วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 04:02  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2022, 17:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

กลุ่มพระชาวแคว้นโกศล

กลุ่มพระชาวแคว้นโกศล คือ กลุ่มพระที่เป็นชาวแคว้นโกศลโดยกำเนิด ซึ่งนอกจากกลุ่มพระมาณพ ๑๖ รูปแล้ว ยังมีพระอสีติมหาสาวกที่เป็นชาวแคว้นโกศลอีก ๑๖ รูป คือ พระวักกลิ พระยโสชะ พระกุณฑธานะ พระปิลินทวัจฉะ พระมหาโกฎฐิตะ พระโสภิตะ พระอุปวาณะ พระองคุลิมาล พระสาคตะ พระเสละ พระวังคีสะ พระลกุณฑกภัททิยะ พระกุมารกัสสปะ พระนันทกะ พระสุภูติ และพระกังขาเรวตะ แต่ละรูปมีประวัติที่น่าศึกษาดังนี้

๏ สถานะเดิม

พระวักกลิ เกิดในวรรณะพราหมณ์ ศึกษาจบไตรเพท อยู่ในเมืองสาวัตถี

พระยโสชะ เป็นหัวหน้าชาวประมง มีลูกน้องอยู่ ๕๐๐ คน ตั้งบ้านเรือนอยู่ใกล้ แม่น้ำอจิรวดี ซึ่งเป็นแม่น้ำสายสำคัญสายหนึ่งที่ไหลผ่านแคว้นโกศล

พระกุณฑธานะ เกิดในวรรณะพราหมณ์ มีชื่อเดิมว่า ‘ธานะ’ ศึกษาจบไตรเพท

พระปิลินทวัจฉะ เกิดในวรรณะพราหมณ์ เชื้อสายวัจฉโคตร มีชื่อเดิมว่า ‘ปิลินทะ’ แต่มักมีผู้เรียกท่านว่า ‘ปิลินทวัจฉะ’ โดยนำเชื้อสายของท่านมาต่อท้าย ศึกษาจบไตรเพท

พระมหาโกฎฐิตะ เกิดในวรรณะพราหมณ์ ในตระกูลพราหมณ์มหาศาล บิดาชื่อ ‘อัสสลายนะ’ มารดาชื่อ ‘จันทวดี’ มีชื่อเดิมว่า ‘โกฏฐิตะ’ ศึกษาจบไตรเพท

พระโสภิตะ เกิดในวรรณะพราหมณ์ ศึกษาจบศิลปวิทยาของพราหมณ์

พระอุปวาณะ เกิดในวรรณะพราหมณ์ ศึกษาจบไตรเพท

พระองคุลิมาล เกิดในวรรณะพราหมณ์ บิดาชื่อ ‘ภัคควะ’ เป็นปุโรหิตของพระเจ้าปเสนทิโกศล มารดาชื่อ ‘มันตานี’ มีชื่อเดิมว่า ‘อหิงสกะ’

พระสาคตะ เกิดในวรรณะพราหมณ์

พระเสละ เกิดในวรรณะพราหมณ์ ที่อาปณนิคมในแคว้นอุตตราปะ ซึ่งตั้งอยู่ติดกับแคว้นอังคะ บิดาชื่อ ‘วาเสฏฐะ’ ศึกษาจบไตรเพทและศิลปวิทยาของพราหมณ์

พระวังคีสะ เกิดในวรรณะพราหมณ์ ศึกษาจบไตรเพท

พระลกุณฑกภัททิยะ เกิดในวรรณะไวศยะ ตระกูลของท่านร่ำรวย มีชื่อเดิมว่า ‘ภัททิยะ’ แต่เพราะมีร่างกายเล็กและเตี้ยจึงมักถูกเรียกว่า ‘ลกุณฑกภัททิยะ’ (ภัททิยะผู้มีร่างกายเล็กและเตี้ย)

พระกุมารกัสสปะ เกิดในวรรณะไวศยะ คลอดในขณะที่มารดาเป็นภิกษุณี เนื่องจากมารดาตั้งครรภ์ท่านแล้วไม่ทราบ ได้ออกบวชจนเมื่อครรภ์ใหญ่จึงได้ทราบ และได้คลอดท่านในสำนักภิกษุณีนั้นเอง

พระนันทกะ เกิดในวรรณะไวศยะ แต่งงานแล้ว

พระสุภูติ เกิดในวรรณะไวศยะ ในตระกูลเศรษฐี เป็นน้องชายของอนาถบิณฑิกเศรษฐี

พระกังขาเรวตะ เกิดในวรรณไวศยะ ในตระกูลเศรษฐี มีชื่อเดิมว่า ‘เรวตะ’ เหตุที่มีคำว่า ‘กังขา’ แปลว่า ‘สงสัย’ นำหน้าชื่อนั้น เป็นเพราะก่อนได้บรรลุอรหัตผลท่านมักมีความสงสัยเกี่ยวกับพระวินัยว่า อะไรควรอะไรไม่ควร และมักซักถามพระพุทธเจ้าและเพื่อนพระด้วยกันอยู่เนืองๆ ดังนั้นต่อมาจึงมีเพื่อนพระเรียกท่านว่า ‘กังขาเรวตะ’ แปลวว่า ‘เรวตะ ผู้ชอบสงสัย’


๏ ชีวิตฆราวาส

พระวักกลิ แม้จะศึกษาจบไตรเพท แต่ไม่ปรากฏว่าท่านได้ทำหน้าที่เป็นครูสอนพระเวทแก่ใครแต่อย่างใด ตามประวัติกล่าวว่าท่านเป็นคนรักสวยรักงาม พบสิ่งใดที่ถูกตาถูกใจมักจะหลงใหลได้ง่าย

พระยโสชะ เนื่องจากเกิดในครอบครัวของชาวประมง เมื่อเติบโตขึ้นท่านจึงประกอบอาชีพการทำประมงเลี้ยงดูครอบครัวอย่างที่บรรพบุรุษได้ทำมา ท่านทำมาหากินอยู่บริเวณลุ่มน้ำอจิรวดี อันเป็นถิ่นกำเนิดนั้นเอง ท่านมีความสุขพอสมควรแก่อัตภาพ ทุกวันต้องออกไปหาปลากับเพื่อนชาวประมง

พระกุณฑธานะ พระปิลินทวัจฉะ พระมหาโกฏฐิตะ พระอุปวาณะ เป็นเช่นเดียวกับพระวักกลิ กล่าวคือ แม้จะศึกษาจบไตรเพท แต่ก็ไม่ได้ทำหน้าที่เป็น ครูสอนพระเวท

พระปิลินทวัจฉะ มีนิสัยพูดจาโผงผาง หากพูดกับคนที่ต่ำกว่าหรือเสมอกันมักจะจบลงด้วยคำว่า “วสลิ” (ไอ้ถ่อย) เสมอ แต่ความจริงแล้วด้านจิตใจนั้นท่าน เป็นคนโอบอ้อมอารีเข้าทำนองว่า ‘ปากร้ายใจดี’

พระอุปวาณะ เป็นคนร่างกายใหญ่โตขนาดเท่าลูกช้าง


ส่วนอุปนิสัยและบุคลิกภาพของพระกุณฑธานะและพระมหาโกฏฐิตะ น่าเสียดายว่ายังไม่พบหลักฐาน

อย่างไรก็ตาม พระมหาสาวกทั้ง ๔ รูปนี้ ครั้งเป็นฆราวาสก็มีความเป็นอยู่อย่างสุขสบาย โดยเฉพาะพระมหาโกฏฐิตะนั้นเกิดในตระกูลพราหมณ์ที่มั่งคั่ง จึงได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี นอกจากศึกษาจบไตรเพทแล้ว ท่านยังศึกษาจบศิลปวิทยาสาขาอื่นๆ ที่คนวรรณะพราหมณ์ควรศึกษา

พระโสภิตะ พระสาคตะ ไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับชีวิตฆราวาสของท่าน แต่อาศัยจากหลักฐานที่ว่าท่านศึกษาจบศิลปวิทยา จึงทำให้สันนิษฐานได้ว่าท่านคงเกิดในตระกูลที่มั่งคั่งและมีความเป็นอยู่อย่างสุขสบาย

พระองคุลิมาล เนื่องจากเป็นบุตรของปุโรหิตผู้ใหญ่ในราชสำนักของพระเจ้าปเสนทิโกศล จึงมีความเป็นอยู่สุขสบายและมีเกียรติ เมื่อเจริญวัยขึ้นบิดาได้ส่งท่านให้ไปศึกษาศิลปวิทยาในสำนักของอาจารย์ทิสาปาโมกข์ ณ เมืองตักกสิลา การศึกษาที่เมืองตักกสิลานี้เอง ที่ทำให้ท่านต้องมาเป็นโจรด้วยความจำเป็น ท่านเป็นคนแข็งแรงและมีกำลังเท่าช้าง ๗ เชือก

พระเสละ ชอบแสวงหาความรู้ รักการสนทนาแลกเปลี่ยนทัศนะ เมื่อศึกษาจบไตรเพทและศิลปวิทยาของพราหมณ์แล้ว จึงตั้งสำนักสอนพระเวท มีผู้มาเรียนด้วย ๓๐๐ คน

พระวังคีสะ นอกจากศึกษาจบไตรเพทแล้วยังได้ศึกษา ‘สีสมนตร์’ (มนตร์ที่ทำให้รู้ว่าคนตายไปเกิดที่ใดด้วยการเคาะกะโหลกศีรษะ) ท่านมีความชำนาญ ในมนตร์นี้มาก และได้อาศัยเป็นเครื่องเลี้ยงชีวิต

พระลกุณฑกภัททิยะ พระนันทกะ ไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับชีวิตฆราวาสของท่าน

พระกุมารกัสสปะ เติบโตอยู่ในสำนักภิกษุณี เนื่องจากมารดาตั้งครรภ์ท่านแล้วไม่รู้ว่าตั้งครรภ์ได้ออกบวช นางได้คลอดท่านขณะที่เป็นภิกษุณีนั้นเอง ท่านได้รับการเลี้ยงดูในสำนักภิกษุณีตั้งแต่เกิด วันหนึ่งพระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จผ่านมาสำนักภิกษุณีได้ยินเสียงเด็กร้อง ครั้นทรงทราบเรื่องราวทั้งหมดจึงรับสั่งให้ขอท่านไปเลี้ยงไว้ในราชสำนัก ในฐานะพระโอรสของพระองค์และทรงตั้งชื่อให้ว่า ‘กัสสปะ’ ต่อมามีผู้เรียกท่านว่า ‘กุมารกัสสปะ’ แปลว่า กัสสปะผู้ได้รับการเลี้ยงดูอย่างพระราชกุมาร

พระสุภูติ มีความเป็นอยู่อย่างสุขสบายอย่างที่เศรษฐีในยุคนั้นจะพึงเป็นได้

พระกังขาเรวตะ เป็นเช่นเดียวกับพระสุภูติเพราะเกิดในตระกูลเศรษฐีเหมือนกัน


๏ การออกบวช

พระวักกลิ ออกบวชเพราะเลื่อมใสในพระวรกายอันสง่างามของพระพุทธเจ้า มีเรื่องเล่าว่าครั้งแรกที่ได้เห็นพระวรกายของพระพุทธเจ้า ท่านเกิดความเลื่อมใสทันที หลังจากนั้นก็วนเวียนมาเฝ้าดูพระวรกายของพระพุทธเจ้าอยู่เนืองๆ ในที่สุดท่านเกิดความคิดว่าจะต้องออกบวช เพื่อจะได้ดูพระวรกายของพระพุทธเจ้าอย่างใกล้ชิดและตลอดเวลา ซึ่งพระพุทธเจ้าก็ทรงบวชให้ตามประสงค์

พระยโสชะ ออกบวชเพราะเกิดความสังเวชสลดใจ ในบาปกรรมของปลาทองที่ท่านและเพื่อนชาวประมงจับได้ มีเรื่องเล่าว่า วันนั้นท่านและเพื่อนชาวประมงได้ออกไปจับปลาในแม่น้ำอจิรวดีเหมือนอย่างเคย จับได้ปลาใหญ่ตัวหนึ่งซึ่งมีตัวเป็นสีทองแต่ว่าปากเหม็น ทุกคนเห็นเป็นอัศจรรย์ จึงเห็นพ้องต้องกันให้นำไปถวายพระเจ้าปเสนทิโกศล และพระเจ้าปเสนทิโกศลก็ทรงรับสั่งให้นำปลานั้นไปถวายพระพุทธเจ้าต่อ ทั้งนี้เพื่อจะได้ถือโอกาสทูลถามเรื่องกรรมเก่าของปลานั้นด้วย

พระพุทธเจ้าครั้นทอดพระเนตรเห็นปลาแล้ว ก็ทรงทราบถึงกรรมเก่าที่ทำให้ปลานั้นมีตัวเป็นสีทองแต่ปากเหม็น จึงตรัสบอกพระเจ้าปเสนทิโกศลว่า ในครั้งศาสนาของพระพุทธเจ้ากัสสปะ ปลาทองนั้นเกิดเป็นกุลบุตรมีชื่อว่า ‘กปิละ’ มารดาชื่อ ‘สาธนี’ น้องสาวชื่อ ‘ตาปนา’ พี่ชายชื่อ ‘โสธนะ’ ต่อมา หลังจากพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว กปิละกับพี่ชายได้ออกบวช พระโสธนะผู้พี่ชายตั้งใจศึกษาปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด ไม่นานก็ได้บรรลุอรหัตผล

ส่วนพระกปิละตั้งใจศึกษาพระไตรปิฎกเป็นอย่างดี แต่ไม่สนใจปฏิบัติสมถะและวิปัสสนา ท่านเชี่ยวชาญในพระไตรปิฎกเป็นอย่างมาก มีพระมาศึกษาพระไตรปิฎกด้วยเป็นจำนวนมาก จึงทำให้ท่านเกิดความหลงตนและลืมตัวด่าว่าพระรูปอื่นอย่างเสียหายทุกครั้งที่ไม่พอใจ ท่านหลงตนลืมตัวหนักขึ้นถึงขั้นประกาศว่าจะไม่ลงฟังพระปาติโมกข์อีกต่อไปเพราะไม่มีประโยชน์ ท่านประพฤติตัวก้าวร้าวอยู่อย่างนั้นแม้จะถูกพระพี่ชายตักเตือนด้วยความหวังดีก็ไม่เคยให้ความเคารพเชื่อฟัง ครั้นมรณภาพจากชาตินั้นแล้ว บาปกรรมก็ส่งผลให้ท่านไปเกิดในอเวจีนรกสิ้นพุทธันดรหนึ่ง ในพุทธุปบาทกาลนี้บาปกรรมที่ยังเหลืออยู่ส่งผลให้ท่านมาเกิดเป็นปลาใหญ่ปากเหม็นอยู่ในแม่น้ำอจิรวดี แต่ที่มีตัวเป็นสีทองนั้นเป็นผลมาจากการที่ทรงจำพระไตรปิฎกได้ดีนั่นเอง


พระยโสชะและเพื่อนชาวประมงได้ฟังกรรมเก่าของปลาทองแล้วเกิดความสังเวชสลดใจในความไม่แน่นอน ของสัตว์ที่ต้องเวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ จึงพร้อมใจกันสละบ้านเรือนออกบวชในพระพุทธศาสนา

พระกุณฑธานะ ออกบวชเมื่ออายุย่างเข้าวัยชราหลังจากวันหนึ่งได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าแล้วเกิดศรัทธาจึงทูลขอบวช

พระปิลินทวัจฉะ ออกบวชเป็นปริพาชกก่อนเพราะเกิดความสลดใจในการเวียนว่ายตายเกิดไม่สิ้นสุดของ สัตว์ทั้งหลาย ขณะเป็นปริพาชกนั้นท่านได้ศึกษาวิชา ‘จูฬคันธาระ’ จนสำเร็จ จึงทำให้สามารถเหาะได้และทำให้สามารถรู้ใจของผู้อื่นด้วย วิชาจูฬคันธาระทำให้ท่านมีชื่อเสียง เมื่อท่านเดินทางมาถึงเมืองราชคฤห์ก็ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากเจ้าของถิ่น แต่ต่อมาเมื่อพระพุทธศาสนาเผยแพร่เข้าไปถึงเมืองราชคฤห์ พุทธานุภาพทำให้วิชาจูฬคันธาระของท่านเสื่อม ท่านไม่สามารถเหาะและรู้ใจผู้อื่นได้เหมือนเมื่อก่อน


อาจารย์ผู้สอนวิชาจูฬคันธาระเคยบอกท่านว่า หากวิชามหาคันธาระมีอยู่ที่ใด วิชาจูฬคันธาระก็จะไม่สัมฤทธิ์ผลในที่นั้น ท่านคิดตามที่เคยได้รับการบอกกล่าว ในขณะเดียวกันก็ได้ทราบข่าวคราวของพระพุทธเจ้าเสด็จมาถึงเมืองราชคฤห์ จึงเชื่อแน่ว่าพระพุทธเจ้าต้องทรงทราบวิชามหาคันธาระ ต่อมาเมื่อได้โอกาสจึงเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าแล้วทูลขอเรียนวิชามหาคันธาระ พระพุทธเจ้าทรงยินดีจะสอนให้ แต่ทรงเสนอเงื่อนไขให้ท่านบวชเป็นพระในพระพุทธศาสนาก่อน ท่านยอมปฏิบัติตามเงื่อนไขและทูลขอบวชทันที

พระมหาโกฏฐิตะ ดังได้กล่าวแล้วว่าท่านเป็นบุตรพราหมณ์อัสสลายนะ บิดาของท่านเป็นคนมีชื่อเสียงมีความถือตัวจัดเรื่องชาติกำเนิด พระพุทธเจ้าทรงเห็นอุปนิสัยของพราหมณ์นั้นจึงเสด็จไปโปรดจนยอมคลายทิฐิมานะ และประกาศตนเป็นอุบาสกนับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์เป็นที่พึ่งตลอดชีวิต พระมหาโกฏฐิตะเห็นบิดาเปลี่ยนศาสนามานับถือพระพุทธศาสนาก็เกิดศรัทธาขึ้นมาบ้าง

วันหนึ่งได้เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ณ วัดเชตวัน ฟังธรรมแล้วก็เกิดศรัทธายิ่งขึ้น จึงทูลขอบวช พระพุทธเจ้าทรงบวชให้ท่านตามประสงค์ จากนั้นทรงมอบหมายให้พระสารีบุตรเป็นพระอุปัชฌาย์ และทรงมอบหมายให้พระมหาโมคคัลลานะเป็นพระอาจารย์

พระโสภิตะ พระสาคตะ พระลกุณฑกภัททิยะ พระนันทกะ พระกังขาเรวตะ ออกบวชเช่นเดียวกับพระกุณฑธานะและพระมหาโกฏฐิตะ กล่าวคือได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าแล้วเกิดศรัทธาจึงทูลขอบวช

พระอุปวาณะ ออกบวชเพราะความเลื่อมใสพุทธานุภาพที่ท่านเห็นในวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปรับวัดพระเชตวันจากอนาถบิณฑิกเศรษฐี เรื่องมีอยู่ว่า อนาถบิณฑิกเศรษฐีเดินทางไปค้าขายที่เมืองราชคฤห์ได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ณ วัดสีตวัน ฟังธรรมแล้วได้บรรลุโสดาปัตติผล จึงทูลนิมนต์ให้พระพุทธเจ้าเสด็จ มาเมืองสาวัตถีบ้าง ครั้นพระพุทธเจ้าทรงรับนิมนต์แล้วท่านก็กลับมาสละเงินซื้อสวนเจ้าเชตสร้างเป็นวัดเชตวันทันที แล้วส่งคนไปนิมนต์พระพุทธเจ้าให้เสด็จมารับถวาย เมื่อเสด็จมาถึงแล้ว ก่อนเสด็จเข้าไปในวัดเชตวันนั้นพระพุทธเจ้าทรงรับสั่งให้อุบาสกอุบาสิกาที่ตามเสด็จมาด้วยเดินเป็นแถวนำหน้าเข้าไปก่อน จากนั้นพระองค์จึงเสด็จเข้าไปโดยมีพระสาวกเดินแถวตามเสด็จ ขณะที่เสด็จเข้าไปนั้นพระพุทธเจ้าทรงเปล่งพระฉัพพรรณรังสีสวยงามเรืองรองไปทั่วบริเวณ พระอุปวาณะเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่มาเฝ้ารับเสด็จ เห็นพุทธานุภาพในวันนั้นแล้วเกิดความเลื่อมใสยิ่งนักจึงขอบวช

พระองคุลิมาล ดังได้กล่าวแล้วว่าการศึกษาที่เมืองตักกสิลานี้เองที่ทำให้ท่านต้องมาเป็นโจรด้วยความจำเป็น จึงขอกล่าวต่อไปว่าการมาเป็นโจรด้วยความจำเป็นนี้เองเป็นมูลเหตุชักนำให้ท่านออกบวช ดังเรื่อง มีอยู่ว่า เมื่อมาศึกษาอยู่ในสำนักทิสาปาโมกข์นั้น ท่านตั้งใจศึกษาเต็มที่ ในขณะเดียวกันก็ตอบแทนพระคุณอาจารย์ด้วยการรับใช้อาจารย์และภริยาด้วยความเคารพ ความดีดังกล่าวเป็นผลให้อาจารย์และภริยาโปรดปรานท่านมาก โดยเฉพาะนางพราหมณีผู้ภริยาของอาจารย์ได้เกื้อกูลท่านด้วยของกินของใช้มิให้ลำบาก จนศิษย์คนอื่นๆ พากันริษยาและหาเรื่องใส่ร้ายท่านว่าเป็นชู้กับภริยาของอาจารย์

ในที่สุดอาจารย์ก็หลงเชื่อจึงวางแผนฆ่าท่านโดยวิธีที่แนบเนียน โดยบอกว่าศิษย์ที่ศึกษาจบศิลปวิทยานั้นต้องให้ครุทักษิณา (ของบูชาครู) แก่อาจารย์ จากนั้นอาจารย์ก็บอกถึงของที่จะเป็นครุทักษิณานั้นคือนิ้วมือขวาของคน ๑,๐๐๐ นิ้ว ซึ่งจะหาได้มาก็ด้วยการออกล่าผู้คน ความจริงแล้วอาจารย์ มิได้ต้องการครุทักษิณาอย่างนั้น แต่ที่บอกไปนั้นก็ด้วยความเชื่อมั่นว่าวิธีนี้จะเป็นวิธีฆ่าศิษย์โดยอาจารย์เองไม่มีความผิด เพราะก่อนที่จะได้นิ้วมานั้นศิษย์ก็คงจะถูกฆ่าตายเสียก่อน

อาจารย์คาดผิดถนัด อหิงสกะออกล่านิ้วคนเป็นว่าเล่น ได้นิ้วมาแล้วก็แขวนไว้ตามกิ่งไม้ ต่อมาเห็นว่าไม่ปลอดภัยเพราะถูกแร้งกาจิกกิน จึงนำมาร้อยเป็นพวงมาลัยคล้องไหล่คล้ายสายธุรำ การกระทำดังกล่าวมานี้เองเป็นเหตุให้ได้ชื่อว่า ‘องคุลิมาล’ (ผู้มีนิ้วมือเป็นพวงมาลัย) แทนชื่อ ‘อหิงสกะ’ มานับแต่นั้น

พฤติกรรมของโจรองคุลิมาลลือชาไปทั่วเป็นที่หวาดกลัวของผู้คน ความทราบถึงพระเจ้าปเสนทิโกศล พระองค์จึงทรงรับสั่งให้จัดกำลังทหารออกตามล่าโจรองคุลิมาล ปุโรหิตภัคควะบิดาของโจรองคุลิมาลทราบเรื่อง ก็ไม่ได้แสดงอาการหวั่นวิตกแต่ประการใด เพราะปลงใจได้ว่าลูกชายได้ก่อกรรมทำเข็ญไว้มาก จึงถึงคราวที่จะต้องได้รับผลกรรมตอบสนองบ้างแล้ว แต่นางพราหมณีผู้มารดาหวั่นไหวหนัก เมื่อสามีปฏิเสธไม่ยอมไปพบลูกชายตามที่นางขอร้อง นางจึงออกไปเองตามลำพังด้วยหมายจะเกลี้ยกล่อมลูกชายให้ยอมมอบตัวแต่โดยดี

วันนั้นโจรองคุลีมาลก็ดีใจว่าจะเป็นวันที่จบการศึกษาศิลปวิทยาแล้ว เพราะเหลืออีกนิ้วเดียวก็จะครบ ๑,๐๐๐ พอดี และตั้งใจว่าเมื่อได้นิ้วครบ ๑,๐๐๐ ซึ่งถือว่าจบการศึกษาแล้วก็จักตัดผม แต่งหนวด อาบน้ำ เปลี่ยนผ้านุ่งห่มใหม่ แล้วกลับไปเยี่ยมบิดามารดา จึงออกจากกลางป่ามายืนดักอยู่ที่ปากทางเข้าป่า

ขณะนั้นนางพราหมณีผู้เป็นมารดา กำลังเดินมุ่งหน้าไปทางป่าที่โจรองคุลีมาลซุ่มซ่อนอยู่นั้น โจรองคุลีมาลเห็นมารดาเดินมาแต่ไกลก็จำได้ แต่เพราะอยากได้นิ้วมือจึงถือดาบวิ่งเข้าหามารดาหมายจะฆ่าแล้วตัดเอานิ้วมือข้างขวาอีก ๑ นิ้ว ก็จะครบ ๑,๐๐๐ พอดี พระพุทธเจ้าทรงตรวจดูอุปนิสัยของเวไนยสัตว์ตอนเช้ามืด ทรงเห็นอุปนิสัยของโจรองคุลีมาลว่าสามารถจะบรรลุมรรคผลได้และทรงเห็นว่า โจรองคุลิมาล จะบรรลุมรรคผลไม่ได้เลยหากจะต้องมาทำอนันตริยกรรมฆ่ามารดาของตนเอง

ดังนั้น หลังจากเสด็จบิณฑบาตและเสวยพระกระยาหารแล้ว จึงรีบเสด็จไปถึงพร้อมกับเวลาที่นางพราหมณีมาถึง และเสด็จไปขวางหน้าก่อนที่โจรองคุลิมาลจะวิ่งถึงมารดา โจรองคุลิมาลเห็นพระพุทธเจ้าจึงเปลี่ยนใจไม่ฆ่ามารดา แต่หันมาไล่ตามพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงแสดงปาฏิหาริย์ให้โจรองคุลีมาลวิ่งตามไม่ทันจน รู้สึกเหนื่อยล้า แล้วหยุดยืนอยู่กับที่ร้องบอกพระพุทธเจ้าขึ้นว่า

“หยุดก่อน สมณะ หยุดก่อน”

“เราหยุดแล้ว องคุลิมาล และเธอสิก็จงหยุดด้วย”

“ท่านหมายความว่าอย่างไร ข้าพเจ้าไม่เข้าใจ”

“ตถาคต หมายความว่า เราหยุดฆ่าสัตว์แล้ว แต่เธอสิไม่หยุด ฉะนั้น เธอต้องหยุดด้วย”

โจรองคุลิมาลฟังแล้วก็รู้สึกได้ทันทีว่า ผู้ที่กำลังพูดอยู่กับตนนั้น คือพระพุทธเจ้า จึงทิ้งดาบแล้วก้มลงกราบแทบพระบาท เขาเกิดปีติโสมนัสอย่างแรงกล้าในพระพุทธเจ้า บุญบารมีที่สั่งสมมาแต่อดีตชาติได้โอกาสเกื้อหนุนให้จิตใจน้อมไปในการบวช พระพุทธเจ้าทรงบวชให้ตามที่ทูลขอ

พระเสละ ออกบวชเมื่อคราวที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดชฎิลเกณิยะ เรื่องมีอยู่ว่า ขณะที่พระพุทธเจ้าเสด็จจาริกอยู่ในอังคุตตราปถชนบทพร้อมด้วยพระสาวก ๑,๒๕๐ รูป ชฎิลเกณิยะเกิดเลื่อมใสในพระเกียรติคุณ จึงทูลนิมนต์พระองค์พร้อมด้วยพระสาวก ไปรับภัตตาหารที่อาศรมของตนในเช้าวันรุ่งขึ้น


วันนั้นขณะที่บริวารของชฎิลเกณิยะกำลังขะมักเขม้นอยู่กับการผ่าฟืน เตรียมเตาไฟและเตรียมอาหารนั้น พราหมณ์เสละและศิษย์ผ่านมาพบเข้า จึงสอบถามได้ความว่าจะมีการถวายภัตตาหารแด่พระพุทธเจ้าในวันพรุ่งนี้เช้า ก็เกิดเลื่อมใสทันทีจึงพากันไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ขณะที่ทูลสนทนากับพระพุทธเจ้าอยู่นั้น พราหมณ์เสละก็ได้ตรวจดูมหาปุริสลักษณะของพระพุทธเจ้าไปด้วยจนครบถ้วนทั้ง ๓๒ ประการ จึงตกลงใจเชื่อแน่ว่านี่คือพระพุทธเจ้า ตกคืนนั้นเองพราหมณ์เสละและศิษย์ ๓๐๐ คนก็ตัดสินใจทูลขอบวชพร้อมกัน

พระวังคีสะ ออกบวชเพราะต้องการเรียนสีสมนตร์ดังกล่าวแล้ว เรื่องมีอยู่ว่าเมื่อท่านตัดสินใจจะอาศัยมนตร์นี้เลี้ยงชีวิต พวกพราหมณ์พวกของท่านจึงพาท่านตระเวนไปแสดงความสามารถตามสถานที่ต่างๆ ปรากฏว่าได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ใครก็ตามที่ต้องการทราบว่าญาติของตนที่ตายไปแล้วเกิดอยู่ในที่ใด นรก สวรรค์ หรือโลกมนุษย์ เมื่อมาหาท่านก็จะได้รับคำตอบหมด วิธีหาคำตอบก็คือ ท่านจะให้นำกะโหลกคนตายมาวางไว้แล้วเอานิ้วเคาะ ไม่นานก็จะได้คำตอบผ่านทางกะโหลกนั้น เกี่ยวกับสถานที่เกิดใหม่ของเจ้าของกะโหลก ด้วยวิธีการอย่างนี้ท่านก็ได้รับสิ่งของ อาทิ อาหาร ของใช้ เป็นเครื่องสักการะตอบแทน

หลังจากพากันตระเวนไปตามเมืองต่างๆ แล้วพวกพราหมณ์จึงพาท่านกลับมา ยังเมืองสาวัตถีตามเดิม และพำนักอยู่ใกล้ประตูทางเข้าวัดเชตวัน เหตุผลที่มาพำนักอยู่ที่นี้ก็เพื่อจะชักชวนพุทธศาสนิกชนที่มาเฝ้าพระพุทธเจ้าให้หันมาเลื่อมใสท่านบ้าง

“ท่านทั้งหลาย เชิญมาหาวังคีสะเถิด เขารู้ที่เกิดของคนตายอย่างไม่มีใครสู้ได้” พวกของท่านโฆษณา

“วังคีสะ จะสู้พระพุทธเจ้าของเราได้หรือ” มีเสียงตอบจากกลุ่มพุทธศาสนิกชน

ทั้ง ๒ ฝ่ายโต้เถียงกันรุนแรงถึงขั้นท้ากัน วังคีสะขอตามพุทธศาสนิกชนกลุ่มนั้นไปเฝ้าพระพุทธเจ้าด้วย เพื่อจะได้ประลองวิชากัน พระพุทธเจ้าทรงรับคำท้าของท่าน ที่จะขอแสดงความสามารถให้ดูด้วยการให้นำกะโหลกคนตายมา ๕ กะโหลกด้วยกัน คือ กะโหลกคนตายที่ไปเกิดในนรก กะโหลกคนตายที่ไปเกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน กะโหลกคนตายที่ไปเกิดเป็นมนุษย์ กะโหลกคนตายที่ไปเกิดเป็นเทวดา และกะโหลกของพระอรหันต์ วังคีสะเคาะกะโหลกคนตายแล้วก็บอกได้ว่าเป็นกะโหลกของใครตามลำดับ แต่มาถึงกะโหลกสุดท้ายอันเป็นกะโหลกของพระอรหันต์ ท่านไม่สามารถบอกได้เพราะเคาะแล้วก็ไม่ได้รับคำตอบว่าเจ้าของกะโหลกไปเกิด ณ ที่ใด จึงรู้สึกอับอายและยืนนิ่งอยู่โดยไม่ยอมปริปากพูดอะไร พระพุทธเจ้าทรงเข้าใจความรู้สึกของท่านได้ดี จึงตรัสว่า

ผู้ใดรู้การเกิดและการตายของสัตว์ทั้งหลายได้ครบถ้วน ไม่มีติดขัด
เพราะดำเนินตามอริยมรรคและรู้แจ้งอริยสัจ เราเรียกผู้นั้นว่าเป็นพราหมณ์
เทวดา คนธรรพ์ และมนุษย์ ไม่รู้ที่ไปของบุคคลใด
บุคคลนั้นสิ้นอาสวะห่างไกลกิเลสแล้ว
เราเรียกเขาว่า เป็นพราหมณ์


วังคีสะได้ฟังแล้วอยากจะเป็นพราหมณ์เช่นนั้นบ้าง จึงทูลขอให้พระพุทธเจ้าสอนวิชาให้ โดยคิดว่าเมื่อเรียนวิชาจากพระพุทธเจ้าได้แล้วก็จะทำให้รู้ที่เกิดของพระอรหันต์ อันจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการเลี้ยงชีพต่อไป พระพุทธเจ้าทรงรับที่จะสอนให้ แต่ทรงวางเงื่อนไขให้ท่านบวชก่อนจึงจะยอมสอน เมื่อวังคีสะตกลงจึงทรงบวชให้

พระกุมารกัสสปะ ออกบวชเป็นสามเณรก่อน มูลเหตุที่ทำให้ออกบวชก็คือท่านเกิดความสลดใจในชีวิตของตนเอง เมื่อได้ทราบความจริงว่าท่านไม่ใช่โอรสของพระเจ้าปเสนทิโกศลอย่างที่เข้าใจมาแต่แรก แท้จริงแล้วเป็นลูกของภิกษุณี จึงทูลขอพระราชานุญาตพระเจ้าปเสนทิโกศลออกบวช พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงทัดทาน แต่เมื่อทรงเห็นว่าไม่สามารถจะเปลี่ยนความตั้งใจของท่านได้ จึงทรงอนุญาต และเนื่องจากท่านมีอายุยังไม่ครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ พระพุทธเจ้าจึงทรงให้บวชเป็นสามเณรก่อน

พระสุภูติ ออกบวชเพราะความเลื่อมใสในพุทธานุภาพที่ท่านเห็นวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปรับวัดพระเชตวันจากอนาถบิณฑิกเศรษฐี เช่นเดียวกับพระอุปวาณะ

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2022, 17:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


๏ การบรรลุอรหัตผล

พระวักกลิ บรรลุอรหัตผลหลังจากคิดฆ่าตัวตาย ดังได้กล่าวไว้แล้วว่าท่านหลงใหลในพระรูปกายของพระพุทธเจ้า ดังนั้นเมื่อบวชแล้วจึงละทิ้งการบำเพ็ญสมณธรรมทั้งหมด คอยเฝ้าแต่ติดตามดูพระรูปกายของพระพุทธเจ้าเท่านั้น พระพุทธเจ้าตรัสเตือนท่านเนืองๆ ให้เลิกละการเที่ยวดูร่างกายอันจะเปื่อยเน่า และทรงชี้ทางออกให้หันมามุ่งหน้าบำเพ็ญสมณธรรม

วักกลิ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเท่ากับได้เห็นตถาคต
ผู้ใดเป็นตถาคต ผู้นั้นเท่ากับได้เห็นธรรม

พระวักกลิ แม้จะได้ยินพระพุทธเจ้าตรัสเตือนเช่นนี้ก็หาได้เข้าใจไม่ ท่านยังคงทำตัวเหมือนเดิม ไม่ว่าพระพุทธเจ้าจะประทับอยู่ที่ใด ท่านก็จะไปเฝ้าอยู่ใกล้ๆ พระพุทธเจ้าทรงพิจารณาเห็นว่าหากให้เหตุการณ์ดำเนินไปเช่นนี้ ท่านเองจะเป็นคนเสียหาย เนื่องจากจะไม่ได้บรรลุมรรคผลอันใด วันต่อมาเมื่อพระวักกลิมาเฝ้าจึงทรงขับไล่ไปให้พ้นจากพระองค์ พระวักกลิไม่ทันเข้าใจถึงวิธีการของพระพุทธเจ้าจึงรู้สึกเสียใจมาก และออกจากวัดเชตวันไปหมายจะกระโดดภูเขาฆ่าตัวตาย พระพุทธเจ้าทรงติดตามดูการกระทำของท่านตลอดเวลา ครั้นทรงเห็นว่าจะฆ่าตัวตายจริงๆ จึงทรงปรากฏพระองค์ให้เห็นพร้อมทั้งตรัสเรียกชื่อ ‘วักกลิ’ ซึ่งทำให้ท่านชงักและเกิดความดีใจว่าพระพุทธเจ้าตรัสเรียก ความน้อยใจแต่แรกหายไป กลายเป็นเกิดปีติขึ้นมาแทนที่ พระพุทธเจ้าทรงเห็นเป็นโอกาสอันสมควร จึงตรัสสอน

ภิกษุผู้เลื่อมใสในคำสอนของพระพุทธเจ้า
มากด้วยความปราโมทย์
สามารถบรรลุทางอันสงบสุข
ซึ่งดับการปรุงแต่งเสียได้ทั้งหมด

การที่พระพุทธเจ้าตรัสเรียกและตรัสสอนท่านนั้น ทำให้ท่านเกิดความอบอุ่นใจและมีกำลังใจ จึงได้ตั้งสติเจริญวิปัสสนาพิจารณาตามที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน ครั้นแล้วก็พลันเกิดความรู้แจ้ง ได้บรรลุอรหัตผล

พระยโสชะ บรรลุอรหัตผลหลังจากถูกขับไล่ออกจากวัดเชตวัน ดังได้กล่าวไว้แล้วว่าท่านเป็นชาวประมง หลังจากบวชแล้วก็พักอยู่แถบลุ่มน้ำอจิรวดีซึ่งเป็นบ้านเกิด วันหนึ่งได้พร้อมด้วยพระบริวารเดินทางไปเฝ้าพระพุทธเจ้าที่วัดเชตวัน พระบริวารของท่านส่งเสียงดังอื้ออึงลั่นวัดด้วยความเคยชินมาแต่ครั้งเป็นฆราวาส พระพุทธเจ้าจึงทรงตำหนิและขับไล่ให้ออกไปจากวัดเชตวันโดยด่วน ท่านรู้สึกสลดใจจึงพาพระบริวารออกเดินทางไปยังแคว้นวัชชี แล้วปลูกกระท่อมอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทา ท่านและพระบริวารต่างมุ่งมั่นบำเพ็ญสมณธรรมจนได้บรรลุอรหัตผลในพรรษานั้นเอง

พระกุณฑธานะ บรรลุอรหัตผลพร้อมกับเวลาที่กรรมชั่วให้ผลสิ้นสุด มีเรื่องเล่าว่า ครั้นบวชได้ไม่นาน ท่านก็เริ่มรู้สึกไม่สบายใจต่อคำพูดเสียดสีของเพื่อนพระด้วยกัน จนไม่สามารถบำเพ็ญสมณธรรมได้ มูลเหตุที่ทำให้ท่านถูกพูดจาเสียดสีจนจิตใจฟุ้งซ่านนั้น ก็คือ นับตั้งแต่วันบวชมีคนเห็นผู้หญิงคนหนึ่งเดินตามหลังท่านอยู่ตลอดเวลาและทุกสถานที่ ผู้หญิงคนนั้นตามที่คนทั่วไปเห็นมีรูปร่างสวยงาม เวลาเข้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน ขณะใส่บาตรท่าน ชาวบ้านก็มักจะพูดว่าส่วนนี้เป็นของท่าน อีกส่วนหนึ่งนี้เป็นของผู้หญิงที่ติดตามท่าน เวลาอยู่ในวัดเพื่อนพระก็จะพูดเสียดสีท่านว่าไม่น่าเลยท่านธานะคนดีต้องมาเป็นคนกุณฑะ (ชั่วช้า ในภาษาฮินดีใช้หมายถึง พวกนักเลงหัวไม้) จึงเป็นเหตุให้ท่านมีชื่อว่า ‘กุณฑธานะ’ มานับแต่นั้น

พระกุณฑธานะไม่ทราบเลยว่ามีผู้หญิงติดตามท่านอยู่ จึงรู้สึกไม่พอใจเมื่อถูกพูดจาเสียดสีบ่อยครั้ง เมื่อทนไม่ไหวจึงกล่าวตอบโต้บ้างอย่างเผ็ดร้อน โดยเฉพาะแก่เพื่อนพระด้วยกัน

“พวกท่านซีชั่วช้า อุปัชฌาย์อาจารย์ของพวกท่านก็ชั่วช้า”

ต่อมาความทราบถึงพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงรับสั่งให้ท่านเข้าเฝ้า แล้วตรัสถามถึงข้อเท็จจริง เมื่อท่านยอมรับว่าได้กล่าวตอบโต้ จึงตรัสเตือน

“ภิกษุ กรรมเก่าเธอยังชดใช้ไม่หมด ไฉนจึงมาสร้างกรรมใหม่อีก”

จากนั้นพระพุทธเจ้าได้ตรัสเล่าถึงกรรมเก่าที่ท่านทำไว้

เรื่องที่พระกุณฑธานะมีผู้หญิงติดตามนี้ อื้อฉาวมากรู้กันทั่วเมืองสาวัตถี พระเจ้าปเสนทิโกศลในฐานะพุทธศาสนูปถัมภก ทรงเห็นว่าเป็นมลทินของพระพุทธศาสนา ทรงหวังจะช่วยชำระ จึงเสด็จไปตรวจสอบดูด้วยพระองค์เองถึงกุฏิของพระกุณฑธานะนั้น

ขณะนั้น พระกุณฑธานะกำลังนั่งเย็บผ้าอยู่ในกุฏิ พระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จไปถึงทอดพระเนตรเห็นหญิงคนหนึ่งแต่งตัวสวยงามยืนอยู่ข้างหลังท่าน จึงทรงขออนุญาตเสด็จเข้าไปในกุฏิเพื่อดูหญิงนั้นให้ชัดเจน แต่ครั้นเสด็จเข้าไปแล้วก็ไม่ทรงพบเห็นแม้แต่เงา ทรงตรวจดูกุฏิทุกซอกทุกมุมก็ไม่ทรงพบเห็น จึงเสด็จกลับออกมาประทับยืนอยู่ในที่เดิม และขณะที่ประทับยืนทอดพระเนตรอยู่ในที่เดิมนั้น ก็ทรงเห็นหญิงนั้นอีก ในที่สุดทรงสรุปได้ว่าผู้หญิงนั้นคงไม่ใช่รูปจริง แต่คงเป็นรูปที่เกิดขึ้นมาจากกรรมเก่าของพระเถระ แรกทีเดียวที่เสด็จมาถึง พระเจ้าปเสนทิโกศลไม่ทรงไหว้ แต่เมื่อทรงแน่พระทัยว่าท่านไม่ผิดอย่างที่ถูกกล่าวหา จึงทรงยอมไหว้แล้วทอดพระเนตรดูท่านอย่าง พินิจพิเคราะห์ ทรงเห็นท่านผ่ายผอมผิวพรรณซีดเซียว จึงทรงเข้าพระทัยได้ดีว่าท่านคงลำบากเรื่องอาหาร ดังนั้นก่อนเสด็จกลับจึงตรัสว่า

“พระคุณเจ้า นับแต่นี้ไปไม่ต้องไปบิณฑบาตที่ไหนหรอก โยมจะบำรุงท่านด้วยปัจจัย ๔ ขอให้ท่านตั้งใจบำเพ็ญสมณธรรมก็แล้วกัน”

นับแต่นั้นมาพระกุณฑธานะก็เข้าไปบิณฑบาตในพระราชวังทุกวัน ร่างกายก็เริ่มมีกำลังเพราะได้อาหารพอฉัน จิตเริ่มสงบเพราะไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับคำพูดเสียดสี ท่านเจริญสมถะและวิปัสสนาอย่างต่อเนื่อง ไม่นานก็ได้บรรลุอรหัตผล และทันทีที่ได้บรรลุอรหัตผลนั้นรูปหญิงที่ติดตามท่านก็หายไปพร้อมๆ กัน

พระปิลินทวัจฉะ ดังได้กล่าวแล้วว่า ท่านบวชเพื่อต้องการศึกษาวิชามหาคันธาระจากพระพุทธเจ้า ดังนั้นครั้นบวชแล้วพระพุทธเจ้าจึงทรงสอนวิชามหาคันธาระนั้นทันที ด้วยการประทานกรรมฐานที่เหมาะสมแก่อุปนิสัยให้ ท่านบำเพ็ญกรรมฐานไม่นานก็ได้สำเร็จวิชามหาคันธาระ คือ บรรลุอรหัตผล อันทำให้หยุดการดิ้นรนขวยขวายเพื่อลาภสักการะดังแต่ก่อน

พระมหาโกฏฐิตะ พระโสภิตะ พระอุปวาณะ พระเสละ พระนันทกะ มีหลักฐานกล่าวไว้คล้ายกันว่า หลังจากบวชแล้วไม่นานท่านได้บรรลุอรหัตผล แต่น่าเสียดายว่าไม่มีกล่าวถึงรายละเอียดการปฏิบัติธรรมของท่าน

พระองคุลิมาล บรรลุโสดาปัตติผลก่อนบวช หลังจากฟังพระพุทธเจ้าแสดงธรรมเรื่องการไม่ฆ่าสัตว์ดังกล่าวมาแล้ว จากนั้นจึงทูลขอบวช ครั้นบวชแล้วก็เจริญวิปัสสนาจนได้บรรลุอรหัตผลในเวลาต่อมา


ก่อนบรรลุอรหัตผล มีเรื่องเล่าว่า เมื่อท่านตามเสด็จพระพุทธเจ้าไปอยู่ที่วัดเชตวันนั้น แม้ว่าพระเจ้าปเสนทิโกศลจะทรงอุปการะเรื่องปัจจัย ๔ ท่านก็ไม่รับ แต่กลับถือธุดงค์ ๔ ข้อ คือ ถืออยู่ป่าเป็นวัตร ถือบิณฑบาตเป็นวัตร ถือครองผ้าบังสุกุล (ผ้าเปื้อนฝุ่น) เป็นวัตร และถือครองผ้าไตรจีวร (ผ้า ๓ ผืน) เป็นวัตร

เช้าวันหนึ่งขณะออกบิณฑบาตท่านเห็นหญิงท้องแก่ใกล้คลอดคนหนึ่ง แล้วเกิดธรรมสังเวชว่า สัตว์ทั้งหลายช่างลำบากแท้หนอ กลับจากบิณฑบาตแล้วท่านเข้าไปกราบทูลเล่าถวายพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสแนะนำให้ท่านเข้าไปหาหญิงนั้นแล้วกล่าวว่า

“น้องหญิง ตั้งแต่อาตมาเกิดมา อาตมาไม่รู้เลยว่าได้จง ใจปลงชีวิตสัตว์ (ฆ่าสัตว์) ด้วยคำสัตย์นี้ ขอความสวัสดีจงมีแก่เธอ ขอความสวัสดีจงมีแก่ลูกของเธอ”

แต่ท่านพูดค้านว่า ถ้าท่านพูดอย่างนั้นก็เท่ากับว่ากล่าวเท็จทั้งที่รู้ตัวอยู่ เพราะ (ตลอดเวลาที่เป็นโจร) ข้าพระองค์จงใจปลงชีวิตสัตว์ พระพุทธเจ้าจึงทรงแนะนำให้ท่านกล่าวใหม่ว่า

“น้องหญิง ตั้งแต่อาตมาเกิดมาในอริยชาติ (เป็นพระอริยะ) อาตมาไม่รู้เลยว่าได้จงใจปลงชีวิตสัตว์ ด้วยคำสัตย์นี้ ขอความสวัสดีจงมีแก่เธอ ขอความสวัสดีจงมีแก่ลูกของเธอ” ท่านไปทำตามที่พระพุทธเจ้าตรัสแนะนำ ผลปรากฏว่า หญิงนั้นและลูกปลอดภัย

วิธีทำของท่านมีกล่าวไว้ในปปัญจสูทนีว่า เมื่อพระเถระไปถึงที่คลอด ชาวบ้านช่วยกันกั้นม่านแล้วตั้งตั่งให้พระเถระนั่งนอกม่าน พระเถระนั่งทำสัจกิริยา (เปล่งคำสัตย์) อยู่นอกม่านนั้น พร้อมกับเวลาที่กล่าวคำสัตย์เด็กก็คลอดออก จากครรภ์มารดา เหมือนน้ำไหลออกจากธมกรก (กระบอกกรองน้ำ)

ปรากฏว่านับแต่นั้นมา ที่นั้นเลยกลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ แม้สัตว์ดิรัจฉานที่คลอดยาก พวกเจ้าของก็จะนำมานอนที่ตั่ง ผลก็คือคลอดลูกง่าย บางตัวไม่แข็งแรงพามาไม่ได้ พวกเจ้าของก็จะเอาน้ำล้างตั่งไปรดหัวให้ ผลก็คือคลอดลูกง่ายเหมือนกัน

พระสาคตะ บรรลุอรหัตผลเพราะสลดใจในพฤติกรรมเมาสุราของท่านเอง มีเรื่องเล่าว่าหลังจากบวชได้ไม่นาน ท่านบำเพ็ญสมถกรรมฐานจนได้บรรลุสมาบัติ ๘ ท่านมีความชำนาญในการเข้าสมาบัติ ๘ และมีความชำนาญเป็นพิเศษในการเข้าเตโชสมาบัติ คราวหนึ่งพระพุทธเจ้าทรงพาท่านไปยังท่าเรืออัมพะ ซึ่งอยู่ที่หมู่บ้านภัททวติกะ ในแคว้นเจตี ที่ท่าเรือแห่งนั้นมีอาศรมของพวกชฎิลตั้งอยู่ ชฏิลคณะนี้นับถือพญานาค (งูใหญ่) พญานาคนั้นมีฤทธิ์มากสามารถบันดาลฝนให้ตกหรือไม่ตกก็ได้ตามใจปรารถนา ซึ่งทำให้ชาวบ้านท่าเรืออัมพะเดือดร้อนมาก


พระสาคตะตามเสด็จพระพุทธเจ้าไปถึงที่นั้นทราบความเดือดร้อนของชาวบ้าน จึงคิดอยู่ว่าจะทรมานพญานาคให้ได้ ครั้นได้โอกาสท่านจึงไปนั่งขัดสมาธิใกล้ที่อยู่พญานาคนั้น เป็นเหตุให้พญานาค โกรธมากถึงขั้นพ่นควันพิษใส่ท่าน ท่านเข้าเตโชสมาบัติอธิษฐานจิตให้บังเกิดเป็นควันฟุ้งตลบกลบควันพิษของพญานาค พญานาคยิ่งโกรธมากขึ้นจึงพ่นควันไฟใส่ท่านอีก ท่านก็เข้าเตโชสมาบัติอธิษฐานจิตให้บังเกิดเป็นควันไฟที่ร้อนแรงกว่าใส่พญานาค จนในที่สุดพญานาคยอมแพ้และไม่แสดงฤทธิ์เบียดเบียนใครอีก

ข่าวคราวพระสาคตะปราบพญานาคได้กระจายไปทั่วหมู่บ้านท่าเรืออัมพะ ชาวบ้านต่างดีใจมาก นอกจากนั้นชาวเมืองโกสัมพีก็ได้ทราบข่าวคราวนี้ด้วยและดีใจไม่แพ้กัน เมื่อท่านเดินทางกลับมาแคว้นวังสะ ชาวเมืองโกสัมพีก็ต้อนรับท่านเยี่ยงวีรบุรุษ ด้วยการเตรียมสุราถวายให้ท่านดื่ม ตามคำแนะนำของพระฉัพพัคคีย์

รุ่งเช้าพระสาคตะออกไปบิณฑบาต ชาวเมืองโกสัมพีได้นำสุราที่จัดเตรียมไว้ออกมาถวายให้ท่านดื่ม เวลานั้นยังไม่มีพระพุทธบัญญัติห้ามพระดื่มสุรา ท่านจึงดื่มเพื่อฉลองศรัทธาบ้านละนิดละหน่อย แต่ครั้นดื่มมากบ้านเข้าท่านก็มีอาการเมาหมดสติล้มพับหลับใหลอยู่ข้างกองขยะริมทางเดิน พระพุทธเจ้าเสด็จผ่านมาพบเข้าจึงทรงรับสั่งให้ พระช่วยกันหามท่านกลับวัด แล้วทรงยกเรื่องของท่านเป็น ปฐมเหตุบัญญัติสิกขาบทห้ามพระดื่มสุรา

รุ่งขึ้นอีกวันหนึ่งท่านสร่างเมาได้สติรู้สึกตัวและได้ฟังเรื่องราวของท่านจากเพื่อนพระก็รู้สึกสลดใจในพฤติกรรมของตนเอง นับแต่นั้นจึงไม่ประมาทไม่ติดอยู่ในสมาบัติและฤทธิ์ ตั้งใจบำเพ็ญวิปัสสนา ไม่นานก็ได้บรรลุอรหัตผล

พระวังคีสะ บรรลุอรหัตผลหลังจากบวชได้ไม่นาน กล่าวคือ เมื่อทรงบวชให้ท่านแล้ว พระพุทธเจ้าทรงมอบหมายให้ท่านเป็นสัทธิวิหาริกของพระนิโครธกัปปะ พระนิโครธกัปปะสอนให้ท่านบำเพ็ญสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน ไม่นานท่านก็ได้บรรลุอรหัตผล ซึ่งเท่ากับว่าได้สำเร็จวิชาสีสมนตร์แล้ว


พระลกุณฑกภัททิยะ บรรลุโสดาปัตติผลหลังจากบวชได้ไม่นาน ต่อมาได้บรรลุสกทาคามิผลและอนาคามิผลตามลำดับ มีเรื่องเล่าว่า วันที่ท่านจะบรรลุอนาคามิผลนั้นเป็นวันมีมหรสพเล่น ท่านเดินผ่านมาทางในเมือง คณิกานางหนึ่งนั่งรถเล่นกับพราหมณ์คนหนึ่ง นางเห็นท่านตัวเล็ก อดขันไม่ได้จึงหัวเราะออกมาจนเห็นฟันขาว ท่านกำหนดเอากระดูกฟันของนางเป็นอารมณ์จนได้บรรลุฌาน แล้วทำฌานนั้นให้เป็นฐานสำหรับเจริญวิปัสสนาต่อไป จนได้บรรลุอนาคามิผล ต่อมาท่านเจริญกายคตาสติ คือ ตั้งสติกำหนดพิจารณาอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกาย พร้อมทั้งการเคลื่อนไหวอิริยาบถเป็นอารมณ์ และวันหนึ่งได้รับโอวาทเพิ่มเติมจากพระสารีบุตร ท่านเจริญวิปัสสนาตามโอวาทนั้นจนเกิดความรู้แจ้งได้บรรลุอรหัตผล

พระกุมารกัสสปะ บรรลุอรหัตผลหลังจากได้ฟังพระพุทธเจ้าทรงเฉลยปัญหา ๑๕ ข้อที่พรหมองค์หนึ่งบอกท่าน มีเรื่องเล่าว่า ขณะที่บำเพ็ญสมณธรรมอย่างเคร่งเครียดอยู่ในป่าอันธวัน พรหมชั้นสุทธาวาสองค์หนึ่งซึ่งเคยเป็นเพื่อนออกบวชปฏิบัติธรรมอยู่ด้วยกันตอนช่วงปลายศาสนาของพระพุทธเจ้ากัสสปะ เห็นท่านไม่บรรลุมรรคผลอันใดทั้งที่ปฏิบัติอย่างเคร่งครัด หวังจะช่วยให้บรรลุธรรมเร็วขึ้นจึงมาจากพรหมโลกปรากฏตนในป่าอันธวัน ครั้นสนทนากันแล้วพรหมองค์นั้นจึงฝากปัญหา ๑๕ ข้อให้ ท่านไปทูลถามพระพุทธเจ้า ท่านทำตามที่พรหมแนะนำ และเมื่อพระพุทธเจ้าตรัสตอบปัญหา ๑๕ ข้อนั้นจบลง ท่านก็ได้บรรลุอรหัตผล

พระสุภูติ บรรลุอรหัตผลโดยอาศัยเมตตาฌานเป็นฐาน มีเรื่องเล่าว่า ครั้นบวชแล้วท่านศึกษากรรมฐานจากพระพุทธเจ้า แล้วกราบทูลลาเข้าป่าบำเพ็ญสมณธรรม ท่านบำเพ็ญสมถะด้วยการตั้งจิตเมตตาไปยังสัตว์ทั้งหลายทั่วทุกทิศจนได้บรรลุเมตตาฌาน แล้วอาศัยเมตตาฌานนั้นเองเป็นฐานสำหรับเจริญวิปัสสนาต่อไป จนเกิดความรู้แจ้งได้บรรลุอรหัตผล

พระกังขาเรวตะ บรรลุอรหัตผลโดยอาศัยฌานเป็นฐานคล้ายกับพระสุภูติ มีเรื่องเล่าว่า ท่านศึกษากรรมฐานจากพระพุทธเจ้ากราบทูลลาพระพุทธเจ้าเข้าป่าไปบำเพ็ญสมถะจนได้บรรลุฌาน แล้วอาศัยฌานนั้นเป็นฐานสำหรับเจริญวิปัสสนาต่อไป ด้วยการพิจารณานามรูปให้เป็นของไม่เที่ยงเป็นทุกข์ ไม่มีตัวตนที่แท้จริง จนเกิดความรู้แจ้งได้บรรลุพระอรหัตผล


๏ งานสำคัญ

เป็นที่ทราบกันดีว่า พระอสีติมหาสาวกนั้นมีหน้าที่สำคัญในการช่วยพระพุทธเจ้าเผยแผ่พระพุทธศาสนาตามกำลังความสามารถของแต่ละท่าน พระอสีติมหาสาวก ๑๖ รูปนี้ก็เช่นกันแม้จะไม่ปรากฏหลักฐานหมดทุกรูป แต่ก็สันนิษฐานว่าทุกรูปได้พยายามทำหน้าที่อย่างดีที่สุดแล้ว

บรรดาพระอสีติมหาสาวก ๑๖ รูปนั้น พระอสีติมหาสาวกที่มีการบันทึกเรื่องราวการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของท่านไว้มี ๕ รูป คือ พระปิลินทวัจฉะ พระสาคตะ พระกุมารกัสสปะ พระนันทกะ และพระสุภูติ

พระปิลินทวัจฉะ สอนธรรมแก่พวกเทวดาเป็นประจำหลังจากบรรลุอรหัตผลแล้ว เทวดาเหล่านั้นมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ซึ่งมีความคุ้นเคยกับท่านมาตั้งแต่ครั้งเกิดเป็นมนุษย์ด้วยกันในชาติหนึ่งในอดีต มี เรื่องเล่าว่า ในชาตินั้นท่านเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิผู้ ทรงธรรมสอนพสกนิกรให้มั่นคงอยู่ในศีล ๕ ครั้นตายแล้ว พสกนิกรเหล่านั้นได้ไปบังเกิดเป็นเทวดาในสวรรค์ ชั้นดาวดึงส์ เมื่อท่านมาเกิดในชาตินี้ได้ออกบวชและบรรลุอรหัตผล เทวดาเหล่านั้นจำได้จึงมาหาด้วยความ คุ้นเคยและเลื่อมใสพร้อมทั้งได้ฟังธรรมจากท่านด้วย

พระสาคตะ แสดงปาฏิหาริย์ตามพระดำรัสของพระพุทธเจ้า มีเรื่องเล่าว่า คราวหนึ่งพระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่ภูเขาคิชฌกูฏ ท่านทำหน้าที่ถวายการอุปัฏฐาก มีชาวเมืองแคว้นอังคะจำนวนมากมาที่ภูเขาคิชฌกูฏนั้น เพื่อขอเฝ้าพระพุทธเจ้า ท่านได้แสดงอิทธิปาฏิหาริย์ด้วยการดำดินลงไปแล้วโผล่ขึ้นเบื้องพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงเห็นว่าชาวเมืองแคว้นอังคะที่ยังไม่เลื่อมใสศรัทธาเริ่มน้อมใจศรัทธาในพระพุทธศาสนาแล้ว เพื่อเป็นการเพิ่มพูนศรัทธาของพวกเขาพระองค์จึงทรงรับสั่งให้ท่านแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ต่อไปอีกด้วยการเดิน ยืน นั่ง นอนในอากาศ ท่านแสดง ตามที่พระพุทธเจ้าทรงรับสั่งอย่างครบถ้วน และจบลงด้วยการแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ที่ท่านชำนาญ คือ การทำให้เกิดควันไฟออกจากกายของท่าน

ชาวเมืองแคว้นอังคะเห็นแล้วต่างรู้สึกว่าพระสาวกยังมีความสามารถถึงเพียงนี้ แล้วพระพุทธเจ้าผู้เป็นศาสดาเล่าจักมีความสามารถเพียงไหน พระพุทธเจ้าทรง ตรวจดูวาระจิตของคนเหล่านั้นอยู่ตลอดเวลา ครั้นทรง เห็นว่ามีจิตอ่อนโยนแล้วจึงทรงแสดงอนุปุพพิกถาและอริยสัจ ๔ จนพวกเขาเข้าใจได้บรรลุโสดาปัตติผล

พระกุมารกัสสปะ แสดงธรรมโปรดพระเจ้าปายาสิ เจ้าผู้ครองนครเสตัพยะ จนคลายความเห็นผิดและเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา เดิมทีเดียวพระเจ้าปายาสิทรงเป็นมิจฉาทิฏฐิ มีความเห็นว่าโลกหน้าไม่มี เทวดาและสัตว์นรกไม่มี ผลกรรมดีกรรมชั่วไม่มี พระองค์ได้นำเรื่องนี้ไปสนทนากับพระกุมารกัสสปะ พระกุมารกัสสปะกล่าวอธิบายด้วยข้ออุปมาที่ลึกซึ้งจนทำให้พระองค์เกิดความเข้าใจแจ่มแจ้ง ยอมละความเห็นผิด ประกาศตนนับถือพระรัตนตรัยและทำบุญต่างๆ อาทิ ถวายทานแก่พระในพระพุทธศาสนาและนักบวชนอกพระพุทธศาสนา รวมทั้งทรงสงเคราะห์คนยากจนด้วย

พระนันทกะ แสดงธรรมสอนภิกษุณี ๕๐๐ รูป จนได้บรรลุอรหัตผล ณ วัดราชการาม เมืองสาวัตถี แคว้นโกศล มีเรื่องเล่าว่า คราวหนึ่งพระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่ วัดเชตวัน พระนางมหาปชาบดีโคตมี ซึ่งออกบวชเป็นภิกษุณีแล้วได้พาภิกษุณี ๕๐๐ รูปเข้าเฝ้า เพื่อทูลขอให้ทรงแสดงธรรมให้ฟัง พระพุทธเจ้าทรงเห็นเป็นโอกาสอันสมควร จึงทรงมอบให้พระสาวกรับภาระผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนแสดงธรรมให้ภิกษุณีเหล่านั้นฟัง พระสาวกที่ได้รับมอบภาระนั้น มีพระนันทกะรวมอยู่ด้วย


พระสาวกรูปอื่นๆ ต่างทำหน้าที่ด้วยดีเมื่อถึงวาระของตน แต่พระนันทกะกลับหลบหลีกไม่ยอมไปแสดงธรรม เหตุที่เป็นเช่นนั้น เพราะท่านระลึกชาติได้ว่า ภิกษุณีเหล่านั้นชาติหนึ่งในอดีตเคยเป็นบาทบริจาริกาของท่าน จึงเกรงว่าเมื่อไปแสดงธรรมจะถูกพระสาวกรูปอื่นที่ระลึกชาติได้ตำหนิว่า ท่านยังมีความผูกพันอยู่กับภิกษุณีเหล่านั้น ด้วยเหตุดังว่ามานี้ท่านจึงหลบหลีกให้พระสาวกรูปอื่นไปแสดงธรรมแทนท่าน

ต่อมาพระพุทธเจ้าทรงทราบจึงทรงรับสั่งให้ท่านไป แสดงธรรมด้วยตนเองเมื่อถึงวาระ ทั้งนี้เพราะทรงทราบ ดีว่าภิกษุณีเหล่านั้นหวังจะได้ฟังธรรมจากพระนันทกะเป็นสำคัญ เนื่องจากมีความผูกพันมาแต่อดีตชาติดังกล่าวแล้ว ท่านไม่อาจขัดขืนพระดำรัสของพระพุทธเจ้าได้ วันรุ่งขึ้นจึงไปแสดงธรรมตามวาระที่มาถึง

ธรรมที่ท่านแสดงนั้นว่าด้วยเรื่องอายตนะภายใน คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อายตนะภายนอก คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ และเวทนา ที่เกิดจากอายตนะภายในกับอายตนะภายนอกกระทบกัน พระนันทกะชี้ให้เห็นว่า สิ่งทั้งปวงนั้นต่างไม่เที่ยง มีความ ผันแปรและไม่มีตัวตนอันแท้จริงที่จะให้ยึดถือได้ จากนั้นจึงจบลงด้วยการแสดงโพชฌงค์ ๗ ให้ฟัง

วันแรก ภิกษุณีเหล่านั้นฟังแล้วยังไม่ได้บรรลุมรรคผลขั้นใดเลย ต่อมาวันที่ ๒ พระนันทกะแสดงธรรมเรื่องเดียวกันนี้ให้ฟังซ้ำอีก จึงได้บรรลุอรหัตผล เนื่องจากทำจิตให้สงบคลายความรักความผูกพันที่มีมาแต่อดีตชาติลงได้

พระสุภูติ แม้ว่าจะไม่ปรากฏเรื่องราวหลักธรรมที่ท่านสอน แต่ปฏิปทาของท่านที่ทำให้ผู้พบเห็นเกิดความเลื่อมใสนั้น นับว่าเป็นการเผยแผ่พระพุทธศาสนาทางหนึ่ง มีเรื่องเล่าว่า หลังจากบรรลุอรหัตผลแล้วท่านได้จาริกไปตามเมืองต่างๆ ทั้งในแคว้นโกศลและนอกแคว้นโกศล คราวหนึ่งจาริกไปถึงแคว้นมคธ เข้าไปในเมืองราชคฤห์


พระเจ้าพิมพิสารทรงทราบข่าวว่า ท่านมีปกติอยู่ด้วยอรณวิหารธรรม คือ เข้าฌานอยู่เป็นประจำ แม้เวลาบิณฑบาตก่อนจะรับบิณฑบาตที่บ้านใดก็จะเข้าฌานแผ่เมตตาให้แก่เจ้าของบ้านนั้นก่อน และบัดนี้ทรงทราบว่าท่านเดินทางมาถึงแคว้นมคธแล้ว จึงเสด็จไปหาแล้วตรัสนิมนต์ให้ท่านอยู่จำพรรษาในแคว้นมคธ

พระสุภูติรับนิมนต์ แต่เนื่องจากพระเจ้าพิมพิสาร ทรงลืมรับสั่งให้จัดเสนาสนะให้ท่าน ท่านจึงอยู่ในที่กลางแจ้ง การที่ท่านอยู่ในที่กลางแจ้งนั้นมีผลทำให้ฝนไม่ตก ชาวเมืองที่เป็นชาวนาชาวไร่ต่างเดือดร้อนเพราะปลูกพืชผักไม่ได้ จึงไปเฝ้าพระเจ้าพิมพิสาร หลังจากทรงใคร่ครวญถึงสาเหตุแล้ว พระเจ้าพิมพิสารก็แน่พระทัยว่าฝนไม่ตกเพราะพระสุภูติอยู่ในที่กลางแจ้ง ทรงใคร่ครวญต่อไปถึงสาเหตุที่พระสุภูติต้องอยู่ในที่กลางแจ้งก็ทรงพบว่า เป็นเพราะพระองค์ไม่ได้จัดเสนาสนะถวายท่าน

ครั้นทรงทราบแน่ชัดอย่างนี้แล้ว พระเจ้าพิมพิสารก็ทรงรับสั่งให้สร้างกุฏิใบไม้ถวาย และทันทีที่ท่านเข้าไปภายในกุฏินั้นปรากฏว่าฝนตก ชาวเมืองพากันดีใจ ความเดือดร้อนที่เนื่องจากฝนแล้งก็ยุติลง

คราวสังคายนาครั้งที่ ๑ อันถือว่าเป็นงานสำคัญที่ช่วยกันรักษาพระธรรมวินัยให้คงอยู่และยั่งยืนสืบมา พระอสีติมหาสาวกชาวแคว้นโกศลก็มีส่วนร่วมด้วย ที่ปรากฏชื่อมี ๔ รูป คือ พระวังคีสะ พระกุมารกัสสปะ พระมหาโกฏฐิตะ และพระอุปวาณะ

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มิ.ย. 2022, 08:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


๏ เอตทัคคะ-อดีตชาติ

บรรดาพระอสีติมหาสาวกชาวแคว้นโกศลที่กล่าวมานี้ มีที่ได้รับตำแหน่งเอตทัคคะ ๑๒ รูป คือ พระวักกลิ พระกุณฑธานะ พระปิลินทวัจฉะ พระมหาโกฏฐิตะ พระโสภิตะ พระสาคตะ พระวังคีสะ พระลกุณฑกภัททิยะ พระกุมารกัสสปะ พระนันทกะ พระสุภูติ และพระกังขาเรวตะ

พระวักกลิ พระพุทธเจ้าทรงตั้งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านหลุดพ้นด้วยศรัทธา

พระกุณฑธานะ พระพุทธเจ้าทรงตั้งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านจับสลากได้เป็นคนแรก

พระปิลินทวัจฉะ พระพุทธเจ้าทรงตั้งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านเป็นที่รักของเทวดา

พระมหาโกฏฐิตะ พระพุทธเจ้าทรงตั้งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านแตกฉานในปฏิสัมภิทา ๔

พระโสภิตะ พระพุทธเจ้าทรงตั้งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านระลึกชาติได้มาก

พระสาคตะ พระพุทธเจ้าทรงตั้งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านเข้าเตโชสมาบัติ

พระวังคีสะ พระพุทธเจ้าทรงตั้งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านปฏิภาณกวี

พระลกุณฑกภัททิยะ พระพุทธเจ้าทรงตั้งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านมีเสียงไพเราะ

พระกุมารกัสสปะ พระพุทธเจ้าทรงตั้งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านแสดงธรรมได้งดงามด้วยข้ออุปมา

พระนันทกะ พระพุทธเจ้าทรงตั้งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านสอนภิกษุณี ๕๐๐ รูปให้ได้บรรลุอรหัตผลพร้อมกัน

พระสุภูติ พระพุทธเจ้าทรงตั้งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านมีปกติอยู่ด้วยการเข้าฌาน และเป็นผู้ควรแก่ทักษิณา (ของทำบุญ)

พระกังขาเรวตะ พระพุทธเจ้าทรงตั้งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านชำนาญในการเข้าฌาน

พระพุทธเจ้าทรงตั้งพระอสีติมหาสาวก ๑๒ รูปนี้ไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ ตามความสามารถในชาติปัจจุบันและตามที่ตั้งจิตปรารถนาไว้ในอดีตชาติ

พระวักกลิ ตั้งจิตปรารถนาไว้ตั้งแต่ครั้งพระพุทธเจ้าปทุมุตตระ ครั้งนั้นท่านเกิดเป็นบุตรพราหมณ์อยู่ในเมืองหงสวดี วันหนึ่งได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพวกชาวเมืองเพื่อฟังธรรม เห็นพระพุทธเจ้าทรงตั้งพระสาวกรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านหลุดพ้นด้วยศรัทธา แล้วเกิดศรัทธาปรารถนาจะได้เป็นเช่นพระสาวกรูปนั้นบ้าง ท่านแสดงศรัทธาให้ปรากฏด้วยการถวายมหาทานแด่พระพุทธเจ้าและพระสาวกติดต่อกัน ๗ วัน วันสุดท้ายหลังจากพระพุทธเจ้าและพระสาวกฉันภัตตาหารแล้ว ท่านได้ถวายผ้าไตรจีวรแด่พระพุทธเจ้าและพระสาวก แล้วกราบแทบพระบาทของพระพุทธเจ้าพลางกราบทูลว่า

“ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อ ๗ วันที่แล้ว พระองค์ทรงยกย่องพระสาวกรูปหนึ่งว่าเลิศกว่าพระสาวกทั้งหลายผู้หลุดพ้นด้วยศรัทธา ด้วยผลบุญนี้ขอข้าพระองค์จงได้รับยกย่องอย่างพระสาวกรูปนั้นในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตกาลด้วยเถิด”

พระพุทธเจ้าปทุมุตตระทรงตรวจดูความเป็นไปในอนาคตของท่านด้วยพระญาณแล้ว ทรงเห็นว่าความปรารถนาของท่านสำเร็จได้แน่ จึงทรงพยากรณ์ว่า “ในอีก ๑๐๐,๐๐๐ กัปข้างหน้า พระพุทธเจ้าโคดมจักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก เธอจักได้ออกบวชเป็นสาวกของพระองค์ จักได้บรรลุอรหัตผล และได้รับตำแหน่งเอตทัคคะด้านหลุดพ้นด้วยศรัทธา”

ท่านฟังพระพุทธเจ้าตรัสพยากรณ์แล้วเกิดปีติโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง ได้ทำบุญอื่นๆ สนับสนุนอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต จากชาตินั้นบุญส่งผลให้เวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน ท่านได้มาเกิดเป็นบุตรพราหมณ์ในเมืองสาวัตถี ครั้นออกบวชก็ได้บรรลุอรหัตผล อาศัยเหตุที่ตั้งจิตปรารถนามาแต่อดีตชาติ ประกอบกับเหตุการณ์ในปัจจุบันชาติ ที่เมื่อออกบวชแล้วได้บรรลุอรหัตผล เพราะอาศัยศรัทธาในพระพุทธเจ้าเป็นที่ตั้ง พระพุทธเจ้าจึงทรงตั้งท่านไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านหลุดพ้นด้วยศรัทธาดังกล่าวแล้ว

พระกุณฑธานะ ตั้งจิตปรารถนาไว้ตั้งแต่ครั้งพระพุทธเจ้าปทุมุตตระ ครั้งนั้นท่านเกิดเป็นกุลบุตรชาวเมืองหงสวดี วันหนึ่งได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าพร้อมกับพวกชาวเมืองเพื่อฟังธรรม เห็นพระพุทธเจ้าทรงตั้งพระสาวกรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านจับสลากได้เป็นอันดับแรก แล้วเกิดศรัทธาปรารถนาจะได้เป็นเช่นพระสาวกรูปนั้นบ้าง ท่านแสดงศรัทธาให้ปรากฏด้วยการทำบุญต่างๆ แล้วจากนั้นจึงได้กราบทูลพระพุทธเจ้าให้ทรงทราบถึงความปรารถนาของท่าน และได้รับพยากรณ์อย่างที่พระวักกลิได้รับมาแล้ว คือจักได้ออกบวชเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าโคดมในอีก ๑๐๐,๐๐๐ กัปข้างหน้า พระพุทธเจ้าโคดมจักตั้งท่านไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านจับสลากได้เป็นอันดับแรก

ท่านฟังพระพุทธเจ้าตรัสพยากรณ์แล้วเกิดปีติโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง ได้ทำบุญอื่นๆสนับสนุนอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต จากชาตินั้นบุญส่งผลให้เวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน ท่านได้มาเกิดเป็นบุตรพราหมณ์ในเมืองสาวัตถี ครั้นออกบวชก็ได้บรรลุอรหัตผล อาศัยเหตุที่ตั้งจิตปรารถนามาแต่อดีตชาติ ประกอบกับเหตุการณ์ในปัจจุบันชาติ ที่เมื่อได้บรรลุอรหัตผลแล้วจับสลากได้เป็นอันดับแรกทุกครั้ง พระพุทธเจ้าจึงทรงตั้งท่านไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านจับสลากได้เป็นอันดับแรกดังกล่าวมาแล้ว

กล่าวถึงกรรมดีมาแล้ว ต่อนี้ไปจักได้กล่าวถึงกรรมชั่วของท่านบ้าง ซึ่งให้ผลออกมาเป็นว่าท่านเมื่อบวชแล้วมีรูปหญิงติดตามหลังอยู่ตลอดเวลา

มีเรื่องเล่าว่า ครั้งหนึ่งเป็นช่วงปลายพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้ากัสสปะ ท่านเกิดเป็นภุมมเทวดา (เทวดาที่สิงสถิตอยู่ตามภาคพื้นดิน) เห็นพระสาวกของพระพุทธเจ้ากัสสปะ ๒ รูป มีความรักและสามัคคีกันอย่างยิ่ง จึงรู้สึกริษยาหวังจะทำให้พระสาวกนั้นแตกแยกกัน ภุมมเทวดาหาโอกาสทำลายความรักสามัคคีของพระสาวก ๒ รูปนั้นอยู่นาน จนถึงวันอุโบสถวันหนึ่งพระสาวก ๒ รูปนั้นเดินทางไปทำอุโบสถร่วมกัน ระหว่างทางรูปหนึ่งเกิดปวดอุจจาระจึงขอตัวไปทำธุระในพุ่มไม้ใกล้ทางเดิน ปล่อยให้อีกรูปหนึ่งยืนคอยอยู่ ภุมมเทวดาเห็นเป็นโอกาสจึงแปลงตนเป็นหญิงสาวรูปร่างสวยงาม เมื่อพระสาวกรูปนั้นออกจากดงมาก็ตามหลังท่านออกมาด้วย พลางแสดงกิริยาอาการเหมือนว่าได้สำเร็จกามกิจกับท่านมา นั่นคือ เกล้าผม จัดแต่งผ้านุ่งให้เรียบร้อย

พระสาวกรูปที่ยืนคอยอยู่เห็นพระเพื่อนมีผู้หญิงเดินตามหลังออกมาจากพุ่มไม้ ก็เริ่มสงสัยในพฤติกรรม ยิ่งมาได้เห็นกิริยาอาการของหญิงที่แสดงออกมาอย่างนั้น ก็ยิ่งแน่ใจว่าสิ่งที่ตนสงสัยนั้นน่าจะเป็นจริง จึงแสดงอาการรังเกียจ เมื่อพระเพื่อนมาถึงจึงได้ปฏิเสธไม่ขอร่วมทางด้วย พร้อมทั้งบอกตามที่ตนเห็นและสงสัย ฝ่ายพระเพื่อนที่ถูกภุมมเทวดาแกล้งนั้นก็ปฏิเสธหนักแน่นว่า มิได้ทำผิดอย่างที่ถูกกล่าวหา

อย่างไรก็ตาม วันนั้นการกลั่นแกล้งของเทวดาได้ผล กล่าวคือ พระสาวก ๒ รูปนั้นเกิดแตกแยกถึงขนาดไม่ยอมร่วมลงอุโบสถด้วยกัน และไม่ใช่แต่พระสาวกคู่กรณีนั้นเท่านั้น แม้พระสาวกรูปอื่นๆ ที่เดินทางมาหมายจะร่วมลงอุโบสถด้วยก็เริ่มลังเลใจ ในที่สุดพระสาวกรูปที่ถูกเทวดาแกล้งก็ถูกขับไล่ ไม่มีพระสาวกรูปใดร่วมทำอุโบสถด้วย เพราะต่างก็เชื่อกันว่าท่านเสียศีลขาดจากความเป็นพระแล้ว เพราะเหตุที่มีเพศสัมพันธ์กับหญิง

ภุมมเทวดารู้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตลอดเวลา ตอนแรกรู้สึกสมใจที่พระสาวกแตกแยกกัน แต่เมื่อความแตกแยกขยายใหญ่ขึ้น พระสาวกรูปที่ตนแกล้งถูกรังเกียจจนได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก ภุมมเทวดาจึงรู้สึกเสียใจและสงสารพระสาวกรูปนั้นมาก ขณะนั้นเองจึงตัดสินใจแปลงตนเป็นคนแก่ เข้าไปหาพระสาวกที่กำลังลังเลใจจะเชื่อ หรือไม่เชื่อดีพร้อมทั้งสารภาพผิด และบอกกล่าวความจริงให้ทราบ

พระสาวกเหล่านั้น ครั้นได้ทราบความจริงแล้วก็ยอมให้พระสาวกที่ถูกกลั่นแกล้งนั้นเข้าร่วมลงอุโบสถ แต่แม้กระนั้นความสัมพันธ์ส่วนตัวกับพระคู่กรณีก็มิได้ดีดุจเดิม ต่างรูปต่างแยกกันอยู่และต่างมุ่งปฏิบัติธรรมจนตราบอายุขัย

ฝ่ายภุมมเทวดาจุติจากชาตินั้นแล้ว บาปกรรมก็ส่งผลให้ไปเกิดในอเวจีนรกสิ้นพุทธันดรหนึ่งต้องทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน จึงพ้นจากอเวจีนรกมาเกิดเป็นบุตรพราหมณ์ชาวเมืองสาวัตถีดังกล่าวแล้ว

พระปิลินทวัจฉะ ตั้งจิตปรารถนาไว้ตั้งแต่ครั้งพระพุทธเจ้าปทุมุตตระ ครั้งนั้นท่านเกิดเป็นชาวเมืองหงสวดี รับราชการในตำแหน่งนายประตู เป็นคนสนิทของพระเจ้าอานันทะผู้เป็นพระอนุชาของพระพุทธเจ้า ซึ่งครองราชสมบัติต่อจากพระราชบิดา ท่านเป็นคนมั่งคั่ง เห็นพระเจ้าอานันทะและเชื้อพระวงศ์ถวายทานแด่พระพุทธเจ้าและพระสาวกอยู่เนืองๆ จึงเกิดศรัทธาปรารถนาจะถวายทานบ้าง วันหนึ่งจึงทูลขอพระราชานุญาต และเมื่อได้รับพระราชานุญาตแล้วจึงเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ขณะนั้นพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมอยู่พร้อมทั้งทรงประกาศตั้งพระสาวกรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านเป็นที่รักของเทวดา ท่านเห็นแล้วยิ่งเพิ่มศรัทธาปรารถนาจะได้เป็นเช่นพระสาวกรูปนั้นบ้าง

ท่านแสดงศรัทธาให้ปรากฏด้วยการถวายมหาทานแด่พระพุทธเจ้าและพระสาวกติดต่อกัน ๗ วัน วันสุดท้ายท่านได้กราบทูลพระพุทธเจ้าให้ทรงทราบถึงความปรารถนาของท่าน และได้รับพุทธพยากรณ์อย่างที่พระวักกลิและพระกุณฑธานะได้รับแล้ว คือ จักได้ออกบวชเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าโคดมในอีก ๑๐๐,๐๐๐ กัปข้างหน้า จักได้บรรลุอรหัตผล พระพุทธเจ้าโคดมจักตั้งท่านไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านเป็นที่รักของเทวดา

ท่านฟังพระพุทธเจ้าตรัสพยากรณ์แล้วเกิดปีติโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง ได้ทำบุญอื่นๆ สนับสนุนอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต จากชาตินั้นบุญส่งผลให้เวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้าสุเมธะ

ชาติที่พบพระพุทธเจ้าสุเมธะนั้น ท่านเกิดเป็นกุลบุตรชาวเมืองสุทัสสนะ เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าและถวายการรับใช้อยู่เป็นประจำ ครั้นพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว ก็ได้บูชาสักการะพระสถูปที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ พร้อมทั้งถวายทานแด่พระอรหันต์ และพระสาวกที่ยังเป็นปุถุชนโดยไม่จำเพาะเจาะจงอยู่ตลอดชีวิต จากชาตินั้นบุญส่งผลให้เวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน ท่านได้มาเกิดเป็นบุตรพราหมณ์ชาวเมืองสาวัตถี ครั้นออกบวชก็ได้บรรลุอรหัตผล อาศัยเหตุที่ตั้งจิตปรารถนามาแต่อดีตชาติประกอบกับเหตุการณ์ในปัจจุบันที่เมื่อบรรลุอรหัตผลแล้วมีเทวดามาหาและสนทนาธรรมอยู่ด้วยเนืองๆ พระพุทธเจ้าจึงทรงตั้งท่านไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านเป็นที่รักของเทวดาดังกล่าวมาแล้ว

พระมหาโกฏฐิตะ ตั้งจิตปรารถนาไว้ตั้งแต่ครั้งพระพุทธเจ้าปทุมุตตระ ครั้งนั้นท่านเกิดเป็นกุลบุตรของตระกูลมั่งคั่งตระกูลหนึ่งในเมืองหงสวดี วันหนึ่งเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าพร้อมกับพวกชาวเมืองเพื่อฟังธรรม เห็นพระพุทธเจ้าทรงตั้งพระสาวกรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านแตกฉานในปฏิสัมภิทา ๔ แล้วเกิดศรัทธาปรารถนาจะได้เป็นเช่นพระสาวกรูปนั้นบ้าง


ท่านแสดงศรัทธาให้ปรากฏด้วยวิธีการอย่างที่พระวักกลิและพระปิลินทวัจฉะทำ คือ ถวายมหาทานแด่พระพุทธเจ้าและพระสาวกติดต่อกัน ๗ วัน วันสุดท้ายท่านได้กราบทูลพระพุทธเจ้าให้ทรงทราบถึงความปรารถนาของท่าน และได้รับพุทธพยากรณ์อย่างที่พระวักกลิ พระกุกุณฑธานะ พระปิลินทวัจฉะได้รับมาแล้ว คือ จักได้ออกบวชเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าโคดมในอีก ๑๐๐,๐๐๐ กัปข้างหน้า จักได้บรรลุอรหัตผล พระพุทธเจ้าโคดมจักตั้งท่านไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านแตกฉานในปฏิสัมภิทา ๔

ท่านได้ฟังพระพุทธเจ้าตรัสพยากรณ์แล้วเกิดปีติโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง ได้ทำบุญอื่นๆ สนับสนุนอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต จากชาตินั้นบุญส่งผลให้เวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน ท่านได้มาเกิดเป็นบุตรพราหมณ์ชาวเมืองสาวัตถี ครั้นออกบวชก็ได้บรรลุอรหัตผล อาศัยเหตุที่ตั้งจิตปรารถนามาแต่อดีตชาติประกอบกับเหตุการณ์ในปัจจุบันชาติที่เมื่อบรรลุอรหัตผลแล้วมีความแตกฉานในปฏิสัมภิทา ๔ คือ แตกฉานในข้อธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า แตกฉานในความหมายที่อธิบายข้อธรรมนั้นๆ แตกฉานในการใช้ภาษาและแตกฉานเชิงปฏิภาณ พระพุทธเจ้าจึงทรงตั้งท่านไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านแตกฉานในปฏิสัมภิทา ๔ ดังกล่าวมาแล้ว

พระโสภิตะ ตั้งจิตปรารถนาไว้ตั้งแต่ครั้งพระพุทธเจ้าปทุมุตตระ ครั้งนั้นท่านเกิดเป็นบุตรคหบดีตระกูลหนึ่งในเมืองหงสวดี วันหนึ่งเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าพร้อมกับพวกชาวเมืองเพื่อฟังธรรม เห็นพระพุทธเจ้าทรงตั้งพระสาวกรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านระลึกชาติได้มาก แล้วเกิดศรัทธาปรารถนาจะได้เป็นเช่นพระสาวกรูปนั้นบ้าง ท่านแสดงศรัทธาให้ปรากฏด้วยการทำบุญและกราบทูลพระพุทธเจ้าให้ทรงทราบถึงความปรารถนาของท่าน และได้รับพยากรณ์อย่างที่พระวักกลิ พระปิลินทวัจฉะ พระกุณฑธานะ และพระมหาโกฏฐิตะได้รับมาแล้ว คือ จักได้ออกบวชเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าโคดมในอีก ๑๐๐,๐๐๐ กัปข้างหน้า จักได้บรรลุอรหัตผล พระพุทธเจ้าโคดมจักตั้งท่านไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านระลึกชาติได้มาก

ท่านได้ฟังพระพุทธเจ้าตรัสพยากรณ์แล้วเกิดปีติโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง ได้ทำบุญอื่นๆ สนับสนุนอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต จากชาตินั้นบุญส่งผลให้เวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน ท่านได้มาเกิดเป็นบุตรพราหมณ์ชาวเมืองสาวัตถี ครั้นออกบวชก็ได้บรรลุอรหัตผล อาศัยเหตุที่ตั้งจิตปรารถนามาแต่อดีตชาติประกอบกับเหตุการณ์ในปัจจุบันชาติที่เมื่อบรรลุอรหัตผลแล้วสามารถระลึกชาติได้มากถึงชาติที่เกิดเป็นอสัญญีสัตว์ (แปลว่า สัตว์ผู้ไม่มีสัญญา คือ ความรู้สึกตัว ใช้เรียกพรหมพวกหนึ่งซึ่งเมื่อครั้งเป็นมนุษย์ได้บรรลุฌาน และเวลาตาย ตายขณะอยู่ในอิริยาบถใดก็ไปเกิดเป็นพรหมอยู่ในอิริยาบถนั้นด้วยอำนาจฌาน และไม่มีความรู้สึกตัว ไทยมักเรียกว่า พรหมลูกฟัก) พระพุทธเจ้าจึงทรงตั้งท่านไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านระลึกชาติได้มากดังกล่าวมาแล้ว

พระสาคตะ ตั้งจิตปรารถนาไว้ตั้งแต่ครั้งพระพุทธเจ้าปทุมุตตระ ครั้งนั้นท่านเกิดเป็นบุตรพราหมณ์ชาวเมืองสาวัตถี วันหนึ่งได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าพร้อมกับพวกชาวเมืองเพื่อฟังธรรม เห็นพระพุทธเจ้าทรงตั้งพระสาวกรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านเข้าเตโชสมาบัติ แล้วเกิดศรัทธาปรารถนาจะได้เป็นเช่นพระสาวกรูปนั้นบ้าง


ท่านแสดงศรัทธาให้ปรากฏด้วยการทำบุญและกราบทูลพระพุทธเจ้าให้ทรงทราบถึงความปรารถนาของท่าน และได้รับพุทธพยากรณ์อย่างที่พระวักกลิ พระกุณฑธานะ พระปิลินทวัจฉะ พระมหาโกฏฐิตะ และพระโสภิตะได้รับมาแล้ว คือ จักได้ออกบวชเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าโคดมในอีก ๑๐๐,๐๐๐ กัปข้างหน้า จักได้บรรลุอรหัตผล พระพุทธเจ้าโคดมจักตั้งท่านไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านชำนาญการเข้าเตโชสมาบัติ

ท่านได้ฟังพระพุทธเจ้าตรัสพยากรณ์แล้วเกิดปีติโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง ได้ทำบุญอื่นๆ สนับสนุนอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต จากชาตินั้นบุญส่งผลให้เวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน ท่านได้มาเกิดเป็นบุตรพราหมณ์ชาวเมืองสาวัตถี ครั้นออกบวชก็ได้บรรลุอรหัตผล อาศัยเหตุที่ตั้งจิตปรารถนามาแต่อดีตชาติประกอบกับเหตุการณ์ในปัจจุบันชาติ ที่เมื่อบรรลุอรหัตผลแล้วมีความสามารถเข้าเตโชสมาบัติปราบพญานาคได้ พระพุทธเจ้าจึงทรงตั้งท่านไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านเข้าเตโชสมาบัติดังกล่าวมาแล้ว

พระวังคีสะ ตั้งจิตปรารถนาไว้ตั้งแต่ครั้งพระพุทธเจ้าปทุมุตตระ ครั้งนั้นท่านเกิดเป็นพราหมณ์ ศึกษาจบไตรเพท วันหนึ่งเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าพร้อมกับพวก ชาวเมืองเพื่อฟังธรรม เห็นพระพุทธเจ้าทรงตั้งพระสาวกรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านปฏิภาณกวี แล้วเกิดศรัทธาปรารถนาจะได้เป็นเช่นพระสาวกรูปนั้นบ้าง

ท่านแสดงศรัทธาให้ปรากฏด้วยวิธีการอย่างที่พระวักกลิ พระปิลินทวัจฉะ และพระมหาโกฏฐิตะทำ คือ ถวายทานแด่พระพุทธเจ้าและพระสาวกติดต่อกัน ๗ วัน วันสุดท้ายท่านได้กราบทูลพระพุทธเจ้าให้ทรงทราบถึงความปรารถนาของท่าน และได้รับพุทธพยากรณ์อย่างที่พระวักกลิ พระกุณฑธานะ พระปิลินทวัจฉะ พระมหาโกฏฐิตะ พระโสภิตะ และพระสาคตะได้รับมาแล้ว คือ จักได้ออกบวชเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าโคดมในอีก ๑๐๐,๐๐๐ กัปข้างหน้า จักได้บรรลุอรหัตผล พระพุทธเจ้าโคดมจักตั้งท่านไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านปฏิภาณกวี

ท่านได้ฟังพระพุทธเจ้าตรัสพยากรณ์แล้วเกิดปีติโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง ได้ทำบุญอื่นๆ สนับสนุนอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต จากชาตินั้นบุญส่งผลให้เวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน ท่านได้มาเกิดเป็นบุตรพราหมณ์ชาวเมืองสาวัตถี ครั้นออกบวชก็ได้บรรลุอรหัตผล อาศัยเหตุที่ตั้งจิตปรารถนามาแต่อดีตชาติประกอบกับเหตุการณ์ในปัจจุบันชาติที่ท่านได้กล่าวสรรเสริญพระอัญญาโกณฑัญญะและพระอัครมหาสาวกเป็นบทกวี ยิ่งกว่านั้นยังได้กล่าวสรรเสริญพระพุทธเจ้าเป็นบทกวีอีกด้วย พระพุทธเจ้าจึงทรงตั้งท่านไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านปฏิภาณกวีดังกล่าวมาแล้ว

พระลกุณฑกภัททิยะ ตั้งจิตปรารถนาไว้ตั้งแต่ครั้งพระพุทธเจ้าปทุมุตตระ ครั้งนั้นท่านเกิดเป็นกุลบุตรของตระกูลมั่งคั่งตระกูลหนึ่งในเมืองหงสวดี วันหนึ่งได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าพร้อมกับชาวเมืองเพื่อฟังธรรม เห็นพระพุทธเจ้าทรงตั้งพระสาวกรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านมีเสียงไพเราะ แล้วเกิดศรัทธาปรารถนาจะได้เป็นเช่นพระสาวกรูปนั้นบ้าง

ท่านแสดงศรัทธาให้ปรากฏด้วยวิธีการอย่างที่พระวักกลิ พระปิลินทวัจฉะ พระมหาโกฏฐิตะ และพระวังคีสะทำ คือ ถวายทานแด่พระพุทธเจ้าและพระสาวกติดต่อกัน ๗ วัน วันสุดท้ายท่านได้กราบทูล พระพุทธเจ้าให้ทรงทราบถึงความปรารถนาของท่าน และได้รับพุทธพยากรณ์อย่างที่พระวักกลิ พระกุณฑธานะ พระปิลินทวัจฉะ พระมหาโกฏฐิตะ พระโสภิตะ พระสาคตะ และพระวังคีสะได้รับมาแล้ว คือ จักได้ออกบวชเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าโคดมในอีก ๑๐๐,๐๐๐ กัปข้างหน้า จักได้บรรลุอรหัตผล พระพุทธเจ้าโคดมจักตั้งท่านไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านมีเสียงไพเราะ

ท่านได้ฟังพระพุทธเจ้าตรัสพยากรณ์แล้วเกิดปีติโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง ได้ทำบุญอื่นๆสนับสนุนอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต จากชาตินั้นบุญส่งผลให้เวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้าวิปัสสี

ชาติที่พบพระพุทธเจ้าวิปัสสีนั้น ท่านเกิดเป็นนกดุเหว่าด้วยผลกรรมชั่วบางอย่าง แต่กรรมดีก็ส่งผลให้แสนรู้และมีขนสวยงาม วันหนึ่งขณะคาบผลมะม่วงสุกมีรสหวานบินมาจากป่าหิมพานต์ เห็นพระพุทธเจ้าวิปัสสีเสด็จพระพุทธดำเนินมีพระสาวกจำนวนมากโดยเสด็จด้วย แล้วเกิดความเลื่อมใสจึงกระพือปีกถวายบังคมแล้วบินร่อนลงมาหาพระพุทธเจ้า ด้วยตั้งใจจะถวายผลมะม่วงสุกนั้น พระพุทธเจ้าทรงทราบความประสงค์ของนกดุเหว่า จึงรับบาตรจากพระอุปัฏฐากเปิดฝาบาตรแล้วทรงยื่นออกรับผลมะม่วงสุกจากนกดุเหว่านั้น ครั้นแล้วทรงเลือกที่ประทับนั่งเสวย นกดุเหว่าเห็นพระพุทธเจ้าเสวยผลมะม่วงสุกนั้นแล้ว ก็เกิดปีติโสมนัสพลางน้อมรำลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า จากนั้นก็ปรบปีกถวายบังคมบินลากลับรัง นกดุเหว่าระลึกถึงบุญนั้นอยู่เนืองๆ ตลอดชีวิต จากนั้นบุญส่งผลให้เวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้ากัสสปะ

ชาติที่พบพระพุทธเจ้ากัสสปะนั้น ท่านเกิดเป็นช่างไม้ฝีมือดี หลังจากพระพุทธเจ้ากัสสปะเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว พุทธบริษัทได้ประชุมกันเพื่อสร้างพระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ แต่ตกลงกันไม่ได้ว่าจะสร้างสถูปสูงเท่าใด เพราะเท่าที่เสนอมานั้นสูงถึง ๗ โยชน์ จากนั้นก็เสนอลดหลั่นกันลงมา ๖ โยชน์บ้าง ๕ โยชน์บ้าง ๔ โยชน์บ้าง ๓ โยชน์บ้าง ๒ โยชน์บ้าง

ช่างไม้รู้สึกรำคาญใจจึงเสนอให้สร้างสูงเพียง ๑ โยชน์ ด้านกว้างก็เสนอให้สร้างมีขนาด ๑ โยชน์เช่นกัน โดยให้เหตุผลว่า หากสร้างสูงใหญ่เกินนั้นไปจะลำบากเรื่องการรักษาซ่อมแซมเมื่อถึงคราวชำรุดทรุดโทรม ส่วนหน้ามุขแต่ละด้านช่างไม้ก็เสนอให้สร้างกว้างด้านละ ๑ คาวุต พุทธบริษัทพิจารณาแล้วก็เห็นด้วยตามที่เขาเสนอ จึงมีมติให้ลดส่วนพระสถูปลงมาเหลือสูงเพียง ๑ โยชน์ จากชาตินั้นบุญส่งผลให้เวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน ท่านได้มาเกิดเป็นบุตรของตระกูลร่ำรวยตระกูลหนึ่งในเมืองสาวัตถี ครั้นออกบวชก็ได้บรรลุอรหัตผล อาศัยเหตุที่ตั้งปรารถนามาแต่อดีตชาติ ประกอบกับเหตุการณ์ในปัจจุบันชาติที่ท่านมีเสียงไพเราะ พระพุทธเจ้าจึงทรงตั้งท่านไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านมีเสียงไพเราะดังกล่าวมาแล้ว

พระกุมารกัสสปะ ตั้งจิตปรารถนาไว้ตั้งแต่ครั้งพระพุทธเจ้าปทุมุตตระ ครั้งนั้นท่านเกิดเป็นบุตรพราหมณ์ตระกูลหนึ่งในเมืองหงสวดี วันหนึ่งได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าพร้อมกับพวกชาวเมืองเพื่อฟังธรรม เห็นพระพุทธเจ้าทรงตั้งพระสาวกรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านแสดงธรรมได้งดงามด้วยข้ออุปมา แล้วเกิดศรัทธาปรารถนาจะได้เป็นเช่นพระสาวกรูปนั้นบ้าง

ท่านแสดงศรัทธาให้ปรากฏด้วยวิธีการอย่างที่พระวักกลิ พระปิลินทวัจฉะ พระมหาโกฏฐิตะ พระวังคีสะ และพระลกุณฑกภัททิยะทำ คือ ถวายทานแด่พระพุทธเจ้าและพระสาวกติดต่อกัน ๗ วัน วันสุดท้าย ท่านได้กราบทูลพระพุทธเจ้าให้ทรงทราบถึงความปรารถนาของท่าน และได้รับพุทธพยากรณ์อย่างที่พระวักกลิ พระกุณฑธานะ พระปิลินทวัจฉะ พระมหาโกฏฐิตะ พระโสภิตะ พระสาคตะ พระวังคีสะ และพระลกุณฑกภัททิยะได้รับมาแล้ว คือ จักได้ออกบวชเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าโคดมในอีก ๑๐๐,๐๐๐ กัปข้างหน้า จักได้บรรลุอรหัตผล พระพุทธเจ้าโคดมจักตั้งท่านไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านแสดงธรรมได้งดงามด้วยข้ออุปมา

ท่านได้ฟังพระพุทธเจ้าตรัสพยากรณ์แล้ว เกิดปีติโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง ได้ทำบุญอื่นๆ สนับสนุนอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต จากชาตินั้นบุญส่งผลให้เวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้ากัสสปะ

ชาติที่พบพระพุทธเจ้ากัสสปะนั้น ท่านออกบวช ภายหลังที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานได้นานแล้ว ซึ่งตกอยู่ในช่วงปลายพุทธุปบาทกาล พระศาสนาของพระพุทธเจ้ากัสสปะนั้นใกล้สูญสิ้นไปจากโลก ครั้นบวชแล้วท่านพร้อมกับเพื่อนพระอีก ๖ รูป (รวมเป็น ๗ รูปกับทั้งท่าน) ที่มุ่งมั่นปฏิบัติปลดเปลื้องตนให้พ้นจากกิเลส ได้ชวนกันละทิ้งหมู่คณะแล้วออกไปปฏิบัติธรรมอยู่ด้วยกันบนยอดเขาลูกหนึ่ง

ผลปรากฏว่าใน ๗ รูปนั้นมีเพียง ๑ รูปที่ได้บรรลุอรหัตผล และอีก ๑ รูปที่ได้บรรลุอนาคามิผล ส่วนที่เหลืออีก ๕ รูป แม้จะมุ่งมั่นปฏิบัติธรรมอย่างหนัก แต่ก็ไม่ได้บรรลุมรรคผลขั้นใดเลย อย่างไรก็ตามพระ ๕ รูปนั้นก็หาได้ท้อถอยไม่ ยังคงมุ่งมั่นปฏิบัติธรรมต่อไปจนถึงมรณภาพ ต่างรูปต่างเวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ ตามผลกรรม จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน ทั้งหมดนั้นได้มาเกิดเป็นบุคคล ต่างๆ ดังนี้

ท่านหนึ่งมาเกิดเป็นเจ้าชายปุกกุสาติแห่งเมืองตักกสิลา แคว้นคันธาระ ท่านหนึ่งมาเกิดเป็นพระสภิยะ ท่านหนึ่งมาเกิดเป็นพระพาหิยทารุจีริยะ ท่านหนึ่งมาเกิดเป็นพระทัพพมัลลบุตร และอีกท่านหนึ่งมาเกิดเป็นพระกุมารกัสสปะ

ทั้ง ๕ ท่านนั้น ท่านแรก คือ เจ้าชายปุกกุสาติ ได้พบพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน ได้ฟังธรรมและบรรลุอนาคามิผล แต่มิทันได้บวชก็ถูกแม่วัวขวิดตายขณะออกหาบาตรและจีวร เช่นเดียวกับพระพาหิยะ ท่านไปเกิดเป็นพรหมอนาคามีอยู่ในพรหมโลกชั้นอวิหา อันเป็นชั้นแรกของพรหมโลกชั้นสุทธาวาส อีก ๓ ท่าน คือ พระสภิยะ พระทัพพมัลลบุตร และพระกุมารกัสสปะ ได้ออกบวชและบรรลุอรหัตผลในเวลาต่อมา ส่วนพระพาหิยทารุจีริยะได้บรรลุอรหัตผลก่อนบวช แต่ยังมิทันได้บวชก็นิพพานเสียก่อน

พระกุมารกัสสปะ ครั้นออกบวชและได้บรรลุอรหัตผลแล้ว อาศัยเหตุที่ตั้งจิตปรารถนามาแต่อดีตชาติ ประกอบกับเหตุการณ์ในปัจจุบันชาติที่สามารถแสดงธรรมได้งดงามด้วยข้ออุปมา พระพุทธเจ้าจึงทรงตั้งท่านไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านแสดงธรรมได้งดงามด้วยข้ออุปมาดังกล่าวมาแล้ว


พระนันทกะ ตั้งจิตปรารถนาไว้ตั้งแต่ครั้งพระพุทธเจ้าปทุมุตตระ ครั้งนั้นท่านเกิดเป็นบุตรเศรษฐี ชาวเมืองหงสวดี วันหนึ่งได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าพร้อมกับชาวเมืองเพื่อฟังธรรม เห็นพระพุทธเจ้าทรงตั้งพระสาวกรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านสอนภิกษุณี แล้วเกิดศรัทธาปรารถนาจะได้เป็นเช่นพระสาวกรูปนั้นบ้าง

ท่านแสดงศรัทธาให้ปรากฏด้วยการทำบุญสำคัญต่างๆ อาทิ ถวายผ้ากัมพลราคาแพงแด่พระพุทธเจ้า บูชาต้นสาละ ซึ่งเป็นไม้ที่พระพุทธเจ้าประทับนั่งตรัสรู้ ต่อมาได้กราบทูลพระพุทธเจ้าให้ทรงทราบถึงความปรารถนาของท่าน และได้รับพุทธพยากรณ์อย่างที่พระวักกลิ พระกุณฑธานะ พระปิลินทวัจฉะ พระมหาโกฏฐิตะ พระโสภิตะ พระสาคตะ พระวังคีสะ พระลกุณฑกภัททิยะ และพระกุมารกัสสปะได้รับมาแล้ว คือ จักได้ออกบวชเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าโคดมในอีก ๑๐๐,๐๐๐ กัปข้างหน้า จักได้บรรลุอรหัตผล พระพุทธเจ้าโคดมจักตั้งท่านไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านสอนภิกษุณี

ท่านได้ฟังพระพุทธเจ้าตรัสพยากรณ์แล้วเกิดปีติโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง ได้ทำบุญอื่นๆ สนับสนุนอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต จากชาตินั้นบุญส่งผลให้เวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้าสิขี


ชาติที่พบพระพุทธเจ้าสิขีนั้น ท่านเกิดเป็นนายพราน วันหนึ่งขณะออกล่าเนื้ออยู่ในป่าฝ่านมาทางที่ประทับของพระพุทธเจ้า เห็นที่ที่พระพุทธเจ้าทรงใช้เดินจงกรมเป็นหลุมเป็นบ่อแล้วเกิดศรัทธา จึงได้นำทรายมาถมพร้อมทั้งเกลี่ยให้ราบเรียบ ท่านได้ทำบุญอื่นๆ สนับสนุนอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต จากชาตินั้นบุญส่งผลให้เวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน ท่านได้มาเกิดเป็นบุตรเศรษฐี เมืองสาวัตถี ครั้นออกบวชก็ได้บรรลุอรหัตผล อาศัยเหตุที่ตั้งจิตปรารถนามาแต่อดีตชาติ ประกอบกับเหตุการณ์ในปัจจุบันชาติที่เมื่อบรรลุอรหัตผลแล้วได้สอนภิกษุณี ๕๐๐ รูปให้ได้บรรลุอรหัตผลด้วย พระพุทธเจ้าจึงทรงตั้งท่านไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านสอนภิกษุณีดังกล่าวมาแล้ว

พระสุภูติ ตั้งจิตปรารถนาไว้ตั้งแต่ครั้งพระพุทธเจ้าปทุมุตตระ ครั้งนั้นท่านเกิดเป็นบุตรพราหมณ์มหาศาลในเมืองหงสวดี มีชื่อว่า ‘นันทะ’ ศึกษาจบไตรเพท ต่อมาได้ออกบวชเป็นฤาษีสร้างอาศรมอยู่ที่ภูเขานิสภะในป่าหิมพานต์ และมีกุลบุตรออกบวชตามเป็นจำนวนมาก วันหนึ่งพระพุทธเจ้าเสด็จมาโปรดถึงอาศรม ฤาษีนันทะและบรรดาศิษย์ต่างมีจิตเลื่อมใสถวายทานแด่พระพุทธเจ้าและพระสาวกที่ตามเสด็จด้วยจำนวน ๑๐๐,๐๐๐ รูป จากนั้นพระพุทธเจ้าทรงนำพระสาวกเข้านิโรธสมาบัติเป็นเวลา ๗ วัน ขณะที่พระพุทธเจ้าเข้านิโรธสมาบัติอยู่นั้น ฤาษีนันทะได้ยืนกั้นร่มถวายพระพุทธเจ้า ส่วนบรรดาฤาษีศิษย์ได้ยืนประนมมือไหว้พระสาวก

หลังออกจากนิโรธสมาบัติแล้ว พระพุทธเจ้าทรงรับสั่งให้พระสาวกรูปหนึ่งที่ได้ตำแหน่งเอตทัคคะด้านมีปกติอยู่ด้วยการเข้าฌานและเป็นผู้ควรแก่ทักษิณา กล่าวอนุโมทนาทานของฤาษีนันทะและศิษย์ จากนั้นพระพุทธเจ้าจึง ทรงแสดงธรรมด้วยพระองค์เอง ผลปรากฏว่าเมื่อฟังธรรมแล้วฤาษีศิษย์ทั้งหลายได้บรรลุอรหัตผลแล้วทูลขอบวชในพระพุทธศาสนา ส่วนฤาษีนันทะไม่ได้บรรลุมรรคผลขั้นใดเลย ทั้งนี้เพราะมัวแต่ตั้งจิตปรารถนาจะเป็นเหมือนพระสาวกที่พระพุทธเจ้าทรงตั้งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะนั้นในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต จนลืมพิจารณาธรรม พระพุทธเจ้าทรงทราบถึงความปรารถนาของท่าน จึงตรัสพยากรณ์ทำนองเดียวกัน คือ จักได้ออกบวชเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าโคดมในอีก ๑๐๐,๐๐๐ กัปข้างหน้า จักได้บรรลุอรหัตผล พระพุทธเจ้าโคดมจักตั้งท่านไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านมีปกติอยู่ด้วยการเข้าฌานและเป็นผู้ควรแก่ทักษิณา

ท่านได้ฟังพระพุทธเจ้าตรัสพยากรณ์แล้วเกิดปีติโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง ได้ทำบุญอื่นๆ สนับสนุนอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต จากชาตินั้นบุญส่งผลให้เวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้ากัสสปะ

ชาติที่พบพระพุทธเจ้ากัสสปะนั้น ท่านได้ออกบวชในพระพุทธศาสนาและมุ่งมั่นบำเพ็ญสมณธรรม ท่านบำเพ็ญคตปัจจาคติกวัตรตลอดชีวิต จากชาตินั้นบุญส่งผลให้เวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน ท่านได้มาเกิดเป็นบุตรเศรษฐีชาวเมืองสาวัตถี ครั้นออกบวชก็ได้บรรลุอรหัตผล อาศัยเหตุที่ตั้งจิตปรารถนามาแต่อดีตชาติ ประกอบกับเหตุการณ์ในปัจจุบันชาติที่ว่าท่านบิณฑบาตถึงบ้านใดก็จะเข้าฌาน แผ่เมตตาให้แก่เจ้าของบ้านและสรรพสัตว์ก่อนเป็นปกติแล้วจึงรับบิณฑบาตจากบ้านนั้น ซึ่งยังผลให้การทำบุญนั้นมีผลมาก พระพุทธเจ้าจึงทรงตั้งท่านไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านมีปกติอยู่ด้วยการเข้าฌาน และเป็นผู้ควรแก่ทักษิณาดังกล่าวมาแล้ว

พระกังขาเรวตะ ตั้งจิตปรารถนาไว้ตั้งแต่ครั้งพระพุทธเจ้าปทุมุตตระ ครั้งนั้นท่านเกิดเป็นบุตรพราหมณ์เมืองหงสวดี วันหนึ่งได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าพร้อม กับชาวเมืองเพื่อฟังธรรม เห็นพระพุทธเจ้าทรงตั้งพระสาวกรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านชำนาญในการเข้าฌาน แล้วเกิดศรัทธาปรารถนาจะได้เป็นเช่นพระสาวกรูปนั้นบ้าง


ท่านแสดงศรัทธาให้ปรากฏด้วยวิธีการอย่างที่พระวักกลิ พระปิลินทวัจฉะ พระมหาโกฏฐิตะ พระวังคีสะ พระลกุณฑกภัททิยะ และพระกุมารกัสสปะทำ คือ ถวายทานแด่พระพุทธเจ้าและพระสาวกติดต่อกัน ๗ วัน วันสุดท้ายได้กราบทูลพระพุทธเจ้าให้ทรงทราบถึงความปรารถนาของท่าน และได้รับพุทธพยากรณ์อย่างที่พระวักกลิ พระกุณฑธานะ พระปิลินทวัจฉะ พระมหาโกฏฐิตะ พระโสภิตะ พระสาคตะ พระวังคีสะ พระลกุณฑกภัททิยะ พระกุมารกัสสปะ พระนันทกะ และพระสุภูติได้รับมาแล้ว คือ จักได้ออกบวชเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าโคดมในอีก ๑๐๐,๐๐๐ กัปข้างหน้า จักได้บรรลุอรหัตผล พระพุทธเจ้าโคดมจักตั้งท่านไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านชำนาญในการเข้าฌาน

ท่านได้ฟังพระพุทธเจ้าตรัสพยากรณ์แล้วเกิดปีติโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง ได้ทำบุญอื่นๆ สนับสนุนอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต จากชาตินั้นบุญส่งผลให้เวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน ท่านได้มาเกิดเป็นบุตรเศรษฐีชาวเมืองสาวัตถี ครั้นออกบวชก็ได้บรรลุอรหัตผล อาศัยเหตุที่ตั้งจิตปรารถนามาแต่อดีตชาติ ประกอบกับเหตุการณ์ในปัจจุบันชาติที่ท่านมีความสามารถชำนาญในการเข้าฌานเสมอด้วยพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจึงทรงตั้งท่านไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านชำนาญในการเข้าฌานดังกล่าวมาแล้ว

ได้กล่าวถึงอดีตชาติของพระอสีติมหาสาวกชาวแคว้นโกศล ที่ได้รับตำแหน่งเอตทัคคะมาแล้ว ต่อไปนี้จักได้กล่าวถึง อดีตชาติของพระอสีติมหาสาวกชาวแคว้นโกศล ที่ไม่ได้รับตำแหน่งเอตทัคคะ ซึ่งมีอยู่ ๔ รูป คือ พระยโสชะ พระอุปวาณะ พระองคุลิมาล และพระเสละ


พระอสีติมหาสาวก ๔ รูปนี้ แม้จะไม่ได้ตั้งจิตปรารถนาตำแหน่งเอตทัคคะไว้เหมือนพระอสีติมหาสาวก ๑๒ รูปนั้น แต่ก็ได้ตั้งจิตปรารถนาเพื่อเป็นพระมหาสาวก และได้บรรลุอรหัตผลในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต ซึ่งแต่ละรูปต่างก็ได้รับพุทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าในอดีตทำนองเดียวกัน คือ จักได้ออกบวชเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าโคดม และจักได้บรรลุอรหัตผล ดังมีรายละเอียดดังนี้

พระยโสชะ ตั้งจิตปรารถนาไว้ในพระพุทธเจ้าในอดีตหลายพระองค์ จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้าวิปัสสี

ชาติที่พบพระพุทธเจ้าวิปัสสีนั้น ท่านเกิดเป็นชาวสวนเมืองพันธุมดี วันหนึ่งเห็นพระพุทธเจ้าทรงเหาะอยู่กลางอากาศแล้วเกิดความเลื่อมใสในพระพุทธานุภาพ และตั้งจิตปรารถนาเพื่อบรรลุอรหัตผลในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตกาล ต่อมาพบพระพุทธเจ้ากำลังเสด็จบิณฑบาต จึงถวายขนุนสำมะลอให้พระพุทธเจ้าเสวย พระพุทธเจ้าทรงทราบความปรารถนาของท่าน ครั้นเสวยแล้วจึงตรัสพยากรณ์ว่า ท่านจักได้บรรลุอรหัตผลในศาสนาของพระพุทธเจ้าโคดม เป็นเหตุให้ท่านเกิดปีติโสมนัสอย่างยิ่ง จึงได้ทำบุญอื่นๆ สนับสนุนอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต จากชาตินั้นบุญส่งผลให้เวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้ากัสสปะ

ชาติที่พบพระพุทธเจ้ากัสสปะนั้น ท่านเป็นหัวหน้าโจร มีบริวาร ๕๐๐ คน วันหนึ่ง ออกปล้นแล้วถูกชาวบ้านไล่ตาม จึงพากันหนีเข้าป่ามาพบพระป่ารูปหนึ่งกำลังบำเพ็ญสมณธรรมอยู่ เลยขอให้ท่านช่วยเหลือ ท่านจึงช่วยเหลือด้วยการให้พวกโจรถือศีล ๕ แล้วสอนว่า

“อุบาสกทั้งหลาย บัดนี้พวกท่านถือศีล ๕ แล้ว ซึ่งก็หมายความว่า พวกท่านจักไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่พูดเท็จ และไม่ดื่มน้ำเมาอีกต่อไป ฉะนั้น ขอให้พวกท่านถือศีลไว้ให้มั่นคง อย่ายอมเสียศีลแม้ว่าจะต้องเสียชีวิตก็ตาม”


พวกโจรต่างรับคำหนักแน่น ครั้นเมื่อพวกชาวบ้านตามมาทัน พวกเขาก็มิได้คิดต่อสู้หรือป้องกันตัว จึงถูกพวกชาวบ้านฆ่าตายหมด แต่ตายแล้วก็ได้ไปเกิดในสวรรค์ เพราะผลบุญที่ได้รักษาศีลด้วยจิตเลื่อมใสก่อนตายนั้นเอง โดยหัวหน้าโจรได้เกิดเป็นหัวหน้าเทพบุตร ส่วนบริวารทั้ง ๕๐๐ ก็ได้เกิดเป็นเทพบุตรบริวาร

หัวหน้าโจรกับโจรบริวารเวียนว่ายตาย เกิดในสุคติภพต่างๆ อยู่พุทธันดร ๑ จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน หัวหน้าเทพบุตรจึงได้มาเกิดเป็นบุตรหัวหน้าชาวประมง โดยมีเทพบุตรบริวารทั้ง ๕๐๐ มาเกิดเป็นบริวาร ท่านและบริวารครั้นออกบวชก็ได้บรรลุอรหัตผลสมตามที่ตั้งจิตปรารถนาไว้ดังกล่าวมาแล้ว

พระอุปวาณะ ตั้งจิตปรารถนาไว้ตั้งแต่ครั้งพระพุทธเจ้าปทุมุตตระ ครั้งนั้นท่านเกิดเป็นคนเข็ญใจ คราวที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน ท่านได้ไปร่วมงานฉลองพระบรมสารีริกธาตุด้วย ขณะที่รำลึกถึงพระพุทธคุณอยู่นั้น ท่านเกิดศรัทธาอย่างแรงกล้าถึงขั้นยอมสละผ้าห่ม ซึ่งมีอยู่ผืนเดียวนั้นทำเป็นธงปักถวายเป็นพุทธบูชาบนยอดพระเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ครั้นแล้วได้เข้าไปหาพระอรหันตสาวกรูปหนึ่งซึ่งได้อภิญญา พระอรหันตสาวกรูปนั้นได้พยากรณ์ถึงผลบุญของท่านว่าจะให้ผลยิ่งใหญ่และจะส่งผลให้ท่านได้ออกบวชเป็นพระสาวกของพระพุทธเจ้าโคดม


ท่านได้ฟังคำพยากรณ์นั้นแล้วเกิดปีติโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง จึงได้ทำความดีอื่นๆ สนับสนุนอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต จากชาตินั้นบุญส่งผลให้เวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้าวิปัสสี

ชาติที่พบพระพุทธเจ้าวิปัสสีนั้น ท่านเกิดเป็นอารักขเทวดารักษาพระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระองค์ จากชาตินั้นบุญส่งผลให้เวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้ากัสสปะ


ชาติที่พบศาสนาของพระพุทธเจ้ากัสสปะนั้น ท่านเกิดเป็นอารักขเทวดาอีกเช่นเคย ทำหน้าที่รักษาพระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระองค์ จากชาตินั้นบุญส่งผลให้เวียนว่ายตายเกิดในสุคติภูมิต่างๆ จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน ท่านมาเกิดเป็นบุตรพราหมณ์มหาศาลชาวเมืองสาวัตถี ครั้นออกบวชแล้วก็ได้บรรลุอรหัตผลสมตามที่ตั้งจิตปรารถนาไว้ดังกล่าวมาแล้ว

พระเสละ ตั้งจิตปรารถนาไว้ตั้งแต่ครั้งพระพุทธเจ้าปทุมุตตระ ครั้งนั้นท่านเกิดเป็นบุตรเศรษฐีชาวเมืองหงสวดี เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาได้ทำบุญสำคัญไว้ คือ ชักชวนบุรุษ ๓๐๐ นายช่วยกันสร้างพระคันธกุฎีถวายพระพุทธเจ้า ครั้นสร้างพระคันธกุฎีเสร็จแล้วก็ได้ถวายพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสาวก และวันสุดท้ายได้ถวายผ้าไตรจีวรแก่พระพุทธเจ้าและพระสาวกได้ครอง พระพุทธเจ้าตรัสพยากรณ์ถึงผลบุญของท่าน อย่างที่พระอุปวาณะได้ รับพยากรณ์จากพระอรหันตสาวกของพระพุทธเจ้ากัสสปะ คือ จะให้ผลยิ่งใหญ่และจะส่งผลให้ท่านได้ออกบวชเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าโคดม ท่านเป็นเช่นเดียวกับพระอุปวาณะได้ฟังคำพยากรณ์นั้นแล้วเกิดปีติโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง จึงได้ทำความดีอื่นๆ สนับสนุนอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต จากชาตินั้นบุญส่งผลให้เวียนว่ายตายเกิดในสุคติภูมิต่างๆ จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน ท่านมาเกิดเป็นบุตรพราหมณ์วาเสฎฐะชาวเมืองสาวัตถี ครั้นออกบวชแล้วก็ได้บรรลุอรหัตผลสมตามที่ตั้งจิตปรารถนาไว้ดังกล่าวมาแล้ว

พระองคุลิมาล นอกจากตั้งจิตปราถนาไว้กับพระพุทธเจ้าในอดีตหลายพระองค์แล้ว คราวที่โลกว่างพระพุทธเจ้าคราวหนึ่ง ท่านได้พบพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ครั้งนั้นท่านเกิดเป็นชาวนา เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งเดินตากฝนผ่านมายังโรงนา แล้วเกิดความสงสารและเลื่อมใส จึงก่อไฟผิงถวายพระปัจเจกพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าผิงไฟแล้วหายหนาวกลับมีกำลังแข็งแรง ท่านเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้ามีอาการดีขึ้นจึงเกิดปีติโสมนัส บุญครั้งนั้นส่งผลให้ท่านเกิดมามีกำลังกายแข็งแรงเท่าช้าง ๗ เชือกในทุกชาติ


ความแข็งแรงดังกล่าวมานี้ นอกจากจะเห็นได้ชัดในชาตินี้แล้ว ในชาติที่เกิดพบศาสนาของพระพุทธเจ้ากัสสปะก็มีเรื่องให้เห็นชัดเจน กล่าวคือ ในชาตินั้นท่านเกิดเป็นพระเจ้าพรหมทัต แห่งเมืองพาราณสี ทรงเสวยเนื้อคนเป็นอาหาร จนมีชื่อเรียกว่า ‘โปริสาท’ แปลว่า ‘คนกินคน’ หลังจากทรงถูกเทรเทศให้ออกไปอยู่นอกเมืองแล้ว ก็เสด็จออกล่าคนเสวยทุกวัน ครั้งสุดท้ายทรงล่าพระราชาทั่วชมพูทวีปได้ ๑๐๐ พระองค์ มาทำพลีกรรมถวายรุกขเทวดา เป็นการแก้บนที่ได้บนบานไว้ขอให้ช่วยรักษาบาดแผลที่พระบาทซึ่งเกิดจากถูกตอไม้ตำให้จนหายสนิท แต่ยังมิทันจะได้ทำพลีกรรม พระเจ้ามหาสุตโสม พระสหายเก่าที่เคยศึกษาศิลปวิทยาร่วมสำนักกันมา ก็เสด็จมาตรัสเตือนให้ได้สติ จนพระเจ้าโปริสาทยอมเลิกทำพลีกรรม แล้วปล่อยพระราชาทั้ง ๑๐๐ พระองค์นั้นให้เป็นอิสระ ท่านเวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน ท่านมาเกิดเป็นบุตรของพราหมณ์ภัคควะ ปุโรหิตของพระเจ้าปเสนทิโกศล กับนางมันตานี ครั้นออกบวชแล้วก็ได้บรรลุอรหัตผลสมตามที่ตั้งจิตปรารถนาไว้ดังกล่าวมาแล้ว

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มิ.ย. 2022, 08:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


๏ วาจานุสรณ์

พระวักกลิ คราวหนึ่งขณะพักอยู่ในป่าใหญ่ใกล้เขาคิฌชกูฏ เกิดเป็นลมขึ้นเพราะความหิว เนื่องจากไม่ได้ฉันอาหาร พระพุทธเจ้าทรงทราบจึงเสด็จมาเยี่ยมแล้วตรัสถาม

ภิกษุ ป่าใหญ่ที่เธอมาพักอยู่นี้แห้งแล้ง ไม่มีหมู่บ้านอยู่ใกล้ ขณะนี้เธอก็อาพาธด้วยโรคลมแล้ว จักช่วยตัวเองอย่างไร

พระวักกลิกราบทูลว่า

ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์จักแผ่ปีติและสุขให้ซาบซ่านไปทั่วร่างกาย แล้วปีติและสุขนั้นจักข่มความหิวให้ระงับลงได้ ข้าพระองค์ก็จักสามารถอยู่ในป่าใหญ่ที่แห้งแล้งเช่นนี้ได้


พระยโสชะ หลังจากบรรลุอรหัตผลแล้ว ได้สมาทานธุดงค์หมดทั้ง ๑๓ ข้อ ท่านปฏิบัติโดยเคร่งครัดจนร่างกายซูบผอม ผิวพรรณไม่ผ่องใส พระพุทธเจ้าทรงยกย่องท่านว่าเป็นผู้มักน้อย แม้จะซูบผอมเนื้อตัวสะพรั่งด้วยเส้นเอ็น แต่ก็ยังรู้จักฉันอาหารแต่พอดีและไม่ท้อแท้ สมควรที่จะยึดถือเป็นแบบอย่างพระทั้งหลายที่ยังเป็นปุถุชน ได้รับคำแนะนำจากพระพุทธเจ้าเช่นนี้ จึงพากันมาหาท่าน ท่านจึงสอนพระเหล่านั้นว่า

ภิกษุอยู่ในป่าใหญ่ย่อมถูกเหลือบยุงกัด
ต้องมีสติ อดทน จึงจะอยู่ได้
คล้ายช้างอาชาไนย อดทนอยู่ในสนามรบ
จะอยู่อย่างพรหมก็ต้องอยู่รูปเดียว เพราะสงบสงัด
จะอยู่อย่างเทวดาก็ต้องอยู่ ๒ รูป เพราะจะขัดแย้งกันเป็นครั้งคราว
จะอยู่อย่างชาวบ้านก็ต้องอยู่ ๓ รูป เพราะจะวุ่นวายไม่สิ้นสุด

พระกุณฑธานะ หลังจากบรรลุอรหัตผลแล้ว โดยพระพุทธานุญาต ท่านได้เหาะขึ้นไปกลางอากาศแล้วแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ จากนั้นจึงกล่าวแก่พระที่ยังเป็นปุถุชนว่า

กิเลสที่ผูกสัตว์ไว้ในภพขั้นหยาบ ๕ อย่าง คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส กามราคะ และปฏิฆะ ภิกษุต้องตัดให้ได้

กิเลสที่ผูกสัตว์ไว้ในภพขั้นละเอียด ๕ อย่าง คือ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ และอวิชชา ภิกษุต้องละให้ได้

อินทรีย์ธรรม ๕ อย่าง คือ สัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญา ภิกษุต้องทำให้เกิดขึ้นให้ได้

เพราะภิกษุที่พระพุทธเจ้าตรัสเรียกว่า ข้ามโอฆะ (ห้วงน้ำคือกิเลส) ได้นั้น ต้องล่วงพ้นกิเลสเครื่องทำให้ข้องติด ๕ อย่าง คือ ราคะ โทสะ โมหะ มานะ และทิฏฐิ

พระปิลันทวิจฉะ หลังจากบรรลุอรหัตผลแล้ว วันหนึ่งขณะนั่งอยู่กับพระจำนวนมาก ท่านพิจารณาถึงผลสำเร็จแห่งการฏิบัติที่ได้รับว่า เนื่องมาจากได้มาเฝ้าพระพุทธเจ้า จึงกล่าวขึ้นท่ามกลางที่ประชุมว่า

การที่ได้มาเฝ้าพระพุทธเจ้าเป็นการมาดีแล้ว
การที่คิดไว้ว่าจักฟังธรรมในสำนักของพระพุทธเจ้าแล้วบวช
มิใช่ความคิดที่เลว
เพราะเมื่อพระพุทธเจ้าทรงจำแนกธรรมทั้งหลายอยู่นั้น
เราก็ได้บรรลุโลกุตตรธรรมอันประเสริฐ

พระมหาโกฏฐิตะ หลังจากบรรลุอรหัตผลแล้ว เกิดความสุขใจอย่างที่ไม่เคยเกิดมาก่อน คราวหนึ่งท่านต้องการจะประกาศให้ทราบว่า ความสงบก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการบรรลุธรรม จึงกล่าวว่า

ภิกษุผู้สงบระงับไม่ฟุ้งซ่าน
คิดรอบคอบก่อนแล้วจึงพูดเสมอ
ย่อมปลิดบาปธรรมออกไปจากจิตได้
คล้ายลมปลิดใบไม้แก่หลุดจากขั้ว

พระโสภิตะ หลังจากบรรลุอรหัตผลแล้ว คราวหนึ่งท่านนั่งพิจารณาการระลึกชาติได้ของท่าน ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสยกย่องว่าเสมอด้วยพระองค์ และพิจารณาถึงวิธีปฏิบัติจนเกิดการระลึกชาติได้มากมายนั้นแล้วเกิดปีติ จึงกล่าวว่า

เราผู้เป็นภิกษุ มีสติและปัญญา ปรารถนาความเพียรเป็นกำลัง
จึงระลึกชาติก่อนๆ ถึง ๕๐๐ กัป ได้อย่างรวดเร็ว
เหมือนนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในคืนเดียว
เพราะเจริญ สติปัฏฐาน ๔ โพชฌงค์ ๗ และมรรคมีองค์ ๘
เราระลึกชาติก่อนๆ ถึง ๕๐๐ กัป ได้อย่างรวดเร็ว
เหมือนนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในคืนเดียว

พระอุปวาณะ ทำหน้าที่ถวายการอุปัฏฐากแก่พระพุทธเจ้ามาก่อนพระอานนท์ คราวหนึ่งขณะที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ในเมืองสาวัตถี ทรงประชวรด้วยพระโรคลม ท่านได้เข้าไปหาพราหมณ์เทวหิตะสหายเก่า เพื่อขอน้ำร้อนและยาแก้โรคลมตามที่เคยปวารณาไว้ คัมภีร์บันทึกคำขอของท่านไว้ว่า

ท่านพราหมณ์ พระมุนีพระศาสดาของอาตมา
ทรงประชวรด้วยพระโรคลม พระองค์เป็นพระอรหันต์
เสด็จไปดีในที่ทุกแห่งในโลก
ถ้าท่านมีน้ำร้อนก็จงถวายแด่พระองค์เถิด
พระศาสดาของอาตมานั้น
บรรดาทวยเทพที่ควรบูชา พระองค์ได้รับการบูชามากกว่า
บรรดาอิสรชนที่ควรสักการะ พระองค์ได้รับการสักการะมากกว่า
บรรดาพระขีณาสพที่ควรนอบน้อม พระองค์ได้รับการนอบน้อมมากกว่า
อาตมาปรารถนาจะนำน้ำร้อนและยาไปถวายพระองค์

พราหมณ์เทวหิตะ เมื่อทราบความต้องการของท่าน จึงได้จัดยาและน้ำร้อนถวายตามที่ขอ พระพุทธเจ้าครั้นได้เสวยยาที่ท่านปรุงถวายแล้วไม่นานก็ทรงหายประชวร

พระองคุลิมาล หลังจากบรรลุอรหัตผลแล้ว ขณะเสวยวิมุติสุขอยู่นั้นเกิดปีติโสมนัส ท่านจึงได้กล่าวแสดงความรู้สึกว่า

ผู้ใด เคยประมาทมาก่อนแล้วเลิกประมาทเสียได้ภายหลัง
ผู้นั้น ย่อมเป็นเหมือนพระจันทร์ที่โผล่พ้นเมฆหมอก
คือทำโลกนี้ให้สว่างไสวได้
ผู้ใด ทำบาปกรรมไว้แล้ว ละได้ด้วยกุศล (มรรคจิต)
ผู้นั้น ย่อมเป็นเหมือนพระจันทร์ที่โผล่พ้นเมฆหมอก
คือทำโลกนี้ให้สว่างไสวได้
ภิกษุใด แม้จะยังหนุ่ม แต่หมั่นปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
ภิกษุนั้น ย่อมเป็นเหมือนพระจันทร์ที่โผล่พ้นเมฆหมอก
คือทำโลกนี้ให้สว่างไสวได้

ต่อมาท่านออกบิณฑบาต แต่กลับถูกขว้างปาด้วยก้อนดินและท่อนไม้จนบาตรแตก ตัวท่านเองก็บาดเจ็บ จึงจำต้องกลับมาเฝ้าพระพุทธเจ้าที่วัดเชตวัน พระพุทธเจ้าทรงสอนท่านให้อดทนและทรงสอนว่าท่านกำลังได้รับผลกรรมที่ทำไว้ ท่านจึงแผ่เมตตาจิตไปในสรรพสัตว์แล้วกล่าวว่า

ขอศัตรูทั้งหลายของเรา จงฟังธรรมกถาของพระศาสดา
ขอศัตรูทั้งหลายของเรา จงหมั่นปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
ขอศัตรูทั้งหลายของเรา จงคบกัลยาณมิตรและยึดถือแต่ธรรม
ขอศัตรูทั้งหลายของเรา จงฟังธรรมของท่านผู้สอนให้มีความอดทนไม่โกรธ
ตามกาลอันสมควรเถิด
และขอให้ปฏิบัติตามธรรมนั้นด้วย
ขอย่าได้เบียดเบียนเราหรือใครๆ เลย
ขอให้ได้บรรลุถึงสันติภาพที่ยวดยิ่งคือนิพพาน
ขอให้ช่วยคุ้มครองสัตว์ทั้งหลายให้ปลอดภัย
คล้ายบิดามารดาคุ้มครองบุตร

ต่อมาท่านได้พูดถึงวิธีปฏิบัติธรรมของท่าน รวมทั้งสรรเสริญพระคุณของพระพุทธเจ้า ที่ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณฝึกท่านให้ละความเห็นผิดได้ ความว่า

คนบางพวกฝึกสัตว์ด้วยท่อนไม้ ตาขอ และแส้
แต่พระพุทธเจ้าทรงฝึกเรา โดยมิได้ใช้ท่อนไม้และศัตราเลย
เมื่อก่อนเรามีชื่อว่า “อหิงสกะ” หมายถึงไม่เบียดเบียนใคร
เมื่อก่อนเราเป็นโจร ใครต่อใครเรียกเราว่า “องคุลิมาล”
เราถูกห้วงน้ำใหญ่คือกิเลสพัดไป จนได้มาพบพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง
เมื่อก่อนเรามีมือเปื้อนเลือด ใครต่อใครเรียกเราว่า “องคุลิมาล”
มาบัดนี้ เชิญท่านดูเถิด การถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งมีผลมาก
เพราะทำให้เราถอนตัณหาตัวนำให้ไปเกิดได้หมดสิ้นแล้ว
เราทำกรรมที่นำไปให้เกิดในทุคติไว้มาก
มาบัดนี้ ได้รับผลกรรมนั้นแล้ว
เรากำลังบริโภคอาหารอย่างคนไม่มีหนี้

ต่อมาท่านต้องการจะให้กำลังใจพระทั้งหมดที่ยังเป็นปุถุชน ให้เกิดอุตสาหะในการปฏิบัติธรรม จึงกล่าวถึงการทำตัวไม่ประมาทพร้อมทั้งกล่าวถึงความรู้สึกของท่านหลังได้บรรลุอรหัตผลว่า

คนโง่มัวแต่ประมาท แต่คนฉลาดจะรักษาความไม่ประมาทไว้
ให้เป็นเหมือนทรัพย์อันมีค่า
ท่านทั้งหลายอย่าประมาทเลย อย่าสนิทสนมกับความยินดีในกามเลย
เพราะคนไม่ประมาท เพ่งพินิจอยู่ ย่อมจะบรรลุถึงบรมสุขได้
เรามาดีแล้วที่ได้มาเฝ้าพระพุทธเจ้า
เราคิดดีแล้วที่ได้คิดบวชเป็นสาวกของพระองค์
เพราะทำให้ได้บรรลุวิชชา ๓ ตามลำดับ
นับว่าได้ทำตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอนแล้ว
เมื่อก่อน เราอยู่ที่ไหน ไม่ว่าจะเป็นป่า โคนไม้
ภูเขา หรือในถ้ำ ก็อยู่อย่างหวาดเสียว
มาบัดนี้เราอยู่อย่างเป็นสุข ทั้งยามยืน เดิน นั่ง นอน
เพราะพระพุทธเจ้าทรงช่วยเหลือเราให้พ้นแล้วจากมือมาร
เมื่อก่อนเราเป็นพราหมณ์อุภโตสุชาต (มีชาติกำเนิดดีทั้งฝ่ายบิดามารดา)
มาบัดนี้ ได้มาเป็นโอรสของพระพุทธเจ้าผู้เป็นธรรมราชา

พระเสละ หลังจากบรรลุอรหัตผลแล้ว พาพระบริวาร ๓๐๐ รูปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้ากราบทูลว่า

ข้าแต่พระผู้เป็นดวงตาของโลก
นับแต่วันที่ข้าพระองค์ได้ถึงพระองค์เป็นที่พึ่งมา วันนี้เป็นวันที่ ๘ แล้ว
๗ วันที่ผ่านมานั้น ข้าพระองค์ทั้งหลายถูกฝึกฝนอย่างหนัก
จนประสบผลสำเร็จในศาสนาของพระองค์
ข้าแต่พระผู้เป็นดวงตาของโลก พระองค์เป็นพระพุทธเจ้า
คือตื่นจากหลับด้วยอำนาจกิเลสเองแล้ว ยังปลุกผู้อื่นให้ตื่นตามด้วย
พระองค์เป็นพระศาสดา คือ สอนทั้งเทวดาและมนุษย์
พระองค์เป็นพระมุนีผู้มีอำนาจเหนือมาร
ทรงตัดกิเลสที่นอนเนื่องในพระทัยมานานแสนนานได้แล้ว
ทรงข้ามพ้นการเวียนว่ายตายเกิดได้ด้วยพระองค์เอง
แล้วยังช่วยส่งหมู่สัตว์ให้ข้ามพ้นตามด้วย
พระองค์เป็นเหมือนพญาราชสีห์ เพราะไม่ทรงกลัวภัยอันใด
ทรงทำลายอาสวะ ละความยึดมั่นได้หมด

หลังจากกราบทูลถึงการบรรลุอรหัตผลของท่านและบริวารแล้ว ท่านได้ทูลขอโอกาสถวายบังคมพระบาทของพระพุทธเจ้าว่า

ข้าแต่พระผู้ยอดกล้า ภิกษุ ๓๐๐ รูปนี้
ยืนประคองอัญชลีอยู่พร้อมหน้า
ขอพระองค์ทรงเหยียดพระบาทออกมาเถิด
ภิกษุทั้งหมดนี้จะถวายบังคมพระบาทของพระศาสดาของพวกเขา

ครั้นพระพุทธเจ้าทรงเหยียดพระบาทออกมาแล้ว ท่านพร้อมด้วยพระ ๓๐๐ รูป ก็พร้อมกันถวายบังคม

พระวังคีสะ ตอนบวชใหม่ๆ เห็นผู้หญิงหลายคนแต่งตัวสวยงามมาที่วัดแล้วเกิดกำหนัด หลังจากข่มความกำหนัดได้แล้ว ท่านได้สอนตนเองว่า

ความคิดเลวทรามเช่นนี้พรั่งพรูครอบงำเรา
เหมือนลูกธนูที่คนแม่นธนูยิงใส่ศัตรูพรั่งพรูนับพันลูก จนหลบหลีกไม่ทัน
หญิงเอ๋ย แม้หล่อนจะมามากกว่านี้
ก็ทำอันตรายอันใดแก่เราไม่ได้หรอก
เพราะเรามั่นคงอยู่ในธรรมแล้ว

ท่านต้องต่อสู้กับกามราคะอย่างหนัก คราวหนึ่งได้สารภาพกับพระอานนท์ว่า

กามราคะแผดเผากระผมให้เร่าร้อน
กามราคะแผดเผาจิตของกระผมให้เร่าร้อน
ข้าแต่ท่านผู้เป็นพุทธสาวก
ขอได้โปรดบอกธรรมเครื่องดับความเร่าร้อนด้วยเถิด

ต่อมา หลังจากบรรลุอรหัตผลแล้ว ท่านได้กล่าวรำพึงกับตนเองว่า

เมื่อก่อน เราตระเวนไปบ้านโน้นเมืองนี้ มีคนเคารพมาก
แต่เดี๋ยวนี้มาได้พบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ผู้สำเร็จสรรพธรรมแล้ว (จึงได้หยุดตระเวน)
พระองค์ทรงแสดงแล้วเกิดความเลื่อมใสศรัทธา
เราได้ฟังธรรมของพระองค์แล้วจึงรู้แจ้งเรื่องขันธ์ อายตนะและธาตุ
อย่างตรงตามเป็นจริง เป็นเหตุให้ต้องออกบวช
พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นมาก็เพื่อช่วยเหลือ
ผู้ที่พร้อมทำตามคำสอนของพระองค์ไม่ว่าหญิงหรือชาย
การที่เราได้มาเฝ้าพระองค์จนถึงสำนัก
นับว่าเป็นการมาดี เพราะทำให้ได้บรรลุธรรมอันประเสริฐ

พระลกุณฑกภัททิยะ หลังจากบรรลุอรหัตผลแล้ว ท่านยังพักอยู่ในวัดอัมพาฏการาม ซึ่งอยู่กลางป่า ว่ากันว่าวัดอัมพาฏการามนั้นน่ารื่นรมย์สวยงามด้วยแนวป่า มีเงาไม้ร่มรื่นสมบูรณ์ด้วยน้ำฉันน้ำใช้ ขณะพักอยู่ ณ ที่นั้น ท่านได้ยินเสียงดนตรีบรรเลงแว่วมาแต่ไกล จึงกล่าวว่า

เราผู้ชื่อว่า “ภัททิยะ” อยู่ในอัมพาฏการาม ที่สวยงามร่มรื่นกลางป่า
เราเพ่งพิจารณาอย่างระมัดระวังอยู่กลางป่านั้น
จนสามารถถอนตัณหาพร้อมทั้งรากเหง้าได้หมดสิ้น
ยามนี้ คนบางพวกเขาสนุกสนานอยู่กับเสียงตะโพน เสียงพิณและเสียงบัณเฑาะว์
แต่เรากลับสนุกสนานอยู่กับคำสอนของพระพุทธเจ้าอยู่ที่โคนต้นไม้
หากพระพุทธเจ้าจะพึงประทานพรแก่เรา
เราขอเลือกรับพร คือ กายคตาสติ
เพราะกายคตาสติเหมาะนักสำหรับชาวโลก

ท่านเป็นคนร่างเตี้ยเล็ก แต่มีเสียงไพเราะ จึงมีคนเป็นจำนวนมากหลงใหลในเสียงของท่าน แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกขบขันเมื่อเห็นตัวท่าน เพื่อเป็นการเตือนสติคนเหล่านั้น ท่านจึงกล่าวว่า

คนที่หมิ่นเราเรื่องรูปร่าง กับคนที่หลงใหลในเสียงของเรา
มีสภาพไม่ต่างกัน คือตกอยู่ในอำนาจฉันทราคะ
พวกเขาไม่รู้จักเราจริง

พระกุมารกัสสปะ หลังจากบรรลุอรหัตผลแล้ว ท่านประสงค์จะสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย จึงกล่าวว่า

น่าอัศจรรย์จริง พระพุทธเจ้า
น่าอัศจรรย์จริง พระธรรม
น่าอัศจรรย์จริง พระคุณสมบัติของพระพุทธเจ้า
ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นแหล่งที่พระสาวกได้อาศัยประพฤติพรหมจรรย์
จนทำให้รู้แจ้งซึ่งธรรม

พระนันทกะ หลังจากบรรลุอรหัตผลแล้ว วันหนึ่งภริยาเก่าเห็นท่านเที่ยวบิณฑบาต นางมองดูท่านด้วยความเสน่หาแล้วหัวเราะ ท่านได้กล่าวแก่นางว่า

น่าเกลียดจริงหนอ ร่างกายที่เต็มด้วยของไม่สะอาด
มีกลิ่นเหม็น ชุ่มด้วยกิเลส ส่งเสริมมารให้กำเริบ
น่าเกลียดจริงหนอ ร่างกายนี้มีช่อง ๙ ช่อง
มีของไม่สะอาดไหลออกเนืองนิตย์
น้องหญิง เธออย่าคิดถึงเรื่องเก่าๆ
อย่าเล้าโลมอริยสาวกของพระพุทธเจ้า
ให้ยินดีด้วยอำนาจกิเลสเลย
เพราะอริยสาวกเหล่านั้นไม่ยินดีกามคุณแม้ในสวรรค์
จะป่วยการกล่าวไปใยถึงกามคุณของมนุษย์เล่า

พระสุภูติ หลังจากบรรลุอรหัตผลแล้ว วันหนึ่งท่านนั่งขัดสมาธิอยู่บนหญ้าแห้งในกระท่อม ขณะนั้นมีฝนตกลงมาโปรยปราย ไม่เพียงพอจะใช้ประโยชน์ในการเพาะปลูกอย่างที่ชาวบ้านต้องการ ท่านต้องการจะช่วยบรรเทาภัยที่เกิดจากความแห้งแล้งให้ชาวบ้าน ท่านจึงกล่าวเป็นเชิงปรารภว่า

กระท่อมของเรามุงมิดชิดแล้ว
หน้าต่างก็ปิดสนิทแล้ว
ตกมาตามสบายเถิดฝนเอ๋ย
จิตของเรามั่นคง หลุดพ้นหมดแล้ว
เราบำเพ็ญเพียรอยู่
ฝนเอ๋ย ตกมาเถิด

พระกังขาเรวตะ ดังได้กล่าวแล้วว่าเป็นคนชอบสงสัย และพระพุทธเจ้าทรงช่วยเปลื้องความสงสัยของท่านได้ตลอดเวลา ดังนั้น เมื่อได้บรรลุอรหัตผลแล้ว วันหนึ่งหลังจากฉันอาหารแล้วท่านมาหวนพิจารณาถึงพระปัญญาของพระพุทธเจ้าแล้ว มีความประสงค์จะสรรเสริญพระปัญญาคุณนั้น จึงกล่าวว่า

เชิญดูพระปัญญาของพระพุทธเจ้าเถิด
เป็นดุจดังไฟสว่างไสวในเวลาเที่ยงคืน
พระพุทธเจ้าทรงสามารถกำจัดความสงสัย
ของเวไนยสัตว์ทั้งหลายผู้มาถึงสำนักพระองค์ได้
จึงชื่อว่าเป็นผู้ให้ดวงตาและแสงสว่าง

พระสาคตะ ไม่พบหลักฐานว่าท่านได้กล่าววาจาอันใดไว้เป็นอนุสรณ์


:b8: :b8: :b8:

:b39: ที่มา : :b50: :b49: :b50: พระอสีติมหาสาวก
๘๐ พระอรหันตสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า
ศ.(พิเศษ) ร.ท.ดร.บรรจบ บรรณรุจิ ราชบัณฑิต

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=70&t=18709

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มิ.ย. 2022, 08:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
:b8: :b8: :b8: ผนังพระระเบียง วัดบรมนิวาส ราชวรวิหาร
เป็นรูปนูนของพระอสีติมหาสาวก ในท่ายืนประนมมือ
น่าจะมีวัดเดียวแห่งเดียวในประเทศไทย

⊰⊱⊰⊱⊰⊱⊰⊱⊰⊱⊰⊱⊰⊱⊰⊱⊰⊱

:b44: พระอสีติมหาสาวก : ความรู้ทั่วไป
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=70&t=62111

:b44: พระอสีติมหาสาวก : กลุ่มพระปัญจวัคคีย์
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=70&t=62110

:b44: พระอสีติมหาสาวก : พระนาลกะ-พระยสะ
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=70&t=62109

:b44: พระอสีติมหาสาวก : กลุ่มเพื่อนพระยสะ
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=70&t=62108

:b44: พระอสีติมหาสาวก : กลุ่มพระชฎิล ๓ พี่น้อง
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=70&t=62107

:b44: พระอสีติมหาสาวก : กลุ่มพระอัครสาวก
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=70&t=62106

:b44: พระอสีติมหาสาวก : กลุ่มพระชาวแคว้นมคธ
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=70&t=62105

:b44: พระอสีติมหาสาวก : กลุ่มพระชาวแคว้นโกศล
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=70&t=62104

:b44: พระอสีติมหาสาวก : กลุ่มพระชาวแคว้นสักกะ
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=70&t=62103

:b44: พระอสีติมหาสาวก : กลุ่มพระมาณพ ๑๖
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=70&t=62102

:b44: พระอสีติมหาสาวก : กลุ่มพระชาวแคว้นวังสะ
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=70&t=62101

:b44: พระอสีติมหาสาวก : กลุ่มพระชาวแคว้นอวันตี
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=70&t=62100

:b44: พระอสีติมหาสาวก : กลุ่มพระต่างแคว้น
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=70&t=62099

:b50: :b49: :b50: พระอสีติมหาสาวก
๘๐ พระอรหันตสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า
ศ.(พิเศษ) ร.ท.ดร.บรรจบ บรรณรุจิ ราชบัณฑิต

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=70&t=18709

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มิ.ย. 2022, 18:15 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2863


 ข้อมูลส่วนตัว


onion


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 2 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron