วันเวลาปัจจุบัน 18 เม.ย. 2024, 13:37  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ย. 2020, 05:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


" เมื่อเราไม่มี ในที่ใดๆ แล้ว
ก็ไม่ควรจะมีอะไรมาสร้าง
ปัญหาขึ้นให้หนักใจ หนักธรรม

ชาวโลกเขาพูดอะไร
ก็พูดไปตามเขาซะ
ไม่ควรเอาสมมุติมาเป็น
สงครามกับปรมัตถ์
ไม่ควรเอาสังขาร คือ ผู้รู้
ไปเป็นสงครามกับพระนิพพาน "

โอวาทธรรม
หลวงปู่หล้า เขมปัตโต









"..ทาน มิใช่ของแลกเปลี่ยน
ซื้อขายตามธรรมดา
ทานอาจให้ผลอานิสงส์มาก
หรือน้อยกว่าที่เราให้ไปนั้นก็ได้

เพราะผลอานิสงส์ของทาน
ย่อมเกิดจากเจตนา
ถ้าเจตนาแรงกล้า
อานิสงส์ก็มาก
ถ้าเจตนามีน้อย
อานิสงส์ก็น้อย.."

โอวาทธรรม
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี









"คนเรานั้นโดยมาก
กายกับใจมันไม่ค่อยจะตรงกัน
บางคนทำทาน แต่ใจก็ยังโลภอยู่ เช่น
คนที่ทำทาน เพราะ ปรารถนาอยากร่ำรวย
เป็นเศรษฐี ทำบาทเดียว จะขอแลกเอา
ตั้งหมื่นตั้งแสนก็มี

บางคนรักษาศีล แต่ใจก็ยังโกรธเกลียด
พยาบาท อิจฉาริษยา คนนั้น คนนี้อยู่

บางคนนั่งสมาธิภาวนา
เพราะอยากไปเกิดเป็นคนรูปสวยรูปงาม ก็มี

บางคนก็อยากไปเกิดเป็นเทวดานางฟ้า
อยู่บนสวรรค์

บางคน ก็อยากจะเป็นนั่นเป็นนี่
ล้วนแต่ต้องการสิ่งตอบแทนทั้งนั้น
บุญกุศลอย่างนี้ ก็ยังใช้ไม่ได้"

ท่านพ่อลี ธมฺมธโร









"หมากัดขาเรา เราอย่าไปกัดขาหมาตอบ
ถ้าไปกัด คงน่าเกลียดจริงๆ หมากัดขาเรา
ก็รักษาแผลไป ไม่ต้องไปกัดขาหมาตอบ

เช่นเดียวกัน ถ้ามีคนอื่นตำหนิเรา
เราอย่าไปตำหนิเขาตอบ ใครทำให้เราโกรธ
เราอย่าหลงไปโกรธเขาตอบ ตบมือข้างเดียว
ไม่ดังหรอก"

หลวงปู่ท่อน ญาณธโร









“ปูไม่มีหัว ก็ยังเดินได้
งูไม่มีตีน ก็ยังเลื้อยได้
แม่ไก่ไม่มีนม ก็ยังเลี้ยงลูกได้

ฉะนั้น มนุษย์จึงไม่ควรดูหมิ่นสัตว์
ผู้มีปัญญาควรช่วยเหลือผู้ที่ต่ำต้อยกว่า
ร่างกายของมนุษย์ และสัตว์จะมีประโยชน์
เพราะรู้จักช่วยเหลือกัน

สัตว์ได้ช่วยเหลือมนุษย์ไม่ให้ตาย
เพราะมนุษย์ได้เอาร่างกายชีวิตสัตว์
มาเป็นอาหาร มนุษย์เมื่อมีกำลัง
ก็ควรช่วยเหลือสัตว์ที่ตนเองเคยบริโภค”

หลวงปู่ศรี มหาวีโร









สังขาร

ตอนที่พระเทศน์สอน และนำปฏิบัติภาวนานั้น เทวดา ทั้งหลายก็จะลงมาฟังและร่วมปฏิบัติภาวนาด้วยเช่นกัน

เทวดานั้นมี “สังขาร” เช่นเดียวกับ มนุษย์ ทั้ง อสุรกาย สัตว์ ยักษ์ มนุษย์ เทวดา ไปจนถึง พรหม สรรพสิ่งที่เวียนวนอยู่ในวัฏสงสาร ก็ล้วนแต่มี “สังขาร” ทั้งสิ้น

หรือในอีกแง่หนึ่งก็คือ “การปรุงแต่งของจิต” ในสังสารวัฏตั้งแต่ชั้นล่างสุดถึงชั้นบนสุด ทุกระดับชั้น ระดับจิต ก็ล้วนแล้วแต่มีการปรุงแต่งในจิตทั้งสิ้น

จะปรุงแต่งแบบหยาบ (เป็นกาย เป็นธาตุขันธ์) หรือปรุงแต่งแบบละเอียด (เป็นอรูป) จะปรุงแต่งไปโดยอกุศล (นรก เดรัจฉาน) หรือ ปรุงแต่งไปโดยกุศล (สวรรค์) ก็ยังเป็นการปรุงแต่งทั้งสิ้น

พูดง่ายๆ คือ

#ไม่มีสภาวะจิตใดที่ไม่ปรุงแต่ง
#เว้นจากจิตแห่งอริยะบุคคล

การทำให้เราเท่าทัน และพ้นไปจากอำนาจการปรุงแต่งของจิต ตัดวงจรแห่งความทุกข์ และการเกิด แก่ เจ็บ ตาย นั้นมีเพียงการภาวนาเท่านั้น

จะเป็น 1 ชม. จะได้ครึ่งชั่วโมง หรือทำได้แค่ 10-15 นาทีก็ต้องเพียรพยายามที่จะทำให้ได้..

หลวงปู่บุญฤทธิ์ ปัณฑิโต










#การเวียนว่ายตายเกิด
#ท่องเที่ยวในวัฏฏะของจิตดวงนี้

มันมีความแตกต่างกัน ในแต่ละภพชาติ ความแตกต่างนี้ มันเกิดขึ้นมาจาก “ปุพเพกตปุญญตา” การได้สะสมบุญไว้แต่ปางก่อนนี่เอง ที่เป็นตัวผลักดันให้จิตดวงนี้ ไปอุบัติเกิดในสถานที่ต่าง ๆ ในสภาพที่ต่าง ๆ กัน ด้วยอำนาจของปุพเพกตปุญญตา ที่สะสมไว้อยู่ภายในจิตในใจของตนเอง

#ถ้ามีการสั่งสมบุญไว้มาก
#บุญนี้ก็นำพาจิตดวงนี้ไป
#อุบัติเกิดในสถานที่ดียิ่งๆขึ้นไป

การไปเกิดในสถานที่ดี ก็เป็นโอกาสให้พวกเรา ได้สั่งสมปุพเพกตปุญญตายิ่ง ๆ ขึ้นไป เพราะการได้ไปเกิดในสถานที่เหมาะ ที่ควร ที่เป็นมงคล ก็เป็นโอกาสที่จะทำให้เรามีโอกาส มาต่อยอดในการทำบุญบำเพ็ญเพียรยิ่ง ๆ ขึ้นไป

#การฝึกอบรมอยู่เป็นเนืองนิตย์
#จึงเป็นความสำคัญอย่างยิ่ง
#สำหรับผู้ที่ปรารถนามรรคผลนิพพาน

แม้ในเบื้องต้นจะยังไม่ถึงมรรคผลนิพพานก็ตาม แต่สิ่งที่พวกเราได้ประพฤติปฏิบัติไว้แล้วนั้น ก็จะเป็นปุพเพกตปุญญตาเพิ่มพูนยิ่ง ๆ ขึ้น

เมื่อเราละจากขันธ์ในปัจจุบันนี้ ก็จะอาศัยบุญเหล่านี้ ที่ได้สั่งสมไว้แล้วนั้น นำพาดวงจิตดวงใจนั้น ไปสู่สถานที่ดีคติที่งามต่อไป

#เพราะฉะนั้นนักปฏิบัติทั้งหลาย
#อย่าพากันย่อหย่อน

อย่าพากันท้อแท้อ่อนแอ ปล่อยให้ความเหลวไหลเหล่านั้นมาครอบงำจิตใจของเรา เพราะมันมีแต่จะขาดทุน จึงให้พากันตั้งใจประพฤติปฏิบัติกันให้ดี

#พระอาจารย์สุธรรม #สุธัมโม
รักษาการเจ้าอาวาสวัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี
เจ้าอาวาสวัดป่าหนองไผ่ จ.สกลนคร
๒ กันยายน ๒๕๖๓










กาย. ไม่ใช่เรา.
เป็นธาตุ 4. เกิดดับ.

หลวงปู่ทิวา อาภากโร










#ขึ้นต้นให้ดีๆ

หลับตา นั่งตัวตรงๆหลังตรงๆ ให้มีสติอยู่กับตัว ดูลมหายใจเข้า-ออก ดูเฉยๆไม่ต้องคิดอะไร เหมือนกับดูรถวิ่งตามถนน

#ดูไป #เห็นไป #รู้ไป

ว่าลมหายใจเดินไปทางไหน ก็เห็น รู้ๆ ไม่ต้องไปคิด ดูลมเห็นลม เห็นก็ไว ได้ยินก็ไว เกิดเดี๋ยวนั้น รู้เดี๋ยวนั้น นั่นเรียกว่าวิญญาณ คือธรรมชาติรู้
.
เห็นธรรมดา ได้ยินธรรมดา รู้ธรรมดา เห็นธรรม รู้ธรรม มันก็หายโง่ซิ

พระเวลาสวดงานศพ กุสลาธัมมา อกุสลาธัมมา ดีก็ธรรมดา ไม่ดีก็ธรรมดา กลางๆก็ธรรมดา ก็เหมือนฝ่ายวัตถุ มีไฟฟ้าบวก ไฟฟ้าลบ ไฟฟ้ากลางๆ

#ทั่วจักรวาลก็เท่านั้นเอง

ร่างกาย วัตถุ คิด นึกรู้ มันก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ เปลี่ยนไปทุกศูนย์วินาที เรียกว่าขันธ์ 5 คือ กายใจทั้งหมด

พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้โลกุตรธรรม เห็นก็สักแต่เห็น วางไปไม่ยึดถือ ดับความยึดจึงจะไปรอด ด้วยสติ

ตัวสติแท้ๆเป็นโลกุตรธรรม เป็นธรรมพ้นโลก ตัวโลกุตรธรรมเหมือนไฟฟ้าแลบ แปล็บเดียวมันก็เห็นหมด แลบหนเดียวไม่แลบมาก

#เจริญสติ #หนทางเดียวไปรอด

เห็นได้ยิน ก็สักแต่รู้ ไม่ไปถามไปตอบอะไร ไม่ได้สมมุติเป็นเราเป็นเขา พระเจ้าไม่มี เป็น fact ไม่ใช่ fiction

เสียงถูกหู ได้ยินปั๊บ นี่เป็น fact มันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่ก็เป็น fact ก็เป็นธรรมชาติ เป็นธรรมดา ไม่ต้องไปอยาก

ความคิดทั้งหลายก็เหมือนกัน ไม่ต้องไปหยุด วิญญาณดับไปๆ หยุดไม่ได้ มันไวมากนะซิ

#ไม่มีเรื่องมันก็สบาย

จิตก็สบาย ไม่มีสงสัยแล้ว เหมือนอย่างกินข้าวอิ่มแล้ว จะไปสงสัยทำไม ว่ากินแล้วหรือยัง กินหรือเปล่า กินกับอะไร ไม่ต้องไปคิดแล้ว

#สำเร็จแล้วนี่จะไปสงสัยอะไร

ถ้ายังสงสัยอยู่มันจะพ้นได้อย่างไร จุดหมายปลายทาง คือทำความโง่ (อวิชชา)ให้พ้นไปจากจิตโดยเด็ดขาด ไม่มีเรื่องที่จะมาสงสัยอีกแล้ว

#การภาวนาเป็นกุศลสูงสุด

เป็นกุศลชั้นเยี่ยม ฝึกหัดจิตให้เป็นสมาธิ
เป็นบุญชั้นเยี่ยม ยิ่งกว่าทาน และยิ่งกว่าศีล

#พระพุทธเจ้าทรงเรียกอริยทรัพย์

แจกเท่าไหร่ไม่หมด นึกแผ่ไป send good will to all ตั้งแต่ยอดพรหมโลก กว้างขวางแค่ไหน ไปจนถึงก้นนรก

หลวงปู่บุญฤทธิ์ ปัณฑิโต หลวงปู่ลี กุสลธโล











ระวังให้ดี ในโบสถ์ที่มีแต่การอ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ #หรือเสี่ยงเซียมซีนั้น

จะไม่มีธรรมะอะไรเลยก็ได้ นอกจาก “การขอทานทางวิญญาณ” หรือ “การติดสินบน” ที่เอาเปรียบมากเกินไป

ถ้าเอาความขลัง ความศักดิ์สิทธิ์ มาใส่ให้แก่ศาสนาแล้ว เราก็ไม่ต้องทำอะไรกัน นอกจากนั่งอ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์กันเรื่อยไป แล้วจะอยู่กันได้อย่างไร

ความขลัง หรือ ศักดิ์สิทธิ์ ของท่านอาจารย์ผู้วิเศษนั้น ขึ้นอยู่กับความงมงายมาก งมงายน้อย โง่มาก โง่น้อย ของผู้เป็นสาวกนั่นเอง จึงไม่เกี่ยวกับพุทธศาสนา ซึ่งมียถาภูตสัมมัปปัญญาเป็นหลัก

#ถ้ายังชอบคำว่าขลังหรือศักดิ์สิทธิ์

ก็ยกให้เป็นอำนาจของกฎอิทัปปัจจยตา อย่าให้เป็นความขลังศักดิ์สิทธิ์ ที่ตั้งรากฐานอยู่บนความงมงายของประชาชนเลย

พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : จากหนังสือ “อสีติสังวัจฉรายุศมานุสรณ์” หน้า ๑๘










#พยายามรักษาจิตรักษาใจของตนให้ดี

คนเฮาอยู่กับลม ต้องเบิ่งลมดูลมหายใจ ลมเข้าบ่ออกกะตาย ลมออกบ่เข้ากะตาย ไปสวรรค์ไปนิพพาน ก็เพราะลม บ่ได้เสียจักบาท

บัดอาหาร คือทานอยู่สุมื้อๆ บัดบอกเบิ่งลมหายใจเข้าออก คือยากแท้ (มื้อหลังจั่งทำกะได้ดอกหลวงปู่) อาหารคือบ่ว่า มื้อหลังจั่งกิน ปีหน้าจั่งกิน คือบ่ว่าล่ะ

#คนเฮานี่มักยากอิหลีเด้

ยากนำสังขารร่างกาย ยากนำแนวอยู่แนวกิน กินแล้วกะออกกะยากอีก

นี่ล่ะพระพุทธเจ้าจั่งว่า ผู้รอบรู้ในกองสังขาร เรียกว่าปัญญา กองสังขารนิล่ะแนวมันทุกข์เคยเบิ่งบ่ เคยพิจารณาเบิ่งบ่ แต่งปานได๋ กะแก่ กะเจ็บ กะตาย เบิ่งลมเข้าออก พิจารณาเบิ่งดีๆ สิเห็นธรรม

ผู้รอบรู้ในกองสังขาร เรียกว่าปัญญา ลมเข้าบ่ออกกะตาย ลมออกบ่เข้ากะตาย

#จงรักษาใจให้ดี
#จะมีสุขทุกคืนวัน

โอวาทธรรม
หลวงปู่ทองอินทร์ กตปุญโญ
วัดประชาคมวนาราม อ.ศรีสมเด็จ จ.ร้อยเอ็ด









ของประเสริฐ. ความสุข. อยู่ที่จิต. ไม่ใช่อยู่ที่สิ่งนั้นสิ่งนี้.

หลวงตามหาบัว


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 52 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร