วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 18:23  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 32 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2019, 18:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:

เขาให้บวชไปชำระ
ล้างกิเลสออกไม่ใช่เหรอ
แล้วมีแต่หาเงินก่อสร้างกิเลส

ทำแบบนั้นกันทำไมล่ะประเทศชาติ
สูญเสียทรัพยากรไปมากมายเศรษฐกิจเสียหาย
ก่อสร้างแต่สิ่งที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่คนหมู่มาก
บวชคือสละแล้วอาคารบ้านเรือนแล้วสร้างอะไรขึ้นมาเป็นภาระล่ะ
พระพุทธเจ้าให้ลดภาระให้มีบาตร1ใบฉันได้ไม่เกินเที่ยงก็ทิ้งหมดเลย
ผ้าก็มีแค่3ผืนเท่านั้นจะถือกุญแจกุฏิไปทำไมถ้ามีแค่นั้นเห็นกิเลสไหมคิดเป็นไหม
บวชแล้วไม่ศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้าให้เข้าใจสอนชาวบ้านก็สอนผิดๆพาทำผิดๆเพิ่มแต่กิเลส
อายฟ้าดินไหมเนี่ยมีแต่ผู้หญิงเข้าใจคำสอนและพยายามถามให้รู้สึกสำนึกคิดไม่เป็นกันเลยหรือไงคะ555
https://youtu.be/S6gX3sbPhA8
:b15:
:b32: :b32:


กิเลส คือ อะไร แล้วชำระด้วยวิธีใด ไหนลองแนะนำสิ :b1: ว่าไป

:b32:
คุยมาตั้งนานปัญญาไม่เกิดจริงๆเพราะขาดการฟังเพื่อพิจารณาไตร่ตรองความจริงไงคะ
:b12:
กิเลส เป็น ภาษาอะไรคะ บาลีค่ะ แปลเป็นไทยว่า มีความไม่รู้ที่จิตเป็นปกติเลย
เห็นไม่มีคิดปนแค่มีสีกระทบตาเฉยๆ แล้วดับทันที มีภวังค์คั่น2ต่อก่อนดับหายในจิต
ตอนคิดนึกถึงจะมืการตรึกตรองนึกคิดแต่คุณขาดการพึ่งคิดตามคำสอนจึงมีกิเลส
ก็จิตเห็นทำหน้าที่เห็นอย่างเดียวจิตแต่ละ1ดวงตรง1ขณะไม่ทำงานปนกันนะคะคุณ
จิตเห็นเกิดทางตาได้ยินเกิดทางหูจิตอื่นๆเกิดดับตรงทางตั้งมั่นตรงแต่ละทางดับทีละทาง
จิตคิดนึกเกิดทางมโนทวารวิถีไม่มีปนกับเห็นหรือได้ยินหรือได้กลิ่นหรือรับรสหรือสัมผัส
จิตแต่ละ1ขณะเกิดแล้วดับทันทีไม่ปนกันเลยค่ะทีนี้คิดความจริงที่ตัวเองมีดูสิคะตามคำสอนนะ
:b32: :b32:


:b1:

อ้างคำพูด:
กิเลส เป็น ภาษาอะไรคะ บาลีค่ะ แปลเป็นไทยว่า มีความไม่รู้ที่จิตเป็นปกติเลย


ได้คำตอบหนึ่งล่ะ สาธุให้ 1 ครั้งก่อน

ยังงั้นแล้วจะชำระด้วยวิธีใดอย่างไร ตอบอีกจะให้สาธุอีก

ปัญญา
ไม่ใช่เรา
ไม่เคยจำถูก
ว่าไม่มีเรามีแต่ธัมมะ
ปัญญาก็ไม่ใช่เราเกิดได้ตามลำดับ
ถ้าไม่คิดไตร่ตรองตามจะคิดถูกไหมว่าไม่มีเราก็ยังมีเราอยู่
ฟังให้เกิดปัญญาเข้าใจตามคำสอนจนกว่าจะจำได้เพราะสมาธิเกิดกับทุกขณะจิตมีแล้วไม่ได้ทำ
ต้องพึ่งการคิดไตร่ตรองตามคำสอนแต่ไม่ใข่การมีตัวตนไปคิดทำเองต้องฟังให้รู้ตามคำสอนได้
จำเป็นตัวตรเราคิดพูดทำมาตั้งแต่เกิดจนบัดนี้ไม่เคยรู้ไม่เคยจำถูกตามคำสอนเลยจำแต่มีตัวตนไปทำ
ฟังเพื่อให้จิตละคลายความอยากไปทำและจำได้แม่นยำตรงปัจจุบันว่าธัมมะใดที่กำลังมีให้ระลึกถูกตัวตนตามได้
ฟังจากใครก็ได้ที่กล่าวความจริงให้เข้าใจถูกตัวตนตรงสัจจะที่กำลังปรากฏว่ามีเดี๋ยวนี้ตรงตามคำวาจาสัจจะค่ะ
:b1:
:b4: :b4:

แนะนำฟังเพื่อเข้าใจ
ไม่ใช่ฟังไปคิดขัดขัดแย้งไป
เพราะการฟังต้องคิดตามตรงคำ
ตรงความหมายของเสียงนั้นๆตรงๆ
ขณะที่กำลังคิดตามและกำลังเข้าใจ
ขณะนั้นเองคือสังขารขันธ์ปรุงแต่งจิตถูกตามได้แล้ว
พอหยุดฟังปุ๊บคิดไปตามนิสัยตนเองคือตัวตนเราทันทีเลยค่ะ
คำสอนของพระพุทธเจ้าไม่ใช่เชื่อโดยไม่คิดแต่ให้ฟังโดยใช้หลักกาลามสูตร10คิดทบทวนถูกตัวตน
จนกว่าจะคิดถูกตัวตนแล้วเข้าใจสิ่งที่ตัวตนกำลังมีถูกตรงตามสัจจะที่กำลังปรากฏที่ตัวถูกตามได้ค่ะ
https://youtu.be/V6R6ciLFMzc
:b12:
:b20: :b20:



ตอบไม่ตรงคำถาม ไม่ให้คะแนน ไม่ให้สาธุ ถ้าอยู่ใกล้ๆมือจะให้หลังแหวน คิกๆๆๆ

ก็คุณโรสพูดเอง บวชเพื่อชำระกิเลส (กิเลสตอบไปแล้ว) เขาก็เลยถามว่า วิธีการชำระกิเลส ก็เท่านี้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2019, 23:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:

เขาให้บวชไปชำระ
ล้างกิเลสออกไม่ใช่เหรอ
แล้วมีแต่หาเงินก่อสร้างกิเลส

ทำแบบนั้นกันทำไมล่ะประเทศชาติ
สูญเสียทรัพยากรไปมากมายเศรษฐกิจเสียหาย
ก่อสร้างแต่สิ่งที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่คนหมู่มาก
บวชคือสละแล้วอาคารบ้านเรือนแล้วสร้างอะไรขึ้นมาเป็นภาระล่ะ
พระพุทธเจ้าให้ลดภาระให้มีบาตร1ใบฉันได้ไม่เกินเที่ยงก็ทิ้งหมดเลย
ผ้าก็มีแค่3ผืนเท่านั้นจะถือกุญแจกุฏิไปทำไมถ้ามีแค่นั้นเห็นกิเลสไหมคิดเป็นไหม
บวชแล้วไม่ศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้าให้เข้าใจสอนชาวบ้านก็สอนผิดๆพาทำผิดๆเพิ่มแต่กิเลส
อายฟ้าดินไหมเนี่ยมีแต่ผู้หญิงเข้าใจคำสอนและพยายามถามให้รู้สึกสำนึกคิดไม่เป็นกันเลยหรือไงคะ555
https://youtu.be/S6gX3sbPhA8
:b15:
:b32: :b32:


กิเลส คือ อะไร แล้วชำระด้วยวิธีใด ไหนลองแนะนำสิ :b1: ว่าไป

:b32:
คุยมาตั้งนานปัญญาไม่เกิดจริงๆเพราะขาดการฟังเพื่อพิจารณาไตร่ตรองความจริงไงคะ
:b12:
กิเลส เป็น ภาษาอะไรคะ บาลีค่ะ แปลเป็นไทยว่า มีความไม่รู้ที่จิตเป็นปกติเลย
เห็นไม่มีคิดปนแค่มีสีกระทบตาเฉยๆ แล้วดับทันที มีภวังค์คั่น2ต่อก่อนดับหายในจิต
ตอนคิดนึกถึงจะมืการตรึกตรองนึกคิดแต่คุณขาดการพึ่งคิดตามคำสอนจึงมีกิเลส
ก็จิตเห็นทำหน้าที่เห็นอย่างเดียวจิตแต่ละ1ดวงตรง1ขณะไม่ทำงานปนกันนะคะคุณ
จิตเห็นเกิดทางตาได้ยินเกิดทางหูจิตอื่นๆเกิดดับตรงทางตั้งมั่นตรงแต่ละทางดับทีละทาง
จิตคิดนึกเกิดทางมโนทวารวิถีไม่มีปนกับเห็นหรือได้ยินหรือได้กลิ่นหรือรับรสหรือสัมผัส
จิตแต่ละ1ขณะเกิดแล้วดับทันทีไม่ปนกันเลยค่ะทีนี้คิดความจริงที่ตัวเองมีดูสิคะตามคำสอนนะ
:b32: :b32:


:b1:

อ้างคำพูด:
กิเลส เป็น ภาษาอะไรคะ บาลีค่ะ แปลเป็นไทยว่า มีความไม่รู้ที่จิตเป็นปกติเลย


ได้คำตอบหนึ่งล่ะ สาธุให้ 1 ครั้งก่อน

ยังงั้นแล้วจะชำระด้วยวิธีใดอย่างไร ตอบอีกจะให้สาธุอีก

ปัญญา
ไม่ใช่เรา
ไม่เคยจำถูก
ว่าไม่มีเรามีแต่ธัมมะ
ปัญญาก็ไม่ใช่เราเกิดได้ตามลำดับ
ถ้าไม่คิดไตร่ตรองตามจะคิดถูกไหมว่าไม่มีเราก็ยังมีเราอยู่
ฟังให้เกิดปัญญาเข้าใจตามคำสอนจนกว่าจะจำได้เพราะสมาธิเกิดกับทุกขณะจิตมีแล้วไม่ได้ทำ
ต้องพึ่งการคิดไตร่ตรองตามคำสอนแต่ไม่ใข่การมีตัวตนไปคิดทำเองต้องฟังให้รู้ตามคำสอนได้
จำเป็นตัวตรเราคิดพูดทำมาตั้งแต่เกิดจนบัดนี้ไม่เคยรู้ไม่เคยจำถูกตามคำสอนเลยจำแต่มีตัวตนไปทำ
ฟังเพื่อให้จิตละคลายความอยากไปทำและจำได้แม่นยำตรงปัจจุบันว่าธัมมะใดที่กำลังมีให้ระลึกถูกตัวตนตามได้
ฟังจากใครก็ได้ที่กล่าวความจริงให้เข้าใจถูกตัวตนตรงสัจจะที่กำลังปรากฏว่ามีเดี๋ยวนี้ตรงตามคำวาจาสัจจะค่ะ
:b1:
:b4: :b4:

แนะนำฟังเพื่อเข้าใจ
ไม่ใช่ฟังไปคิดขัดขัดแย้งไป
เพราะการฟังต้องคิดตามตรงคำ
ตรงความหมายของเสียงนั้นๆตรงๆ
ขณะที่กำลังคิดตามและกำลังเข้าใจ
ขณะนั้นเองคือสังขารขันธ์ปรุงแต่งจิตถูกตามได้แล้ว
พอหยุดฟังปุ๊บคิดไปตามนิสัยตนเองคือตัวตนเราทันทีเลยค่ะ
คำสอนของพระพุทธเจ้าไม่ใช่เชื่อโดยไม่คิดแต่ให้ฟังโดยใช้หลักกาลามสูตร10คิดทบทวนถูกตัวตน
จนกว่าจะคิดถูกตัวตนแล้วเข้าใจสิ่งที่ตัวตนกำลังมีถูกตรงตามสัจจะที่กำลังปรากฏที่ตัวถูกตามได้ค่ะ
https://youtu.be/V6R6ciLFMzc
:b12:
:b20: :b20:



ตอบไม่ตรงคำถาม ไม่ให้คะแนน ไม่ให้สาธุ ถ้าอยู่ใกล้ๆมือจะให้หลังแหวน คิกๆๆๆ

ก็คุณโรสพูดเอง บวชเพื่อชำระกิเลส (กิเลสตอบไปแล้ว) เขาก็เลยถามว่า วิธีการชำระกิเลส ก็เท่านี้

ชำระความไม่รู้ได้ด้วยปัญญา
ปัญญาเกิดได้ตามลำดับ
เรียงตามลำดับไม่ข้ามสุตะ
ถ้าข้ามก็ไม่ใช่การทำปัญญาค่ะ
ปัญญาเกิดเองไม่ได้เพราะต้องพึ่งคำสอน
ส่วนกิเลสเกิดเองเพราะนอนมาในจิตไม่เข้าใจหรือคะ
ก็ปัญญาเกิดเองไม่ได้ค่ะต้องมีการฟังเพื่อสะสมปัญญา
คำสอนมีไว้เทียบเคียงความจริงที่กำลังมีตรงปัจจุบัน
ไม่รู้หรือคะว่าคำสอนเปลี่ยนกลับไปกลับมาไม่ได้
ทำบาปไปแล้วถึงจะมาแก้ไขมันเป็นไปไม่ได้
ฆ่าคนไปแล้วคนก็ตายแล้วทำเหตุที่รอผล
บวชรับเงินรอผลคือตกนรกแล้วค่ะ
ไม่ลาสิกขาก็ต้องตกนรกแน่ๆ
ทำเหตุตรงตามผลนะคะ
ลาสิกขาพ้นนรกทันที
เพราะชาวบ้าน
ไม่มีอาบัติ
ให้ปลง
555
:b12:
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ย. 2019, 00:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
บอกตรงๆ
การปลงอาบัติรับเงิน
ต้องปลงกะผู้ที่บวชบริสุทธิ์ที่ไม่มีการรับเงิน
ถามหน่อยสิคะบวชวันแรกยังไม่ก้าวออกจากอุโบสถก็รับเงินแล้ว
จะไปปลงกะใครคะรับกันหมดเลยนี่อาวุโสภัณเตก็ปลงด้วยตัวเองไม่ได้ก็รับเงินกันหมด
คนที่ตายไปแล้วไม่มีใครกลับมาบอกได้นะคะมีแต่คนเป็นที่กล่าวเตือนตรงตามคำสอนของตถาคตได้ค่ะบอกยังไงก็ไม่ฟัง

onion onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ย. 2019, 05:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:



ชำระความไม่รู้ได้ด้วยปัญญา
ปัญญาเกิดได้ตามลำดับ

เรียงตามลำดับไม่ข้ามสุตะ
ถ้าข้ามก็ไม่ใช่การทำปัญญาค่ะ
ปัญญาเกิดเองไม่ได้เพราะต้องพึ่งคำสอน
ส่วนกิเลสเกิดเองเพราะนอนมาในจิตไม่เข้าใจหรือคะ
ก็ปัญญาเกิดเองไม่ได้ค่ะต้องมีการฟังเพื่อสะสมปัญญา
คำสอนมีไว้เทียบเคียงความจริงที่กำลังมีตรงปัจจุบัน
ไม่รู้หรือคะว่าคำสอนเปลี่ยนกลับไปกลับมาไม่ได้
ทำบาปไปแล้วถึงจะมาแก้ไขมันเป็นไปไม่ได้
ฆ่าคนไปแล้วคนก็ตายแล้วทำเหตุที่รอผล
บวชรับเงินรอผลคือตกนรกแล้วค่ะ
ไม่ลาสิกขาก็ต้องตกนรกแน่ๆ
ทำเหตุตรงตามผลนะคะ
ลาสิกขาพ้นนรกทันที
เพราะชาวบ้าน
ไม่มีอาบัติ
ให้ปลง
555
:b12:
:b32: :b32:


ก็พูดเองว่าปัญญาเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตน ทำไมต้องไปทำ ในเมื่อมันเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตน :b10:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ย. 2019, 06:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:



ชำระความไม่รู้ได้ด้วยปัญญา
ปัญญาเกิดได้ตามลำดับ

เรียงตามลำดับไม่ข้ามสุตะ
ถ้าข้ามก็ไม่ใช่การทำปัญญาค่ะ
ปัญญาเกิดเองไม่ได้เพราะต้องพึ่งคำสอน
ส่วนกิเลสเกิดเองเพราะนอนมาในจิตไม่เข้าใจหรือคะ
ก็ปัญญาเกิดเองไม่ได้ค่ะต้องมีการฟังเพื่อสะสมปัญญา
คำสอนมีไว้เทียบเคียงความจริงที่กำลังมีตรงปัจจุบัน
ไม่รู้หรือคะว่าคำสอนเปลี่ยนกลับไปกลับมาไม่ได้
ทำบาปไปแล้วถึงจะมาแก้ไขมันเป็นไปไม่ได้
ฆ่าคนไปแล้วคนก็ตายแล้วทำเหตุที่รอผล
บวชรับเงินรอผลคือตกนรกแล้วค่ะ
ไม่ลาสิกขาก็ต้องตกนรกแน่ๆ
ทำเหตุตรงตามผลนะคะ
ลาสิกขาพ้นนรกทันที
เพราะชาวบ้าน
ไม่มีอาบัติ
ให้ปลง
555
:b12:
:b32: :b32:


ก็พูดเองว่าปัญญาเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตน ทำไมต้องไปทำ ในเมื่อมันเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตน :b10:

ปัญญาคือเจตสิกเกิดเรียงลำดับตามลำดับ
ตอนฟังคนอื่นพูดตามคำสอนให้ระลึกตาม
ระลึกตามคือสติเจตสิกที่ปรุงแต่งกุศลตอน
ที่กำลังเข้าใจความจริงถูกตรงตามคำสอน
แล้วไปบังคับตัวตนด้วยการคิดเองทำไมล่ะ
ไปนั่งหลับตาทำตัวตนให้มีกิเลสละเอียดยุ่
โดยไม่พึ่งระลึกตามก็แปลว่าขาดสติตรงๆ
ทุกอย่างเกิดแล้วจิตเกิดดับตั้งมั่นทุก1ขณะ
ไม่ได้ทำเพราะเหตุปัจจัยแต่ละขณะมีแล้ว
เพราะมีกิเลสคือความไม่รู้ถึงยังเกิดอยู่งัย
จะรู้จะเข้าใจถูกตามต้องฟังคนอื่นอธิบาย
ตัวตนน่ะมีแล้วไม่ต้องไปบังคับตัวตนไปทำ
รู้จักศรัทธาความเลื่อมใสในคำสอนไหมคะ
ทุกคนที่เขาฟังคำสอนแล้วรู้สึกตัวว่ามีไม่รู้
เขาเพียรฟังและคิดไตร่ตรองตามคำสอน
แล้วตัวเองพากันไปทำหลับตาหน้ามืดอยู่
ไม่ลืมตาดูเหรอว่าจิตเห็นเกิดยังงัยตาไม่ได้บอด
แล้วที่บวชแล้วหลงตัวตนว่าถือศีลนับข้อนั้นน่ะถูกหรือ
กิเลสดับไปแล้วทุกแสนโกฏิขณะเป็นอดีตไปแล้วดับหายไปในจิตทุก1ขณะทันที
ดับสะสมเป็นกิเลสใหม่นอนรอเกิดผลในอนาคตมากกว่าเดิมอดีตเอากลับคืนมารู้อีกได้ไหมคะคิดไหมขาดการฟังอยู่ค่ะ
https://youtu.be/nHr1ORDfX1M
:b13:
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ย. 2019, 07:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:



ชำระความไม่รู้ได้ด้วยปัญญา
ปัญญาเกิดได้ตามลำดับ

เรียงตามลำดับไม่ข้ามสุตะ
ถ้าข้ามก็ไม่ใช่การทำปัญญาค่ะ
ปัญญาเกิดเองไม่ได้เพราะต้องพึ่งคำสอน
ส่วนกิเลสเกิดเองเพราะนอนมาในจิตไม่เข้าใจหรือคะ
ก็ปัญญาเกิดเองไม่ได้ค่ะต้องมีการฟังเพื่อสะสมปัญญา
คำสอนมีไว้เทียบเคียงความจริงที่กำลังมีตรงปัจจุบัน
ไม่รู้หรือคะว่าคำสอนเปลี่ยนกลับไปกลับมาไม่ได้
ทำบาปไปแล้วถึงจะมาแก้ไขมันเป็นไปไม่ได้
ฆ่าคนไปแล้วคนก็ตายแล้วทำเหตุที่รอผล
บวชรับเงินรอผลคือตกนรกแล้วค่ะ
ไม่ลาสิกขาก็ต้องตกนรกแน่ๆ
ทำเหตุตรงตามผลนะคะ
ลาสิกขาพ้นนรกทันที
เพราะชาวบ้าน
ไม่มีอาบัติ
ให้ปลง
555
:b12:
:b32: :b32:


ก็พูดเองว่าปัญญาเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตน ทำไมต้องไปทำ ในเมื่อมันเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตน :b10:

ปัญญาคือเจตสิกเกิดเรียงลำดับตามลำดับ
ตอนฟังคนอื่นพูดตามคำสอนให้ระลึกตาม
ระลึกตามคือสติเจตสิกที่ปรุงแต่งกุศลตอน
ที่กำลังเข้าใจความจริงถูกตรงตามคำสอน
แล้วไปบังคับตัวตนด้วยการคิดเองทำไมล่ะ
ไปนั่งหลับตาทำตัวตนให้มีกิเลสละเอียดยุ่
โดยไม่พึ่งระลึกตามก็แปลว่าขาดสติตรงๆ
ทุกอย่างเกิดแล้วจิตเกิดดับตั้งมั่นทุก1ขณะ
ไม่ได้ทำเพราะเหตุปัจจัยแต่ละขณะมีแล้ว
เพราะมีกิเลสคือความไม่รู้ถึงยังเกิดอยู่งัย
จะรู้จะเข้าใจถูกตามต้องฟังคนอื่นอธิบาย
ตัวตนน่ะมีแล้วไม่ต้องไปบังคับตัวตนไปทำ
รู้จักศรัทธาความเลื่อมใสในคำสอนไหมคะ
ทุกคนที่เขาฟังคำสอนแล้วรู้สึกตัวว่ามีไม่รู้
เขาเพียรฟังและคิดไตร่ตรองตามคำสอน
แล้วตัวเองพากันไปทำหลับตาหน้ามืดอยู่
ไม่ลืมตาดูเหรอว่าจิตเห็นเกิดยังงัยตาไม่ได้บอด
แล้วที่บวชแล้วหลงตัวตนว่าถือศีลนับข้อนั้นน่ะถูกหรือ
กิเลสดับไปแล้วทุกแสนโกฏิขณะเป็นอดีตไปแล้วดับหายไปในจิตทุก1ขณะทันที
ดับสะสมเป็นกิเลสใหม่นอนรอเกิดผลในอนาคตมากกว่าเดิมอดีตเอากลับคืนมารู้อีกได้ไหมคะคิดไหมขาดการฟังอยู่ค่ะ
https://youtu.be/nHr1ORDfX1M
:b13:
:b32: :b32:


คำพูดเหล่านี้นี่ คุณโรสพูดเองนะ สภาพธัมมะเกิดดับทีละ 1 ขณะ เพียงพูดว่า ปะ คำเดียว เกิดดับแสนล้านโกฎิขณะ เกิดแล้วไม่กลับมาเกิดอีก ปัญญาก็เป็นสภาพธัมมะด้วย ดับแล้วไม่กลับมาเกิดอีก แล้วจะเอาที่ไหนมาเกิดตามลำดับอีกเล่า ดับไปแล้วมันไม่กลับมาอีก

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ย. 2019, 12:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:



ชำระความไม่รู้ได้ด้วยปัญญา
ปัญญาเกิดได้ตามลำดับ

เรียงตามลำดับไม่ข้ามสุตะ
ถ้าข้ามก็ไม่ใช่การทำปัญญาค่ะ
ปัญญาเกิดเองไม่ได้เพราะต้องพึ่งคำสอน
ส่วนกิเลสเกิดเองเพราะนอนมาในจิตไม่เข้าใจหรือคะ
ก็ปัญญาเกิดเองไม่ได้ค่ะต้องมีการฟังเพื่อสะสมปัญญา
คำสอนมีไว้เทียบเคียงความจริงที่กำลังมีตรงปัจจุบัน
ไม่รู้หรือคะว่าคำสอนเปลี่ยนกลับไปกลับมาไม่ได้
ทำบาปไปแล้วถึงจะมาแก้ไขมันเป็นไปไม่ได้
ฆ่าคนไปแล้วคนก็ตายแล้วทำเหตุที่รอผล
บวชรับเงินรอผลคือตกนรกแล้วค่ะ
ไม่ลาสิกขาก็ต้องตกนรกแน่ๆ
ทำเหตุตรงตามผลนะคะ
ลาสิกขาพ้นนรกทันที
เพราะชาวบ้าน
ไม่มีอาบัติ
ให้ปลง
555
:b12:
:b32: :b32:


ก็พูดเองว่าปัญญาเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตน ทำไมต้องไปทำ ในเมื่อมันเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตน :b10:

ปัญญาคือเจตสิกเกิดเรียงลำดับตามลำดับ
ตอนฟังคนอื่นพูดตามคำสอนให้ระลึกตาม
ระลึกตามคือสติเจตสิกที่ปรุงแต่งกุศลตอน
ที่กำลังเข้าใจความจริงถูกตรงตามคำสอน
แล้วไปบังคับตัวตนด้วยการคิดเองทำไมล่ะ
ไปนั่งหลับตาทำตัวตนให้มีกิเลสละเอียดยุ่
โดยไม่พึ่งระลึกตามก็แปลว่าขาดสติตรงๆ
ทุกอย่างเกิดแล้วจิตเกิดดับตั้งมั่นทุก1ขณะ
ไม่ได้ทำเพราะเหตุปัจจัยแต่ละขณะมีแล้ว
เพราะมีกิเลสคือความไม่รู้ถึงยังเกิดอยู่งัย
จะรู้จะเข้าใจถูกตามต้องฟังคนอื่นอธิบาย
ตัวตนน่ะมีแล้วไม่ต้องไปบังคับตัวตนไปทำ
รู้จักศรัทธาความเลื่อมใสในคำสอนไหมคะ
ทุกคนที่เขาฟังคำสอนแล้วรู้สึกตัวว่ามีไม่รู้
เขาเพียรฟังและคิดไตร่ตรองตามคำสอน
แล้วตัวเองพากันไปทำหลับตาหน้ามืดอยู่
ไม่ลืมตาดูเหรอว่าจิตเห็นเกิดยังงัยตาไม่ได้บอด
แล้วที่บวชแล้วหลงตัวตนว่าถือศีลนับข้อนั้นน่ะถูกหรือ
กิเลสดับไปแล้วทุกแสนโกฏิขณะเป็นอดีตไปแล้วดับหายไปในจิตทุก1ขณะทันที
ดับสะสมเป็นกิเลสใหม่นอนรอเกิดผลในอนาคตมากกว่าเดิมอดีตเอากลับคืนมารู้อีกได้ไหมคะคิดไหมขาดการฟังอยู่ค่ะ
https://youtu.be/nHr1ORDfX1M
:b13:
:b32: :b32:


คำพูดเหล่านี้นี่ คุณโรสพูดเองนะ สภาพธัมมะเกิดดับทีละ 1 ขณะ เพียงพูดว่า ปะ คำเดียว เกิดดับแสนล้านโกฎิขณะ เกิดแล้วไม่กลับมาเกิดอีก ปัญญาก็เป็นสภาพธัมมะด้วย ดับแล้วไม่กลับมาเกิดอีก แล้วจะเอาที่ไหนมาเกิดตามลำดับอีกเล่า ดับไปแล้วมันไม่กลับมาอีก

:b32:
คำของตถาคตต้องฟังคนอื่นอธิบายให้รู้สึกที่กายตัวเองงัยคะ
กล่าวถึงสิ่งที่ทุกคนกำลังมีเหมือนๆกันนะคะคุณคิดถูกตัวตนที่มีได้เท่านั้น
คนที่ทำฌานน่ะเวลาออกจากฌานมองดูโลกตามปกติก็มีเหมือนคนปกติคิดว่าไงคะ
ทุกคนมีตาหูจมูกลิ้นกายใจเหมือนกันรู้มั้ยคะว่าถ้าคนที่บวชถ้าเป็นอริยบุคคลเขาจะไม่ครองเงิน
เพราะเงินไม่ใช่อริยทรัพย์บรรพชาแล้วเงินคือถ่านแดงเพลิงร้อนๆลวกใจให้ไม่ละอายเป็นการเหยียบย่ำตถาคต
ก็ตรงๆนะคำสอนแทนตถาคต...ตถาคตยกพระธรรมที่ทรงแสดงขึ้นแทนตัวตนของพระองค์ค่ะ...คิดได้ไหมคะว่าทำผิดกันอยู่
:b12:
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ย. 2019, 19:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:


คำของตถาคตต้องฟังคนอื่นอธิบายให้รู้สึกที่กายตัวเองงัยคะ
กล่าวถึงสิ่งที่ทุกคนกำลังมีเหมือนๆกันนะคะคุณคิดถูกตัวตนที่มีได้เท่านั้น
คนที่ทำฌานน่ะเวลาออกจากฌานมองดูโลกตามปกติก็มีเหมือนคนปกติคิดว่าไงคะ
ทุกคนมีตาหูจมูกลิ้นกายใจเหมือนกันรู้มั้ยคะว่าถ้าคนที่บวชถ้าเป็นอริยบุคคลเขาจะไม่ครองเงิน
เพราะเงินไม่ใช่อริยทรัพย์บรรพชาแล้วเงินคือถ่านแดงเพลิงร้อนๆลวกใจให้ไม่ละอายเป็นการเหยียบย่ำตถาคต
ก็ตรงๆนะคำสอนแทนตถาคต...ตถาคตยกพระธรรมที่ทรงแสดงขึ้นแทนตัวตนของพระองค์ค่ะ...คิดได้ไหมคะว่าทำผิดกันอยู่
:b12:
:b32: :b32:


พูดมาเป็นร้อยครั้ง ไหนคุณโรสนำหลักตรงที่ว่ามาแบดูตรงนี้สิ เขาว่าไว้อย่างไร

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ย. 2019, 23:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:


คำของตถาคตต้องฟังคนอื่นอธิบายให้รู้สึกที่กายตัวเองงัยคะ
กล่าวถึงสิ่งที่ทุกคนกำลังมีเหมือนๆกันนะคะคุณคิดถูกตัวตนที่มีได้เท่านั้น
คนที่ทำฌานน่ะเวลาออกจากฌานมองดูโลกตามปกติก็มีเหมือนคนปกติคิดว่าไงคะ
ทุกคนมีตาหูจมูกลิ้นกายใจเหมือนกันรู้มั้ยคะว่าถ้าคนที่บวชถ้าเป็นอริยบุคคลเขาจะไม่ครองเงิน
เพราะเงินไม่ใช่อริยทรัพย์บรรพชาแล้วเงินคือถ่านแดงเพลิงร้อนๆลวกใจให้ไม่ละอายเป็นการเหยียบย่ำตถาคต
ก็ตรงๆนะคำสอนแทนตถาคต...ตถาคตยกพระธรรมที่ทรงแสดงขึ้นแทนตัวตนของพระองค์ค่ะ...คิดได้ไหมคะว่าทำผิดกันอยู่
:b12:
:b32: :b32:


พูดมาเป็นร้อยครั้ง ไหนคุณโรสนำหลักตรงที่ว่ามาแบดูตรงนี้สิ เขาว่าไว้อย่างไร


:b32:
วิชชา ดับ อวิชชา
เงินคือวัตถุ สัจจะมีที่กายใจตนเอง
ปัญญาแรกเกิดตอนฟังความจริง
แล้วระลึกตามถูกกายใจตามได้
จนกว่าจะเข้าถึงความจริง
ด้วยปัญญาที่เจริญขึ้น
ตามลำดับตามคำสอน
เป็นผู้คิดถูกตรงตาม
ไม่ใช่ไปนั่งเดาสภาวะ
คิดว่ารู้นั่นรู้นี่นั่นน่ะ
สัจจะต้องรู้ตาม
ตรงอายตนะ
ครบ6ทาง
ตามปกติ
ลืมตาดูโลก
มีแต่อยากได้เพิ่ม
เออก็บอกว่าฟังเพื่อเข้าใจ
เกิดปัญญารู้แล้วถึงจะละไม่รู้ได้
คำสอนเป็นไปเพื่อลดถามสิรับเงินอยากได้เพิ่มมากไหม555
อริยทรัพย์คือปัญญายิ่งฟังยิ่งเห็นกิเลสอวิชชาของนักบวชจอมปลอม
หลอกให้แต่ชาวบ้านอยากได้บุญ555สอนขาวบ้านไหมไม่ต้องถวายเงินนะมันบาป556
:b16:
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ย. 2019, 05:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:


คำของตถาคตต้องฟังคนอื่นอธิบายให้รู้สึกที่กายตัวเองงัยคะ
กล่าวถึงสิ่งที่ทุกคนกำลังมีเหมือนๆกันนะคะคุณคิดถูกตัวตนที่มีได้เท่านั้น
คนที่ทำฌานน่ะเวลาออกจากฌานมองดูโลกตามปกติก็มีเหมือนคนปกติคิดว่าไงคะ
ทุกคนมีตาหูจมูกลิ้นกายใจเหมือนกันรู้มั้ยคะว่าถ้าคนที่บวชถ้าเป็นอริยบุคคลเขาจะไม่ครองเงิน
เพราะเงินไม่ใช่อริยทรัพย์บรรพชาแล้วเงินคือถ่านแดงเพลิงร้อนๆลวกใจให้ไม่ละอายเป็นการเหยียบย่ำตถาคต
ก็ตรงๆนะคำสอนแทนตถาคต...ตถาคตยกพระธรรมที่ทรงแสดงขึ้นแทนตัวตนของพระองค์ค่ะ...คิดได้ไหมคะว่าทำผิดกันอยู่
:b12:
:b32: :b32:


พูดมาเป็นร้อยครั้ง ไหนคุณโรสนำหลักตรงที่ว่ามาแบดูตรงนี้สิ เขาว่าไว้อย่างไร


:b32:
วิชชา ดับ อวิชชา
เงินคือวัตถุ สัจจะมีที่กายใจตนเอง

ปัญญาแรกเกิดตอนฟังความจริง
แล้วระลึกตามถูกกายใจตามได้
จนกว่าจะเข้าถึงความจริง
ด้วยปัญญาที่เจริญขึ้น
ตามลำดับตามคำสอน
เป็นผู้คิดถูกตรงตาม
ไม่ใช่ไปนั่งเดาสภาวะ
คิดว่ารู้นั่นรู้นี่นั่นน่ะ
สัจจะต้องรู้ตาม
ตรงอายตนะ
ครบ6ทาง
ตามปกติ
ลืมตาดูโลก
มีแต่อยากได้เพิ่ม
เออก็บอกว่าฟังเพื่อเข้าใจ
เกิดปัญญารู้แล้วถึงจะละไม่รู้ได้
คำสอนเป็นไปเพื่อลดถามสิรับเงินอยากได้เพิ่มมากไหม555
อริยทรัพย์คือปัญญายิ่งฟังยิ่งเห็นกิเลสอวิชชาของนักบวชจอมปลอม
หลอกให้แต่ชาวบ้านอยากได้บุญ555สอนขาวบ้านไหมไม่ต้องถวายเงินนะมันบาป556
:b16:
:b32: :b32:



ปัญหาของสำนักบ้านธัมมะ กับ คุณโรส คือ เอาธรรม กับ วินัย มาพูดปนกันมั่ว หนึ่งล่ะ สอง คือ สำนักนี้ กับ คุณโรส ยกศัพท์ภาษาบาลี มาตีความเอง ซึ่งไม่ตรงกับความหมายของเขา มันจึงยุ่งมั่ว ที่เด่นชัดคือ ยกศัพท์ทางธรรม ทางวินัยมา แล้วก็มาสรุปเอาเองว่า ความจริงคำของตถาคตพันกันระหว่างธรรมกับวินัย

จริงๆไม่ใช่หลักธรรม แต่พูดโดยหยิบคำศัพท์นั่นนี่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เกิดดับนั่นๆนี่ พูดผสมใส่ความคิดของตัวเองเข้าไป คคห.นี้ชัดอีก

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ย. 2019, 12:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:


คำของตถาคตต้องฟังคนอื่นอธิบายให้รู้สึกที่กายตัวเองงัยคะ
กล่าวถึงสิ่งที่ทุกคนกำลังมีเหมือนๆกันนะคะคุณคิดถูกตัวตนที่มีได้เท่านั้น
คนที่ทำฌานน่ะเวลาออกจากฌานมองดูโลกตามปกติก็มีเหมือนคนปกติคิดว่าไงคะ
ทุกคนมีตาหูจมูกลิ้นกายใจเหมือนกันรู้มั้ยคะว่าถ้าคนที่บวชถ้าเป็นอริยบุคคลเขาจะไม่ครองเงิน
เพราะเงินไม่ใช่อริยทรัพย์บรรพชาแล้วเงินคือถ่านแดงเพลิงร้อนๆลวกใจให้ไม่ละอายเป็นการเหยียบย่ำตถาคต
ก็ตรงๆนะคำสอนแทนตถาคต...ตถาคตยกพระธรรมที่ทรงแสดงขึ้นแทนตัวตนของพระองค์ค่ะ...คิดได้ไหมคะว่าทำผิดกันอยู่
:b12:
:b32: :b32:


พูดมาเป็นร้อยครั้ง ไหนคุณโรสนำหลักตรงที่ว่ามาแบดูตรงนี้สิ เขาว่าไว้อย่างไร


:b32:
วิชชา ดับ อวิชชา
เงินคือวัตถุ สัจจะมีที่กายใจตนเอง

ปัญญาแรกเกิดตอนฟังความจริง
แล้วระลึกตามถูกกายใจตามได้
จนกว่าจะเข้าถึงความจริง
ด้วยปัญญาที่เจริญขึ้น
ตามลำดับตามคำสอน
เป็นผู้คิดถูกตรงตาม
ไม่ใช่ไปนั่งเดาสภาวะ
คิดว่ารู้นั่นรู้นี่นั่นน่ะ
สัจจะต้องรู้ตาม
ตรงอายตนะ
ครบ6ทาง
ตามปกติ
ลืมตาดูโลก
มีแต่อยากได้เพิ่ม
เออก็บอกว่าฟังเพื่อเข้าใจ
เกิดปัญญารู้แล้วถึงจะละไม่รู้ได้
คำสอนเป็นไปเพื่อลดถามสิรับเงินอยากได้เพิ่มมากไหม555
อริยทรัพย์คือปัญญายิ่งฟังยิ่งเห็นกิเลสอวิชชาของนักบวชจอมปลอม
หลอกให้แต่ชาวบ้านอยากได้บุญ555สอนขาวบ้านไหมไม่ต้องถวายเงินนะมันบาป556
:b16:
:b32: :b32:



ปัญหาของสำนักบ้านธัมมะ กับ คุณโรส คือ เอาธรรม กับ วินัย มาพูดปนกันมั่ว หนึ่งล่ะ สอง คือ สำนักนี้ กับ คุณโรส ยกศัพท์ภาษาบาลี มาตีความเอง ซึ่งไม่ตรงกับความหมายของเขา มันจึงยุ่งมั่ว ที่เด่นชัดคือ ยกศัพท์ทางธรรม ทางวินัยมา แล้วก็มาสรุปเอาเองว่า ความจริงคำของตถาคตพันกันระหว่างธรรมกับวินัย

จริงๆไม่ใช่หลักธรรม แต่พูดโดยหยิบคำศัพท์นั่นนี่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เกิดดับนั่นๆนี่ พูดผสมใส่ความคิดของตัวเองเข้าไป คคห.นี้ชัดอีก

Kiss
ประมาทอยู่และกำลังละเลยการฟังคำสอนไปทำตามที่อยากทำทำให้เกิดกิเลสเพิ่มต่อไป
บอกไม่ฟัง คิดให้ตรงสิ่งที่กำลังทำว่า ตัวเองคิดทำไปตามชอบใจไม่ฟังจริงๆไม่ได้ฟังอยู่งัยคะ
คำจริงตรงคำวาจาสัจจะต้องอาศัยฟังคนอื่นบอกตรงสัจจะให้คิดตามได้ถึงจะไม่ขาดสติคือระลึกได้งัยคะ
ตอนมีตัวตนไปนั่งหลับตาทำความรู้สึกตัวตนอยู่นั้นน่าไม่ระลึกตามคำสอนแล้วไม่เข้าใจเลยหรือคะ
ว่าต้องกำลังฟังคนอื่นบอกแล้วตัวเองก็กำลังคิดเหตุผลตามตามตามไม่ใช่ไปนั่งบรื้อคิดเองบอกว่า
ตาเนื้อคนทุกคนเวลาลืมตาตามปกติไม่รู้ตัวว่าไม่มีตัวตนบอกไม่ฟังลืมว่าต้องกำลังฟังถึงจะรู้สึกตัวตรงตามได้
อ่านไม่เข้าใจแปลว่าปัญญามีไม่พอไม่รู้จักความจริงตามปกติที่เป็นปกติที่มีแล้วเดี๋ยวนี้เลยไม่มีตัวเราเลยค่ะ
:b16:
:b29: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ย. 2019, 20:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:

ประมาทอยู่และกำลังละเลยการฟังคำสอนไปทำตามที่อยากทำทำให้เกิดกิเลสเพิ่มต่อไป
บอกไม่ฟัง คิดให้ตรงสิ่งที่กำลังทำว่า ตัวเองคิดทำไปตามชอบใจไม่ฟังจริงๆไม่ได้ฟังอยู่งัยคะ
คำจริงตรงคำวาจาสัจจะต้องอาศัยฟังคนอื่นบอกตรงสัจจะให้คิดตามได้ถึงจะไม่ขาดสติคือระลึกได้งัยคะ
ตอนมีตัวตนไปนั่งหลับตาทำความรู้สึกตัวตนอยู่นั้นน่าไม่ระลึกตามคำสอนแล้วไม่เข้าใจเลยหรือคะ
ว่าต้องกำลังฟังคนอื่นบอกแล้วตัวเองก็กำลังคิดเหตุผลตามตามตามไม่ใช่ไปนั่งบรื้อคิดเองบอกว่า
ตาเนื้อคนทุกคนเวลาลืมตาตามปกติไม่รู้ตัวว่าไม่มีตัวตนบอกไม่ฟังลืมว่าต้องกำลังฟังถึงจะรู้สึกตัวตรงตามได้
อ่านไม่เข้าใจแปลว่าปัญญามีไม่พอไม่รู้จักความจริงตามปกติที่เป็นปกติที่มีแล้วเดี๋ยวนี้เลยไม่มีตัวเราเลยค่ะ



คุณโรส เขาเป็นอะไร :b13:

ลมหายใจหาย เหมือนไม่หายใจ

ผมฝึกนั่งสมาธิมาได้เกือบ 2 เดือนแล้วครับ แรกๆก็จับลมหายใจ คู่ กับ พุทโธ แต่ตอนนี้จับลมหายใจอย่างเดียวแล้ว พอถึงจุดหนึ่ง ลมหายใจค่อยๆหายจนเหมือนไม่หายใจ ความรู้สึกอึดอัดมาก เหมือนขาดอากาศหายใจ ผมก็ต้องพยายามหายใจตลอดเลยครับ เป็นแบบนี้ตลอด ไปต่อไม่ได้ ควรทำไงครับ หรือผมคิดไปเอง ขอความรู้หน่อยครับจะเอาไปปรับแก้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ย. 2019, 09:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หายหมด :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ย. 2019, 09:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เข้าใจความหมายของคำว่า “ภาวนา” ให้ถูกตรง


ภาวนา” นั้นจะต้องแยกจาก ภาวนาในภาษาไทยก่อน

คือไม่ใช่เป็นเพียงว่า มามุบมิบๆแต่ปาก แล้วบอกว่าเป็นภาวนา หรือ เอาถ้อยคำในภาษาพระ เอามนต์ เอาคาถามาท่องมาบ่น แล้วว่าเป็นภาวนา ไม่ใช่อย่างนั้น

“ภาวนา” แปลว่า ทำให้เกิดให้มีขึ้น, ทำให้เป็นขึ้น, สิ่งที่ยังไม่เป็นก็ทำให้มันเป็น สิ่งที่ยังไม่มีก็ทำให้มีขึ้น เรียกว่า ภาวนา

เพราะฉะนั้น จึงเป็นการปฏิบัติ ฝึกหัด หรือลงมือทำ
ภาวนา จึงแปลอีกความหมายหนึ่งว่า การฝึกอบรม
ฝึกนั้น เมื่อยังไม่เป็น ก็ทำให้มันเป็น
อบรมนั้น เมื่อยังไม่มี ก็ทำให้มีขึ้น
ยิ่งกว่านั้น เมื่อทำให้เกิด ให้มี ให้เป็นขึ้นมาแล้ว ก็ต้องทำให้เจริญงอกงาม เพิ่มพูน พรั่งพร้อมขึ้นไปด้วยจนเต็มที่

“ภาวนา” จึงมีความหมายตรงกับคำว่า พัฒนา ด้วย และจึงแปลง่ายๆว่า เจริญ

ในภาษาไทยแต่โบราณมาก็นิยมแปล ภาวนา ว่า "เจริญ" เช่น เจริญสมาธิ เรียกว่าสมาธิภาวนา, เจริญเมตตา เรียกว่า เมตตาภาวนา, เจริญวิปัสสนา เรียกว่า วิปัสสนาภาวนา
ตกลงว่า “ภาวนา” แปลว่า การฝึกอบรม หรือ การเจริญ การทำให้เป็น ให้มีขึ้นมา และพัฒนาให้งอกงามบริบูรณ์

การภาวนาในระดับที่เราต้องการในที่นี้ แยกเป็น ๒ อย่าง คือ จิตตภาวนา การฝึกอบรมจิตใจ อย่างหนึ่ง และ ปัญญาภาวนา การฝึกอบรมปัญญา อีกอย่างหนึ่ง

ถ้าใช้ตามนิยมของภาษาสมัยใหม่ เจริญ แปลว่า พัฒนา เพราะฉะนั้น จิตตภาวนา ก็แปลว่า การพัฒนาจิต หรือ พัฒนาจิตใจ ส่วนปัญญาภาวนา ก็แปลว่า การพัฒนาปัญญา

จิตตภาวนา นั้นเรียกง่ายๆว่า “สมถะ” บางทีก็เรียกว่า สมถภาวนา สมถะนี้ตัวแก่นของมันแท้ๆคือ สมาธิ เพราะสมถะนั้นแปลว่า ความสงบ ตัวแก่นของความสงบก็คือสมาธิ ความมีใจแน่วแน่ สมถะนั้นมุ่งที่ตัวสมาธิ จะว่าสมาธิเป็นสาระของสมถะก็ได้ ฉะนั้น ก็เลยเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สมาธิภาวนา
คำว่า จิตตภาวนาก็ดี, สมถภาวนาก็ดี, สมาธิภาวนาก็ดี จึงใช้แทนกันได้หมด

ต่อไปอย่างที่สอง

ปัญญาภาวนา นั้น เรียกชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า วิปัสสนาภาวนา การเจริญวิปัสสนา มุ่งให้เกิดปัญญา คือปัญญาที่เข้าใจความจริงของสิ่งทั้งหลาย ปัญญาในขั้นที่รู้จักโลกและชีวิตตามความเป็นจริง เรียกว่า “วิปัสสนา” แปลว่า รู้แจ้ง ไม่ใช่รู้แค่ทำมาหาเลี้ยงชีพได้เท่านั้น แต่รู้สภาวะ รู้สภาพความเป็นจริงของสิ่งทั้งหลาย จึงเรียกว่า วิปัสสนา ซึ่งก็เป็นปัญญาระดับหนึ่งนั่นแหละ เพราะฉะนั้น วิปัสสนาภาวนา ถ้าจะเรียกให้กว้าง เป็น ปัญญาภาวนา

ตกลง ก็แยกภาวนาเป็น ๒ อย่าง
อย่างที่หนึ่ง เรียกว่า จิตตภาวนาบ้าง, สมถภาวนาบ้าง, สมาธิภาวนาบ้าง
อย่างที่สอง เรียกว่า ปัญญาภาวนา หรือเรียกให้แคบจำกัดลงไปว่า วิปัสสนาภาวนา

https://www.facebook.com/photo.php?fbid ... =3&theater

ที่ท่านว่ามานี่ ขัดกับคุณโรสหมดเลย คุณโรสว่า สภาพธัมมะมีอยู่แล้วจะทำไปทำไม พูด ปะ คำเดียวจิตเกิดดับแสนล้านโกฎิขณะเป็นคำจริงของตถาคต ตา หู คอ จมูก ก็มีอยู่แล้วจะไปทำมันทำไม

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ย. 2019, 10:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
กรัชกาย เขียน:
หายหมด :b32:

:b12:
ความจริงที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงมีเดี๋ยวนี้
และไม่มีตัวตนใครทั้งนั้นมีแต่ทุกขอริยสัจจะธัมมะ
คือเดี๋ยวนี้เองที่ไม่รู้ว่าไม่มีตัวตนมีแต่ธัมมะที่กำลังปรากฏว่ามีชั่วคราว
ตรง1สัจจะหลากหลายตามเหตุปัจจัยตามการสะสมของจิตเป็นตัวจริงธัมมะตรงกับทุกคำในพระไตรปิฎก
ก็มันมีแล้วไม่ได้ทำตัวจริงธัมมะที่เป็นทุกขอริยสัจจะธัมมะมีแต่คิดเห็นผิดด้วยความมีตัวตนไปทำลืมฟังงัยคะ
ตัวจริงธัมมะที่เป็นทุกขะลักษณะกำลังเกิดดับตามปกติเป็นปกติและไม่อยู่นอกกายทุกคนทุกตนทุกสัตว์ค่ะ
สถานที่ไม่รู้อะไรเลยแต่ความไม่รู้มีที่จิตทุกดวงที่ไม่ได้กำลังระลึกถึงความจริงตรงตามคำสอนตรงกับปัจจุบัน
ผิดปกติแล้วที่ยังคิดว่าต้องเอาตัวตนไปทำด้วยความอยากรู้งัยคะลืมว่าปัญญาเริ่มเกิดเมื่อเริ่มฟังคำสอนนะคะ
https://youtu.be/9qsbfIX0sUM
:b32: :b32: :b32:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 32 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 40 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร