วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 22:01  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 12 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ต.ค. 2008, 22:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
[ภาพสีน้ำมันบนผ้าใบ ติดทองคำเปลว ‘แผ่นดินอุดมธรรม’ สร้างสรรค์โดย อาจารย์พิชัย นิรันดร์ : ศิลปินแห่งชาติ
สาขาทัศนศิลป์ (วิจิตรศิลป์) จิตรกรรม จากสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กรุงเทพฯ ปี ๒๕๔๖]



ศ า ส น ธ ร ร ม ใ น ก ร ะ แ ส แ ห่ ง ก ลี ยุ ค
พระไพศาล วิสาโล

การพูดถึงศาสนธรรมท่ามกลางความร้อนแรงของสงครามในขณะนี้
ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ขัดแย้งกันมาก
แต่ถ้ามองให้ลึกซึ้งแล้ว ทั้ง ๒ ประเด็นเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกันมาก
แม้ว่าการบรรยายในวันนี้ไม่ได้จัดขึ้นเพื่อรับกับสงครามที่กำลังเกิดขึ้นในอิรัก
หากเป็นความบังเอิญที่มาประจวบเหมาะกัน
แต่ก็คงจะให้แง่มุมบางประการที่ช่วยให้เข้าใจเหตุการณ์ดังกล่าวได้ดีขึ้น

• ยุ ค แ ห่ ง ค ว า ม สุ ด ขั้ ว

กลียุคนั้นมีลักษณะสำคัญประการหนึ่ง คือมีลักษณะสุดขั้วมากๆ
ถ้าดูให้ดี ยุคนี้จะมีลักษณะสุดขั้วหลายประการ
จนอาจเรียกได้ว่าเป็นยุคแห่งความสุดขั้ว
ที่จริงคำว่า “ยุคแห่งความสุดขั้ว” นี้ เป็นสมญานามของศตวรรษที่แล้ว
อิริค ฮอบสบอม ซึ่งเป็นนักประวัติศาสตร์ลือชื่อคนหนึ่งเป็นผู้ขนานนามนี้
เนื่องจากศตวรรษที่แล้วมีสงครามและการทำลายล้างที่สุดขั้วมากมายเป็นประวัติการณ์

เช่น สงครามโลกทั้ง ๒ ครั้ง การล้างเผ่าพันธุ์ในยุคนาซี ในอาฟริกา เขมรและคาบสมุทรบัลข่าน
การทำลายชีวิตผู้คนนับแสนในพริบตาด้วยระเบิดปรมาณูในฮิโรชิม่าและนางาซากิ
อีกทั้งยังมีการปราบปรามทางการเมืองที่เหี้ยมโหดจนคนตายเป็นล้านๆ ในรัสเซียและจีน
รวมทั้งความอดอยากหิวโหยจนคนล้มตายอย่างมหาศาลในอาฟริกา

อย่างไรก็ตามยุคแห่งความสุดขั้วไม่ได้ยุติไปพร้อมกับศตวรรษที่ ๒๐
แต่ยังตามมาถึงศตวรรษนี้ แม้ปรากฏในรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป

• ค ว า ม สุ ด ขั้ ว ใ น ยุ ค โ ล ก า ภิ วั ต น์

ในยุคที่เรียกว่าโลกาภิวัตน์นี้ มีความสุดขั้วเกิดขึ้นหลายประการ
ประการแรกก็คือความแตกต่างอย่างสุดขั้วระหว่างคนรวยกับคนจน อาทิ

• คนรวยที่สุดในโลก ๓ คนมีทรัพย์สินรวมกัน
แล้วมากกว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของประเทศที่ยากจนที่สุด ๔๘ ประเทศรวมกัน

• คนรวยไม่กี่ร้อยคนมีสินทรัพย์รวมกัน
เท่ากับคนยากจน ๒,๕๐๐ ล้านคน หรือเกือบครึ่งโลก

• ในยุคที่มั่งคั่งล้นเหลือ คน ๓,๐๐๐ ล้านคนกลับขาดสาธารณูปโภคพื้นฐาน
ในจำนวนนี้ ๑,๓๐๐ ล้านขาดน้ำ ๘๐๐ ล้านขาดอาหาร


ความแตกต่างอย่างสุดขั้วทางเศรษฐกิจนี้
ยังเห็นได้จากข้อเท็จจริงที่ว่า
ในขณะที่คนนับพันล้านขาดน้ำและสาธารณูปการ
ซึ่งหากจะให้คนมีน้ำสะอาดและสาธารณูปโภคพื้นฐานใช้อย่างทั่วถึง
ต้องใช้เงิน ๙,๐๐๐ ล้านเหรียญ

แต่ปรากฏว่าเงินจำนวนนี้เทียบไม่ได้เลย
กับเงินที่คนในยุโรปและสหรัฐจ่ายค่าน้ำหอม ซึ่งมากถึง ๑๒,๐๐๐ ล้านเหรียญ
ในทำนองเดียวกันเงินค่าไอศครีมของคนยุโรปรวมกันแล้ว ๑๑,๐๐๐ ล้านเหรียญ
ยังมากกว่าเงินที่จำเป็นสำหรับจัดการศึกษาให้แก่คนทั่วโลก คือ ๖,๐๐๐ ล้าน

นอกจากความสุดขั้วทางเศรษฐกิจแล้ว
ยุคนี้ยังมีการแบ่งออกเป็นขั้วๆ หลายด้าน เช่น

o ขั้วตรงข้ามระหว่างสำนึกเรื่องพลโลกและความเป็นหนึ่งเดียวกันของคนทั้งโลก (globalism)
กับการติดยึดกับหมู่พวกแคบๆ ของตัว ตามลักษณะเชื้อชาติ ภาษาและศาสนา (tribalism)
เช่น ในคาบสมุทรบัลข่าน อาฟริกา อินเดีย อินโดนีเซีย ศรีลังกา

o ในขณะที่มีการขยายตัวขององค์การและเครือข่ายระดับโลกทั้งภาครัฐและประชาชน
เช่น WTO และสหประชาชาติ ซึ่งนับวันจะอยู่เหนือรัฐทั้งหลาย
ก็มีการขยายตัวของเครือข่ายอาชญากรรมใต้ดินระดับโลก
เกิดองค์กรแบบอารยะ พร้อมไปกับ องค์กรแบบอนารยะ

o การแบ่งเป็นขั้วระหว่างโลกแห่งวัตถุนิยมและเทคโนโลยี
กับโลกแห่งความเคร่งศาสนาจารีตและพระเจ้า ซึ่งมีผู้ตั้งฉายาว่า McWorld กับ Jihad

o ความคิดวัตถุนิยมแบบสุดขั้วที่เห็นว่า พฤติกรรมและชะตากรรมทั้งหมดของคนเรา
(ไม่เว้นแม้กระทั่งความเจ้าชู้และความเสียสละ) ถูกกำหนดโดยยีนซึ่งอยู่ในเซลส์

ส่วนจิตใจก็เป็นเรื่องของปรากฏการณ์ทางชีวเคมีของก้อนเนื้อที่เรียกว่าสมอง
แม้แต่ความเชื่อเรื่องพระเจ้าก็ถูกปลูกฝังมาอยู่ในโครงสร้างของสมองตั้งแต่เกิด

ขณะเดียวกันก็เกิดความคิดแบบจิตนิยมสุดขั้ว
ที่มอบชีวิตไว้กับการดลบันดาลของพระเจ้า
สำนักทรง ไสยศาสตร์ ลัทธิพิธีที่มีใหม่ ๒-๓ ศาสนาทุกวัน
เฉพาะในญี่ปุ่นซึ่งเจริญด้วยเทคโนโลยีมีศาสนาและลัทธิพิธีถึง ๑๒๐,๐๐๐ ศาสนา


(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ต.ค. 2008, 22:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


• ลั ก ษ ณ ะ ร่ ว ม ใ น ยุ ค แ ห่ ง ค ว า ม สุ ด ขั้ ว

การแบ่งฝ่ายหรือจับกลุ่มกันเป็นขั้วๆ โดยมีเส้นแบ่งที่ชัดเจน
จะเป็นเส้นแบ่งทางเศรษฐกิจ การเมือง ศาสนา สีผิว และความเชื่อก็ตาม
สิ่งที่เหมือนกันก็คือ เกิดการแบ่งเป็นเขาเป็นเราอย่างชัดเจน
และทั้ง ๒ ฝ่ายถูกแยกห่างจากกันมากขึ้นทุกที จนยากที่จะติดต่อสื่อสารกันได้
และทำให้เกิดอคติและความเป็นปฏิปักษ์รุนแรงมากขึ้น
ดังเห็นได้จากเหตุการณ์ในบอสเนีย เซอร์เบีย และโครเอเชีย ในอนุทวีป
(ระหว่างอินเดียกับปากีสถาน) ในตะวันออกกลาง (อิสราเอลกับปาเลสไตน์และรัฐอาหรับ)
ที่ว่ามาข้างต้นเป็นคู่ปฏิปักษ์ที่เกิดขึ้นมานานหลายสิบปีเป็นอย่างน้อย

แต่ที่เพิ่มมาใหม่ก็มี
อาทิ การพยายามทำให้ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐกับหลายประเทศ
ที่นับถืออิสลามหลังกรณี ๑๑ กันยา
ให้กลายเป็นความขัดแย้งทางอารยธรรม
ระหว่างอิสลามกับผู้ที่ไม่ได้นับถืออิสลาม
แม้กระทั่งสงครามต่อต้านการก่อการร้ายซึ่งนำโดยสหรัฐ
ก็กำลังพาโลกถลำเข้าสู่ยุคสุดขั้วลึกขึ้น

โดยเฉพาะเมื่อประธานาธิบดีบุชประกาศว่าว่า
ถ้าไม่อยู่ข้างสหรัฐ ก็เท่ากับอยู่ข้างพวกก่อการร้าย
ในยุคแห่งความสุดขั้ว จะมีการขีดเส้นแบ่งฝักฝ่ายชัดเจน
ไม่มีที่ว่างสำหรับฝ่ายที่สามหรือบริเวณที่เป็นสีเทา

• บ ท บ า ท ข อ ง ศ า ส น า

น่าสังเกตว่า ความสุดขั้วในศตวรรษก่อน
อุดมการณ์การเมืองมีส่วนมาก อาทิ ลัทธินาซี คอมมิวนิสต์ สังคมนิยม ฟาสซิสต์
ลัทธิการเมืองเหล่านี้ทำให้เกิดการแบ่งกันเป็นขั้วๆ
ทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ
โดยที่ตัวลัทธิการเมืองเหล่านี้ก็มีลักษณะสุดขั้วหรือสุดโต่งอย่างยิ่ง

แต่ในปัจจุบัน ศาสนากำลังมีบทบาทอย่างสำคัญในการแบ่งผู้คนออกเป็นขั้วๆ
ดังจะเห็นได้ว่า สงครามและความขัดแย้งในคาบสมุทรบัลข่าน
ในอินเดียและปากีสถาน ในตะวันออกกลาง เป็นต้น
ล้วนเป็นความขัดแย้งที่เกี่ยวพันกับศาสนา

ในทำนองเดียวกัน คู่ขัดแย้งในสงครามต่อต้านการก่อการร้าย
ซึ่งมีบินลาเดนและบุช เป็นตัวแทน ก็ล้วนอ้างอิงศาสนาหรือพระเจ้าเท่านั้น

บุชนั้นเชื่อมั่นเลยว่าพระเจ้าเลือกสรรเขาให้มาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ
ทำให้เขาเปลี่ยนจากคนขี้เมามาเป็นผู้นำโลก
ในการทำสงครามขจัด “แกนแห่งความชั่วร้าย”
ได้แก่อิรัก อิหร่าน และเกาหลีเหนือ
บุชนั้นเชื่อว่าการทำสงครามกับอิรักนั้นเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าเลยทีเดียว
(และเป็นความประสงค์ของบรรษัทข้ามชาติด้านน้ำมันด้วยเช่นกัน)

ศรัทธาแนบแน่นในพระเจ้าทำให้เขามั่นอกมั่นใจมากในนโยบายนี้
และไม่ใช้เวลานานเลยในการตัดสินใจประกาศสงครามกับอิรัก
ซึ่งหมายถึงการบาดเจ็บล้มตายของผู้คนนับหมื่นนับแสน
(ในทางตรงกันข้าม เขากลับใช้เวลาครุ่นคิดมาก
เมื่อจะต้องตัดสินใจขัดขวางการวิจัยเซลต้นกำเนิด ซึ่งอาจทำให้การทำแท้งมีมากขึ้น)


(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ต.ค. 2008, 22:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


• ส า เ ห ตุ ที่ ศ า ส น า ม า มี บ ท บ า ท ใ น ก า ร ต่ อ สู้ ท า ง ก า ร เ มื อ ง

การที่ศาสนาเข้ามามีบทบาทในการแบ่งฝักฝ่าย
และต่อสู้ทางการเมืองของกลุ่มต่างๆ มีสาเหตุหลายประการ อาทิ

๑) ความล้มเหลวของรัฐ การพัฒนา สถาบันและอุดมการณ์ทางการเมืองสมัยใหม่
ในการสร้างความผาสุกแก่ประชาชนโดยเฉพาะระดับล่าง

ในอดีตประชาชนเคยฝากความหวังไว้กับรัฐว่าจะนำการพัฒนามาสู่ประชาชน
แต่ปรากฏว่าความยากจนกลับแพร่ระบาด
ประชาชนพลัดที่นาคาที่อยู่
มาแออัดในเมืองโดยไร้อนาคต และหางานทำแทบไม่ได้

ผู้คนเห็นชัดว่าสถาบัน (และอุดมการณ์) ประชาธิปไตย
เช่นรัฐสภาเป็นที่พึ่งไม่ได้
เพราะถูกควบคุมโดยคนส่วนน้อยที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจ
ส่วนสังคมนิยมก็มิใช่คำตอบอีกต่อไป

แม้แต่ลัทธิชาตินิยม ในหลายประเทศเช่นในตะวันออกกลาง
ประชาชนรู้สึกว่าลัทธิอุดมการณ์นี้ไม่ได้เป็นทางออกของเขาอีกต่อไป

๒) สิ่งเดียวที่ประชาชนระดับล่างจะไขว่คว้าหาที่พึ่งได้ในยามนี้
ก็คือทุนดั้งเดิม ได้แก่ศาสนา และชาติพันธุ์ ซึ่งเป็นอัตลักษณ์ที่ผูกติดมาแต่ดั้งเดิม
ศาสนาได้กลายเป็นเครื่องมือของประชาชน ในการต่อสู้เพื่อความอยู่รอด
และต่อต้านการเอาเปรียบทั้งจากชนชั้นนำและจากต่างประเทศ

เมื่อศตวรรษที่แล้วลัทธิชาตินิยมก็เคยเป็นเครื่องมือที่ผู้คนในอาณานิคมต่างๆ
นำมาใช้ในการต่อสู้กับจักรวรรดินิยม

แต่มาถึงศตวรรษนี้ชาตินิยมเริ่มแผ่วเบาลง และมักถูกผูกขาดโดยรัฐหรือผู้ปกครอง
ประชาชนระดับล่างหรือคนชายขอบจึงหันไปพึ่งศาสนา
ในตะวันออกกลาง สุเหร่าเป็นที่เดียวที่จะวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการเมืองได้
โดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกตำรวจจับ

๒) ประชาชนไม่ได้เข้าหาศาสนาฝ่ายเดียว ศาสนาก็เข้าหาประชาชนด้วย
เพราะต้องการประชาชนเป็นกำลังให้แก่ศาสนา
ในการต่อสู้กับการรุกรานของความคิดแบบโลกย์ (secularism)
กับความคิดแบบเสรีนิยม ซึ่งขัดแย้งกับศาสนาในหลายเรื่อง

เช่น การเปิดเสรีทางเพศ หรือแม้แต่เสรีในการทำแท้ง
ยิ่งกว่านั้นศาสนาในหลายประเทศยังถูกลิดรอนโดยรัฐ
และถูกผลักดันให้อยู่ชายขอบ
หมดอิทธิพลในสถาบันต่าง ๆ ของสังคม เช่นระบบการศึกษา

ทำให้ศาสนารู้สึกว่ากำลังถูกบ่อนทำลาย
นับวันจะไม่มีที่ยืนในสังคม
จึงจำเป็นต้องลุกขึ้นสู้เพื่อปกป้องตนเอง
จึงเกิดลัทธิเคร่งคัมภีร์
หรือ fundamentalism ขึ้นในตะวันออกกลาง อินเดีย ปากีสถาน

แม้แต่สหรัฐก็ไม่เว้น ศาสนิกชนที่เคร่งศาสนา
รวมตัวกันได้มากขึ้นด้วยความรู้สึกดังกล่าว
เมื่อผสมกับคนชายขอบที่หันไปหาศาสนาเป็นที่พึ่ง ดังที่กล่าวในข้อ ๒
ได้ทำให้กลุ่มศาสนามีพลังมากขึ้นจนกลายเป็นกลุ่มสำคัญในสังคม

(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ต.ค. 2008, 23:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


• ศ า ส น า กั บ ก า ร เ มื อ ง แ บ บ อั ต ลั ก ษ ณ์

การเมืองที่ชูประเด็นเรื่องอัตลักษณ์ (เช่น ศาสนา ชาติพันธุ์)
กำลังเป็นกระแสใหญ่ในโลกปัจจุบัน
เป็นการตอบโต้ของฝ่ายที่รู้สึกว่าตนถูกคุกคามมานาน
เป็นการพยายามสู้เพื่อความอยู่รอด
และดังนั้นจึงมีลักษณะที่ก้าวร้าว โกรธเกรี้ยว และนำไปสู่ความรุนแรงได้ง่าย

ต้องไม่ลืมว่าคนเยอรมันหลังสงครามโลกครั้งที่ ๑ ก็รู้สึกแบบนี้
คือเชื่อว่าเยอรมันกำลังถูกคุกคามจากคนยิว
ซึ่งด้านหนึ่งร่วมมือกับพวกคอมมิวนิสต์ในรัสเซียซึ่งอยู่ทางตะวันออก

ส่วนด้านตะวันตกก็มีภัยจากอังกฤษซึ่งถูกพวกยิวเชิด
ความคิดแบบนี้ทำให้ลัทธินาซีของฮิตเลอร์เป็นที่นิยม
ยังไม่ต้องพูดถึงคนยิวอีกมากมายในประเทศที่คุมเศรษฐกิจและสื่อมวลชนเอาไว้

ผลก็คือเกิดการทำลายล้างคนยิวถึง ๖ ล้านคนอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
รวมไปถึงการทำสงครามทั่วยุโรปตั้งแต่รัสเซียไปถึงอังกฤษ

• ก า ร เ มื อ ง ที่ ชู ป ร ะ เ ด็ น เ รื่ อ ง อั ต ลั ก ษ ณ์

รวมทั้งความรู้สึกว่า ตนกำลังถูกคุกคาม จากศัตรูทั้งภายในและภายนอกประเทศ
ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “วัฒนธรรมแห่งความเกลียดชัง” ขึ้น
ซึ่งกำลังแพร่กระจายไปทั่วโลก และได้รับความนิยมแพร่หลายในแต่ละประเทศ
มีอิทธิพลต่อชนชั้นกลางและผู้มีการศึกษามากขึ้นทุกที
(ในอินเดียและ ตะวันออกกลาง พวกเคร่งคัมภีร์ซึ่งเคยกระจุกอยู่ในกลุ่มคนยากจน
ได้กระจายไปสู่ชนชั้นกลางที่มีการศึกษามากขึ้น
ประจักษ์พยานข้อหนึ่งก็คือผู้ที่ก่อเหตุ ๑๑ กันยา
หลายคนมีการศึกษาสูงและมาจากครอบครัวที่มีฐานะดี)

วัฒนธรรมแห่งความเกลียดชังได้กลายเป็นกระแสใหญ่ในระดับประเทศ
ทั้งนี้โดยมีเชื้อจากการแบ่งขั้วในด้านต่างๆ รวมทั้งด้านเศรษฐกิจเป็นปัจจัยหนุน


• ค ว า ม สำ คั ญ ข อ ง ศ า ส น ธ ร ร ม

ศาสนธรรม หรือมิติด้านจิตวิญญาณ ที่เรียกว่า spituality นั้น
ไม่ใช่เรื่องผูกขาดหรือจำกัดเฉพาะศาสนาเท่านั้น
หากเป็นสิ่งที่มีอยู่ในมนุษย์ทุกคน
เป็นสภาวะที่แนบแน่นอยู่กับความเป็นมนุษย์ของคนทุกคน


ในยุคที่วัฒนธรรมแห่งความเกลียดชังชังแพร่ระบาด
ในรูปของเผ่านิยม เชื้อชาตินิยม ศาสนานิยม
ศาสนธรรมเป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยทัดทานกับวัฒนธรรมดังกล่าว
จะตระหนักข้อนี้ได้
จำต้องเข้าใจคุณลักษณะของศาสนธรรมหรือความลุ่มลึกในทางจิตวิญญาณ

• คุ ณ ลั ก ษ ณ ะ ข อ ง ศ า ส น ธ ร ร ม มี ดั ง นี้

o การตระหนักถึงความเป็นหนึ่งเดียวของมนุษยชาติ
ที่ไปพ้นเชื้อชาติ ศาสนา ภาษา เพศ หรืออุดมการณ์การเมือง
รวมไปถึงการตระหนึกในความเป็นหนึ่งเดียวของสรรพชีวิต

o เห็นทุกชีวิตมีคุณค่า ที่ควรได้รับความปกป้อง

o จิตใจแผ่กว้าง มีเมตตากรุณาอันกว้างใหญ่ ไม่เห็นแก่ตัว

o สัมผัสกับสภาวะที่เหนือกาละและเทศะ เหนือประสบการณ์สามัญของชีวิตประจำวัน

o ไปพ้นจากการแบ่งแยกเป็นเราเป็นเขาหรือการมองแบบทวิภาวะ (dualism)


(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ต.ค. 2008, 23:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


• วั ฒ น ธ ร ร ม แ ห่ ง ค ว า ม เ ก ลี ย ด ชั ง กั บ ก า ร ม อ ง แ บ บ ท วิ ภ า วะ

วัฒนธรรมแห่งความเกลียดชังตั้งอยู่บนความคิดแบบทวิภาวะ แบ่งเราแบ่งเขา
เห็นคนที่ไม่ใช่พวกเดียวกับตนเป็นศัตรู และมองโลกแบบเป็นขาว-ดำชัดเจน
โดยเฉพาะคนที่เคร่งศาสนา มักจะตกอยู่ในกับดักแห่งความคิดดังกล่าว
คือขีดเส้นความดี-ความชั่วชัดเจน ใครที่ไม่ดีเหมือนตัวหรือคิดเหมือนตัว
ก็ประณามว่าเป็นคนชั่ว และเมื่อเป็นคนชั่วเสียแล้ว
ย่อมเป็นการชอบธรรมที่จะกำจัดเขาด้วยวิธีใดๆ ก็ได้

บินลาเดน มองโลกเป็นขาว-ดำชัดเจน ว่าอเมริกาคือตัวแทนแห่งความเลวร้าย
ที่นำความเสื่อมโทรมมาสู่โลกอิสลาม สมควรที่จะถูกทำลายให้สาสม
ส่วนบุชก็มองโลกแบบนี้เช่นเดียวกัน
คือเห็นอัลเคด้าและอิรัก อิหร่าน เกาหลีเหนือเป็นตัวแทนความชั่วร้าย ที่ต้องจัดการ

การมองโลกเป็นขาว-ดำ ขีดเส้นความดี-ความชั่วชัดเจน
นอกจากจะทำให้มีเหตุผลและความชอบธรรมในการจัดการกับคนที่คิดไม่เหมือนตัว
โดยติดฉลากว่าเป็นตัวชั่วร้ายแล้ว
คนที่คิดแบบนี้ยังมีแนวโน้มที่จะหมกมุ่นกับการไล่ล่ากำจัดคนชั่วร้าย
เพราะทำให้รู้สึกสบายใจว่าได้ทำหน้าที่คนดี
และมั่นใจในความเป็นคนดีของตัว
ยิ่งกำจัดคนชั่วมากเท่าไร ก็ยิ่งรู้สึกเป็นคนดีมากขึ้นเท่านั้น


แต่ในความเป็นจริง โลกและชีวิตไม่ได้ขีดเส้นความดีความชั่วได้ง่ายอย่างนั้น
ความดีกับความชั่วไม่ได้แยกจากกันเด็ดขาด คนเรามีทั้งดีและชั่วอยู่ด้วยกัน


โซลเชนิตซิน นักเขียนรางวัลโนเบลชาวรัสเซีย
ซึ่งเคยถูกจองจำในค่ายกักกันของสตาลิน พูดไว้อย่างน่าฟังว่า

“มันจะง่ายดายสักเพียงใด
ถ้าเพียงแต่ว่าคนชั่วร้ายอยู่ที่ไหนสักแห่ง และคอยทำแต่สิ่งชั่วร้าย
เราก็แค่แยกคนพวก นั้นออกจากพวกเราแล้วก็ทำลายเขาเสีย เท่านั้นก็จบกัน
แต่เส้นแบ่งความดีและความชั่วนั้นผ่าลงไปในใจของมนุษย์ทุกคน
ใครเล่าที่อยากจะทำลายส่วนเสี้ยวในใจของตน?”


ในการกำจัดคนชั่ว เรามีหลักประกันได้อย่างไรว่า
เราจะไม่กลายเป็นคนชั่วเสียเอง เหมือนกับที่สตาลิน ฮิตเลอร์ เหมา พอลพต
ได้พยายามชำระล้างความชั่วร้ายออกไปจากประเทศของเขา
ด้วยการสังหารคนเป็นล้านๆ

แต่แล้วคนเหล่านี้กลับกลายเป็นตัวแทนแห่งความชั่วร้ายในประวัติศาสตร์ยุคใหม่
ทุกครั้งที่ใช้ความรุนแรงกำจัดคนชั่วร้าย
ใช่หรือไม่ว่าความโกรธเกลียดและพยาบาทที่เกิดขึ้นในใจเราจะค่อยๆ
เปลี่ยนแปลงเราให้กลายเป็นคนชั่วร้ายไปด้วย
สุดท้ายกลายเป็นว่าคนชั่วร้ายคนเก่าตายไป
แต่คนชั่วร้ายคนใหม่เกิดขึ้นมาแทน ได้แก่เรานั่นเอง

(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ต.ค. 2008, 23:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


• ก า ร ต่ อ สู้ กั บ วั ฒ น ธ ร ร ม แ ห่ ง ค ว า ม เ ก ลี ย ด ชั ง

วัฒนธรรมแห่งความเกลียดชังแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็วและกว้างขวางมาก
เพราะให้คำตอบสำเร็จรูป เข้าใจง่ายเนื่องจากมองอะไรเป็นขาว-ดำชัดเจนเจน
เช่น ให้คำตอบว่าที่เยอรมันเสื่อมโทรมก็เพราะยิว
ศาสนาฮินดูในอินเดียตกต่ำก็เพราะมุสลิม
ศาสนาพุทธในเมืองไทยวุ่นวายก็เพราะศาสนาคริสต์และอิสลามอยู่เบื้องหลัง

ใช่แต่เท่านั้น วัฒนธรรมแบบนี้ยังได้รับการหนุนหลังจากนักการเมือง
ที่ต้องการหาคะแนนเสียงด้วยการสร้างความเกลียดชัง
รวมทั้งได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลที่ต้องการหาแพะรับบาป
หรือโยนความผิดพลาดไปให้ผู้อื่น
ยิ่งสร้างศัตรูภายนอกมากๆ
ความจงเกลียดจงชังก็จะพุ่งเป้าไปที่คนเหล่านั้น
แทนที่จะพุ่งมาที่รัฐบาล

เราจะต้องถือเป็นภารกิจในการต่อสู้ทัดทานวัฒนธรรมแห่งความเกลียดชัง
เริ่มต้นด้วยการไม่หลงติดกับการมองแบบทวิภาวะ
แบ่งฝักฝ่ายหรือ ขีดเส้นขาว-ดำชัดเจน
ตระหนักว่าเราเองก็มีส่วนแห่งความชั่วร้าย
ที่สามารถแปรเปลี่ยนเราให้กลายเป็นคนชั่วร้ายไม่ต่างจากคนอื่นๆ


ความเกลียดชังนั้นเป็นปฏิปักษ์กับความจริง และชอบบิดเบือนความจริง
กล่าวคือถ้าอยากจะทำให้ผู้คนเกลียดชังใครสักคน
ก็ต้องสร้างภาพคนๆ นั้นให้เป็นยักษ์เป็นมาร
และเมื่อเกิดความเกลียดชังแล้ว
ก็เห็นเขาไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป
ดังนั้นเราจึงต้องพยายามแสวงหาความจริงอยู่เสมอ
และปกป้องความจริงมิให้เป็นเหยื่อของความเกลียดชัง

ในการรักษาใจไม่ให้ถูกครอบงำด้วยความเกลียดชัง
นอกจาก ปัญญาที่แลเห็นความจริงแล้ว เมตตากรุณาก็สำคัญมาก
ไม่ใช่เมตตากับคนใกล้ตัวเท่านั้น

หากรวมไปถึงคนที่อยู่ไกลออกไป ไม่เว้นแม้กระทั่งคนที่เป็น “ศัตรู”
หรือคนชั่วร้าย ที่มีพฤติกรรมน่ารังเกียจ
เมตตากรุณาเช่นนี้แหละที่จะทำให้เรามั่นคงในความเป็นมนุษย์
ไม่เห็นคนเป็นผักปลา แม้เขาจะเป็นคนชั่วร้ายก็ตาม


เดี๋ยวนี้ผู้คนมีแนวโน้มที่จะมองคนบางประเภท
อาทิอาชญากรว่าไม่ใช่คน
ไม่มีสิทธิใดๆ แม้กระทั่งสิทธิในชีวิต
และสมควรถูกกำจัดโดยไม่ต้องคำนึงถึงกฎเกณฑ์ใดๆ ทั้งสิ้น

กรณี “ฆ่าทั่วไทย” ในสงครามยาเสพติดเป็นตัวอย่างที่ชัดเจน
ผู้คนแทบจะทั้งประเทศพากันแซ่ซร้องสนับสนุนเมื่อเกิดการฆ่าตัดตอนผู้ค้ายาเสพติด
โดยไม่สนใจว่าผู้ฆ่านั้นจะเป็นโจรด้วยกันหรือเป็นตำรวจ
เราต้องไม่ลืมว่าแม้ผู้ค้ายาจะเป็นอาชญากรร้ายแรง
อย่างน้อยเขาก็ยังมีสิทธิในชีวิตซึ่งอย่าว่าแต่ศาสนาที่ลุ่มลึกเลย
แม้แต่กฎหมายอย่างโลกๆ ก็ให้ความคุ้มครองคนเหล่านั้น

ดังนั้นจึงไม่สมควรด้วยประการทั้งปวง
ที่ประชาชนเรียกร้องสนับสนุนให้รัฐยิงทิ้งคนเหล่านั้น
ไม่ว่าด้วยการกระซิบหรือส่งสัญญาณให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น
เป็นผู้ลงมือโดยอ้างว่าเป็นการฆ่าตัดตอน
และสามารถนำยอดคนตายไปเป็นผลงานได้

ถึงอย่างไรเขายังก็เป็นมนุษย์ รัฐไม่มีสิทธิยิงทิ้งเขาตามใจชอบ
และถึงแม้ว่าผู้ฆ่าตัดตอนเป็นผู้ค้ายาบ้าเอง
เราก็ยังจำต้องค้านนโยบายดังกล่าว
ที่เปิดโอกาสให้ผู้ค้ายาบ้าไล่ฆ่ากันเองโดยตำรวจไม่สนใจติดตามดำเนินคดี

ทั้งนี้เพราะเขาเป็นประชาชน มีสิทธิได้รับการคุ้มครองจากรัฐ
ตราบใดที่ศาลยังไม่ตัดสินว่าเขาเป็นผู้ผิด
แม้ถูกตัดสินว่าผิดแล้ว ก็ยังมีสิทธิได้รับการคุ้มครองจากรัฐ
ใครจะยิงทิ้งเขาในคุกตามอำเภอใจไม่ได้

เวลานี้ใครที่ค้านนโยบายดังกล่าวจะถูกกล่าวหาว่า
เป็นแนวร่วมผู้ค้ายาบ้าง
เห็นว่าชีวิตของพวกค้ายามีความสำคัญมากกว่าตำรวจหรือผู้เสพยาบ้าง
นี้ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่ชี้ว่า

ความจริงมักตกเป็นเหยื่อของวัฒนธรรมแห่งความเกลียดชัง
แท้ที่จริงการคัดค้านนโยบายดังกล่าวเป็นความพยายามที่จะรักษาหลักนิติธรรม
และการเคารพในสิทธิ ศักดิ์ศรี และคุณค่าของทุกชีวิต

ที่สำคัญนี้เป็นการพยายามสถาปนาวัฒนธรรมแห่งสันติและสมานฉันท์
เพราะหากวันนี้ฆ่าคนค้ายาบ้าได้เสรี
ต่อไปก็ฆ่าขโมยย่องเบาได้ไม่ยาก
จากนั้นก็เป็นการง่ายที่จะฆ่าใครก็ได้ที่เห็นต่างจากรัฐหรือคนส่วนใหญ่
เมื่อไม่มีความอดกลั้น ไม่มีเมตตาธรรม
ไม่เคารพกฎหมายหรือหลักนิติธรรม อะไรๆ ก็ทำได้ทั้งนั้น

ดังที่พวกก่อการร้ายฆ่าคนบริสุทธิ์หากเป็นประโยชน์ต่อแผนการของเขา
ทั้งนี้โดยอ้างศาสนา ความยุติธรรม หรือเหตุผลที่สวยสดงดงาม

(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ต.ค. 2008, 23:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


• อี ก ด้ า น ห นึ่ ง ข อ ง ค ว า ม สุ ด ขั้ ว วั ฒ น ธ ร ร ม แ ห่ ง ค ว า ม ล ะ โ ม บ

ในยุคแห่งความสุดขั้ว ไม่ได้มีแค่วัฒนธรรมแห่งความเกลียดชังอย่างเดียว
ควบคู่กับวัฒนธรรมแห่งความเกลียดชังก็คือ วัฒนธรรมแห่งความละโมบ
ซึ่งมีอิทธิพลไม่น้อยในปัจจุบัน
ทั้ง ๒ วัฒนธรรมมีลักษณะตรงข้ามกันหลายอย่างจนอยู่คนละขั้วก็ว่าได้
ขั้วหนึ่งมีลักษณะผลักไส อีกขั้วมีลักษณะพุ่งเข้าหา
ขั้วหนึ่งต้องการทำลายให้ดับสูญ
อีกขั้วต้องการยึดถือครอบครองให้เป็นอมตะ

ส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมแห่งความละโมบ คือ ลัทธิบริโภคนิยม
ซึ่งกลายเป็นกระแสใหญ่อีกกระแสหนึ่งที่ครอบงำทั่วทั้งโลก
มีอิทธิพลต่อชีวิตของผู้คนตั้งแต่เด็กไปถึงผู้ใหญ่
แม้แต่วัยรุ่นก็ยอมขายตัวเพื่อจะได้มีโทรศัพท์มือถือ หรือกระเป๋ายี่ห้อแพง

ทุกวันนี้คนรุ่นใหม่เอาอัตลักษณ์ของตนไปผูกติดอยู่ที่การบริโภค
ตัวเองจะมีคุณค่าน่าภาคภูมิใจแค่ไหน ไม่ได้อยู่ที่ว่าทำดีหรือชั่ว
แต่ขึ้นอยู่กับยี่ห้อของสินค้าที่สวมใส่หรือครอบครอง
เวลาจะรวมกลุ่ม ก็รวมกลุ่มเพื่อบริโภคมากกว่า
เช่น เที่ยวห้าง ดูคอนเสิร์ต หรือรวมกลุ่มในหมู่คนที่ใช้ของยี่ห้อเดียวกัน

แทบไม่มีมุมไหนของโลกที่ปลอดจากบริโภคนิยม
อันเป็นผลจากโทรคมนาคมยุคโลกาภิวัตน์
ดาวเทียมเป็นพาหะอย่างดีสำหรับการโฆษณา
และรายการโทรทัศน์ที่กระตุ้นบริโภคนิยม

เงินกลายเป็นสรณะอย่างใหม่
ผู้คนต่างมุ่งถือเอาประโยชน์ส่วนตัวเป็นใหญ่
ก่อให้เกิดผลกระทบตามมามากมาย
สังคมจึงเต็มไปด้วยการเอารัดเอาเปรียบ
การคอรัปชั่น สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรม

ขณะเดียวกันครอบครัวก็ร้าวฉาน ชุมชนแตกแยก
เงินกลายเป็นตัวกลางความสัมพันธ์แทนที่ความรักความเอื้ออาทร
ต่างเห็นซึ่งกันและกันเป็นเหยื่อที่จะเอาประโยชน์
หรือเป็นศัตรูที่จะมาแย่งผลประโยชน์
ใช่แต่เท่านั้นลึกๆ ในจิตใจผู้คนก็แปลกแยกกับตัวเอง
มีความเครียดและความกลัดกลุ้ม

• วั ฒ น ธ ร ร ม ค ว า ม ล ะ โ ม บ กั บ ค ว า ม ย า ก จ น

วัฒนธรรมแห่งความละโมบทำให้ปัญหาความยากจนเพิ่มขึ้น
ในด้านหนึ่งผู้คนตกเป็นทาสของบริโภคนิยม
ถอนตัวได้ยากเหมือนติดยาเสพติด เกิดปัญหาหนี้สิน
โดยเฉพาะ การมีเครดิตการ์ดอย่างง่ายดาย
ทำให้ภาวะหนี้สินและล้มละลายเพิ่มขึ้นในทุกประเทศ

อีกด้านหนึ่งของวัฒนธรรมแห่งความละโมบ
ก็คือการตักตวงทรัพยากร
เช่น ที่ดิน แร่ธาตุ ธรรมชาติ ความหลากหลายทางชีวภาพ
เพื่อมาตอบสนองลัทธิบริโภคนิยม ในกระบวนการดังกล่าว
ทุกสิ่งทุกอย่างถูกแปรให้เป็นสินค้า
ไม่เว้นแม้แต่ผู้หญิง เด็ก ประเพณี สัญลักษณ์ทางศาสนา

สิ่งที่ตามมาคือการทำลายชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้าน
สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรม เกิดปัญหาความยากจน ควบคู่กับการกระจุกตัวของทรัพย์สิน

โลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจได้ทำให้ปัญหานี้รุนแรงขึ้น อาทิ

o การเปิดเสรีทางด้านการนำเข้า ทำให้ชาวนาชาวไร่ขายพืชผลได้น้อยลง
o การเปิดเสรีทางด้านการลงทุนทำให้ทรัพยากรธรรมชาติถูกทำลายเร็วเข้า
o การเปิดเสรีให้แก่อุตสาหกรรมการเกษตร
ทำให้เกษตรกรรายย่อยล้มละลาย หาไม่ก็ต้องพึ่งวัตถุดิบ
เช่น ปุ๋ย เมล็ดพันธุ์ ยาฆ่าแมลง ทำให้อาหารมีต้นทุนสูงขึ้น
o การแปรรูปรัฐวิสาหกิจทำให้สาธารณูปโภคมีราคาแพงขึ้น
o การลดสวัสดิการและเงินอุดหนุนทางด้านสาธารณูปโภค
o มีผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านระดับล่างโดยตรง


(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ต.ค. 2008, 23:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


• ส อ ง วั ฒ น ธ ร ร ม ใ น ยุ ค แ ห่ ง ค ว า ม สุ ด ขั้ ว
ค ว า ม ต่ า ง แ ล ะ ค ว า ม เ ห มื อ น


กล่าวโดยสรุปในยุคแห่งความสุดขั้ว
มีวัฒนธรรม ๒ ขั้วที่กำลังบั่นทอนชีวิต
และผู้คนทั้ง ๒ มีที่มาและแรงสนับสนุนต่างกัน

ในหลายประเทศ วัฒนธรรมแห่งความเกลียดชัง
เป็นความพยายามของคนชายขอบที่ปกป้องตนเองและตอบโต้ภัยคุกคาม
โดยอาศัยอัตลักษณ์และประเพณีดั้งเดิม

ขณะที่วัฒนธรรมแห่งความละโมบ
มักถูกกำหนดและกำกับโดยกลุ่มอิทธิพลในทางเศรษฐกิจ
โดยเฉพาะบรรษัทข้ามชาติ
ทั้งนี้โดยอาศัยเทคโนโลยีและค่านิยมใหม่เป็นเครื่องมือ

สองกระแสใหญ่ยังมีความแตกต่างกันอีกหลายด้าน
กล่าววัฒนธรรมแห่งความเกลียดชัง
พยายามปลุกเร้าความกลัว เน้นความมั่นคง ความเป็นกลุ่มก้อน
ขาดขันติธรรม และมีเส้นแบ่งความดีความชั่วชัดเจน

ขณะที่วัฒนธรรมแห่งความละโมบ
ปลุกเร้าความฝัน เน้นเสรีภาพ มีลักษณะปัจเจกนิยม
และถือว่าไม่มีอะไรถูก อะไรผิด

อย่างไรก็ตาม ทั้ง ๒ วัฒนธรรม มีสิ่งหนึ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ

ต่างมีองค์ประกอบหรือลักษณะของศาสนา เช่น พิธีกรรม สิ่งศักดิ์สิทธิ์
อีกทั้งยังทำหน้าที่เหมือนศาสนา

กล่าวคือ ทำให้ชีวิตมีค่า มีความหมาย สร้างความเต็มอิ่มให้แก่ชีวิต
วัฒนธรรมแห่งความเกลียดชังมีแรงดึงดูดไม่น้อย
สำหรับคนที่ต้องการให้ชีวิตของตนมีคุณค่า
คนเหล่านี้พร้อมตายได้เพื่อลัทธิศาสนา และเชื้อชาติของตน

ส่วนวัฒนธรรมแห่งความละโมบแพร่หลายได้ส่วนหนึ่ง
ก็เพราะผู้คนรู้สึกว่าวัตถุหรือสิ่งเสพต่างๆ
ทำให้ชีวิตมีเป้าหมายน่าภาคภูมิใจ
ทั้ง ๒ วัฒนธรรมสามารถสร้างความปีติเอิบอิ่ม
ให้แก่ผู้คนได้โดยเฉพาะเมื่อรวมกลุ่มกัน
ไม่ว่าจะเป็นการรวมกลุ่มประท้วงและทำลายศัตรูอีกฝ่ายหนึ่ง
หรือการรวมกลุ่มกันชมคอนเสิร์ตหรือดูฟุตบอลโลก

ที่สำคัญคือทั้ง ๒ วัฒนธรรมต่างตอบสนองความต้องการส่วนลึกของตัวตน
วัฒนธรรมแห่งความเกลียดชังอาทิ ลัทธิเชื้อชาตินิยม
และความเชื่อทางศาสนาแบบเคร่งจารีตหรือ fundamentalism
เป็นที่นิยมเพราะตอบสนองความต้องการของผู้คนที่อยากมีตัวตนอมตะ

ความเชื่อและความหวังว่า “ตัวตายแต่ชื่อยัง”
ทำให้ผู้คนจำนวนมากมายยอมตายเพื่อเชื้อชาติหรือศาสนาของตน
ขณะที่คนอีกมากรู้สึกว่าการเอาตัวตนไปผูกติดกับวัตถุสิ่งเสพ
ทำให้รู้สึกว่าตัวตนมั่นคงไม่ว่างเปล่าหรือเคว้งคว้าง

จะเห็นได้ว่าทั้ง ๒ วัฒนธรรมมีแรงดึงดูดทางด้านศาสนา
จึงสามารถจับจิตใจคนได้มาก
แม้ในหมู่คนที่ไม่เชื่อศาสนาก็ตาม
จะเรียกว่าทั้งสองเป็นศาสนาสมัยใหม่ก็ได้

แต่เป็นศาสนาเทียม
ที่ไม่สามารถตอบสนองความต้องการส่วนลึกซึ้งของมนุษย์ได้อย่างยั่งยืน
แค่ให้ความสุขชั่วครั้งชั่วคราว
อีกทั้งไม่ได้ก่อให้เกิดความสงบสันติแก่โลกได้อย่างแท้จริง


(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ต.ค. 2008, 23:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


• เ ร า จ ะ ทำ อ ะ ไ ร ไ ด้ บ้ า ง

สิ่งที่เราทำได้ในสถานการณ์ดังกล่าวก็คือ

๑) ไม่หลงตกเป็นเหยื่อของศาสนาเทียมเหล่านี้
ดังได้กล่าวแล้วว่าวัฒนธรรมแห่งความเกลียดชัง
และความละโมบมีแรงดึงดูดทางศาสนา
และสามารถมีอิทธิพลในหมู่คนที่ต้องการแสวงหาความหมายของชีวิต

นี้ก็ไม่ต่างจากลัทธินาซีที่สามารถดึงดูดหนุ่มสาวและปัญญาชนเยอรมัน
ที่มีอุดมคติ จำนวนมาก ให้มาสนับสนุนฮิตเลอร์อย่างสุดจิตสุดใจ

ในทำนองเดียวกันลัทธิคอมมิวนิสต์ในรัสเซียและจีน
ก็ได้รับความสนับสนุนจากหนุ่มสาวจำนวนมากมาย

พร้อมกันนั้นเราก็ต้องมีความมั่นคงในจิตใจ
พอที่จะไม่ยอมให้วัฒนธรรมทั้ง ๒ ขั้วบีบบังคับให้เราเข้าไปสนับสนุนมัน
หรือเป็นทาสของมัน
แม้จะถูกกล่าวหาว่าไม่รักชาติ รักศาสนา
หรือถูกค่อนแคะว่าไม่ทันสมัย ไม่เอาเพื่อนก็ตาม

๒) พยายามเข้าถึงศาสนธรรมที่แท้จริง ซึ่งมีอยู่แล้วในมนุษย์ทุกคน
ศาสนาที่แท้จริงนั้นสามารถนำทางให้เราเข้าถึงได้ศาสนธรรม
หรือความลุ่มลึกทางจิตวิญญาณได้
แต่ศาสนาเทียม รวมทั้งลัทธิเคร่งจารีต อาจนำไปผิดทางได้

ศาสนธรรมที่แท้ ต้องมีพื้นฐานอยู่ที่สำนึกแห่งความเป็นมนุษย์
อันได้แก่ความเมตตา ไม่มุ่งเบียดเบียน จิตไม่คับแคบ
และมีทัศนะที่ไปพ้นทวิภาวะ ไม่แบ่งเขาแบ่งเรา
หรือขีดเส้นแบ่งดีชั่วชัดเจน จนเป็นสูตรสำเร็จรูป หรือเป็นกลไก

ศาสนธรรมที่แท้ยังจะช่วยให้เราเข้าถึงความสุขประณีตจากภายใน
ทำให้เราไม่ตกเป็นทาสของวัตถุหรือบริโภคนิยม

ศาสนธรรมที่แท้ต้องช่วยให้เราตระหนักถึงจุดอ่อน
หรือความชั่วร้ายที่แฝงฝังอยู่ในตัวเรา
และไม่ปล่อยให้มันเข้ามาเป็นใหญ่


ตระหนักว่ากิเลส
อาทิ ความมักใหญ่ใฝ่สูงอาจจะแฝงตัวมาในคราบของอุดมคติ
หรือแม้แต่กระแสเสียงของพระเจ้าได้


เช่นเดียวกับความโกรธเกลียดสามารถจะผลักดัน
ให้ผู้คนเข่นฆ่าเพื่อนร่วมชาติในนามของชาติ ศาสน์ กษัตริย์ดังกรณี ๖ ตุลา

๓) ตีแผ่และเปิดเผยความจริงที่ถูกบิดเบือนและปิดบัง
ทั้งนี้เพราะความจริงมักเป็นเหยื่ออันดับแรกของวัฒนธรรมทั้ง ๒ ขั้ว

ขณะที่วัฒนธรรมแห่งความเกลียดชัง
ทำให้คนกลุ่มหนึ่งถูกวาดภาพว่าเป็นตัวเลวร้าย
เพียงเพราะต่างเชื้อชาติต่างศาสนา
(หรือเพียงเพราะไม่เห็นด้วยกับกลุ่มคนที่มีความเชื่ออันคับแคบดังกล่าว)

วัฒนธรรมแห่งความละโมบ
ก็ใช้สื่อเพื่อวาดภาพสินค้าให้ดูสวยหรูเลอเลิศ
และสามารถดลบันดาลให้ผู้บริโภคกลายเป็นคนใหม่ได้

๔) ร่วมกันยับยั้งมิให้วัฒนธรรมทั้ง ๒ ขั้วแพร่กระจาย
ไม่ว่าจะสร้างความเกลียดชัง ความเป็นปฏิปักษ์ในสังคม
หรือกระตุ้นตัณหาจนเกิดการเอารัดเอาเปรียบและแย่งชิงทรัพยากร

ในการนี้เราควรยับยั้งขัดขวางกลไก มาตรการ
และโครงสร้างทางเศรษฐกิจการเมือง
ที่ส่งเสริมให้เกิดความรังเกียจเดียดฉันท์ในทางเชื้อชาติศาสนา
หรือมุ่งแต่ความเจริญทางวัตถุ
โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อชีวิตและความผาสุกในสังคม

(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ต.ค. 2008, 23:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

๕) ร่วมกันสร้างวัฒนธรรมแห่งสันติและสมานฉันท์
อันมีพื้นฐานอยู่ที่ศาสนธรรมที่แท้จริง

กล่าวคือเคารพคุณค่าของชีวิตและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
เห็นสรรพชีวิตเป็นพี่น้องกัน
ควรส่งเสริมให้เกิดระบบการศึกษา
และสื่อสารมวลชนที่ตั้งมั่นในสัจจะและส่งเสริมภราดรภาพ
ไม่ตกเป็นเหยื่อของลัทธิบริโภคนิยมตลอดจนเชื้อชาตินิยมแบบคับแคบ

๖) ผสานศาสนธรรมเข้าไป
เป็นส่วนหนึ่งของขบวนการและเครือข่ายภาคประชาชน
ทั้งในด้านวิสัยทัศน์และในด้านปฏิบัติการทางสังคม

การมีวิสัยทัศน์ที่อิงอยู่กับศาสนธรรม
หมายถึงการมีเป้าหมายสูงสุดอยู่ที่ความผาสุกทางจิตใจ
มิใช่มุ่งแต่ความเจริญมั่งคั่งทางโภคทรัพย์
ทั้งนี้โดยตระหนักว่าความสุขขั้นสูงสุดคืออิสรภาพทางจิตใจ

การเปลี่ยนแปลงทางสังคมต้องเป็นไป
เพื่อให้เกิดชีวิตที่ดีงามทั้งทางกายและใจ
ไม่หยุดเพียงแค่อยู่ดีกินดีทางวัตถุ
พร้อมกันนั้นก็ช่วยให้ตระหนักถึงความเป็นเอกภาพของมนุษยชาติ
ไม่แบ่งแยกเป็นฝักฝ่าย
เห็นว่ามนุษย์กับธรรมชาติต้องอยู่อย่างบรรสานสอดคล้อง


ในด้านปฏิบัติการทางสังคมก็ควรอิงอยู่กับศาสนธรรม
กล่าวคือมั่นคงในสันติวิธี มีเมตตาธรรมเป็นพื้นฐาน
ไม่ถือเอาความรุนแรงเป็นคำตอบ
เปิดโอกาสให้ผู้คนได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจทุกขั้นตอน
มิใช่รวมศูนย์อยู่ที่ผู้นำ

ทั้งนี้โดยตระหนักว่าวัฒนธรรมแห่งความเกลียดชังและความละโมบนั้น
มีรากเหง้าที่ลึกลงลึกไปในจิตใจของผู้คน

ขณะเดียวกันก็ครอบงำกำกับผู้คนผ่านโครงสร้างที่อยู่เหนือตัวบุคคล
ความรุนแรงนั้นขจัดได้แค่ตัวบุคคล
แต่ไม่สามารถขจัดความเกลียดชังและความละโมบไปจากจิตใจของผู้คนได้

อีกทั้งไม่สามารถสถาปนาโครงสร้างและวัฒนธรรมอันสันติขึ้นมาได้
มีแต่สันติวิธีเท่านั้นที่จะเปลี่ยนจิตใจของผู้คนและนำโครงสร้างใหม่มาแทนที่ได้

พลังของศาสนธรรมอีกประการหนึ่งก็คือ
ความสามารถในการประสานผู้คนให้เชื่อมโยงถึงกัน
จนเกิดเป็นเครือข่ายระดับโลก
ดังเห็นได้จากกระแสต่อต้านสงครามอิรักที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้
กระแสดังกล่าวเกิดขึ้นทุกมุมโลก
และกำลังจะเชื่อมโยงกันหนาแน่นมากขึ้นทุกที

ทั้งนี้เพราะมีความสำนึกร่วมกัน
อันได้แก่ความเอื้ออาทรและความสำนึกในภราดรภาพระหว่างมนุษยชาติ
แม้คนเหล่านี้จะต่างเชื้อชาติ ต่างศาสนา ต่างภาษาก็ตาม
สำนึกดังกล่าวได้ทำให้คนเล็กคนน้อย
กลายเป็นพลังระดับโลกที่มหาอำนาจนึกไม่ถึง
แม้วันนี้จะยังไม่อาจยับยั้งผู้นำที่คลั่งอำนาจได้

แต่หากสงครามยืดเยื้อนานวัน
พลังของเครือข่ายสันติภาพทั่วทั้งโลก
ย่อมแข็งแกร่งจนอาจยุติสงครามนี้ได้ในที่สุด

สงครามฉันใด วัฒนธรรมสุดขั้วทั้ง ๒ กระแสก็ฉันนั้น
เครือข่ายประชาชนระดับโลกที่มีศาสนธรรมเป็นพื้นฐาน
ย่อมสามารถทัดทานมิให้นำพาโลกสู่หายนะได้ในที่สุด

แต่จะทำเช่นนั้นได้เราต้องเริ่มต้น
ด้วยการกลับไปค้นหาศาสนธรรมในตัวเราให้พบ
และนำมาเป็นพลังในการฝึกฝนตน
และสร้างสรรค์สังคมอย่างไม่รู้จักย่อท้อหรือสิ้นหวัง..

:b8: :b8: :b8:

(ที่มา : http://skyd.org/html/sekhi/56/14-crisis.html : ศาสนธรรมในกระแสแห่งกลียุค : พระไพศาล วิสาโลในจดหมายข่าวเสขียธรรม (ปรับปรุงจากเค้าโครงการบรรยายในหัวข้อเดียวกัน จัดโดยโครงการ Asian Public Intellecutal Fellowship ของมูลนิธินิปปอน ณ ห้องประชุมจุมภฏ บริพัตร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๔๖)

:b44: รวมคำสอน “พระไพศาล วิสาโล”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=42477


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ต.ค. 2008, 16:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ต.ค. 2006, 14:49
โพสต์: 1341


 ข้อมูลส่วนตัว www


สาธุ..โมทนาด้วยนะครับ
สวัสดีจ้า..คุณกุหลาบสีชา

:b8: :b4: :b12:

.....................................................
.. ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก ..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 เม.ย. 2009, 05:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 เม.ย. 2009, 06:18
โพสต์: 731

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอกราบอนุโมทนาบุญด้วยครับ สาธุ........... :b35: :b51:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 12 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 12 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร