วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 01:22  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2020, 07:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


คำว่า พุทโธ นี้ ผีเกรงกลัวที่สุด เพราะอานุภาพของ พุทโธ
และจิตที่เป็นสมาธิ พวกภูติผีต่างๆ จึงไม่อาจทำอันตรายใดๆ แก่เราได้ และเมื่อเราแผ่เมตตาให้ พวกนั้นก็น้อมรับในส่วนบุญ กลายเป็นมิตรไปกับเราเสียอีก

ถ้าหากท่านผู้ใดกลัวผีก็ขอให้ภาวนา พุทโธ พุทโธ จนจิตเป็นสมาธิ ความกลัวจักหายไปเอง ...
.
หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม








ไม่มีวิหาร...พระก็พออยู่ได้
ไม่มีพระพุทธรูป...วาดเอาก็ได้
ไม่มียา...พระก็พอจะอดทนเอาได้
ไม่มีจีวร...ก็ใส่ขาดๆ เอาได้
แต่...#ไม่มีพระธรรม...นี้อยู่ไม่ได้เลยนะโยม

พระอาจารย์ญาณธมฺโม
วัดป่ารัตนวัน อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา









...ธรรมที่เราได้ยิน
ถ้าเรา..”เอาไปพิจารณา”

.
เช่น ความแก่ ความเจ็บ ความตาย
หรือ อสุภะอาการ32
หรือ การพิจารณาธาตุ4 ดิน น้ำ ลม ไฟ

.
ถ้าใจของเรา..
“คิดอยู่อย่างนี้อย่างต่อเนื่อง
สลับกับการนั่งสมาธิ “

.
เราก็จะมีสติ มีสมาธิ และมีปัญญา
พร้อมที่จะเอาไปใช้ดับความทุกข์
เวลาเกิดความทุกข์ขึ้นมา.
......................................
.
คัดลอกการแสดงธรรม
ธรรมะบนเขา20/7/2557
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี










" การรู้พระคุณท่าน และ
การตอบสนองพระคุณท่าน
ไม่ใช่การทำให้ถูกใจท่าน
ในทางที่ไม่ดีไม่งาม

ความมี "กตัญญูกตเวที"
หมายถึง การคิดการพูด
การทำ เพื่อช่วยยกย่อง
เชิดชูท่านผู้มีพระคุณ

มิใช่ซ้ำเติมให้ที่ไม่ดีอยู่แล้ว
เพิ่มความไม่ดียิ่งขึ้น เช่นนั้น
เป็น “การเอาใจ” ไม่ใช่
“กตัญญูกตเวที”

การเอาใจ นั้นเป็นไปได้
ทั้งทาง ที่ควรและไม่ควร
แต่การแสดงกตัญญูกตเวที
นั้นเป็นไปได้ในทางดีทางเดียว

ผู้มีพระคุณทำไม่ดีไม่ชอบ
จะแสดงกตัญญูกตเวที
ต้องช่วยวิธีใดก็ตาม
เพื่อให้เลิกทำเช่นนั้น

ไม่จำเป็นจะต้อง
ให้ถูกใจอย่างเดียว
จะขัดใจบ้างหรือแม้
จะขัดใจอย่างยิ่ง ก็ควรทำ "

พระโอวาทธรรม
สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช
สกลมหาสังฆปริณายก








" ทางเดินสุดท้ายก่อนตาย "

"ถึงแม้เราจะมีคาถาอาคมของดีอะไรก็ตาม เราก็ต้องตาย ก่อนตายควรเลือกทางเดินเอาอย่างน้อยที่สุด เราควรไปสวรรค์ชั้นกามาวจรให้ได้

ขอให้ทุกคนน่ะ เวลาก่อนจะหลับ ให้นึกถึงความดีที่ตนเคยทำ ทรัพย์สินที่สละ เป็นวิหารทาน ธรรมทาน สังฆทานเลี้ยงพระ นึกถึงศีลที่ตนเคยรับมาเทศน์ที่ตนเคยฟัง แล้วหมั่นภาวนาถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ พระพุทโธ ธัมโม สังโฆ

เมื่อจะเจริญกรรมฐาน ให้ตั้งอยู่ในพรหมวิหาร ๔ ให้เป็นฌาณสมาธิแน่วแน่ ให้แผ่เมตตาไปทั่วจักรวาล แล้วจึงพิจารณาตามอารมณ์วิปัสสนาหรือภาวนาตามแบบสมถะ ทุกคนตายแล้วจงไปสวรรค์ จงไปพรหมโลก จงไปนิพพาน"

คำสอน หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค









“...บุญก็แอบแฝงอยู่ในเรา..บาปก็แอบแฝงอยู่ในเรา
การที่ 'บุญ' แอบแฝงอยู่ในเรานี้ล่ะ..พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนให้'ทำบุญ' เพิ่มขึ้นมากๆ.. เพราะบุญมีแต่จะนำสุขมาให้

' บาป ' แอบแฝงอยู่ในตัวเรานี้ล่ะ..พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนให้ละบาป..ถ้าหากบาปอยู่ที่อื่น มันจะต้องไปละทำไม.. นี่บาปมันอยู่กับเราแอบแฝงอยู่กับเรา มีความจำเป็นที่จะต้องละ..มีความจำเป็นที่จะต้องสลัดให้หมดให้สิ้น
ในเมื่อเราละบาป เราสลัดบาปให้หลุดให้สิ้นไปแล้ว..บาปไม่มีในเรา เรียกว่า เราปฏิบัติหน้าที่ของเราที่เป็นชาวพุทธ ได้บรรลุเป้าหมายที่พระพุทธเจ้าสอนให้ละบาป

' บาป ' คือความไม่ถูกต้อง, บาป คือ ความไม่ดีไม่งาม ทางกาย, ทางวาจา, และทางความคิด, การกระทำที่ไม่ดีทั้งต่อหน้า และลับหลัง ทั้งที่ลับและที่แจ้ง

'คำพูด' ที่ไม่ดี มีเจตนาที่ไม่ดีในคำพูดนั้น..อันนั้นพระพุทธเจ้าท่านก็ให้เลิกให้ละ

'ความคิด' ที่ไม่ดีทั้งหลาย..ความคิดที่เป็นความชั่วทั้งหลาย..ความคิดที่ไม่ชอบธรรมทั้งหลาย..อันนั้นก็เป็นบาป..พระพุทธเจ้าสอนให้ละ
บาปทั้งทางกาย, บาปทางวาจา, เกิดมาจากบาปที่มีอยู่ 'ในใจ' ..เพราะ 'ใจ' นี้ล่ะเป็นสถานที่สั่งสมเก็บเอาบาปเอาไว้..ทางระบายบาปก็คือ ระบายทางกาย, ระบายทางวาจาเป็นคำพูด..บาประบายออกไป มันทำลาย..ทำลายทั้งเจ้าของเอง

บาปที่มีอยู่ในเรามันแสดงออกมา มันมีแต่ทำลายเราเองทั้งนั้น
พระพุทธเจ้าท่านจึงให้พากันละบาปเสีย..บำเพ็ญบุญให้มาก ๆ
' บุญ ' คือ ทำให้เราให้เป็นบุญ, บุญ คือ ทำใจเราให้สบายให้มีความสุข, ให้สงบ, ให้สว่าง,

บุญ คือ การทำใจของเราให้ขาดจากความวุ่นวาย , บุญคือ การสลัดความวุ่นวายทั้งหลายออกจากจิตจากใจเราได้
ใจที่ 'บาป ' หลุดออกไปแล้วนั้นล่ะ..เป็นใจที่เป็นบุญกุศล ..."

โอวาทธรรมหลวงปู่แบน ธนากโร (ตอนหนึ่ง จากโอวาทธรรม ภาวนาเพื่อละบาป)










"ทุกครั้งที่เราว่าคนอื่นเลว คนอื่นไม่ดี
ก็เท่ากับเราประจานความมืดดำในใจตัวเอง
เห็นสิ่งไม่ดีของใคร จงเตือนตัวเองว่าอย่าทำ"

หลวงปู่ไม อินทสิริ









“สังขารย่อมเดินไปตามทางของมันอยู่
นานเข้าก็แก่ แล้วก็ตาย หายไปจากโลก
ต้องเป็นอยู่อย่างนี้แน่นอน และตลอดไป

ฉะนั้น ไม่ควรหลงไหลกับสิ่งต่างๆ ในโลก
ให้มากนัก ควรมองโลกนี้เสียให้ชัด ให้แจ้ง
ให้จริง พาจิตใจและอารมณ์ ให้ออกห่าง
จากโลกนี้เสีย”

หลวงปู่จันทร์ สิริจันโท








“ความตายนั้นเป็นบททดสอบที่สำคัญ
ที่สุดของชีวิต บททดสอบอื่นๆ นั้น
เราสามารถสอบได้หลายครั้ง แม้สอบตก
ก็ยังสามารถสอบใหม่ได้อีก

แต่บททดสอบที่ชื่อว่าความตายนั้น
เรามีโอกาสสอบได้ครั้งเดียว และไม่สามารถ
สอบแก้ตัวได้เลย ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นบททดสอบ
ที่ยากมาก และสามารถเกิดขึ้นเมื่อใดก็ได้
โดยไม่ทันได้ตั้งตัว

เป็นบททดสอบที่เราแทบจะควบคุมอะไรไม่ได้เลย
ไม่ว่าเวลา สถานที่ หรือแม้กระทั่งร่างกาย และจิตใจ
ของตนเอง”

พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล









“พิจารณาให้เห็นตามเรื่องของธาตุของขันธ์ว่า
เรามาอาศัยเขาอยู่ ชั่วระยะหนึ่งเท่านั้น
เดี๋ยวธาตุก้อนนี้ มันจะแตกสลายแปรสภาพอยู่แล้ว
แต่ในระยะนี้ เราไม่ตื่นตกใจอะไรหรอก
โน้น.. เวลาเจ็บ เวลาป่วย เวลาไข้ขึ้นมา
ใกล้จะตายขึ้นมานั้นแหละ จึงจะรู้สึกตัว จึงกลัว”

หลวงปู่ศรี มหาวีโร








“คนเรา เมื่อประพฤติปฏิบัติ
ให้อยู่ในกรอบแห่งศีลธรรม
อยู่ในความไม่ประมาท หมั่นบำเพ็ญบุญ
สวดมนต์ไหว้พระ ทุกวันแล้ว
ก็ไม่ต้องวิ่งไปหาพระที่ไหน ชีวิตก็เป็นสุข"

หลวงปู่จาม มหาปญฺโญ








อยู่ในโลก. ไม่เอาเรื่องของโลก. มาเผาใจ. นี่ผู้มีธรรม. เป็นอย่างนี้

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน











#พิจารณาอสุภะจนบรรลุธรรม
#หลวงปู่แสวง #อมโร #วัดป่าชัยวารินทร์

"หลวงปู่แสวงท่านเล่าว่า.. โยมพ่อท่านตายไปแล้วเป็นเปรต คืนหนึ่งได้มาหาท่าน องค์ท่านเองก็จำไม่ได้ว่าเป็นโยมพ่อท่าน ร่างกายที่มาปรากฏนั้นก็ผ่ายผอมไม่มีเสื้อผ้าใส่

#ส่วนสาเหตุที่มาเป็นเปรต_ตกระกำลำบากนี้_ก็เพราะว่าเคยฆ่าแมว_โดยไม่ได้ตั้งใจ

เนื่องจากพ่อท่านเป็นช่างลับมีด แล้วแมวมันมากวน โยมพ่อท่านก็เลยตั้งใจเอาสันมีดเคาะไปที่หลังแมว แต่จับด้ามผิดฝั่ง กลายเป็นเอาด้านคมไปเฉาะตรงคอแมวเข้า แต่มันไม่ขาดห้อยต่องแต่งอยู่อย่างนั้น โยมพ่อท่านทุกข์ใจเรื่องนี้มาก

#ก่อนตาย_ก็คิดแต่เรื่องนี้_จึงได้กลายมาเป็นเปรต

หลวงปู่แสวง ท่านก็ทำบุญอุทิศให้โยมพ่อ โดยนำอาหารที่ท่านบิณฑบาตได้นั้น มาใส่บาตรครูบาอาจารย์อีกทีหนึ่ง เพื่ออุทิศให้โยมพ่อท่าน และนำจีวรเนื้อดีถวายครูบาอาจารย์ หากจำไม่ผิดท่านนำจีวรไปถวายหลวงปู่มหารักษ์ เรวโตพระอุปัชฌาย์ของท่าน

#ในส่วนของผ้าจีวรนี้_ท่านได้มาจากหลวงปู่จวน_กุลเชฏโฐ.

ซึ่งก่อนหน้านี้หลวงปู่แสวง ได้เป็นผู้ร่วมสร้างสะพานไม้รอบภูทอก แต่มีจุดหนึ่งที่มีสะพานหินธรรมชาติ เชื่อมไปยังเขาโดดลูกเล็ก ที่มีลักษณะคล้ายเห็ดที่แยกตัวออกไปจากภูทอก

หลวงปู่จวนบอกกับลูกศิษย์ว่า ใครหาวิธีเชื่อมทางเขา ๒ ลูก นี้ได้ เราจะให้ผ้าจีวรเนื้อดี แก่ผู้นั้น

หลวงปู่แสวงก็หาวิธีจนได้ โดยทำเชือกผูกเป็นบ่วง โยนค่อมไปที่เขาลูกนั้น แล้วหย่อนเชือกลงไป ให้สามเณรที่ตัวเบาๆผูกกับเอว แล้วค่อยๆไต่ขึ้น ท่านว่าพวกสามเณรนั้นไม่มีใครกลัว ต่างก็ชอบเล่นกัน เป็นของสนุก

ทั้งพระทั้งเณรต่างช่วยกันสกัดหินทำสะพานไม้ เชื่อมต่อเขาสองลูกจนสำเร็จเขาลูกนี้เป็นที่ทราบกันในชื่อว่า"พุทธวิหาร" ซึ่งอยู่บริเวณชั้นที่ ๕ ของภูทอก

ด้วยเหตุนี้ หลวงปู่แสวงจึงได้ผ้าจีวรเนื้อดีจากหลวงปู่จวน และได้ทอดผ้าบังสุกุลอุทิศให้โยมพ่อ จึงเปลี่ยนภพเปลี่ยนภูมิจากเปรตไปเป็นภูมิเทวดาได้.

#หลวงปู่แสวงท่านเล่าอีกว่า_สมัยหนึ่งภาวนาอยู่กับหลวงปู่จวน_กุลเชฏโฐ.

ช่วงเช้าได้ออกไปบิณฑบาต ระหว่างทางเห็นเศษผ้าขี้ริ้วเก่า ๆ ถูกทิ้งไว้ องค์ท่านก็พิจารณาว่า แต่ก่อนผ้านี้ก็เคยเป็นของใหม่ที่ขาวสะอาด ทุกคนต้องการนำไปใช้สอยได้อยู่ แต่พอใช้ไปนาน ๆ ผ้าก็เก่า ก็ขุ่นมัว เสื่อมสภาพ ไม่มีใครต้องการ ก็ถูกทิ้งร้างอย่างนี้

#ก็เปรียบเหมือนร่างกายมนุษย์เรา

แต่ก่อนก็ยังแข็งแรงดี สดชื่นอยู่ เมื่อเจริญวัยใช้งานไปเรื่อย ก็เสื่อม ก็ถอยไปตามสังขาร ผุเน่าไป ไม่มีใครต้องการ

#ขณะเดินบิณฑบาต_ท่านก็พิจารณาธรรมของท่านไปเรื่อยๆ

พอมาถึงหมู่บ้าน ท่านก็เห็นญาติโยมที่มารอตักบาตร มีร่างกายเป็นอสุภะ มีแผลผุผองเน่าเปื่อยให้ท่านเห็น

#หลวงปู่แสวงท่านจะเดินไปที่ไหนๆ_ก็มองเห็นเป็นปฏิภาคนิมิต

เมื่อกลับมาถึงวัด จึงได้ไปกราบเรียนหลวงปู่จวน หลวงปู่จวนท่านก็ให้พิจารณาอสุภะกรรมฐานนี้ ไม่ให้ขาด

หลวงปู่แสวงท่านก็พิจารณาอยู่จนติดตาอย่างนี้เรื่อยๆเพียงไม่กี่วันก็บรรลุธรรม

หมายเหตุ.ประวัติหลวงปู่แสวง อมโร นี้มีผู้ถอดจากเทปที่เคยบันทึกเสียงหลวงปู่เอาไว้ เมื่อหลายปีที่แล้ว เสียดายที่ไฟล์ต้นฉบับนั้น เสื่อมคุณภาพตามกาลเวลา คงเหลือแต่ที่จดบันทึกนี้ไว้เท่านั้น

#ประวัติบางส่วนของ #หลวงปู่แสวง #อมโร #วัดป่าชัยวารินทร์
อ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่น













#มุตโตทัยตีพิมพ์ฉบับต้น_คราวถวายเพลิงของหลวงปู่มั่น_ธรรมชั้นสูงในเล่มนั้นกล่าวว่า..

“ถ้าไม่มีที่อยู่ ก็ไปอยู่ที่สูญสูญนั้น”

ใจความในหนังสือเล่มนั้นทั้งหมด ก็ขึ้นอยู่กับภาพพจน์ข้อนี้ นี้เป็นธรรมชั้นสูงในหนังสือเล่มนั้นทั้งหมด เหตุผลที่จะไปอยู่ที่สูญสูญนั้น หนังสือเล่มนั้นอธิบายว่า “ถ้าจะว่าสูญไม่มีค่า ก็ไม่ได้ เพราะไปบวกกับเลขหนึ่ง ก็สิบ ร้อย พัน หมื่น แสนล้าน” ดังนี้ เป็นมติของผู้เขียนคืออาจารย์มหาเส็งและอาจารย์ทองคำ ในยุคนั้นพระอาจารย์มหาบัวกำลังรักวิเวก เที่ยวปฏิบัติโชกโชนอยู่ ไม่สุงสิงในการเขียนหนังสือ

ข้าพเจ้าพิจารณาอยู่แต่ไรๆ ว่าเหตุที่สูญจะเป็นของมีค่าก็เพราะมีผู้ไปยึดถือเอาเป็นเจ้าของ ถ้าไม่มีผู้ไปยึดถือเอาเป็นเจ้าของแล้วสูญก็กลายเป็นโมฆะไปตามสภาพที่สมมุติ ไม่ว่าแต่สูญเลย ขี้เป็ดขี้ไก่ก็ดี ถ้ามีผู้ไปยึดถือเอาเป็นเจ้าของแล้ว ย่อมเป็นของมีค่าทั้งนั้น ซื้อขายเอาไปใส่ผักก็ได้ ใครลักก็เป็นอทินนาทาน แต่พระนิพพานไม่เป็นหน้าที่จะแล่นไป หรือเดินไปอยู่ที่สูญสูญ ถ้าอย่างนั้น สูญก็เป็นสรณังคัจฉามิของพระนิพพาน พระบรมศาสดากล่าวไว้เพียงแต่ว่า เปลวไฟอันกำลังลมเป่า เมื่อเปลวไฟดับไปแล้วไม่เป็นหน้าที่จะไปยืนยันและสมมุติว่าไปตั้งอยู่ที่นั้นที่นี้ หรืออะไรๆ ทั้งนั้น

ความขัดแย้งแห่งสงครามความเห็น ถ้าความเห็นออกนอกรีตนอกรอย เป็นอัตโนมติของผู้ยังมีกิเลสหนา ไม่เหมือนอัตโนมติของพระอริยเจ้า ที่มัดเข้าหาธรรมฝ่ายอริยะเป็นบรรทัด เป็นแว่น เป็นคระจกเงา เป็นกล้องจุลทรรศน์ เป็นเครื่องวัดเครื่องตวงอันไม่เลยเถิด ปราศจากเดาด้นคาดคะเน พร้อมทั้งมีสัมมาญาณะอันถ่องแท้ ไกลจากโลกิยวิสัยไปแล้วจะดึงลงมาเทียบกับโลโก โลกา โลเกเร โลกึง โลมึง โลกู ย่อมเป็นไปไม่ได้ทั้งอดีตอนาคต ปัจจุบันด้วย

ชีวประวัติของหลวงปู่มั่นก็ดี ของท่านองค์ใดๆ ก็ดีจะแต่งจะเขียนพิสดารหรือย่อก็ตามที ถ้าแก่นเรื่องของธรรมะ ยอดเรื่องของธรรมะชั้นสูงไม่สมเหตุสมผลแล้ว ปราชญ์ผู้อ่านผู้ฟังก็ไม่ถึงใจถึงธรรมเท่าที่ควร ไม่ชวนอยากอ่านไม่ชวนอยากฟังด้วย มิหนำซ้ำถูกวิจารณ์ว่าไม่สมชื่อลือชาปรากฏว่าโด่งดังอะไรกันในทางที่ชอบแท้ของธรรมะ เมื่อผู้เขียนมิใช่เจ้าตัวเขียนเอง ย่อมตีความหมายลงมาหาตัวของผู้เขียน เพราะเข้าใจอย่างนั้น ชัดอย่างนั้น แต่มันก็เป็นเรื่องอจินตับอจินไตยเหลือวิสัยจะผูกขาด ชีวิตของหลวงปู่มั่นในยุควัดป่าหนองผือ พรรณานิคม จังหวัดสกลนคร เป็นยุคสุดท้ายของชีวิตองค์ท่าน และสุดท้ายธรรมชั้นสูงแห่งองค์ท่านอีกด้วย

ธรรมะขององค์ท่านส่วนอื่นๆ อเนกปริยายก็ตาม ตลอดข้อวัตรปฏิบัติอันเด็ดเดี่ยว ที่ทำ (เพื่อ) ส่วนตัวองค์ท่านก็ตาม (หรือ) เพื่อทอดสะพานให้อนุชนรุ่นหลังก็ตาม ย่อมเป็นเมืองขึ้นของคำที่องค์ท่านเทศน์ว่า

“ไม่ว่าธรรมส่วนใด ถ้าสำคัญตนว่าเสวย เป็นอันผิดทั้งนั้น”

เมื่อกล่าวว่า ธรรมส่วนใด ก็เป็นอันกล่าวถึง จิตส่วนใด อยู่ในตัว ผู้รู้ส่วนใด อยู่ในตัวอีกด้วย ญาณส่วนใด อยู่ในตัวอีกด้วย ส่อแสดงให้เห็นว่าทำลายอุปาทานในตัวแล้ว

ย้อนมาปรารภสับสนปนเปกันไปอีก เพราะนึกเห็นได้ จำได้อันใด ก็เขียนกันลงไป ไม่ต่ออนุสนธิเป็นระเบียบ สับสนอลหม่าน เพราะไม่ชำนาญในการแต่งและการเขียน และก็คงไม่ได้ไปตรวจเอาคะแนนในสนามโลกใดๆ ทั้งสิ้นเลย...

#หลวงปู่หล้า #เขมปัตโต









#แสงกระสือจากฝั่งลาว (#วิบากกรรมของผู้กระทำเดรัจฉานวิชา)

มีช่วงหนึ่งเข้าพรรษาใหม่ๆ โน้นนะที่ อ.บ้านแพง จ.นครพนมนะ "โอ้ย! คนตายเรียงวัน เรียงวันเลย ตาย ๖-๗ คนแล้ว แล้วกลางคืนมานี่ "โอ้ย! แสงดวงใหญ่มาเลยอ้อมหมู่บ้านทุกคืนเลย ไปที่ไหนคนสลบที่นั้น "ฮ่วย!...ทั้งพระทั้งโยมไม่ได้หลับไม่ได้นอน"

"ต้องมาหาหลวงปู่ จะมานิมนต์ให้หลวงปู่กลับไป"

โอ้ย!....ไม่กลับไปหรอก กลับไปเอาหินกับทรายมา ให้ไปเอาที่นครพนมพุ่นเด้อมา...เขาก็เลยต้องวิ่งรถกลับมาจากหลวงปู่ไปนครพนม กลับไปเอาหินเอาทรายมา เอามา ๒ กระสอบ ทีนี้หลวงปู่ก็อธิฐานให้แล้วก็ให้ไป..."โอ้ย! มันกลัวจนไม่ได้หลับได้นอน ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่เลยเด้ แจกกันคนละถุงๆช่วยกันหว่าน วันหลังมามันหายหมด!!

โยม : ปู่ครับพวกนี้มันผีเร่ร่อนหรือผีประจำถิ่นหรอครับ ?

ลป. : มันมาจากฝั่งลาวเลย ข้ามแม่น้ำโขงมา

โยม : โอโห้ !!!

ลป. : พวกนี้ร้ายมากเลย พวกพระในพื้นที่ไม่มีปัญญาแล้ว จึงมาขอเอาหินเอาทรายที่เสกให้ไปหว่านเอา รอบบ้านหายเงียบไปเลยเขาว่านะ และก็สายสิญจน์ให้ไปแจกกัน

มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งเพิ่งได้ ๒ ขวบ
นั่งอยู่พอแสงนั้นมันพุ่งมา...สลบลงกับที่เลย เขียวขึ้นเลย ตาค้าง มีผู้ใหญ่คนหนึ่งมีเหรียญหลวงปู่คล้องคอเลย....เด็กฟื้นขึ้นมาเลย มันเอากันแบบสดๆกันหลายคนเลยนะ ที่นั้นนะ

#คนมันไม่เชื่อนะได้เหรียญหลวงปู่ไปมันก็ไม่ได้ผล (มันเป็น อ.บ.ต.เด้)

โอ้ย! นั่งอยู่ดีๆนี่ ก็หัวคะมำลงไปกับที่เลย...ตาย!!

ตายแล้วเขาก็เอาไปเอกซเรย์ดู...ไม่มีตับ !! มันกินตับหมดแล้ว ผีมันมาจากเมืองลาว มันร้ายเด้ พวกผีนี่ ผีกระสือนี่ มันมาเป็นแสงเลยเด้...

โอ้ย! แสงนี่...ดวงใหญ่มากเลย
ผ่านไปที่ไหนคนสลบเป็นแถวเลย

โยม : โฮ้! แล้วคนพวกนี้เขาเป็นได้ยังไงครับหลวงปู่ พวกที่เขาเป็นปอบ เป็นกระสือนี้ครับ ?

ลป. : พวกนี้มันเป็นตั้งแต่ยังเป็นคนแล้ว พวกนักเลงโตนี้แหละ ไปเรียนวิชาอาคมมา วิชาพวกนี้ "วิชามาร" มารนี้ทำให้เป็นผี แต่ก่อนมีลุงคนหนึ่ง ลุงหลวงปู่นี่แหละ ไปเรียนวิชาอาคมมา ปืนยิงไม่เข้าเด้ ทีนี้อยู่มาๆก็...เขาไม่ให้ไปกินพวกอาหารที่สดๆนะ แต่แกไปกินแหล่ว วิชานี้มันก็เลยทำให้กลายเป็นผีแก่กล้าเลย

วันไหนไม่ได้กินเนื้อสดๆนี่...นอนหลับไปก็ฝันว่าได้ไปกินคน พอฝันว่าได้ไปกินคนแล้วก็กลายเป็นปอบ แล้วไปเข้าคนอยู่ที่โน้นแล้ว เขาก็เอาหมอผีมามัด...เขาถามว่าชื่ออะไร ก็บอกเขาละทีนี้เพราะเขาตีเอาเด้ พออยู่มามันเดือดร้อน แกก็อยู่ไม่เป็นสุข เลยไปหาพระทำพิธีและทำน้ำมนต์ให้เพื่อล้างอาถรรพ์ จึงหายเป็นปกติ...

ถอดจากเทปเรื่องเล่า
#หลวงปู่ไม #อินทสิริ
#วัดป่าเขาภูหลวง อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

ถอดเทป/เรียบเรียง : นรินทร์ ศรีสุทธิ์









...ครูบาอาจารย์ไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง ครูบาอาจารย์เป็นที่เคารพของทุกคน เพราะฉะนั้น #อย่าหวงไว้นะ ใครก็มีสิทธิ์เข้าหาได้..
************************************
#สุวฑฺฒโน_วาท
#พระภัทรธรรมสุธี
(หลวงพ่อมหาสุพัฒน์ สุวฑฺฒโน)
เจ้าอาวาสวัดศรีสุทธาวาส พระอารามหลวง(เลยหลง) เจ้าคณะจังหวัดเลย(ธ)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 65 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร