วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 22:47  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 13 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ย. 2008, 05:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




38.jpg
38.jpg [ 79.53 KiB | เปิดดู 5239 ครั้ง ]
อัตตา-อนัตตา-และอัตตา-นิรัตตา


ในสุตตนิบาต มีพุทธพจน์หลายแห่งตรัสถึงพระอรหันต์ คือผู้บรรลุจุดหมายแห่งชีวิตประเสริฐแล้ว หรือ

ท่านผู้ปฏิบัติถูกต้องแล้วว่า เป็นผู้ที่ ไม่มีทั้งอัตตา และ นิรัตตา หรือทั้ง อตฺตํ และนิรตฺตํ * แปล เป็นไทย

ง่ายๆว่า ไม่มีทั้งอัตตาและไร้อัตตา หรือ ไม่มีทั้งตัวตนและไร้ตัวตน


คัมภีร์มหานิทเทสอธิบาย “อตฺตา” หรือ “อตฺตํ” ว่าได้แก่ อัตตทิฏฐิ คือ ความเห็นว่าเป็นตัวตน

หรือ สัสสตทิฏฐิ คือความเห็นว่า (มีตัวตน) เที่ยงแท้ยั่งยืนคงอยู่ตลอดไป และ (นิรตฺตา” หรือ

“นิรตฺตํ” ว่าได้แก่ อุจเฉททิฏฐิ คือ ความเห็นว่า (ตัวตน) ขาดสูญ


อีกนัยหนึ่งอธิบาย อตฺตา หรือ อตฺตํ ว่าได้แก่ สิ่งที่ถือไว้ หรือ สิ่งที่ยึดถือ และ นิรตฺตา หรือ

นิรตฺตํ ว่าได้แก่ สิ่งที่จะต้องละหรือปล่อย

ถือเอาใจความว่า พระอรหันต์ ท่านผู้ปฏิบัติถูกต้อง หรือ ท่านผู้มีปัญญาเข้าใจถูกต้องแล้ว ย่อมไม่มีทั้งความ

ยึดถือตัวตน และ ทั้งความยึดถือว่า ไม่มีตัวตน (ตัวตนขาดสูญ)

ไม่มีทั้งสิ่งที่ยึดถือเอาไว้ และทั้งสิ่งที่จะต้อละต้องปล่อย หรือ ต้องสลัดทิ้ง


คัมภีร์มหานิทเทสอธิบายต่อไปอีกว่า ผู้ใดมีสิ่งที่ยึดถือไว้ ผู้นั้นก็มีสิ่งที่จะต้องปล่อยละ ผู้ใดมีสิ่งที่

จะต้องปล่อยละ ผู้นั้นก็มีสิ่งที่ยึดถือไว้

พระอรหันต์ ล่วงพ้นการยึดถือและการปล่อยละไปแล้ว **

ความเข้าใจในพุทธพจน์ และ อรรกถาธิบายข้างต้นนี้ จะช่วยให้เข้าใจความหมายของหลักอนัตตา

ครบถ้วนสมบูรณ์ยิ่งขึ้น

………………

* พระไตรปิฎกบาลีอักษรไทย ฉบับสยามรัฐเป็น อตฺตา และ นิรตฺตํ บ้าง เป็น อตฺตํ และนิรตฺตํ บ้าง ดู ขุ. สุ 25/410/488 ฯลฯ

** ดู ขุ.ม.29/107/97 ฯลฯ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 04 ก.ย. 2009, 19:28, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ย. 2008, 05:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมดาว่า ปุถุชนย่อมมีความยึดถือในตัวตนอย่างเหนี่ยวแน่น อย่างหยาบๆ ก็ถือเอารูป คือร่างกาย

เป็นตัวตน เมื่อคิดลึกซึ้งลงไป เห็นว่า ร่างกายเป็นตัวตนไม่ได้ เพราะมีความเปลี่ยนแปลงให้เห็น

ได้อย่างชัดๆโต้งๆ ก็เลื่อนไปยึดเอาจิต หรือ คุณสมบัติบางอย่างของจิต เช่น ความรู้สึก ความจำ

ปัญญา การรับรู้ เป็นต้น ว่าเป็นตัวตน


ถ้าใช้ศัพท์ธรรมก็ว่า ยึดเอาขันธ์ใดขันธ์หนึ่งเป็นอัตตา บางทีก็ยึดถือรวมๆ คลุมๆทั้งกายและใจ คือ

ขันธ์ 5 ทั้งหมดว่า เป็นตัวตน

บ้างคิดแยบยลลึกซึ้งต่อไปอีกว่า ทั้งกายและใจ หรือขันธ์หมดทั้ง 5 เป็นตัวตนไม่ได้ แต่มีตัวตนอยู่

ต่างหาก เป็นอัตตา หรืออาตมัน ตัวแท้ตัวจริงเป็นแก่น เป็นแกนของชีวิตซ้อนอยู่ภายในขันธ์ 5

หรืออยู่นอกเหนือจาก ขันธ์ 5 แต่เป็นตัวครอบครองควบคุมอยู่อีกชั้นหนึ่ง



เจ้าลัทธิ และนักปราชญ์เจ้าปัญญา ผู้สามารถทั้งหลาย พากันคิดค้นเรื่องตัวตนนี้ โดยโยงเข้ากับ

การค้นหาสภาวะแท้ที่มีอยู่จริงในขั้นสุดท้าย หรือ ตัวสัจธรรม หรือบรมธรรม


บางท่านก็ประกาศว่า ตนได้เข้าถึงสภาวะที่แท้จริงนั้นแล้ว อันเป็นตัวแท้ตัวจริง เป็นอัตตาหรืออาตมันสูงสุด

อย่างที่บัญญัติเรียกว่า ปรมาตมันบ้าง พรหมันบ้าง พระผู้เป็นเจ้าบ้าง


ต้องยอมรับว่า เจ้าลัทธิและนักปราชญ์เหล่านั้น เป็นเจ้าความคิดอย่างสูง มีความรู้ความสามารถมาก

อย่างที่ท่านเรียกว่า เป็นสมณพราหมณ์ ผู้ประเสริฐ หรือ เป็นเจ้าทฤษฎีชั้นพรหม และสภาวะที่ท่าน

เหล่านั้นกล่าวถึงก็ประณีตลึกซึ้งอย่างยิ่ง

แต่ตราบใด ที่สภาวะนั้นยังมีความเป็นตัวตนติดอยู่ หรือยังเป็นเรื่องของตัวตน ก็พึงทราบว่ายังไม่ใช่

สภาวะที่จริงแท้ ไม่ใช่ปรมัตถธรรม ไม่ใช่บรมธรรม เพราะยังถูกเคลือบคลุม และยังพัวพันด้วยความ

ยึดถือ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 20 ก.ค. 2010, 17:12, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ค. 2009, 18:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สภาวะจริงแท้นั้นมีอยู่ มิใช่เป็นความสูญสิ้นไปไม่มีอะไรเลย แต่ก็มิใช่เป็นสภาวะ ที่จะเข้าถึง หรือ

ประจักษ์ได้ ด้วยความรู้ที่ถูกกั้นบังให้พร่ามัว หรือ บิดเบือนโดยภาพเก่าๆ ที่ผิดพลาด และด้วยจิตที่ถูก

ฉุดรั้งไว้ โดยความยึดติดในภาพเก่าที่ผิดพลาดนั้น

การที่สมณพราหมณ์ผู้ประเสริฐ หรือ เจ้าลัทธิชั้นพรหมจำนวนมาก ไม่สามารถรู้แจ้งแทงตลอดถึงสภาวะ

แท้จริงขั้นสุดท้าย ก็เพราะว่า แม้ว่าสมณพราหมณ์ผู้ประเสริฐ หรือ เจ้าลัทธิเจ้าทฤษฎีเหล่านั้นจะรู้ชัด

แล้วว่า ตัวตนระดับกายใจ ชนิดที่เคยยึดถือมาก่อนไม่ใช่เป็นสภาวะที่จริงแท้ และ ไม่ยอมรับแม้กระทั่ง

ขันธ์ 5

แต่ท่านเหล่านั้น ก็ยังนำเอาเครื่องพรางตาตัวเอง ๒ อย่าง ของปุถุชนติดตัวไปด้วยตลอดเวลา ในการค้น

หาสภาวะที่แท้จริงขั้นสุดท้าย กล่าวคือ

๑.บัญญัติ (concept) แห่งอัตตา คือมโนภาพของตัวตนที่เป็นคราบติดมาตั้งแต่ครั้งยึดติด

ในตัวตนหยาบระดับร่างกาย แม้มโนภาพนี้จะละเอียดประณีตขึ้นมากเพียงใด มันก็เป็นภาพอันเดียว

กัน หรือ เทือกเถาเดียวกันอยู่นั่นเอง และเป็นภาพแห่งความหลงผิด ซึ่งเมื่อเขาไปเกี่ยวกับสภาวะ

ใดๆ เขาก็จะเอาบัญญัติหรือมโนภาพอันนี้ ไปป้ายหรือฉาบทาสภาวะนั้น ทำให้มีสิ่งกั้นบัง เกิดความ

พร่ามัว หรือ บิดเบือน และทำให้สภาวะที่เขาเข้าใจ ไม่ใช่สภาวะจริงแท้นั้นเองที่ล้วนๆบริสุทธิ์

๒. ความยึดติดถือมั่น (อุปาทาน) ที่เขามีมาแต่เดิม ตั้งแต่ยึดติดในอัตตาอย่างหยาบๆขั้นต้น

ซึ่งเป็นความหลงผิดอยู่แล้ว เขาก็ยังเอาความยึดติดนี้ไปด้วย และ นำไปในการสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับ

สภาวะที่จริงแท้ ความยึดติดในภาพตัวตนนี้ จึงกลายเป็นเครื่องฉุดรั้งเขาไว้ให้ไม่อาจเข้าถึงสภาวะ

ที่จริงแท้นั้นได้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ค. 2009, 18:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้าพูดอย่างสั้นๆก็คือ สมณพราหมณ์ หรือ เจ้าทฤษฎีเหล่านั้น ยังไม่หลุดพ้นนั่นเอง

ยังไม่หลุดพ้นจากบัญญัติ หรือ ภาพที่หลงผิด และ ยังไม่หลุดพ้นจากความยึดติดถือมั่น ซึ่งว่า ที่จริง

ก็พันกันอยู่เป็นเรื่องเดียวกัน คือ

พูดรวมเข้าด้วยกันได้ว่า พวกเขาหลงผิดหยิบเอาภาพอัตตา ที่ติดมาจากอุปาทานเดิมของตนไปปิดทับ

สภาวะ หรือ กระบวนการที่มีอยู่ตามธรรมชาติเสีย เลยวนเวียนติดตันอยู่ตามเดิม


ความหลุดพ้นนี้ เป็นเงื่อนไขสำคัญที่จะให้เข้าถึง หรือ รู้ประจักษ์สภาวะที่จริงแท้ได้ เพราะสภาวะจริง

แท้ขั้นสุดท้ายหรืออสังขตธรรม มีภาวะตรงข้ามกับสภาวะฝ่ายปรุงแต่ง หรือ สังขตธรรม เป็นสภาวะที่ถึง

เมื่อสภาวะฝ่ายสังขตะสิ้นสุดลง คือ เป็นสภาวะที่จะเข้าถึงเมื่อละความยึดถือในอัตตาได้แล้ว

แม้แต่จะพิจารณาในระดับสังขตธรรม คือ สังขาร

ถ้าพิจารณาตามแนวพุทธธรรม ดังได้บรรยายมาแล้วข้างต้นว่า อัตตาหรือตัวตนเป็นสิ่งสมมุติ

สภาวะที่จริงแท้ ย่อมเป็นสิ่งตรงข้ามกับสมมุติ เป็นคนละเรื่องคนละด้านกัน

อัตตามีสำหรับสิ่งสมมุติ เมื่อพ้นจากสมมุติ จึงจะเข้าถึงสภาวะจริงแท้

สภาวะจริงแท้จะเป็นอัตตาไม่ได้

พูดง่ายๆอย่างชาวบ้านว่า ของจริงต้องไม่เป็นอัตตา ถ้ายังเป็นอัตตาก็ไม่ใช่ของจริง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ค. 2009, 19:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตัวการสำคัญของความหลงผิด ก็คือบัญญัติ หรือ ภาพของอัตตา กับความยึดติดถือมั่น หรือ ความยึดถือ

ในเมื่ออัตตา หรือ ตัวตนไม่มีอยู่จริง เป็นเพียงสมมุติ มันจึงเป็นเพียงสิ่งที่ถูกยึดถือเอาไว้

ฉะนั้น ในสุตตนิบาตที่อ้างข้างต้น คำว่า “อัตตา” หรือ “อัตตัง” จึงแปลได้ 2 อย่าง คือ

แปลว่า ตัวตน หรือ การยึดถือตัวตนก็ได้ แปลว่า สิ่งที่ยึดถือเอาไว้ก็ได้

หมายความว่า ตัวตน ก็คือสิ่งที่ยึดถือเอาไว้เท่านั้นเอง มิใช่สภาวะที่มีอยู่จริง

อีกประการหนึ่ง ในสุตตนิบาตที่อ้างถึงนั่นแหละ ท่านกล่าวถึง อัตตา คู่กับ นิรัตตา

หรือ อัตตัง คู่กับ นิรัตตัง และบอกว่า พระอรหันต์ หรือ ผู้ปฏิบัติชอบ ไม่มีทั้งอัตตา หรือ อัตตัง

และไม่มีทั้งนิรัตตา หรือ นิรัตตัง

นิรัตตา หรือ นิรัตตัง ก็แปลได้ 2 อย่าง เช่นเดียวกับอัตตา หรือ อัตตัง คือ

แปลว่า (การยึดถือว่า) ไม่มีอัตตา หรือ การถือว่า (อัตตา) ขาดสูญ ก็ได้

แปลว่า สิ่งที่จะต้องปล่อยละหรือสลัดทิ้งก็ได้

ข้อนี้หมายความว่า เมื่อไม่ยึดถือว่า มีอัตตาแล้ว เลิกความเห็นผิดยึดถือผิดต่อสิ่งสมมุติได้เสร็จแล้ว

ก็แล้วกัน จบเท่านั้น ไม่ต้องไปยึดถืออีกว่า ไม่มีอัตตา ตัวเองจะเป็นอิสระสบายดีอยู่แล้ว

แต่ไปจับยึดสิ่งที่พาให้ผิดเข้า เมื่อเลิกจับเลิกยึดได้แล้ว ก็จบเรื่อง

ไม่ต้องไปจับ ไปยึดอะไรอีก เมื่อไม่มีสิ่งที่ยึดถือเอาไว้ ก็ไม่มีสิ่งที่จะต้องละต้องปล่อย

เหมือนดังพุทธพจน์ที่ว่า “สิ่งที่ยึดถือไว้ก็ไม่มี แล้วสิ่งที่ต้องปล่อยละ จะมีมาแต่ที่ไหน

(นตฺถิ อตฺตา กุโต นิรตฺตํ วา”

(ขุ.สุ.25/420/514)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ค. 2009, 19:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พึงสังเกตด้วยว่า ถ้าจะพูดกันให้ถูกต้องจริงๆแล้ว แม้แต่คำว่า ความยึดถืออัตตา ก็ใช้ไม่ได้ ต้องพูดว่า

ความยึดถือในภาพของอัตตา หรือ ยึดถือบัญญัติแห่งอัตตา เพราะอัตตาเป็นเพียงสิ่งสมมุติ ไม่มีอยู่จริง

ในเมื่ออัตตาไม่มีอยู่จริง ก็เพียงไม่ยึดถือ (ว่ามี) อัตตา หรือ ไม่ยึดถือบัญญัติของอัตตาเท่านั้น

ไม่ต้องละอัตตา เพราะไม่มีอัตตาที่จะยึดถือได้ จะไปละอัตตาที่ไหน

การถือ (ว่ามี) อัตตา ก็คือการสร้างภาพอีกอันหนึ่งขึ้นมาซ้อนสภาพความเป็นจริงที่มีอยู่เป็นอยู่ สิ่งที่จะต้องทำ

ก็เพียงเลิกสร้างภาพนั้นเท่านั้น

ถ้าไม่เลิกสร้างภาพนั้น แม้เลิกยึดถืออย่างหนึ่งแล้ว ไปจับสิ่งอื่นอะไรก็ตาม ก็จะเอาภาพหรือคราบของอัตตา

ไปปะติดหรือป้ายหรือฉาบทาสิ่งนั้นให้ไม่เห็นตัวจริงหรือเห็นผิดเพี้ยนไป

ดังนั้น กิจที่จะต้องทำก็คือ เลิกถอนความยึดติดถือมั่นในภาพอัตตาที่เคยมี แล้วไม่ยึดอะไรใหม่ว่าเป็น

อัตตา และทั้งไม่ตกไปในนิรัตตา ก็จะมีแต่สภาวะแท้ที่มีอยู่จริง ซึ่งไม่เกี่ยว ไม่เป็นไปตาม ไม่ขึ้นต่อความ

ยึดถือของตน



ในเมื่อตัวตนเป็นสิ่งสมมุติ เป็นบัญญัติ (concept) เพื่อประโยชน์ในการสื่อสาร

ถ้าเราเพียงแต่รู้เท่าทัน ใช้โดยไม่ยึดติด มันก็ไม่มีพิษสง ไม่ก่อให้เกิดโทษความเสียหาย

อันใด และถ้าเรา เคยยึดถือมันก็เพียงแต่เลิกยึดเท่านั้น เมื่อไม่มีการยึดแล้ว ก็เป็นอันจบเรื่อง

ไม่ต้องเอาภาพอัตตาไปใส่ให้อะไรอีก ไม่ต้องไปคว้าเอาอะไรมายึดเป็นอัตตาอีก ตลอดจน

ไม่ต้องค้นหาอัตตาที่ไหนอีก


เพราะฉะนั้น ภาระในการสอนของพระพุทธเจ้า จึงมีเพียงแค่ทรงสอนให้เลิกยึดอัตตา

ที่ยึดถืออยู่แล้วเท่านั้น คือให้เลิกยึดถือขันธ์ ๕ เป็นอัตตา เมื่อเลิกยึดอัตตาแล้ว ก็เป็นอันหมดเรื่อง

กับอัตตา

ต่อนั้นไป ก็เป็นเรื่องของการเข้าถึงสภาวะที่จริงแท้ ซึ่งมีอยู่ แต่ไม่เกี่ยวอะไรกับอัตตา จึงเรียกว่า

เป็นอนัตตา เป็นเรื่องพ้นจากการยึดถืออัตตาแล้ว และก็ไม่ต้องไปยึดถือต่อไปอีกว่า มีอัตตา

หรือ ไม่มีอัตตา

สิ่งที่ไม่มี เมื่อรู้ว่าไม่มีแล้ว ก็เสร็จเรื่องกัน จากนั้นก็เข้าไปหาสิ่งที่มีจริง หรือ สภาวะจริงแท้

คือ อสังขตธรรม ซึ่งไม่เป็นเรื่องของอัตตาอีกต่อไป

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2009, 18:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


(ต่อ)


ผลร้ายที่สำคัญอย่างหนึ่ง ของการยึดติดในอัตตา หรือ ยึดถือบัญญัติแห่งอัตตา ก็คือ

ผู้ยึดถือจะโยงอัตตานี้ เข้ากับความหมายว่า เป็นตัวแก่น หรือ ตัวการที่มีอำนาจบังคับบัญชาบันดาล

ให้เป็นไปต่างๆ

เมื่อความคิดในเรื่องอัตตานี้ ละเอียดลึกซึ้งขึ้นไป จนถึงสภาวะขั้นสุดท้าย ก็จะสร้างความคิดให้มีอัตตา

หรือ อาตมันใหญ่ อันเป็นสากลที่เป็นผู้สร้างผู้บันดาลทุกสิ่งทุกอย่าง จินตนาการให้มีพระผู้สร้างเข้ามา

ช้อนแทรกแซงกระบวนการแห่งเหตุปัจจัยโดยไม่จำเป็น

ที่ว่าไม่จำเป็น ก็เพราะสภาวธรรมทั้งหลายก็มีอยู่ได้เอง กระบวนธรรมก็เป็นไปตามเหตุปัจจัยของมันอยู่เอง

โดยไม่ต้องมีผู้สร้างผู้บันดาล

ถ้าจะว่า ต้องมีผู้สร้างก่อนเป็นเบื้องแรก จึงจะมีสิ่งทั้งหลายได้ จึงต้องมีพระเจ้าเป็นผู้สร้างสภาวธรรม

ถ้าเช่นนั้นก็ให้สภาวธรรมทั้งหลายนั่นแหละ เป็นสิ่งที่มีอยู่ก่อนเป็นเบื้องแรกแทนพระเจ้าเลย

(เพราะสภาวธรรมก็ปรุงแต่งกันตามเหตุปัจจัย เรียกอย่างง่ายๆ ว่าสร้างกันและกันเองได้อยู่แล้ว) จะได้ตัด

ปัญหา ไม่ต้องไปวุ่นวายตอบคำถาม

ย้อนต่อไปอีกว่า อะไรมีอยู่ก่อนแล้วพระเจ้าจึงมีขึ้นได้ หรือ ว่าใครสร้างพระเจ้า คือใครให้กำเนินพระเจ้า

หรือว่าพระเจ้ามาจากไหน

ถ้าจะว่า การที่สภาวธรรมทั้งหลายหรือกระบวนธรรมต่างๆ จะเป็นไปตามเหตุปัจจัย ก็ต้องมีผู้บันดาลให้เป็น

ไปคือมีพระเจ้าอยู่เบื้องหลัง ข้อนี้ก็เกินจำเป็นและไม่สมจริงอีก เพราะถ้ามีพระเจ้าเป็นผู้บันดาลจริง ก็จะ

กลายเป็นว่ามีระบบซ้อนกันอยู่ ๒ ชั้น คือพระเจ้าชั้นหนึ่ง กับกระบวนธรรมอีกชั้นหนึ่ง

กระบวนธรรมจะเป็นไปอย่างไร ก็ต้องรอการบันดาลจากพระจ้า แต่กระบวนธรรมจะเป็นไปตามการบันดาลของ

พระเจ้าก็ไม่สะดวก เพราะมันจะต้องเป็นไปตามเหตุปัจจัยภายในระบบของมันเองอยู่แล้ว คือ องค์ประกอบ

ต่างๆ เกิดดับก็เป็นปัจจัยส่งต่อสืบทอดแก่กันในกระบวนธรรม การบันดาลของพระเจ้า เลยจะกลายเป็นการ

แทรกแซงขัดขวาง และ ขัดแย้งกับความเป็นไปของกระบวนธรรมเสียมากกว่า

ยิ่งกว่านั้น ถ้าพระเจ้าบันดาล พระเจ้ามีอารมณ์เปลี่ยนแปลงได้ ก็จะให้สภาวธรรมเป็นไปตามพระประสงค์

เดี๋ยวก็จะให้เป็นไปอย่างโน้น เดี๋ยวก็จะให้เป็นไปอย่างนี้ กระบวนธรรมก็ยิ่งไม่มีทางเป็นไปตามเหตุปัจจัย

ก็จะยิ่งปั่นป่วนวุ่นวายมาก แต่ความจริงก็ไม่เป็นเช่นนั้น

กระบวนธรรมก็คงเป็นไปของมันตามเหตุปัจจัย

ถ้าจะว่า ที่กระบวนธรรมเป็นไปตามเหตุปัจจัยนั้นก็เพราะเป็นกฎ และพระเจ้าเป็นผู้สร้างหรือวางกฎนั้นไว้

ถ้าเช่นนั้น กฎก็จะต้องไม่แน่นอน อาจเปลี่ยนแปลงเมือไรก็ได้ ไม่อาจวางใจได้ เพราะมีผู้วางกฎ

และ ผู้วางกฎก็ยังอยู่ต่างหากจากกฎ อีกทั้งมีความประสงค์ของตนที่เปลี่ยนแปรได้ เพิ่มลดดัดแปลงได้

แต่ตามความเป็นจริง กฎก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง และตามความเป็นจริงของนั้น ก็ไม่จำเป็นและไม่อาจ

จะมีผู้สร้างกฎด้วยซ้ำ เพราะสภาวธรรมทั้งหลาย จะต้องเป็นไปอย่างใดอย่างหนึ่ง และมันก็ได้เป็นมา

อย่างที่มันเป็นอยู่นี้ คือ เป็นไปตามเหตุปัจจัย โดยที่มันก็เป็นเช่นนั้นเอง (ตถตา)

เพราะมันไม่เป็น และ ไม่อาจจะเป็นไปอย่างอื่น (อวิตถตา)

กฎเป็นเพียงบัญญัติ (concept) ซึ่งเกิดจากการที่สภาวธรรมทั้งหลายมันเป็นไปอย่างนั้นต่างหาก

อนึ่ง การไม่มีพระเจ้า ผู้สร้างผู้บันดาล และ การที่กระบวนธรรมเป็นไปตามหตุปัจจัยของมันเองนั้น

ยังตัดปัญหาไปได้อีกอย่างหนึ่ง คือ สภาวะแท้จริงขั้นสุดท้าย หรือ อสังขตธรรม ก็มีอยู่ตามสภาวะของมัน

โดยไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวเป็นผู้สร้างผู้บันดาลสิ่งต่างๆ ไม่ต้องมาแทรกแซงขัดขวาง หรือ ขัดแย้งกับกระบวน

ธรรมฝ่ายสังขตะ (ในแง่นี้จะเป็นว่า นิพพานไม่มีทางเป็นพระเจ้า หรือ God ได้เลย

ไม่ว่าบางท่านจะพยายามเพียงใดก็ตาม ที่จะเทียบให้เป็นอย่างเดียวกัน นอกจากจะยอมปรับความหมาย

ของ God เสียใหม่ *)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2009, 18:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


(ขยายความ คห.บนที่มีเครื่องหมาย *)


* ว่าที่จริง ทั้งคำว่าพระเจ้า และคำว่า God ต่างก็จัดอยู่ในจำพวกคำที่มีขอบเขตความหมาย

ไม่ลงตัว

คำว่า พระเจ้านั้น แต่เดิมเป็นคำที่ชาวพุทธใช้เรียกพระพุทธเจ้า (พระผู้เป็นเจ้า ก็เป็นคำเรียก

พระภิกษุ) ต่อมา เมื่อชาวคริสต์ใช้คำนั้นเรียกเทพสูงสุดของตนแล้ว ชาวพุทธก็ปล่อย จนลืม

ความหมายที่ตนเคยไช้เดิม

ส่วนคำว่า God ชาวคริสต์ ใช้เรียกเทพสูงสุด ที่ตนนับถือว่า เป็นผู้สร้างโลก มีลักษณะเป็นตัว

บุคคล

แต่นักปราชญาบางคนแปรขยายความหมายของ God ออกไป เป็นสภาวะนามธรรม ซึ่งไม่จำเป็นต้อง

เกี่ยวกับการสร้างโลก

นักปราชญ์คริสต์สมัยใหม่บางท่านก็อธิบายความหมายของ God อย่างเป็นนามธรรม ไม่เป็นตัวบุคคล

แต่สถาบันศาสนาคริสต์ไม่ยอมรับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2009, 19:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อว่าโดยสามัญวิสัย ย่อมเป็นธรรมดาที่มนุษย์ทั่วไป จะต้องคิดว่ามีตัวตน มีพระผู้สร้าง

ผู้บันดาลโลก และ ชีวิต เพราะตามที่มองเห็นด้วยสายตา การที่อะไรจะเกิดขึ้นจะเป็นไปอย่างไร

ก็ต้องมีผู้สร้างหรือทำ

ส่วนการที่จะมองเห็นเหตุปัจจัยซึ่งเป็นไปอยู่เบื้องหลังภาพของผู้สร้างผู้ทำนั้น เป็นเรื่องลึกซึ้งเห็นได้ยาก

ดังนั้น ในสมัยโบราณ แม้แต่ฟ้าร้อง ลมพัด น้ำท่วม แผ่นดินไหว ก็จึงเข้าใจกันไปว่ามีเทวดาประจำอยู่

เป็นผู้สร้างทั้งนั้น

ด้วยเหตุนี้ จึงมิใช่เรื่องแปลกที่สมณพราหมณ์ ผู้ประเสริฐ หรือ เจ้าลัทธิชั้นพรหมจะพากันมาติดอยู่

ในความคิดเรื่องอัตตา หรือ อาตมัน และ พระผู้สร้างผู้บันดาล

ท่านผู้มีปัญญามาก ก็ทำความคิดในเรื่องนี้ให้ละเอียดซับซ้อนกว้างขวางมาก

แต่โดยสาระก็พากันมาวนเวียนติดอยู่ที่จุดเดียวกันนี้

การที่พระพุทธเจ้า ซึ่งก็น่าจะติดอยู่ในวงความคิดนั้น แล้วขยายบัญญัติให้ละเอียดประณีตยิ่งขึ้นไป แต่กลับ

ทรงค้นพบความเป็นอนัตตา หลุดพ้นจากความยึดถือตัวตน มาทรงแสดงให้เห็นว่ากระบวนธรรมเป็นไปตาม

เหตุปัจจัยได้อย่างไร โดยไม่ต้องมีผู้สร้างผู้บันดาล และอสังขตธรรม ซึ่งเป็นสภาวะแท้จริงสูงสุด

มีอยู่ได้โดยไม่ต้องเป็นอัตตา ไม่ต้องเกี่ยวกับการสร้างสรรค์บันดาลอย่างไร



ข้อนี้ นับเป็นความก้าวหน้าครั้งยิ่งใหญ่และสำคัญยิ่งแห่งวิวัฒนาการทางปัญญาในประวัติศาสตร์

ของมนุษยชาติ เป็นการถอนตัวหลุดพ้นจากหลุมดักอันใหญ่โตแสนลึกที่มหาชนพากันมาตกติดอยู่

นักปราชญ์ยิ่งใหญ่ในอดีตก่อนหน้านั้น แม้จะเข้าใจถึงหลักอนิจจตา และทุกขตา แต่ก็มาติดอยู่ในความคิด

เรื่องอัตตา

ความเป็นอนัตตาจึงเป็นภาวะที่เห็นได้ยากมาก

พระพุทธเจ้าเมื่อจะทรงอธิบายความเป็นอนัตตา ก็มักต้องทรงแสดงโดยใช้อนิจจลักษณะและทุกขลักษณะ

เป็นเครื่องช่วยชี้นำ

ข้อที่ว่า อนัตตาเห็นได้ยากจนต้องใช้อนิจจตาและทุกขตาเป็นเครื่องช่วยอธิบายก็ดี

การค้นพบอนัตตา เป็นความก้าวหน้าสำคัญของปัญญา และไม่ปรากฏก่อน หรือ นอกพระพุทธศาสนาก็ดี

เป็นเรื่องที่พระอรรถกถาจารย์ก็ได้ตระหนักอยู่แล้ว

ดังจะได้ยกคำกล่าวของท่านมาแสดงต่อไป *

......

* วิภงฺค.อ.63-64; วินย.ฎีกา 4/82 และบางส่วนใน ม.อ.2/151-2

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2009, 19:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


(ต่อ)


แท้จริง พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อจะทรงแสดงอนัตตลักษณะ ย่อมแสดง

ด้วยความไม่เที่ยงบ้าง

ด้วยความเป็นทุกข์บ้าง

ด้วยความไม่เที่ยง และ ความเป็นทุกข์บ้าง

ในข้อที่ว่านั้น พระองค์ทรงแสดงอนัตตลักษณะด้วยความไม่เที่ยง ในพระสูตรนี้ว่า

ภิกษุทั้งหลาย บุคคลใดพึงกล่าวว่า จักขุ (ตลอดถึงกายและใจ) เป็นอัตตา คำกล่าว

ของผู้นั้นไม่สม (เพราะว่า) จักขุ (ตลอดถึงกายและใจ) ย่อมปรากฏแม้ความเกิด

แม้ความเสื่อม ผู้มีความเกิดขึ้น และ ความเสื่อมไปปรากฏนั้น ก็จะต้องลงเนื้อความว่า อัตตาของเรา

เกิดขึ้นและเสื่อมไป เพราะฉะนั้น คำที่กล่าวว่า จักขุ (ตลอดถึงกายและใจ) เป็นอัตตานั้น

จึงไม่สม

จักขุ (ตลอดถึงกายและใจ) ย่อมเป็นอนัตตา ฉะนี้

(ม.อุ. 14/818/512)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2009, 19:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


(ต่อ)


“พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงอนัตตลักษณะ ด้วยความเป็นทุกข์ ในพระสูตรนี้ว่า

ภิกษุทั้งหลาย รูปเป็นอนัตตา

ก็ถ้ารูป จักได้เป็นอัตตาแล้วไซร้ รูปนี้ก็ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ (มีความบีบคั้นข้องขัด =

ทุกข์) และใครๆ ก็พึงได้ (ตามปรารถนา) ในรูปว่า รูปของเราจงเป็นไปอย่างนี้ รูปของเรา

จงเป็นอย่างนี้ รูปของเราอย่าได้เป็นอย่างนี้

แต่เพราะรูปเป็นอนัตตา ฉะนั้น รูปจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ (= ทุกข์) และจึงไม่ได้ (ตามปรารถนา)

ในรูปว่า รูปของเราจงเป็นอย่างนี้ รูปของเราอย่าได้เป็นอย่างนี้

(สํ.ข.17/127/82)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2009, 19:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


(ต่อ)



“พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงอนัตตลักษณะ ด้วยความไม่เที่ยงและความเป็นทุกข์
ในพระสูตรทั้งหลาย เช่นที่ว่า ภิกษุทั้งหลาย รูปไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใด
เป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา
สิ่งใดเป็นอนัตตา สิ่งนั้นพึงเห็นด้วยสัมมาปัญญาตามที่มันเป็นอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา มิใช่เราเป็นนั่น
นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา

(สั.ข. 17/42/28)


“เพราะเหตุไร จึงทรงแสดอย่างนี้ ?
เพราะความไม่เที่ยง และ ความเป็นทุกข์เป็นสภาพปรากฏ (คือ มองเห็นได้ง่าย)
จริงทีเดียว เมื่อถ้วยชาม ขัน หรือ วัตถุอย่างใดอย่างหนึ่ง ตกจากมือแตก
ชนทั้งหลาย ย่อมกล่าวว่า “โอ้ อนิจจัง” อย่างนี้ ความไม่เที่ยง จึงชื่อว่าเป็นของปรากฏ
เมื่อฝี และ ตุ่ม เป็นต้น เกิดขึ้นตามร่างกาย หรือ ถูกตอถูกหนามเป็นต้นทิ่มตำ
ชนทั้งหลาย ย่อมกล่าวว่า “โอย ทุกข์น่ะ” อย่างนี้ ทุกข์ จึงชื่อว่าเป็นของปรากฏ
ส่วนอนัตตลักษณะ ไม่ปรากฏ คือไม่กระจ่างแจ้ง เข้าใจตลอดได้ยาก แสดงได้ยาก บัญญัติได้ยาก


“อนิจจลักษณะ และทุกขลักษณะนั้น พระตถาคตทั้งหลาย จะอุบัติหรือไม่ก็ตาม ก็ย่อมปรากฏ
แต่อนัตตลักษณะ ย่อมไม่ปรากฏ นอกจากพระพุทธเจ้าจะทรงอุบัติขึ้น จะปรากฏก็แต่ในอุบิตกาล
ของพระพุทธเจ้าเท่านั้น
จริงอยู่ ท่านดาบสและปริพาชกทั้งหลาย ผู้มีฤทธิ์มาก มีอนุภาพมาก ดังเช่น สรภังคศาสดาเป็นต้น
ย่อมสามารถกล่าวว่า อนิจจัง ทุกขัง ได้ แต่ไม่สามารถที่จะกล่าวว่า อนัตตา
แม้นหากว่า สรภังคศาสดา เป็นต้นเหล่านั้น จะพึงสามารถกล่าวว่า อนัตตา แก่บริษัทที่ประชุมกันได้แล้ว
บริษัทที่มาประชุมกัน ก็คงจะมีการบรรลุมรรคผลได้
แท้จริง การบัญญัติ (ยกขึ้นมาวางให้ดู) อนัตตลักษณะ มิใช่วิสัยของใครๆอื่น หากเป็นวิสัย
ของพระสัพพัญญูพุทธเจ้าทั้งหลายเท่านั้น
อนัตตลักษณะนี้ เป็นของไม่ปรากฏโดยนัย ดังกล่าวฉะนี้”

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ส.ค. 2009, 05:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.พ. 2009, 04:12
โพสต์: 1067


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

:b47: อนุโมทนาสาธุค่ะ อาจารย์ เคยได้ยินคำว่า
อนัตตลักษณะสูตร สนใจมานาน เพิ่งจะได้ความกระจ่าง
วันนี้เอง และเข้าใจเพิ่มคำว่าอัตตา มากยิ่งขึ้น รู้สึกเบิกบาน
ใจกับกระทู้นี้ของอาจารย์เป็นพิเศษ

:b47: อีกคำคือ อทิตปริยายสูตร ไม่ทราบเขียนถูก
หรือเปล่า ถ้าอาจารย์จะกรุณา ศิษย์ขอกราบ
อนุโมทนาสาธุล่วงหน้าค่ะ


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
...นฺตถิตัณหา สมานที...
ห้วงน้ำใหญ่โต เสมอด้วยตัณหาไม่มี


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 13 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 7 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร