนูสักสองสามเม็ดเถอะ
ให้พอได้เหงื่อไหล ก็รู้สึกว่ามันค่อยซู่ซ่าขึ้นมาสักหน่อย
ประเภทอย่างนั้น พอเลิกแล้วมันก็ไม่สบายต่อไป
มีความทุกข์มีความเดือดร้อนต่อไป
แต่เราไม่ได้คิดละเอียดถึงปานนั้น

เพราะคนเราเวลาคิดอะไร
มันจะคิดเอาเฉพาะหน้าเอาแต่เรื่องเฉพาะหน้า
ให้ได้ในสิ่งที่ตนต้องการ ให้ได้มีในสิ่งที่ตนอยากมีอยากเป็น
ไม่ได้คิดว่าเมื่อได้แล้วมันจะเป็นอะไร
เป็นแล้วมันจะเป็นอะไรขึ้น
ในกาลต่อไป แล้วเรื่องที่เราจะคิดจะทำนี้
มันกระทบกระเทือนต่ออะไรบ้าง ไม่ได้คิดนึกไปถึงขนาดนั้น
เพราะอย่างนี้แหละจึงเป็นเหตุให้เกิดการคิดที่ผิดพลาด
เกิดการกระทำที่ผิดพลาด แล้วไปสร้างความทุกข์
ความเดือดร้อนให้แก่ตนด้วยประการต่างๆ
จึงเป็นเรื่องที่น่าคิดในสมัยนี้

ที่นี่เมื่อเราคิดเห็นว่าสิ่งเหล่านี้มันไม่ดี
ทำให้จิตใจเปลี่ยนแปลงไปในทางต่ำ เราควรจะทำอย่างไร
มีอย่างเดียวเท่านั้นคือ ต้องมีการประพฤติธรรมได้
ก็มีธรรมะเป็นเครื่องคอยถ่วงจิตใจของเราไว้
ไม่ให้เปลี่ยนแปลงมากเกินไป กับอารมณ์และสิ่งแวดล้อม
การประพฤติธรรมจะช่วยให้เกิดความมั่นคงในจิตใจ
มีความอดทนต่อเหตุการณ์
มีปัญญาพิจารณาในเรื่องนั้นอย่างถูกต้อง
ตามสภาพที่เป็นจริง แล้วจิตใจจะไม่ตกต่ำ
แต่ถ้าไม่มีการประพฤติธรรมแล้ว
สิ่งทั้งหลายก็จะวุ่นวาย จะเสียหายกันด้วยประการต่างๆ

คนเราแม้จะนับถือศาสนาดังกล่าวแล้วว่าไม่ถึงศาสนา
เป็นพุทธ เป็นคริสต์ เป็นอิสลาม เป็นอะไรก็ตาม
ถ้าเป็นแต่เพียงชื่อแล้วมันใช้ไม่ได้
ไม่เข้าถึงตัวธรรมเป็นตัวแท้ตัวจริงของศาสนา
ก็จะเกิดเป็นปัญหา
ทำให้วุ่นวายขึ้นจิตใจด้วยประการต่างๆ
ดังที่พูดเมื่อวันอาทิตย์ก่อนว่า
เรานับถือศาสนานั้น ต้องเข้าถึงตัวธรรมะ
อันเป็นเนื้อแท้ของพระศาสนา
สามารถจะนำเอาตัวธรรมะนั้น มาเป็นเกราะป้องกันตน
ไม่ให้ตกไปสู่ที่ชั่วที่ต่ำ อันจะเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์
ความเดือดร้อนในชีวิตประจำวัน
หลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนานั้น จะช่วยเราได้หรือไม่
อาตมาก็อยากจะตอบชนิดอย่างตรงไปตรงมาว่า
ช่วยได้อย่างเด็ดขาด

พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้านี้ ช่วยได้อย่างเด็ดขาด
ในเมื่อเราเอามาใช้ในชีวิตประจำวันของเรา
สิ่งทั้งหลายที่จะเกิดขึ้นนั้น จะไม่เป็นพิษเป็นภัยแก่เรา
นี่เราลองมาคิดดูว่า การเป็นอยู่ในชีวิตประจำวันนี้
สิ่งต่างๆ ที่มากระทบจิตใจของเรา รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส
เข้ามาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ใจ
เป็นเป็นผู้รับรู้ในเรื่องอย่างนั้น
บางครั้งมันก็มีอิทธิพลมากเหลือเกิน
ที่จะดึงจิตเราให้ตกเป็นทาสของมัน อันนี้แหละเป็นอันตราย
และเมื่อเราตกเป็นทางของมันแล้ว บางทีก็เพลินไปสิ่งนั้น
ลืมเรื่องเดิม ลืมว่าเราเป็นอะไร อยู่ในฐานะอะไร
อยู่ในตำแหน่งหน้าที่อะไร
ควรจะประพฤติปฏิบัติตนอย่างไร ลืมตัวลืมตนไปหมด

พอลืมตัวลืมตนก็เกิดความเสียหาย
เป็นโทษเป็นทุกข์ด้วยเรื่องการกระทำโดยประการต่างๆ
มีตัวอย่างอยู่ถมไป คนเราที่ได้ลืมสภาพชีวิต
ลืมสภาพความเป็นอยู่อันแท้จริง
แล้วก็ไปไหลอยู่ในสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบๆ ตัว
เรียกว่า ตกอยู่ในอำนาจของสิ่งแวดล้อม
สิ่งแวดล้อมสามารถจะเปลี่ยนจิตใจที่ขุ่นมัว
จิตใจที่เป็นไท ให้กลายเป็นจิตใจที่เป็นทาส
จิตใจที่มีความฉลาดรู้แจ้งในเรื่องต่างๆ
กลายเป็นจิตใจที่มีความมืดเข้ามาครอบงำ
เลยทำให้เสียผู้เสียคนไป
คล้ายๆ กับคนถูกเสน่ห์อะไรอย่างนั้นแหละ

เรื่องถูกเสน่ห์นี่ก็เคยมีเหมือนกัน
แปลกๆ คนเรามันตกเป็นทาสแล้ว ลืมตัวหมดเลย
ให้ทำอะไรก็ได้ เขาเรียกว่า ไม่เป็นตัวเอง
ถูกอำนาจสะกดจิตจากบุคคลที่เขาต้องการเรา
สะกดให้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้
กลายเป็นเด็กอมมือไป อันนี้มีอยู่
แต่ว่าสิ่งเหล่านั้นมันก็อยู่ที่จิตใจของเรา
ถ้าเราเป็นผู้ประพฤติธรรมจริงๆ มีสติคอยควบคุมตัวเอง
มีปัญญาพิจารณาสิ่งที่กระทบแล้ว ก็คงจะไม่เป็นอะไร
อาตมาเคยสังเกตุดู
คนที่เคยตกไปอยู่ในอำนาจของสิ่งต่างๆ เหล่านั้น
เป็นคนขาดการศึกษาในแง่ธรรมะ

อาจจะมีการศึกษาในเรื่องอื่น
ตามแบบที่เขามีกันอยู่ในโลกทั่วๆ ไป
เช่น สำเร็จวิชานั่นวิชานี่
ได้ปริญญาได้อะไรมาก็มีเหมือนกัน
แต่ว่าผลที่สุดจิตใจตกต่ำ
ขนาดเขาจูงไปได้ตามความปรารถนา อันนี้แหละน่ากลัว
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ตรัสเตือนเรื่องนี้ไว้ว่า
"อตฺตานญฺเจว น ทเทยฺย"
ไม่พึงให้ตนแก่ใครๆ ไม่พึงมอบตนให้แก่ใครๆ สิ่งใดๆ
คือ ทั้งเป็นคนเป็นสัตว์ เป็นวัตถุสิ่งของ
เป็นอารมณ์ที่มากระทบอะไรก็ตาม
เราอย่ายอมมอบตนให้แก่สิ่งนั้น
พูดง่ายๆว่า อย่าเป็นทาสของสิ่งนั้น
แต่ให้ดำรงความเป็นไท ในจิตใจตลอดเวลา
ถ้าเราปล่อยตัวปล่อยใจ ไปเป็นทาสของสิ่งเหล่านั้นเมื่อใด
เราก็จะเกิดความทุกข์ความเดือดร้อนใจ
ขึ้นมาเมื่อนั้นเสียหายเมื่อนั้น

ขอให้สังเกตเพื่อนฝูงมิตรสหายของเรา
ที่ได้เสียผู้เสียคนไปนั้นก็เพราะอะไร
ไปเป็นทาสของเมาบ้าง เป็นทาสของการพนันบ้าง
เป็นทาสความสนุกสนานเพลิดเพลินทางเนื้อหนัง
อะไรๆ ต่างๆ จนลืมตัวลืมตนไป
ถ้าเพื่อนที่มีความรักความหวังดี
ไปแนะไปเตือน เขาจะไม่ฟังเลย
แต่เขาจะมองเพื่อนคนนั้นว่ามันกีดกันเขา
เขาจะหาความสุขความสบาย มากีดกัน
ไม่ใช่เป็นเพื่อนแท้ โน่นไปเอาไกลอย่างนั้น
แต่เห็นคนที่จะทำให้เสียผู้เสียคน
กลายเป็นเพื่อนแท้ไป
เป็นมิตรที่มีความปรารถนาดีไป
นี่เพราะอะไรจึงเป็นอย่างนั้น
นี่แหละเขาเรียกว่า ไม่เป็นตัวเองเสียแล้ว
สภาพหน้าตาดั้งเดิมของตนนั้นหายไปเสียแล้ว
มีเรื่องอื่นเข้ามาอยู่แทนจิตใจ
เรื่องที่เข้ามาอยู่แทนนั้น
เป็นเรื่องผิดทั้งนั้น ไม่ใช่เรื่องถูกต้อง
ไม่ใช่เรื่องที่เป็นประโยชน์
เป็นเรื่องที่รับไว้ด้วยความหลงผิดด้วยประการต่างๆ
เลยเขวไปในรูปอย่างนั้น
เสียผู้เสียคนไปเมื่อกลับใจไม่ได้
แต่ว่าบางทีอาจจะกลับใจได้เพราะไปกระทบอะไรแรงๆ เข้า
หรือมีใครมาเตือนอย่างแรงเกิดความสำนึกรู้สึกตัว
นึกขึ้นได้ว่าเรานี่เคยเป็นอะไรเคยมีสภาพจิตใจอย่างไร
เคยอยู่ในฐานะอะไร ทำไมจึงได้ตกลงมาอยู่ในรูปอย่างนี้
ก็กลับใจได้หันหาความงามความดีต่อไป
ยังน่าชมอยู่ที่รู้สึกตัวแล้วกลับใจไปในรูปอย่างนั้น

แต่บางคนนั้น ไม่สามารถจะกลับสู่สภาพเดิมได้
เสียคนไปเสียเลย อันนี้เป็นความตกต่ำเหลือเกินในทางจิตใจ
เป็นเรื่องที่เราจะต้องระมัดระวังไว้
สิ่งทั้งหลายในโลกนี้ ที่มันมีคุณก็มีโทษก็มี
เรียกว่า มีคุณโดยส่วนเดียวนั้น
หมายความว่า มีแต่ประโยชน์ ไม่ให้ทุกข์ให้โทษเลย
ถ้าเราเข้าไปเกี่ยวข้องก็ให้ประโยชน์แก่ชีวิตจิตใจ
ส่วนที่ให้โทษโดยส่วนเดียวนั้น
ตรงกันข้าม ถ้าเราเข้าไปเกี่ยวข้องแล้วมีแต่ความร้าย
ไม่มีความดี ไม่มีคุณค่าแก่ชีวิตแม้แต่น้อย
ส่วนเรื่องบางเรื่องนั้นหมายความว่า มีคุณก็ได้มีโทษก็ได้
มีคุณก็ได้มีโทษก็ได้อยู่ที่การใช้
ถ้าใช้เพียงพอประมาณมันเป็นคุณ
ถ้าเกินประมาณไปก็เกิดการเป็นโทษ
อันนี้อยู่ที่การใช้ให้เป็นคุณก็ได้ ใช้ให้เป็นโทษก็ได้

แต่ว่าคนมักจะเผลอ ลืมตัวไป
ทำอะไรมักจะเกินพอดีไปเสมอ สนุกจนลืมตัว
เล่นหัวจนลืมตัวไป ดื่มกินอะไรจนลืมเนื้อลืมตัวไป
อันนี้เป็นความเสียหายเพราะการลืมตัวในรูปอย่างนี้
เราจึงไม่ควรจะปล่อยอย่างนั้น แต่ควรจะมีอะไรๆ
เป็นเครื่องบังคับจิตใจไว้ตามสมควรแก่ฐานะ
เรื่องที่จะช่วยให้เราเป็นตัวเอง
ไม่ต้องเป็นทาสของอะไรๆ มากเกินไปนั้น
เราควรจะทำอย่างไร อันนี้เป็นวิธีการที่จะช่วยป้องกันไว้
ไม่ให้เกิดอะไรขึ้นในจิตใจของเรา
เบื้องต้นที่สุดเราจะต้องมีหลักใจอันมั่นคง
คือ มีศาสนาประจำใจนั่นแหละ
แต่ว่าตัวศาสนานั้นเป็นตัวคุณธรรม
ตัวคุณธรรมนั้น ก็ต้องมีบุคคลเข้าไปเกี่ยวข้อง
บุคคลผู้เกี่ยวข้องก็คือผู้สอน
ได้แก่ พระพุทธเจ้า หรือว่าศาสดาของศาสนานั้นๆ

ถ้าเราเป็นพุทธบริษัท เราก็ถือว่าพระพุทธเจ้าเป็นผู้สอนธรรมะ
คำสั่งสอนของพระองค์นั้นเป็นตัวธรรมะ
คำสั่งสอนของพระองค์นั้นเป็นตัวพระธรรม
ผู้ปฏิบัติสืบต่อมา เรียกว่าพระอริยสงฆ์
คือ ผู้ที่ออกบวชปฏิบัติตนพ้นทุกข์ เป็นตัวอย่างแก่ชาวบ้าน
เราเรียกกันว่า พระอริยสงฆ์
สามประการนี้เป็นสรณะเป็นที่พึ่งทางใจ
เราจะเอาสิ่งสามประการนี้ มาเป็นเครื่องป้องกันภัยอันตรายนั้น
ก็ต้องมีความเชื่อให้มั่นคง นึกถึงพระองค์บ่อยๆ
การนึกถึงสิ่งนั้นแล้วสิ่งนั้น
ก็จะช่วยให้จิตใจของเราห่างออกไปจากสิ่งอื่นๆ

เพราะเรามีสิ่งนั้นแนบสนิทอยู่ในใจตลอดเวลา
ไม่ว่าเราจะไปไหน เราจะทำอะไร จะคิด จะพูดเรื่องอะไร
ต้องนึกถึงท่านไว้เสมอ นึกว่านี่มันถูกหรือผิด มันดีหรือมันชั่ว
มันเสื่อมหรือมันเจริญ
พระพุทธเจ้า ท่านวางหลักเกณฑ์เรื่องนี้ไว้อย่างไร
นโยบายหรือหลักการในพระพุทธศาสนานั้น เป็นไปในรูปใด
เมื่อเราอาจจะทำอะไร ก็นึกถึงสิ่งนึ้ไว้ก่อน
เราก็จะไม่ผิดจากหลักคำสอน คล้ายกับกฏหมายของบ้านเมือง
เขาห้ามว่าอะไร ถ้าเรานึกไว้บ่อยๆ เราก็จะไม่ทำผิดกฏหมาย
เพราะเราคำเตือนตัวเราไว้ว่า ทำอย่างนั้นผิดเป็นอาชญา
ทำอย่างนั้นผิด อย่างนั้นติดคุกเท่านั้น จะถูกลงโทษเท่านั้น
ตำรวจเขาจะจับตัวไปโรงพัก เป็นเรื่องที่น่าละอาย
เราคิดเตือนไว้บ่อยๆ ด้วยนำสิ่งนั้นมากระซิบในใจของเรา
คอยกระซิบบอกตัวเองไว้ว่า อย่าอย่างนั้น อย่าอย่างนี้
อย่างนั้นไม่ดี อย่างนี้ไม่เหมาะ
ทำแล้วจะเกิดเรื่อง จะเกิดความเสียหาย
กระทบกระเทือนต่อฐานะ ต่อวงศ์ตระกูลต่ออะไรต่างๆ
นึกไว้บ่อยๆ เราก็จะมีเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ป้องกันตัว

เครื่องรางอื่นนั้น ไม่สามารถป้องกันอะไรได้เท่าไหร่หรอก
แต่ว่าเครื่องรางคือ การนึกถึงพระพุทธเจ้าบ่อยๆ นั้น
สามารถจะช่วยตนได้
เพราะฉะนั้นพระองค์จึงได้สอนพระภิกษุ
เวลาจะเข้าไปอยู่ในป่า
ไปนั่งอยู่แล้วมันเกิดกลัวหวาดเสียวต่อสิ่งต่างๆ
สร้างภาพหลอกตัวเองอยู่ตลอดเวลา
กลับมาเฝ้าพระพุทธเจ้า พระองค์บอกว่าเมื่อใด
เธอมีความหวาดกลัวเกิดขึ้น ให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้าว่า
"อิติปิโส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ"
ให้นึกตามแบบพุทธคุณเก้า
ที่เราสวดมนต์กันในตอนเช้านั่นแหละ
ถ้าไม่นึกพระพุทธเจ้า ก็ให้นึกถึงพระธรรม
"สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม"
หรือว่าไม่นึกถึงพระธรรม
ก็ให้นึกถึงพระสงฆ์ว่า
"สุปฎิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ"
เอามาท่องบ่นให้ได้ สวดนี่ก็ได้เหมือนกัน
แต่ว่าสวดให้ถี่ยิบเลย ให้ใจมันแนบสนิทอยู่กันคำสวด
ก็จะช่วยไม่ให้คิดถึงเรื่องนั้น เช่นกลัวผี
กลัวสัตว์ร้าย กลัวอะไรขึ้นมา ก็ขยันสวดมนต์ขึ้นมา


สมัยก่อนเมื่อเป็นเด็กเคยได้ยิน
คือว่า มันมีโรคร้ายเกิดขึ้น เป็นไข้อหิวาทั้งนั้นเแหละ
คนบ้านใกล้เรือนเคียงเขาตายไปมาก
คุณโยมผู้ชายท่านสวดมนต์ใหญ่เลย
กลางคืนตอนดึกลุกขึ้นสวดมนต์ใหญ่ สวดดังๆ ทีเดียว
ก็นึกสงสัยว่า ทำไมจึงสวดมนต์หนักหนา
วันหนึ่งได้โอกาสถามว่า พ่อทำไมสวดดึกๆ
อ้อ สมัยนี้มันเกิดโรคภัยไข้เจ็บ เบียดเบียนประชาชน
บ้านเรามันสวดมนต์กันหน่อย
แล้วก็สวดอยู่คนเดียวอื่นไม่ได้สวด
แต่ว่าคนเดียวก็คุ้มครองได้ ท่านว่าอย่างนั้น
นี่คือว่า เป็นการช่วยปลอบใจ
พอเราสวดมนต์จิตมันก็อยู่กับสิ่งที่เราสวด
มันเป็นสมาธิอยู่ในเรื่องนั้น ความกลัวมันก็ไม่มี
คนโบราณเขาเชื่อว่า ไข้ห่านี่มันเป็นผี
มาเข้าบ้านเข้าเมืองฆ่าคน
ยมพบาลเขาต้องการคนจากโลก
คนในยมโลกมันน้อยไป ต้องการสักห้าร้อย
ต้องการสักพันสักหมื่น
ทีนี้ถ้าใครไม่ยอมไม่อยากตายก็สวดมนต์ไว้
บางทีเขาหลอกให้เราสวมแหวนกะลาไว้
เอาผ้าแดงมายกธงไว้บนหลังคา เลยผ้าแดงขายดีไป
นั่นเป็นลูกไม้ของพ่อค้า แต่ว่าคนโบราณจริงๆ เขาไม่อย่างนั้น
เขาสวดมนต์ภาวนา รักษาจิตใจ
ความหวาดกลัวก็จะหายไป นี่เขาเรียกว่า วิธีอย่างหนึ่ง

อีกอย่างหนึ่ง มันวิเศษขึ้นไปกว่านั้น
คือ เรามานั่งคิดถึงพระพุทธคุณเป็นบทๆ ไป
เช่นคิดว่า อะระหัง หมายความว่าอย่างไร เป็นผู้บริสุทธิ์
บริสุทธิ์จากอะไร ความไม่บริสุทธิ์มันเกิดจากอะไร
ทำอย่างไรจึงจะบริสุทธิ์เอามาคิด จิตมันอยู่กับเรื่องนั้น
เมื่อจิตมันอยู่กับเรื่องนั้น จิตมันก็ไม่วุ่นนาย
ไม่สร้างปัญหาอะไรขึ้นมา แล้วถ้าเราคิดบ่อยๆ คิดเป็นเวลา
เช่นเวลานั้นเรานั่งคิดถึงพระพุทธเจ้า
ก็เป็นการสร้างเสริมกำลังใจ ให้มีความเข้มแข็งทุกวันๆ
ความคิดอันใดไม่ดีก็ไม่เกิดขึ้น เพราะเรานึกอยู่แต่เรื่องพระ
เรามีปัญญามองเห็นพระพุทธเจ้าด้วยปัญญา
ความโง่มันไม่เกิด ความหลงมันก็ไม่เกิด
อันนี้คือ การช่วยชั้นต้นๆ ช่วยได้เหมือนกัน
ในการที่เรากระทำอย่างนี้ แต่ว่ายังไม่ดีแท้

ให้ดีแท้ขึ้นไปยิ่งกว่านั้น
เราต้องใช้ปัญญาพิจารณาสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัวเรา
ให้เจริญวิปัสสนาไว้บ่อยๆ คือ การพิจารณา แยกแยะสิ่งต่างๆ
ที่เราได้ประสบพบเห็นนั่นแหละ เพื่อให้เกิดปัญญาขึ้น

สมมติว่าแหม่มของนายกรัฐมนตรีคนที่เล่าถึงนี้
ถ้าเป็นผู้นับถือพระพุทธศาสนาเป็นนักธรรมะ
ก็ไม่เบื่อหน่ายในหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติ
เพราะมาคิดในแง่ธรรมะว่า
คนเรามันต้องมีหน้าที่ ที่จะต้องจัดต้องทำ
ถ้าเราอยู่คนเดียว ก็ทำอะไรได้ตามลำพัง
เช่นอยู่ในห้อง เราทำอะไรก็ได้
ออกนอกห้องมันต้องเปลี่ยน เพราะว่า มีคนเห็น
เดินบนถนนมันต้องเปลี่ยนไปตามสภาพของสังคม
เราจะทำอะไรตามใจตัวเสมอไปไม่ได้
แล้วอีกประการหนึ่ง
เมื่อเรามีหน้าที่อันใด เราก็ทำหน้าที่อันนั้น
อันนี้ต้องมีคุณธรรมอันหนึ่งเข้ากำกับคือ ความสันโดษ
สันโดษหมายความว่า พอใจในสิ่งที่มีอยู่เฉพาะหน้า
พอใจในสิ่งที่เรามีเราได้อยู่ในขณะนั้น
เช่นเราต้องทำหน้าที่นี้ต้องทำด้วยความพอใจ
เพราะถ้าเราไม่พอใจ
ก็เหมือนกับเฆี่ยนตัวเราเอง ลงโทษตัวเอง
พอไม่พอใจปั๊บ เกิดปุ๊บทันที
ทุกครั้งที่เราสร้างความทุกข์ขึ้นในใจ
เหมือนกับหวดเราด้วยหวายแช่น้ำเค็ม
มันแสบปวดขึ้นมาทีเดียวมีความทุกข์ความเดือดร้อน

เจ้าความทุกข์นี่เกิดเพราะอะไร เพราะไม่พอใจ
แล้วทำไมจึงไม่พอใจในสิ่งนั้น
เพราะความโง่ความเขลา ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร
ไม่รู้ว่าตัวคือใคร มีหน้าที่อะไรจะต้องเกี่ยวข้องกับอะไรต่อไป
ไม่เข้าใจในเรื่องแบบนี้ ก็เลยนั่งกลุ้มใจ
เวลานั่งกลุ้มใจก็คือลงโทษตัวเอง
แล้วมันเรื่องอะไรที่เราจะมานั่งกลุ้มใจลงโทษตัวเอง
ให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อน
มนุษย์ผู้มีปัญญา ต้องทำใจให้เป็นสุขในที่ทุกสถาน ในกาลทุกเมื่อ
ไม่ว่าเราจะอยู่ในสภาพใด ต้องทำใจให้สบาย
ฝนตกฟ้าร้องเปรี้ยงๆ อย่าไปนั่งกลุ้มใจหาความทุกข์ใส่ตัว
ต้องคิดให้มันเป็นสุข

เดินทางไกลเหน็ดเหนื่อย ก็เดินให้มันเป็นสุข อย่าไปเดินกลุ้มใจ
ทางไกลมันเหนื่อยแล้วก็ยังไปกลุ้มแถมอีก มันเรื่องอะไร
นี่คนไม่รู้จักหาความสุข ด้วยการคิดในแง่ธรรมะ
ก็เลยหาความสุขด้วยการป้อนสิ่งที่ต้องการ ใช้เหยื่อตลอดเวลา
เมื่อกินเหยื่ออยู่ตลอดเวลามันก็ไม่เป็นสุขแท้หรอก
พอขาดเหยื่อมันก็กลุ้มใจอีก มันเสียหายในสภาพอย่างนี้
เพราะฉะนั้นผู้ประพฤติธรรมต้องรู้ว่า
หน้าที่ของเราที่จะต้องทำอย่างนี้

เราเป็นตัวละครในโลกต้องแสดงตามฉาก
ตามบทในเรื่องที่จะต้องแสดง
เขาให้เป็นอะไรก็ต้องเป็นตามหน้าที่
แล้วเป็นด้วยความพอใจเป็นด้วยความสมัครใจ
อย่าไปเป็นด้วยความไม่พอใจเป็นทุกข์เปล่าๆ
มันไม่ใช่เรื่องที่จะหาความทุกข์ใส่ตัวเรา จึงต้องพอใจในสิ่งนั้น
เมื่อเกิดความพอใจ มันก็ไม่เบื่อหน่าย ไม่รำคาญ
ไม่เห็นว่าเป็นเรื่องซ้ำซาก
คนบางคนอาจจะคิดผิดไปในแง่นี้
คิดว่า แหมชีวิตนี้มันซ้ำซากเหลือเกิน
ต้องทำอย่างนั้นต้องทำอย่างนี้ตลอดเวลา
ชีวิตอะไรที่จะไม่ซ้ำซาก มันซ้ำอยู่ทั้งนั้น
หายใจเข้าออกซ้ำแล้วซ้ำอีก
เบื่อหายใจมันก็ตายเท่านั้นเอง
ไม่อยากซ้ำแล้วหายใจทุกเวลา
มันก็ตายเท่านั้นเอง อยู่ได้เมื่อไหร่
เราต้องหายใจเข้าออก ต้องกินน้ำ น้ำดื่มทุกวัน ซ้ำอย่างนั้น
ดื่มน้ำเย็นก็ดื่มอย่างนั้น ดื่มน้ำแข็งก็ดื่มอยู่อย่างนั้น
ซ้ำแล้วซ้ำอีกข้าวก็กินซ้ำแล้วซ้ำอีก
บางคนกินขนมปังเช้าๆ
มันก็ซ้ำอีกเรื่องไม่ซ้ำไม่มี อะไรที่มันจะไม่ซ้ำ
มันเป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องทำอย่างนั้น
แต่ว่าจิตมันไม่มีปัญญาแล้วก็ไปคิดว่า
แหมเบื่อความซ้ำซากความจำเจ อยากจะเปลี่ยนบ่อยๆ
แล้วจะเปลี่ยนอย่างไร เปลี่ยนบ่อยๆ มันก็วุ่นวายเท่านั้นเอง
มันมีปัญหาเกิดความทุกข์ความเดือดร้อนทางใจต่อไป
เราจึงต้องพอใจในสิ่งที่มีอยู่เฉพาะหน้า
พอใจในหน้าที่ในการงานที่เราจะต้องปฏิบัติ

ถ้าเราเป็นผู้พิพากษา แหมพิจารณาซ้ำแล้วซ้าอีก
มันก็เบื่อไม่อยากจะขึ้นนั่งบนบรรลังก์ แล้วจะทำงานอะไร
เมื่อมันเป็นอย่างนั้น ก็ต้องนั่งไปพิจารณาไป
พอเห็นโจทย์จำเลยก็แหมเบื่อหน้าพวกนี่จริง มันเบื่อไม่ได้
พวกนั้นมันมาให้เราพิจารณา ก็ต้องว่ากันไป
ควรนึกขำในใจว่า แหมมนุษย์นี่มันหาเรื่องกันสนุกจริงๆ
มันมีเรื่องให้เราทำทุกวันๆ งานมันมีเยอะที่จะต้องพิจารณา
ก็ดีเหมือนกันเรื่องมันเยอะดี ได้มีงานทำทุกวันๆ
ต่อไปแล้วก็ได้ศึกษาเรื่องชีวิตมนุษย์
ว่ามนุษย์เรานี้มันแผลงๆ เดี๋ยวเรื่องนั้นเดี๋ยวเรื่องนี้
มีเยอะแยะคดีแพ่งก็พวกหนึ่งคดีอาชญาก็ไปพวกหนึ่ง
มันก็ซ้ำๆ กันอยู่
อาตมาก็ต้องมาเทศน์ซ้าอยู่ทุกอาทิตย์ ว่าอย่างนี้
แล้วโยมที่มาฟังก็ซ้ำหน้าอยู่อย่างนี้
ถ้าอาตมานึกว่า เบื่อโยมเต็มทีแล้ว ซ้ำหน้ากันอยู่อย่างนี้
มันก็เลอะเทอะเท่านั้นเอง ไม่ได้เทศน์ให้โยมฟัง
ทีนี่โยมก็เหมือนกัน เบื่อเจ้าคุณปัญญาเต็มทีแล้ว
มาเจอกันทุกวันอาทิตย์ ก็ไม่ต้องฟังเทศน์พอไม่ฟังเทศน์
กิเลสมันก็เกิดเท่านั้นเอง ก็วุ่นวายอีก มันเปลี่ยนไม่ได้
มนุษย์เรามันต้องซ้ำกัน จนกว่าจะจบเรื่อง
อะไรที่เกิดขึ้นขอให้พอใจ เมื่อพอใจแล้วใจสบาย จะไม่วุ่นวาย
ไม่เดือดร้อนด้วยประการต่างๆ จะไม่เกิดเรื่อง
ดังที่เขาเกิดเขาเป็นกันอยู่ตลอดเวลา

เรามีลูกก็ต้องพอใจในการเลี้ยงลูก ต้องนึกถึงธรรมชาติของมนุษย์
ว่าเป็นผู้หญิงก็ตามผู้ชายก็ตาม มันต้องมีบุตรสืบสกุล
ถ้าเราแต่งงานมันก็ต้องมีบุตร
เมื่อมีบุตรแล้วก็ต้องเลี้ยงเขาด้วยความรัก ด้วยความเมตตา
จะเบื่อหน่ายไม่ได้ จะทอดทิ้งไม่ได้ มันผิดมนุษยธรรม
เราเป็นมนุษย์ก็ต้องทำอย่างนี้ ก็เลี้ยงกันไปตามหน้าที่
ก็ทำให้ใจสบาย เลี้ยงด้วยความพอใจในหน้าที่นั้น มันก็ไม่มีอะไร
ในเรื่องอื่นอีกก็ไม่เหมือนกัน เราพอใจเสียมันก็ไม่ยุ่ง
ทีนี้ถ้าไม่พอใจก็ต้องเปลี่ยน เดี๋ยวไปสูบกัญชา
กัญชานี่มันซ้ำซากซากฐานะ ไปสูบเฮโรฮีน
เลื่อนฐานะไปสูบฝิ่น เลื่อนฐานะต่อไป ก็เป็นฮิปปี้ฮิปโป้
มันเลอะต่อไป จิตใจที่ตกต่ำมันไปอย่างนี้ อันนี้ต้องระวัง

เรามีลูกมีเต้าก็ต้องสอนต้องอบรมเขา
ให้รู้ว่าชีวิตคืออะไร ในชีวิตนี้ต้องมีอะไร
จะต้องทำอย่างไรต้องคิดอย่างไร
มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นจะต้องแก้อย่างไร
ต้องอธิบายกันเสียบ้าง ให้เด็กๆ เข้าใจ
แม้คนร่วมงานกับเราก็เหมือนกัน
ถ้าเห็นว่าดูมันนั่งซึมๆ แล้วก็เรียกมาคุยกันเสียบ้าง
เป็นอย่างไรสบายดีหรือ มีปัญหาอะไรบ้าง เราเรียกมาแนะมาเตือน
เพื่อให้เขาเข้าใจในเรื่องปัญหาชีวิตถูกต้อง
แล้วจะได้ปรับปรุงอะไรกันต่อไป

นี้นำมาพูดสู่กันฟัง จากเรื่องที่เป็นข่าว
เพื่อจะเป็นเครื่องเตือนจิตสะกิดใจ
ว่าเราต้องอยู่ด้วยความพอใจในหน้าที่
อันเราจะต้องปฏิบัติในชีวิตประจำวัน
อะไรที่เป็นตัวปัญหาเกิดขึ้น
จงใช้ปัญญาพิจารณาปัญหานั้นอย่างรอบคอบ
เพื่อให้รู้สิ่งนั้นตามสภาพที่เป็นจริง
แล้วเราจะได้ไม่ต้องเป็นทุกข์เพราะสิ่งนั้นต่อไป


ดังที่กล่าวมาพอสมควรแก่เวลา จึงขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้


คัดลอกจาก...
http://www.panya.iirt.net/read/all-html/200605.html
ภาพประกอบจาก...
www.photoontour.com


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ธ.ค. 2008, 07:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ก.พ. 2008, 01:41
โพสต์: 128


 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนานะคะ :b17:

.....................................................
มีชีวิตอยู่เพื่อทำความดี..


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 4 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร