วันเวลาปัจจุบัน 19 มี.ค. 2024, 15:20  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 100 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ต.ค. 2019, 15:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ความเงียบสงบ ทำให้ฉันทำสมาธิได้สำเร็จ ซึ่งเมื่ออยู่เมืองไทย พยายามทำแล้วไม่สำเร็จ
เมื่อตอนเป็นวัยรุ่น ผู้ใหญ่ให้เราไปเรียนวิปัสสนา โดยมีแม่ชีมาสอน นั่งเรียงแถวจ้องเทียน ยุบหนอพองหนอ กำหนดลมหายใจ พอตกกลางคืน ฉันร้องกรี๊ดเอะอะโวยวายขึ้นมาขณะนอนหลับ
ฉันรู้สึก เหมือนมีเสียงฟ้าผ่าลงบนหัว เสียงเหมือนระเบิดดังเปรี๊ยะ พร้อมกับเหมือนมีแสงสว่างแวบเข้ามาอย่างน่ากลัว ฉันผวาลุกขึ้น ตัวสั่นเหงื่อแตกด้วยความกลัว


ตั้งแต่นั้นมา ฉันไม่ยอมไปนั่งวิปัสสนาอีกเลย คงเป็นเพราะฉันยังเป็นคนมีบาป ไม่มีบารมีพอที่จะรับบุญนี้ จึงบันดาลให้เกิดอาการประหลาดนี้ขึ้น


พยาบาลน้อยใจแฟนโดดคลองแสนแสบเสียชีวิต

อ้างคำพูด:
ด้านนาย...อายุ 31 ปี ซึ่งเป็นแฟนผู้ตายกล่าวว่า ตนคบกันมา 2-3 ปี ก่อนจะเลิกกันไป และกลับมาคบกันอีกรอบได้ 2-3 เดือน แต่มีปากเสียงกันตลอด
ปกติผู้ตายจะพักที่ซอยรามคำแหง 50 แต่เมื่อวานนี้ออกจากที่ห้องตอน 20.00 น. โดยมีการคุยโทรศัพท์กับตน และมีปากเสียงทะเลาะกัน โดยมีการส่งข้อความมาตอน 23.00 น. บอกว่า จะรอคนรักที่สะพานข้ามคลองแสนแสบ ซึ่งอยู้ใกล้จุดเกิดเหตุที่พบศพ โดยข้อความเน้นว่า ถ้าไม่มาที่สะพานก็ไม่ต้องพบกันอีกเลย ให้เวลาแค่ 30 นาทีเท่านั้น จากนั้นตนก็ติดต่อไปไม่ได้อีกเลย


ตัวอย่างการปฏิบัติข้างบนนั้น ไม่ใช่สิ่งใดๆบันดาลให้เป็นนั่นเป็นนี่ดอก มันเกิดจากสภาพจิตใจตนเอง นี่พูดโดยภาษาสมมติ แต่เมื่อพูดโดยภาษาธรรมะแล้วมันเป็นสภาวธรรมเป็นธรรมชาติของมันเอง

เพราะฉะนั้น พุทธศาสนิกชนที่เกิดมาชาติหนึ่งนี้แล้วได้พบกับพระพุทธศาสนานับว่าเป็นบุญนักหนาแล้ว เมื่อจะรบกับผู้อื่นก็จงรบกับจิตใจตนเองให้ชนะก่อน ใช้เวลาปีสองปีเพื่อรบกับตนเอง เมื่อชนะตนเองแล้ว จะโดดน้ำตาย จะรมควันตาย จะแขวนคอตาย ก็ยังไม่สาย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ต.ค. 2019, 16:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผู้ปฏิบัติธรรมบ้านเราส่วนมาก พอคิดกันว่าปฏิบัติธรรม ทำแล้วต้องราบรื่นเรียบร้อย ไร้อุปสรรคขัดขวาง จึงจะเรียกว่า การปฏิบัติธรรม ร้อยทั้งร้อยเข้าใจกันอย่างนี้ แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ การทำงานอะไรมักมีอุปสรรคนั่นนี่ขัด เมื่อตนเองประสบแล้วต้องรู้ทันและไม่ย่อท้อ
การปฏิบัติทางจิตที่เรียกอย่างรู้กันทั่วๆไปว่า การปฏิบัติธรรม เมื่อถึงระดับหนึ่งแล้วอุปสรรคนานาประการซึ่งเกิดตามธรรมดาธรรมชาติของมัน พออุปสรรคเกิดทางกายก็ดี ทางความรู้สึกนึกคิดก็ดี ก็โทษนั่นโทษนี่ :b32: ใจถอดใจถอยไม่เอาแล้ว :b1: อุปสรรคนั่นแหละคือการรบกับใจตัวเอง :b1: ถ้าถอดถ้าถอยแล้วแปลว่าแพ้ใจตัวเองแล้ว

การปฏิบัติตามแนวสติปัฏฐาน เมื่อปฏิบัติถูกในเบื้องต้นแล้วอุปสรรคจะเกิด แต่เมื่อกำหนดเท่าทันจนผ่านไปได้แล้ว สรรพคุณมีมาก ตัวอย่างสั้นๆ

อ้างคำพูด:
การเจริญสติปัฏฐาน คือ การเป็นอยู่ด้วยสติสัมปชัญญะ ซึ่งทำให้ภาพตัวตนที่จิตอวิชชาปั้นแต่ง ไม่มีช่องที่จะแทรกตัวเข้ามาในความคิดแล้วก่อปัญหาขึ้นได้

การปฏิบัติตามแนวสติปัฏฐานนี้ นักศึกษาฝ่ายตะวันตกบางท่าน นำไปเปรียบเทียบกับวิธีการแบบจิต วิเคราะห์ ของจิตแพทย์ (Psychiatrist) สมัยปัจจุบัน และประเมินคุณค่าว่า สติ ปัฏฐานได้ผลดีกว่า และใช้ประโยชน์ได้กว้างขวางกว่า เพราะทุกคนสามารถปฏิบัติได้เอง และ ใช้ในยามปรกติเพื่อความมีสุขภาพจิตที่ดีได้ด้วย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ต.ค. 2019, 18:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เอาอีกสักตอนหนึ่ง ตอนนี้จะเห็นว่า ความทุกข์ทางจิตใจนั้น ส่งผลกระทบถึงกายด้วย (ตัดเอาจากตรงนี้) ดู



เมื่อฉันท้องลูกคนแรก แม่ฉันได้ยกที่ดินเล็กๆให้ ที่เป็นซอยแยกจากกล้วยน้ำไท ถนนยังเป็นขี้โคลน แม่ของสามีได้ให้เงินมาสร้างบ้าน ซึ่งมีแค่ห้องนอนเดียว รอบบ้านเป็นทุ่งนาโล่ง ไม่มีต้นไม้ใหญ่แม้แต่ต้นเดียว ห่างผู้คนมาก ถ้าเกิดอะไรขึ้น ตะโกนให้คนช่วย จะไม่มีใครได้ยิน เพราะมีบ้านเราอยู่หลังเดียวเท่านั้น ฉันอยู่ ๒ คนกับป้าสูงอายุ ฉันจ้างมาเพื่อให้เลี้ยงลูกตอนคลอด


ฉันเต็มไปด้วยหวาดหวั่นวิตก เพราะถ้าจะคลอดจะทำยังไง สามีก็ไม่ค่อยอยู่บ้าน แต่โชคดีที่วันที่เจ็บท้องเค้ากลับมาพอดี จึงพาไปโรงพยาบาลหญิง แล้วเขาก็หายไปเลย ฉันเจ็บท้องอยู่ ๑ วัน ๑ คืน ถูกทิ้งให้นอนครวญครางอยู่คนเดียว จนถึงเวลาคลอดก็ไม่มีใครอยู่ หลังจากคลอดแล้ว วันถัดมาเค้าก็กลับมาพร้อมกับนักข่าวสร้างภาพเอิกเกริก


ลูกฉันน่ารักมาก เป็นของขวัญที่มีค่าที่สุดในชีวิต ต่อไปนี้...ฉันจะต้องสู้เพื่อลูก น้ำตาแห่งความปีติไหลไม่หยุด ต่อไปนี้ฉันจะไม่ว้าเหว่อีกแล้ว ใครจะอยู่ใครจะไปฉันไม่สนใจ

เมื่อกลับบ้าน ฉันกางมุ้งให้ลูกนอนกับพี่เลี้ยงตรงข้างกระได ซึ่งเป็นที่แคบๆ ห้องน้ำอยู่ข้างล่างห้องเดียว ฉันต้องย่องลงกระไดไม่ให้ลูกตื่น ตอนที่ทารุณที่สุด คือ ตอนฝนตก บ้านที่อยู่กลางท้องนา โดนแดดแรงไม้กระดานที่ฝาที่เป็นรูปยาวๆก็โก่ง พายุฝนมาก็ซัดน้ำเข้ามาตามร่อง น้ำท่วมห้อง ต้องอุ้มลูกทั้งคืนไม่ได้หลับนอน
เวลาฟ้าผ่าน่ากลัวมาก ครั้งหนึ่ง ฉันนึกว่าตาย เพราะฉันเห็นสายฟ้าวิ่งเข้ามาทางหน้าต่าง พร้อมเสียงดังจนแก้วหูสะเทือน ฉันอุ้มลูกตัวแข็งทื่อ ช็อคไปสักพักนึก ว่าโดนฟ้าผ่าตายไปแล้ว

เมื่อเวลาวิกฤตผ่านพ้นไป ฉันอยากจะนึกว่าลูกคนนี้ เกิดมาเหมือนเทพธิดาน้อยที่ฟ้าส่งมาช่วยแม่ ฉันไปปรึกษาพระ ตั้งชื่อเขาว่า ปัญญ์ชลี แปลว่า ผู้รุ่งเรืองด้วยปัญญา ตั้งแต่เกิดมาจนป่านนี้ เขายังไม่เคยทำให้แม่ผิดหวังเลย ฉันต้องทำงานหนักมาก เพื่อลูกจะต้องมีทุกอย่างเหมือนคนอื่น

๒ ปีให้หลัง ก็บังเอิญมีท้องอีกคน ขณะที่ตั้งครรภ์ อารมณ์ฉันแปรปรวนมาก เพราะกลัวไม่มีเงินเลี้ยงลูก ตอนนั้น ฉันพยายามหาเวลาทำบุญ เข้าวัดเพื่อให้จิตสงบบ้าง ลูกคนนี้เกิดมาจึงอารมณ์ร้อน แต่ใจบุญมาก เบี้ยเลี้ยงไปโรงเรียน เขาเอาไปซื้ออาหารให้สุนัขหมด ฉันต้องทนกับอารมณ์ของเขา แต่ก็ทำใจได้ เพราะถึงยังไงเขาก็เป็นเด็กซื่อ และจิตใจดี


เขาดื้อมาก แต่ฉันไม่เคยตีเขา วิธีทำโทษ คือ ไปจับหมา หรือแมวมาขู่ว่า ถ้าไม่ทำจะตีหมาแมว เขาร้องไห้ลั่นยอมทำทุกอย่าง "แม่อย่าตีมันนะ" เมื่อเขาทำผิดอะไรฉันไม่ดุ แต่ฉันจะให้ลูกสาวคนโตไปหลอกเขาว่า แม่ร้องไห้เสียใจอยู่ในห้อง เค้าจะวิ่งมากอดแม่แล้วร้องไห้ "ลูกขอโทษแม่อย่าร้องไห้ ลูกจะไม่ทำอีกแล้ว" ฉันก็ขำนอนคว่ำหน้าหัวเราะ เขาก็นึกว่าฉันสะอื้น เขายิ่งเสียใจใหญ่ นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่ปราบเด็กคนนี้ ทำให้เขาสงสาร เพราะส่วนลึกในจิตใจ เขาเป็นคนดีมีเมตตากรุณา โชคดีของฉันที่ทั้งสองคนเป็นคนที่เรียนหนังสือดี ฉันต้องทำงานหนัก ไม่มีเวลาไปจี้ไปสอน

ครั้งหนึ่ง ลูกคนเล็ก ถามว่า

" แม่จ๋า...ทำไมพี่น้องญาติเราเค้าได้ไปเที่ยวเมืองนอกกันเรื่อย ทำไมลูกไม่ได้ไป "
ฉันก็ตอบว่า " แม่ให้สัญญา ลูกของแม่จะต้องได้ไปรอบโลก ลูกของแม่จะต้องได้ไปเรียนเมืองนอก "

ฉันจึงต้องทำงานหนักและไม่เคยใช้เงินเลย



สปัน เธียรประสิทธิ์ ตอนที่ ๙

หลังจากให้กำเนิดลูกคนที่สองได้ ๑ ปี คงเป็นเพราะปัญหารุมเร้ากดดัน จนฉันเกิดมีอาการทางประสาทอย่างแรง เริ่มจากปวดหัวอย่างรุนแรง จนทนไม่ได้ ถ้ามีปืนอยู่ใกล้ตัว ฉันคงยิงตัวตายไปแล้ว มันทรมานมาก หมอให้ยามากิน จำไม่ได้ว่าเป็นอยู่นานเท่าไหร่ เพราะหลังจากอาการปวดหัวทุเลา ก็เกิดอาการแปลกๆขึ้น คือ กล้ามเนื้อที่ลิ้นถึงลำคอเกิดอาการเกร็ง พูดไม่ได้ จะเป็นผลจากการกินยา หรือเป็นเพราะระบบประสาทก็ไม่แน่ใจ ฉันพูดไม่ได้ พยายามจะเค้นคำพูดออกมาแต่ละคำไม่ได้เลย ยิ่งพยายามก็ยิ่งเหนื่อย
ฉันตกใจมาก นึกว่าจะเป็นใบ้ไปตลอดชีวิต เป็นอยู่เกือบหนึ่งเดือน เวลาจะสั่งอะไรก็ต้องเขียนลงกระดาษ จนวันหนึ่งหลังจากอาบน้ำ นั่งหวีผมอยู่ ฉันรู้สึกสบายอารมณ์ขึ้น นั่งเพลินๆ คนใช้เข้ามาถามว่า

" เย็นนี้คุณจะทานอะไรคะ "

ฉันหันไปตอบโดยไม่รู้ตัวว่า

" อะไรก็ได้ "

คนใช้ดีใจร้องลั่น

" โอ้ คุณพูดได้แล้ว "

เสียงตะโกนทำให้ฉันตกใจ พอจะพูดต่ออึกอักพูดไม่ได้อีกต่อไป

เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ก็จำไม่ได้อีก ในที่สุด ฉันก็ค่อยๆพูดได้ โดยรู้สึกว่ากล้ามเนื้อส่วนนั้นได้ผ่อนคลายหายไปเป็นปลิดทิ้ง แต่โรคปวดหัวแบบทรมานก็กลับมาเป็นอีกครั้ง

แต่โรคลิ้นแข็งพูดไม่ได้ก็ได้เกิดขึ้นอีก ในวันที่ฉันตกใจมาก เมื่อลูกสาวคนโตเป็นสาวอายุ ๑๘ ปี มีหนุ่มเป็นนายทหารอายุราว ๓๐ ปี จบจากฝรั่งเศสมาสู่ขอ ลูกสาวฉัน ก็ชอบเพราะเขาหล่อมาก เป็นลูกคุณหญิงและคุณพ่อเคยเป็นทูตไทยประจำที่อเมริกา มีทั้งยศศักดิ์ สกุล พ่อฉันดีใจมาก ก็เลยนัดผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายมาทำพิธีสู่ขอ กำหนดวันหมั้นให้เป็นเรื่องเป็นราว ปรากฏว่า วันนั้นลูกสาวฉันหายตัวไป รอกันนานมาก จนทุกคนเลิ่กลั่กเพราะไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น ในที่สุดพิธีก็ต้องหยุด ฉันตกใจทำอะไรไม่ถูก เหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้ทางเจ้าบ่าวและเถ้าแก่เสียหน้ามาก ฉันพยายามจะกล่าวขอโทษเขา ปรากฏว่าไม่มีเสียงออกมาจากปาก พยายามเท่าไหร่ เสียงก็ไม่ออก รู้สึกว่าลิ้นแข็ง เกร็ง ขยับไม่ได้เลย ตั้งแต่อาการพูดไม่ได้เป็นครั้งที่สอง ฉันจึงระวังไม่ให้เกิดความเครียด พยายามไม่รับรู้ หรือรับปัญหาอะไรให้มาก ทำไมหนอ.....ชีวิตฉันถึงต้องพบกับการป่วยทางประสาทมากมาย อาจเป็นเพราะฉันนั้นพบวิกฤตในชีวิตมากเกินไป จนแทบจะรับไม่ไหว

พระยาศรีวิศาลวาจา องคมนตรีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้น เอ็นดูฉันเหมือนลูกหลาน ท่านทำให้ฉันได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ

ในช่วงที่ฉันตกอยู่ในสภาพที่ผู้คนดูถูก การได้เข้าเฝ้าฯ ทั้ง ๒ พระองค์นั้น เสมือนเป็นน้ำทิพย์หยดจากสวรรค์ ทำให้ฉันมีกำลังที่จะต่อสู้ชีวิตต่อไป ฉันได้เข้าเฝ้าฯ ถวายตัว คือ มีพานถวายเป็นพิธี นำมาซึ่งความปลาบปลื้มจวบจนทุกวันนี้ โดยเฉพาะ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระองค์ท่านทรงตรัสกับฉันอย่างเป็นกันเอง ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ใครก็ตามที่ได้ใกล้ชิดพระองค์จะไม่หลงรัก ฉันยังจำคำที่พระองค์ท่านตรัสกับฉันได้ขึ้นใจ

"ผมที่เกล้าไว้ ยาวแต่ไหนก็อย่าตัดนะ ทูลกระหม่อมโปรดให้ผู้หญิงไทยไว้ผมยาว อย่าเปลี่ยนทรงผมนะ เกล้าผมตั้งทำให้หน้าเด่นและสวยมาก"

ฉันรู้สึกเหมือนตัวจะลอยจากพื้น

หลังจากนั้น ฉันก็มีโอกาสเข้าเฝ้าฯ รับเสด็จอีกครั้งที่งานสันนิบาต สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเสด็จพระราชดำเนินผ่านแถวที่ฉันยืนอยู่ พระองค์ทรงหยุดและทักฉันว่า

"สปัน ทำไมผอมลงมาก อย่าทำงานหนักนัก เดี๋ยวไม่สวยนะ"

พระองค์ท่าน.....พระองค์ท่านยังทรงจำฉันได้ ฉันรู้สึกเทิดทูนและประทับใจในความเอื้ออาทรของพระองค์เหลือเกิน

เมื่อลูกคนเล็กได้สองขวบ ก็แยกทางกับพ่อเขา ฉันจะไม่เล่าว่าเกิดอะไรขึ้น ฉันไม่อยากโทษใคร ไม่โทษแม้แต่ฟ้า...ซึ่งทำให้ชีวิตนั้นแหลกสลาย ฉันโทษตัวเองที่ตัดสินใจผิด

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ต.ค. 2019, 09:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อจับหลักปฏิบัติและประสบการณ๋์จากบุคคลดังว่าได้แล้ว ต่อไปดูหลักในคัมภีร์เทียบ

ตัดๆเอาที่เข้ากับเรื่องมา



โดยสรุป พอจะประมวลประโยชน์ของสมาธิได้ ดังนี้

ค. ประโยชน์ด้านสุขภาพจิต และการพัฒนาบุคลิกภาพ

ตัวอย่างในข้อนี้ ทำให้เป็นผู้มีจิตใจ และมีบุคลิกลักษณะ ที่เข้มแข็ง หนักแน่น มั่นคง สงบ เยือกเย็น สุภาพ นิ่มนวล สดชื่น ผ่องใส กระฉับกระเฉง กระปรี้กระเปร่า เบิกบาน งามสง่า มีเมตตากรุณา มองดูรู้จักตนเอง และผู้อื่นตามความเป็นจริง

(คนมีนิวรณ์ มีลักษณะตรงข้าม เช่น อ่อนไหว ติดใจหลงใหลง่าย หรือหยาบ กระด้าง ฉุนเฉียว เกรี้ยวกราด หงุดหงิด วู่วาม จุ้นจ้าน สอดแส่ ลุกลี้ลุกลน หรือหงอยเหงา เศร้าซึม หรือขี้หวาด ขี้ระแวง ลังเล)

สมาธิเตรียมจิตให้อยู่ในภาพพร้อม และง่ายแก่การปลูกฝังคุณธรรมต่างๆ และเสริมสร้างนิสัยที่ดี รู้จักทำใจให้สงบ และสะกดยั้งผ่อนเบาความทุกข์ที่เกิดขึ้นในใจได้ เรียกอย่างสมัยใหม่ว่า มีความมั่นคงทางอารมณ์และมีภูมิคุ้มกันโรคทางจิต

ประโยชน์ข้อนี้จะเพิ่มพูนยิ่งขึ้น ในเมื่อใช้จิตที่มีสมาธินั้น เป็นฐานปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐาน คือดำเนินชีวิตอย่างมีสติ ตามดูรู้ทันพฤติกรรมทางกายวาจา ความรู้สึกนึกคิด และภาวะจิตของตนที่เป็นไปต่างๆ มองอย่างเอามาเป็นความรู้สำหรับใช้ประโยชน์อย่าง เดียว ไม่ยอมเปิดช่องให้ประสบการณ์และความเป็นไปเหล่านั้น ก่อพิษเป็นอันตราย แก่ชีวิตจิตใจของตนได้เลย ประโยชน์ข้อนี้ ย่อมเป็นไปในชีวิตประจำวัน

ง. ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน เช่น

๑) ใช้ช่วยทำให้จิตใจผ่อนคลาย หายเครียด เกิดความสงบ หายกระวนกระวาย ยั้งหยุดจากความกลัดกลุ้มวิตกกังวล เป็นเครื่องพักผ่อนกาย ให้ใจสบาย และมีความสุข เช่น บางท่านทำอานาปานสติ ในเวลาที่จำเป็นต้องรอคอย และไม่มีอะไรที่จะทำ เหมือนดังเวลานั่งติดในรถประจำทาง หรือปฏิบัติสลับแทรกในเวลาทำงานใช้สมองหนัก เป็นต้น

ประโยชน์ข้อนี้ อย่างสมบูรณ์แบบ ได้แก่ ฌานสมาบัติ ที่พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ทั้งหลาย ใช้เป็นที่พักผ่อนกายใจ เป็นอยู่อย่างสุขสบายในโอกาสว่างจากการบำเพ็ญกิจ ซึ่งมีคำเรียกเฉพาะว่า เพื่อเป็นทิฏฐธรรมสุขวิหาร

๒) เป็นเครื่องเสริมประสิทธิภาพในการทำงาน การเล่าเรียน และการทำกิจทุกอย่าง เพราะจิตที่เป็นสมาธิ แน่วแน่อยู่กับสิ่งที่กำลังกระทำ ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่วอกแวก ไม่เลื่อนลอยเสีย ย่อมช่วยให้เรียน ให้คิด ให้ทำงานได้ผลดี การงานก็เป็นไปโดยรอบคอบ ไม่ผิดพลาด และป้องกันอุบัติเหตุได้ดี เพราะเมื่อมีสมาธิ ก็ย่อมมีสติกำกับอยู่ด้วย ดังที่ท่านเรียกว่า จิตเป็นกัมมนียะ หรือกรรมนีย์ แปลว่า ควรแก่งาน หรือเหมาะแก่การใช้งาน ยิ่งได้ประโยชน์ในข้อ ๑) มาช่วยเสริม ก็ยิ่งได้ผลดีมากยิ่งขึ้นไปอีก

๓) ช่วยเสริมสุขภาพกาย และใช้แก้ไขโรคได้ ร่างกาย กับ จิตใจอาศัยกัน และมีอิทธิพลต่อกัน ปุถุชนทั่วไป เมื่อกายไม่สบาย จิตใจก็พลอยอ่อนแอเศร้าหมอง ขุ่นมัว
ครั้นจิตใจ ไม่มีกำลังใจ ก็ยิ่งซ้ำให้โรคทางกายนั้นทรุดหนักลงไปอีก แม้ในเวลาที่ร่างกายเป็นปกติ พอประสบเรื่องราวให้เศร้าเสียใจรุนแรง ก็ล้มป่วย เจ็บไข้ไปได้

ส่วนผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็งสมบูรณ์ (โดยเฉพาะท่านที่มีจิตหลุดพ้นเป็นอิสระแล้ว) เมื่อเจ็บป่วยกาย ก็ไม่สบายอยู่แค่กายเท่านั้น จิตใจไม่พลอยป่วยไปด้วย ยิ่งกว่านั้น กลับใช้ใจที่สบาย มีกำลังจิตเข้มแข็งนั้น หันกลับมาส่งอิทธิพลบรรเทา หรือผ่อนเบาโรคทางกายได้อีกด้วย อาจทำให้โรคหายง่ายและไวขึ้น หรือแม้ใช้กำลังสมาธิระงับทุกขเวทนาทางกายไว้ก็ได้* (ที.ม.10/93/117 ฯลฯ)

ในด้านดี ผู้มีจิตใจผ่องใสเบิกบาน ย่อมช่วยให้กายเอิบอิ่ม ผิวพรรณผ่องใส สุขภาพกายดีเป็นภูมิต้านทานโรคไปในตัว ความสัมพันธ์นี้ มีผลต่ออัตราส่วนของความต้องการ และการเผาผลาญใช้พลังงานของร่างกายด้วย เช่น จิตใจที่สบายผ่องใสสดชื่นเบิกบานนั้น ต้องการอาหารน้อยลง ในการที่จะทำให้ร่างกายสมบูรณ์ผ่องใส เช่น คนธรรมดามีเรื่องดีใจ ปลาบปลื้มอิ่มใจ ไม่หิวข้าว หรือพระที่บรรลุธรรมแล้ว มีปีติเป็นภักษา ฉันอาหารวันละมื้อเดียว แต่ผิวพรรณผ่องใส เพราะไม่หวนละห้อยความหลัง ไม่เพ้อหวังอนาคต

ไม่เฉพาะจิตใจดี ช่วยเสริมให้สุขภาพกายดีเท่านั้น โรคกายหลายอย่าง เป็นเรื่องของกายจิตสัมพันธ์ เกิดจากความแปรปรวนทางจิตใจ เช่น ความมักโกรธบ้าง ความกลุ้มกังวลบ้าง ทำให้เกิดโรคปวดศีรษะบางอย่าง หรือโรคแผลในกระเพาะอาหารอาจเกิดได้ เป็นต้น เมื่อทำจิตใจให้ดีด้วยวิธีอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ช่วยแก้ไขโรคเหล่านั้นได้

ประโยชน์ข้อนี้จบสมบูรณ์ ต่อเมื่อมีปัญญาที่รู้เท่าทันสภาวธรรมประกอบอยู่ด้วย*

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ต.ค. 2019, 09:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ที่อ้างอิง * คคห.บน

@ สภาพกายจิตสัมพันธ์นี้ อาจแบ่งได้เป็น ๓ ระดับ ตามขั้นของพัฒนาการทางจิต

ขั้นต่ำสุด ทุกข์กาย ซ้ำทุกข์ใจ คือ ผลต่อกาย กระทบจิตด้วย พอไม่สบายกาย ใจพลอยไม่สบายด้วย ซ้ำเติมตัวเองให้หนักขึ้น

ขั้นกลาง ทุกข์กาย อยู่แค่กาย คือ จำกัดขอบเขตของผลกระทบได้ ความทุกข์ความไม่สบายมีอยู่แค่ไหน ก็รับรู้ตามที่เป็นแค่นั้น วางใจได้ ไม่ให้ทุกข์ทับถมลุกลาม

ขั้นสูง ใจสบาย ช่วยกายคลายทุกข์ คือ เมื่อร่างกายทุกข์ ไม่สบาย นอกจากไม่เก็บไปก่อทุกข์แก่ใจแล้ว ยังสามารถใช้สมรรถภาพที่เข้มแข็ง และคุณภาพที่ดีงามของจิต ส่งผลตีกลับมาช่วยกายได้อีกด้วย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ย. 2019, 09:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ขรก.พศ.บรรจุใหม่เข้ารับการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน


รูปภาพ

http://thebuddh.com/?p=38337

อย่าติดยึดในชื่อ เช่น ติดยึดว่านี่อย่างนี้ วิปัสสนากรรมฐาน นี่อย่างนี้ สมถกรรมฐาน

สมถกัมมัฏฐาน องค์ธรรมได้แก่ สมาธิ

วิปัสสนากัมมัฏฐาน องค์ธรรมได้แก่ ปัญญา



เทียบหลักปฏิบัติคือไตรสิกขานี่ "ศีล สมาธิ ปัญญา" ศีล เพื่อสมาธิ สมาธิเพื่อปัญญา ปัญญาเพื่อวิมุตติ ต่างก็เป็นฐานให้กันและกัน

ปล. ใครจะไปทำไปปฏิบัติที่ไหน เขาโฆษณาชวนเชื่อว่า ปฏิบัติอย่างนี้ๆเพื่อคนนั้นคนนี้ ไม่ใช่ ไม่ใช่ ใครทำใครได้ คนไหนทำคนนั้นได้ ตรงตามเหตุปัจจัย ทำแทนกันไม่ได้

เมื่อได้หลักมีหลักแล้ว มั่นฝึกทำเองทุกวัน แม้แต่ทำกิจการงานสิ่งใดอยู่ก็ใช้สิ่งนั้นเป็นที่ทำงานของจิตไปด้วย คือ ควบคุมความคิดให้อยู่กับสิ่งที่ทำ ณ ขณะนั้นๆ นี่แหละการปฏิบัติธรรม

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ย. 2019, 17:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
นี่ถ้าไม่ฝึกจ้างก็ทำอย่างนี้ไม่ได้ แล้วก็ต้องฝึกกันนานๆ อย่างน้อย 3 เดือน ติดต่อกัน เช่น ฝึกทหารใหม่

https://pbs.twimg.com/media/EFb38-IUwAA ... name=large



นี่ก็ฝึก :b32: ไม่เชื่อดู เมโลกสวยจ้างก็ทำไม่ได้ อย่างเก่งก็แค่เดินส่ายไปส่ายมา :b32:

https://www.facebook.com/10002998259156 ... 202999831/

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ธ.ค. 2019, 19:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
กรัชกาย เขียน:

แต่พอมาอยู่อเมริกาคนเดียวในที่สงบ ก็ทำให้เกิดแรงบันดาลใจที่อยากจะทำสมาธิ

ฉันเริ่มจากการเพ่งจุดที่เพดาน ขณะที่นอน จุดอะไรก็ได้ ให้จิตรวมเป็นจุดเดียว
ขณะที่นั่งก็จะหาจุดอะไรก็ได้ที่อยู่ตรงหน้า จนรู้สึกว่า จิตเกือบจะรวมได้แล้ว ก็ทำต่อไปเรื่อยๆ


จนวันหนึ่ง มีญาติมาจากเมืองไทย ฉันพาเขาไปซื้อของที่ห้าง ฉันขี้เกียจเดินขอนั่งรอในรถ
ขณะที่รอ ฉันก็ใช้เวลาที่รอเพ่งจุดขี้ผึ้ง นานเป็นชั่วโมง ฉันรู้สึกเหมือนตัวจะลอยได้ มันเบาหวิว ไม่ได้ยิน ไม่ได้เห็นอะไรเลย มันว่างเปล่า ฉันจึงรู้ว่าฉันทำได้แล้ว มันเป็นความสบายโล่งอย่างบอกไม่ถูก บุญกุศลคงจะสนองฉัน ฉันดีใจมากที่ทำสำเร็จ
ตั้งแต่นั้นมา ฉันอยากจะทำสมาธิเมื่อไหร่ก็ทำได้ แม้เพียงนั่งอยู่แค่ไม่กี่นาทีก็ทำได้

ทุกครั้งที่ฉันเหนื่อย เครียด ฉันก็จะหยุดจิตนั่งสมาธิแค่ ๑๕ นาทีก็หายเหนื่อย ใครจะนำวิธีของฉันไปใช้บ้างก็ได้ จะได้เป็นกุศลมาถึงฉันด้วย คุณไม่ต้องเสียเวลาไปฝึกที่วัด แค่เพียง ทำจิตให้นิ่งได้ สักวันหนึ่ง คุณก็จะพบความสุขที่แท้จริง






เทียบตัวอย่างนั่น เมื่อยังไม่มีไม่เป็น ก็ทำคือภาวนาให้มันมีมันเป็นขึ้นมา


เข้าใจความหมายของคำว่า “ภาวนา” ให้ถูกตรง


”ภาวนา” นั้นจะต้องแยกจาก ภาวนาในภาษาไทยก่อน

คือไม่ใช่เป็นเพียงว่า มามุบมิบๆแต่ปาก แล้วบอกว่าเป็นภาวนา หรือ เอาถ้อยคำในภาษาพระ เอามนต์ เอาคาถามาท่องมาบ่น แล้วว่าเป็นภาวนา ไม่ใช่อย่างนั้น

“ภาวนา” แปลว่า ทำให้เกิดให้มีขึ้น, ทำให้เป็นขึ้น, สิ่งที่ยังไม่เป็นก็ทำให้มันเป็น สิ่งที่ยังไม่มีก็ทำให้มีขึ้น เรียกว่า ภาวนา

เพราะฉะนั้น จึงเป็นการปฏิบัติ ฝึกหัด หรือลงมือทำ
ภาวนา จึงแปลอีกความหมายหนึ่งว่า การฝึกอบรม
ฝึกนั้น เมื่อยังไม่เป็น ก็ทำให้มันเป็น
อบรมนั้น เมื่อยังไม่มี ก็ทำให้มีขึ้น
ยิ่งกว่านั้น เมื่อทำให้เกิด ให้มี ให้เป็นขึ้นมาแล้ว ก็ต้องทำให้เจริญงอกงาม เพิ่มพูน พรั่งพร้อมขึ้นไปด้วยจนเต็มที่

“ภาวนา” จึงมีความหมายตรงกับคำว่า พัฒนา ด้วย และจึงแปลง่ายๆว่า เจริญ

ในภาษาไทยแต่โบราณมาก็นิยมแปล ภาวนา ว่า "เจริญ" เช่น เจริญสมาธิ เรียกว่าสมาธิภาวนา, เจริญเมตตา เรียกว่า เมตตาภาวนา, เจริญวิปัสสนา เรียกว่า วิปัสสนาภาวนา
ตกลงว่า “ภาวนา” แปลว่า การฝึกอบรม หรือ การเจริญ การทำให้เป็น ให้มีขึ้นมา และพัฒนาให้งอกงามบริบูรณ์

การภาวนาในระดับที่เราต้องการในที่นี้ แยกเป็น ๒ อย่าง คือ จิตตภาวนา การฝึกอบรมจิตใจ อย่างหนึ่ง และ ปัญญาภาวนา การฝึกอบรมปัญญา อีกอย่างหนึ่ง

ถ้าใช้ตามนิยมของภาษาสมัยใหม่ เจริญ แปลว่า พัฒนา เพราะฉะนั้น จิตตภาวนา ก็แปลว่า การพัฒนาจิต หรือ พัฒนาจิตใจ ส่วนปัญญาภาวนา ก็แปลว่า การพัฒนาปัญญา

จิตตภาวนา นั้นเรียกง่ายๆว่า “สมถะ” บางทีก็เรียกว่า สมถภาวนา สมถะนี้ตัวแก่นของมันแท้ๆคือ สมาธิ เพราะสมถะนั้นแปลว่า ความสงบ ตัวแก่นของความสงบก็คือสมาธิ ความมีใจแน่วแน่ สมถะนั้นมุ่งที่ตัวสมาธิ จะว่าสมาธิเป็นสาระของสมถะก็ได้ ฉะนั้น ก็เลยเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สมาธิภาวนา
คำว่า จิตตภาวนาก็ดี, สมถภาวนาก็ดี, สมาธิภาวนาก็ดี จึงใช้แทนกันได้หมด

ต่อไปอย่างที่สอง

ปัญญาภาวนา นั้น เรียกชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า วิปัสสนาภาวนา การเจริญวิปัสสนา มุ่งให้เกิดปัญญา คือปัญญาที่เข้าใจความจริงของสิ่งทั้งหลาย ปัญญาในขั้นที่รู้จักโลกและชีวิตตามความเป็นจริง เรียกว่า “วิปัสสนา” แปลว่า รู้แจ้ง ไม่ใช่รู้แค่ทำมาหาเลี้ยงชีพได้เท่านั้น แต่รู้สภาวะ รู้สภาพความเป็นจริงของสิ่งทั้งหลาย จึงเรียกว่า วิปัสสนา ซึ่งก็เป็นปัญญาระดับหนึ่งนั่นแหละ เพราะฉะนั้น วิปัสสนาภาวนา ถ้าจะเรียกให้กว้าง เป็น ปัญญาภาวนา

ตกลง ก็แยกภาวนาเป็น ๒ อย่าง
อย่างที่หนึ่ง เรียกว่า จิตตภาวนาบ้าง, สมถภาวนาบ้าง, สมาธิภาวนาบ้าง
อย่างที่สอง เรียกว่า ปัญญาภาวนา หรือเรียกให้แคบจำกัดลงไปว่า วิปัสสนาภาวนา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ธ.ค. 2019, 17:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
แต่พอมาอยู่อเมริกาคนเดียวในที่สงบ ก็ทำให้เกิดแรงบันดาลใจที่อยากจะทำสมาธิ

ฉันเริ่มจากการเพ่งจุดที่เพดาน ขณะที่นอน จุดอะไรก็ได้ ให้จิตรวมเป็นจุดเดียว
ขณะที่นั่งก็จะหาจุดอะไรก็ได้ที่อยู่ตรงหน้า จนรู้สึกว่า จิตเกือบจะรวมได้แล้ว ก็ทำต่อไปเรื่อยๆ

จนวันหนึ่ง มีญาติมาจากเมืองไทย ฉันพาเขาไปซื้อของที่ห้าง ฉันขี้เกียจเดินขอนั่งรอในรถ
ขณะที่รอ ฉันก็ใช้เวลาที่รอเพ่งจุดขี้ผึ้ง นานเป็นชั่วโมง ฉันรู้สึกเหมือนตัวจะลอยได้ มันเบาหวิว ไม่ได้ยิน ไม่ได้เห็นอะไรเลย มันว่างเปล่า ฉันจึงรู้ว่าฉันทำได้แล้ว มันเป็นความสบายโล่งอย่างบอกไม่ถูก บุญกุศลคงจะสนองฉัน ฉันดีใจมากที่ทำสำเร็จ
ตั้งแต่นั้นมา ฉันอยากจะทำสมาธิเมื่อไหร่ก็ทำได้ แม้เพียงนั่งอยู่แค่ไม่กี่นาทีก็ทำได้

ทุกครั้งที่ฉันเหนื่อย เครียด ฉันก็จะหยุดจิตนั่งสมาธิแค่ ๑๕ นาทีก็หายเหนื่อย ใครจะนำวิธีของฉันไปใช้บ้างก็ได้ จะได้เป็นกุศลมาถึงฉันด้วย คุณไม่ต้องเสียเวลาไปฝึกที่วัด แค่เพียง ทำจิตให้นิ่งได้ สักวันหนึ่ง คุณก็จะพบความสุขที่แท้จริง




ดู/ฟังเขาแล้วใช้ได้ มีหลักมีเกณฑ์ อยากให้คุณโรสฟังด้วย :b12:

https://www.facebook.com/wapukaew/video ... 3305694748


https://www.wapukaew.com/16790992/%E0%B ... 4%E0%B8%A1

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ม.ค. 2020, 19:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ตัดมาให้เห็นวิธีฝึกจิต

ฉันเลยได้แต่ปลูกต้นไม้เล่นไปวันๆ ความเงียบสงบ
ทำให้ฉันทำสมาธิได้สำเร็จ ซึ่งเมื่ออยู่เมืองไทย พยายามทำแล้วไม่สำเร็จ
เมื่อตอนเป็นวัยรุ่น ผู้ใหญ่ให้เราไปเรียนวิปัสสนา โดยมีแม่ชีมาสอน นั่งเรียงแถวจ้องเทียน ยุบหนอพองหนอ กำหนดลมหายใจ พอตกกลางคืน ฉันร้องกรี๊ดเอะอะโวยวายขึ้นมาขณะนอนหลับ
ฉันรู้สึกเหมือนมีเสียงฟ้าผ่าลงบนหัว เสียงเหมือนระเบิดดังเปรี๊ยะ พร้อมกับเหมือนมีแสงสว่างแวบเข้ามาอย่างน่ากลัว ฉันผวาลุกขึ้น ตัวสั่นเหงื่อแตกด้วยความกลัว

ตั้งแต่นั้นมา ฉันไม่ยอมไปนั่งวิปัสสนาอีกเลย


เทียบกับตัวอย่างนี้

สวัสดีผู้รู้ทุกท่านครับ อยากขอสอบถามในเรื่องของการนั่งสมาธิครับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นถูกต้องแล้วหรือไม่

ผมเป็นคนไม่ค่อยชอบนั่งสมาธิ หรือทำการสวดมนตร์เลยครับ เคยนั่งบ้าง ทำบุญบ้าง ตั้งแต่เด็กยันโต แต่เพราะด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยเลยทำให้ผมค่อยข้างคิดว่าเรื่องของศาสนาเป็นเรื่องที่ล้าสมัยครับ

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่เชื่อในศาสนา หรือ ลบหลู่อะไรนะครับ ทุกปีก็ยังมีการไปทำบุญบ้างอะไรบ้าง แต่ไม่ค่อยได้ทำการสวดมนตร์หรือนั่งสมาธิเป็นประจำครับ

จนมาถึงช่วงหนึ่งในชีวิตก็เริ่มอยากศึกษาในเรื่องของพระธรรมครับ มีการค้นคว้าค้นหาทางเน็ตก็เยอะ ได้ลองตั้งสวดมนตร์แบบนั้นนั่งสมาธิแบบนี้มากขึ้นเป็นช่วงๆ ตามประสาวัยรุ่นครับ

จนมาในรอบนี้ที่ตัวผมเจอเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้ผมรู้สึกไม่มั่นคงในชีวิตมากๆครับ จึงเริ่มมีความคิดอยากปลงชีวิต เหนื่อยกับการทำอะไรวนเวียน แลัวรู้สึกเป็นทุกข์ ตัวผมจึงเริ่มกลับมาเข้าหาศาสนาอย่างจริงจังครับ เริ่มรักษาศีล อยากทำบุญ และเริ่มนั่งสมาธิ รวมถึงฟังธรรมจากใน ยูทูปมากขึ้นเรื่อยๆครับ

ปกติการนั่งสมาธิของผมก็เป็นปกติครับ มีการใช้ พุธโธ หายใจเข้าออกเป็นปกติ มีบางครั้งที่รู้สึกว่าตัวลอยบ้าง โดนกดให้ตัวเล็กลง หรือตัวพองบ้าง ก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะกว่าอาการจะมาก็เป็นช่วงท้ายๆก่อนจะถึงเวลาหยุดสมาธิแล้วครับ

จนมาเมื่อวานความรู้สึกมันต่างออกไปครับ ผมทำการสวดมนตร์บูชาพระรัตนตรัยน์ก่อนเป็นปกติ แลเริ่มเปิดคลิปสอนนั่งสมาธิของหลวงปู่จรัญแล้วเริ่มทำการนั่งสมาธิครับ

ในช่วงแรกมีการกำหนดลมหายใจตามเดิมเป็นปกติ แต่ด้วยมีการศึกษาอะไรหลายๆอย่างเช่นเรื่องการทำวิปัสสนา เวลามีอาการคันหรือมีความรู้สึกอะไรก็จะดูที่ตรงที่นั้นๆไปครับ จนมาถึงจุดๆหนึ่งใช้เวลาประมาณไม่เกิน 10 นาที เริ่มมีอาการดั่งที่เคยเป็นครับ ตัวพอง ตัวลอย แต่คราวนี้เริ่มรู้สึกว่ามันหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ เช่น มีอาการตัวโยก หรือ เหมือนตัวเอียงทั้งๆ ที่เราก็นั่งตรงอยู่ มีความรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างที่มันซ้อนทับร่างเราอีกรอบนึงครับ

แต่ด้วยอ่านศึกษามาจึงพยายามไม่ตกใจในอาการเหล่าๆนั้นครับ และคิดว่าสิ่งเหล่านี้มัน คือ อาการของปีติ จึงท่องไว้ในใจว่า นี่คือปีติหนอ ปีติหนอ ทว่าพอเราเพ่งดูไปสักพัก มันเริ่มเกิดอาการหมุนครับเหมือนโลกหมุนกลับหน้ากลับหลังจนผมรู้สึกอยากจะอ้วกออกมาเลยครับ แต่ก็ยังสู้กับมันอยู่

ในตอนนั้นเริ่มมีอาการหูไม่ได้สนใจเสียงหลวงพ่อจรัญที่เปิดอยู่รวมถึงคำบริกรรมด้วยครับ

สักพักอาการหมุนก็เริ่มหยุดลง แต่เริ่มมีอาการเหมือนจิตลอยสูงขึ้นไปอีกเรื่อยๆและมาการหนาวเย็นที่ขาค่อยๆไต่ขึ้นมาถึงตัวครับ หลังจากนั้นตัวผมจึงเริ่มถอนออกจากสมาธิครับเพราะกลัวว่าตัวเองจะไปไกลหรือมโนภาพไปเองจนเดี๋ยวจะถอนตัวไม่ขึ้นครับ

สภาพหลังถอนตัวออกมานั้น ผมมีอาการเหมือนคนซึมครับ และปวดหัวมากๆ และยังมีอาการรู้สึกว่าร่างกายมันเบาอยู่ จนผ่านมาเกือบวันก็ไม่ได้รู้สึกหิวข้าว หรืออยากกินอะไร และไม่อยากพบหน้าใคร หรือทำอะไรเลยครับ พอหันมาดูเวลาก็ผ่านมาแค่ 15-20 นาทีเองเท่านั้น ทั้งๆที่ตัวผมรู้สึกว่าตัวเองอยู่สภาวะนั้นที่นานมากๆ แต่ด้วยจิตเริ่มกังวลจึงไม่ได้ทำสมาธิต่อครับ

นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นครับ จึงอยากถามท่านผู้รู้ว่า
1.สิ่งที่เกิดขึ้นกับผมนั้นเป็นเพียงแค่ปีติใช่ไหมครับหรือเป็นเพียงจิตปรุงแต่ง
2.หากเป็นเช่นนั้นแล้ว ผมควรทำอย่างไรต่อไปให้ทิ้งอาการปีติเหล่านี้ได้ครับ และควรปฏิบัติอย่างไรเพื่อไปให้ถูกทางครับ
3.อาการที่เริ่มไม่ฟังเสียง ไม่บริกรรม พุธโธ เกิดจากอะไรครับ
4.หากเกิดเหตุการณ์เช่นเดียวกับข้อที่ 3 ผมควรทำเช่นไรต่อครับ
5.เขาว่ากันว่าควรจะมีอาจารย์คอยแนะนำ ตัวผมนั้นไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้ อยากรู้ว่าใน จ.ชลบุรี ผมสามารถตามหาพวกท่านได้ที่ไหนมั่งครับ เพราะกลัวจะไปผิดทางตอนนี้เลยไม่กล้าทำอะไรที่โผงผางครับ กลัวบ้าหรือจิตจะวิปลาสครับ.

https://pantip.com/topic/39539136

จะใช้คำบริกรรมอะไรยังไงก็ตาม ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ จะใช้คำบริกรรมพุท-โธ ธัม-โม สัง-โฆ + ลมหายใจเข้า-ออก จะใช้อาการพองขึ้น ยุบลงของท้อง + เติมหนอ เป็นต้นเข้าไป ไม่ใช่ปัญหา

ให้สังเกตความแปรเปลี่ยนของสภาวธรรม ที่ขีดเส้นใต้มันเปลี่ยนจากก่อนหน้าไปแล้ว นี่แหละให้กำหนดดูมันดูมันเล่นกล มันจะอ้วกจะอาเจียนก็ปล่อยให้อ้วกไปอาเจียนไป :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ม.ค. 2020, 19:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
นั่งสมาธิแล้วตาลืมเอง

ทุกวันนี้สวดมนต์นั่งสมาธิเกือบทุกวัน เกือบนะคะ ไม่ทุกวัน
มีปัญหาตอนนั่งสมาธิค่ะ

นั่งไปสักพัก จะรู้สึกเหมือนอยู่ในความมืดมากๆ (เวลานั่งปิดไฟทั้งห้องเวลาประมาณ 4 ทุ่ม) แล้วทุกอย่างก็นิ่ง นิ่งจนเหมือนเรานั่งอยู่ในห้วงอะไรสักอย่าง เป็นแบบนี้เกือบทุกครั้ง

ปัญหามีอยู่ว่า จะมีแสงไฟจากข้างนอกเข้าตา จนรู้ว่าเรานั่งลืมตาอยู่ ทั้งที่เราพยายามจะหลับตาตั้งแต่เริ่มแล้ว

ทำอย่างไรที่จะหลับตาได้สนิทตลอดเวลา จะเป็นลืมตาช่วงที่ทุกอย่างนิ่ง และสงบมากๆอะคะ งงมากเลย

ทุกวันนี้นั่งเพียง 10 นาทีนะคะ เพราะจะรีบนอนเพื่อตื่นแต่เช้าไปทำงานค่ะ

นั่งแล้วเหมือนสมองโล่งลบความเครียดจากงานได้ดี


https://pantip.com/topic/39601802

มัน (สภาวะ) ไม่มีปัญหาอะไรเลย แต่ปัญหาอยู่ที่เราอยู่ที่คน :b32: หมายความว่ามันเป็นยังงี้ แต่เราจะเอายังงั้น มันเป็นยังงั้นเราก็เอายังงี้ จึงเป็นเหมือนว่าอะไรเกิดขึ้นขัดใจคนขัดใจเราไปหมด นี่คือปัญหาในการปฏิบัติ

ที่แท้การปฏิบัติไม่ใช่เพื่อเอานั่นเอานี่อย่างที่เรายึดเราอยาก แต่ให้รู้ดูความเป็นยังงั้นยังงี้ของมัน ถ้าคนปฏิบัติแบบนี้ อะไรเกิดขึ้นจะไม่มีปัญหาทางใจเลย อะไรเกิดขึ้น ดับไปก็รู้ๆๆ ดูมัน

ส่วนผลที่เกิดจากการปฏิบัติด้วยการรู้ดูมันตามที่มันเป็นเป็นผลพลอยได้ของคนของเรา จะเรียกชื่อว่าอะไรสุดแล้วแต่

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ม.ค. 2020, 19:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทีนี้วางหลักเทียบให้ด้วย


วิปัสสนูปกิเลส (เกิดในขณะอุทยัพพญาณอย่างอ่อน - ตรุณวิปัสสนา)

๑. โอภาส เห็นแสงสว่างต่างๆ

๒. ปีติ ๕ อย่าง (จะเกิดขึ้น) ดังนี้

1. ขุททกาปีติ มีลักษณะดังนี้
1.1 เยือกเย็น ขนลุกตั้งชันไปทั้งตัว
1.2 ร่างกาย มึน ตึง หนัก
1.3 น้ำตาไหลพราก
1.4 ปรากฏเป็นสีขาวต่างๆ

๒. ขณิกาปีติ มีลักษณะดังนี้
2.1 เป็นประกายดังฟ้าแลบ
2.2 ร่างกายแข็ง หัวใจสั่น
2.3 แสบร้อนตามเนื้อตามตัว
2.4 คันยุบยิบ เหมือนแมลงไต่ตามตัว

๓. โอกกันติกาปีติ มีลักษณะดังนี้
3.1 ร่างกายไหวโยก โคลงแคลง บางครั้งสั่นระรัว
3.2 สะบัดหน้า สะบัดมือ สะบัดเท้า
3.3 น้ำลายสอในปาก คลื่นไส้ อาเจียน
3.4 มีอาการคล้ายๆละลอกคลื่นซัด
3.5 ปรากฏมีสีม่วงอ่อน สีเหลืองอ่อน

๔. อุเพงคาปีติ มีลักษณะดังนี้
4.1 มีอาการคล้ายๆกายสูงขึ้น ตัวเบา ตัวลอย
4.2 คันยุบยิบ เหมือนมีตัวไร ตอมไต่ตามหน้าตา
4.3 ท้องเสีย ลงท้อง
4.4 สัปหงกไปข้างบ้าง ข้างหลังบ้าง
4.5 หัวหมุนไปมา
4.6 กัดฟันบ้าง อ้าปากบ้าง หุบปากบ้าง
4.7 กายงุ้มไปข้างหลังบ้าง ข้างๆบ้าง
4.8 กายกระตุก ยกแขน ยกขา
4.9 ปรากฏสีไข่มุก สีนุ่น

๕. ผรณาปีติ มีลักษณะดังนี้
5.1 ร่างกายเยือกเย็นแผ่ซ่านไปทั้งตัว
5.2 ซึมๆไม่อยากลืมตา ไม่อยากเคลื่อนไหว
5.3 ปรากฏเป็นสีคราม สีเขียว สีบงกด

๓. ญาณ (ความรู้) ปรากฏว่า ตัวมีความรู้เปรื่องปราชญ์ หมดจด อย่างไม่เคยมีมาก่อน


๔. ปัสสัทธิ มีความรู้สึกสงบเยือกเย็น ทั้งกายและใจ ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่กระวนกระวาย สงบเงียบดังเข้าผลสมาบัติ

๕. สุข ได้แก่ วิปัสสนาสุข รู้สึกว่ามีความสุขที่สุด อย่างไม่เคยพบมาก่อน ยินดี เพลิดเพลิน ไม่อยากออกจากการปฏิบัติ อยากจะพูด อยากจะบอก ผลที่ตนได้ แก่ผู้อื่น

๖. อธิโมกข์ (สัทธา) มีความเลื่อมใสในพระรัตนตรัย เป็นต้น อย่างแรงกล้า

๗. ปัคคาหะ (ความเพียร) ขยันเกินควร ตั้งใจปฏิบัติจริง ยอมสู้ตาย ไม่ถอย จนเกินพอดี

๘. อุปัฏฐานะ (สติ) สติมากเกินไป ระลึกถึงแต่เรื่องในอดีตและอนาคต จนทิ้งอารมณ์ปัจจุบันเสีย

๙. อุเบกขา รู้สึกเฉยๆ ไม่ยินดี ยินร้าย ใจลอย หลงๆลืมๆ เป็นต้น อะไรมากระทบก็เฉย ขาดการกำหนด ปล่อยใจไปตามอารมณ์


๑๐. นิกันติ (ติดใจ) พอใจในอารมณ์ต่างๆ มีโอภาส เป็นต้น ตื่นหลงผิดคิดไปว่า ตนคงบรรลุ มรรค ผล นิพพานแล้ว เหตุไม่เคยพบมาก่อน

กิเลสทั้ง ๑๐ นี้ จะเกิดแก่ผู้ที่ปฏิบัติวิปัสสนาถูกวิธีเท่านั้น ส่วนผู้ปฏิบัติผิดหรือไม่เคยปฏิบัติจะไม่ประสบสิ่งเหล่านี้

(สภาวะมันมีทั้งที่ถูกใจเราถูกใจคนก็มี ขัดใจคนไม่ถูกถูกใจเราก็มี ที่ไม่ถูกใจเราก็อยากเลี่ยงหนีลุกหนีไปเสีย ที่ถูกใจก็ติดยึดมัน อาการทั้งนั้น ผู้ปฏิบัติก็ล่วงพ้นจากทุกข์ไปไม่ได้)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2020, 04:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


cool
ไม่เปลี่ยนความคิดให้ถูกต้องก่อนทำ
จะแก้ไขความคิดได้มั๊ยก็ตัวเองคิดผิด
บอกว่าให้คิดตามคำสอนให้ตรง1ทาง
ตอนที่มีสภาพธรรมครบทั้ง6ทางปรากฏ
หลับตาไม่มีจิตเห็นลืมตาถึงจะคิดเห็นถูกตามได้
ไม่เข้าใจหรือคะจิตเกิดตรงไหนดับตรงนั้นทันที
จิตไม่ได้เกิดนอกรูปกายตัวตนของตัวเองเลยค่ะ
จะคิดเองต่อไปเรื่อยๆก็แสดงว่าไม่เห็นคุณค่าคำสอน
เพราะคำสอนของพระพุทธเจ้าหาอะไรประมาณค่าไม่ได้
มีเงินซื้อตำรามาอ่านได้แต่ปัญญาตรงปัจจุบันขณะไม่ใช่สัญญา
ก็สัญญาคือสัญญาขันธ์คนละอย่างกะความรู้สึกที่เป็นเวทนาขันธ์
ทั้งสัญญาและเวทนาไม่ใช่ตัวกรรมแต่พอคิดเองจึงเป็นกิเลสตัวเองไง
จะปรุงแต่งจิตถูกตรงตามได้ต้องอาศัยปัญญาคือฟังให้เข้าใจก่อนไปทำ
ตัวปรุงคือสังขารขันธ์คือเจตสิก50แบ่งเป็น2ฝ่ายคือกุศลหรืออกุศลไม่เกิดตรงกัน
เดี๋ยวนี้จิตเกิดดับนับแสนโกฏิขณะมันตั้งมั่นเป็นสมาธิเองตรงทางด้วยเมื่อไหรจะเริ่มฟัง
คิดว่าการฟังเป็นเรื่องเล็กน้อยหรือคะจะคิดเห็นถูกตามเกิดสัมมาตามๆๆๆๆคำสอนคือปริยัติตรงทางหูคร่าาา
ตถาคตตรัสรู้ความจริงที่ทุกคนกำลังเป็นไปตรงตามพระไตรปิฏกทุกคำตัวเองกำลังเป็นตรงคำไหนต้องรู้ค่ะ
:b11:
:b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.พ. 2020, 21:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
นั่งสมาธิเห็นตัวเองลอยอยู่กลางอากาศ

อยากทราบว่ามันคืออะไรคะ เรานั่งสมาธิแรกๆ จะรู้สึกว่าตัวเอียงๆ เหมือนคนจะล้ม แต่เมื่อลืมตากลับยังนั่งตัวตรงอยู่ไม่ไปไหน หลังๆพอเริ่มรู้ว่าไม่ได้ล้มจริงเลยเลิกลืมตาแล้วนั่งต่อไป
นั่งได้พักหนึ่งเห็นแสงสีทองกลางหน้าผาก เห็นตัวเองกำลังนั่งสมาธิด้วยชุดที่ห่มขาว มีแสงส่องออกมารอบตัวเป็นวงๆ เห็นใบหน้าตัวเองชัดเจน เห็นตัวเองอย่างชัดเจน ตอนนั้นรู้สึกแปลกใจลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความมึนงง มันคืออะไรคะ มันดีหรือไม่ดี คล้ายๆกับจิตเรานิ่งจนเกิดสมาธิรึเปล่าคะ รบกวนผู้รู้ค่ะ และควรทำต่อมั้ย มันดีหรือไม่ดี คนส่วนใหญ่ที่ทำสมาธิเป็นแบบนี้กันบ่อยมั้ยคะ

เราเห็นกลางหน้าผากนะคะ เห็นตัวเองตัวเล็กๆ อยู่ระหว่างแสงสีทองที่อยู่รอบๆ ก่อนที่จะเห็นตัวเอง เห็นเป็นแสงวาบออกมาก่อนค่ะ แต่เราไม่ได้ลืมตา แสงหายไปเลยมองเห็นตัวเอง
ก่อนหน้านั้นได้ยินเสียงรอบตัว แต่เมื่อเห็นแสงสีทองกลางหน้าผากเหมือนทุกอย่างเงียบลง แต่ไม่ถึงกลับว่าใครเรียกแล้วไม่ได้ยินเลย รับรู้ทุกอย่างแค่จดจ่อกับสิ่งที่เห็นอยู่เท่านั้นค่ะ เพราะสงสัย และก็รู้สึกเบาหวิว สบายใจแบบแปลกๆ

https://pantip.com/topic/39607096

สภาวะคงที่สะที่ไหน มันเปลี่ยนไปเรื่อย เดี๋ยวอย่างนี้อย่างนั้นอย่างโน้น :b13: ดังนั้นให้ยึดหลักคือลมหายใจเข้า-ออก หรือใช้ท้องที่พองขึ้นกับยุบลง ภาวนาไป (ภาวนาอย่างไรแล้วแต่) เกาะหลักไว้ สภาวะอย่างหนึ่งอย่างใดเกิดทางกายทางใจก็รู้ รู้รู้แล้วก็เกาะหลักอีก

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.พ. 2020, 22:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
นั่งสมาธิเห็นตัวเองลอยอยู่กลางอากาศ

อยากทราบว่ามันคืออะไรคะ เรานั่งสมาธิแรกๆ จะรู้สึกว่าตัวเอียงๆ เหมือนคนจะล้ม แต่เมื่อลืมตากลับยังนั่งตัวตรงอยู่ไม่ไปไหน หลังๆพอเริ่มรู้ว่าไม่ได้ล้มจริงเลยเลิกลืมตาแล้วนั่งต่อไป
นั่งได้พักหนึ่งเห็นแสงสีทองกลางหน้าผาก เห็นตัวเองกำลังนั่งสมาธิด้วยชุดที่ห่มขาว มีแสงส่องออกมารอบตัวเป็นวงๆ เห็นใบหน้าตัวเองชัดเจน เห็นตัวเองอย่างชัดเจน ตอนนั้นรู้สึกแปลกใจลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความมึนงง มันคืออะไรคะ มันดีหรือไม่ดี คล้ายๆกับจิตเรานิ่งจนเกิดสมาธิรึเปล่าคะ รบกวนผู้รู้ค่ะ และควรทำต่อมั้ย มันดีหรือไม่ดี คนส่วนใหญ่ที่ทำสมาธิเป็นแบบนี้กันบ่อยมั้ยคะ

เราเห็นกลางหน้าผากนะคะ เห็นตัวเองตัวเล็กๆ อยู่ระหว่างแสงสีทองที่อยู่รอบๆ ก่อนที่จะเห็นตัวเอง เห็นเป็นแสงวาบออกมาก่อนค่ะ แต่เราไม่ได้ลืมตา แสงหายไปเลยมองเห็นตัวเอง
ก่อนหน้านั้นได้ยินเสียงรอบตัว แต่เมื่อเห็นแสงสีทองกลางหน้าผากเหมือนทุกอย่างเงียบลง แต่ไม่ถึงกลับว่าใครเรียกแล้วไม่ได้ยินเลย รับรู้ทุกอย่างแค่จดจ่อกับสิ่งที่เห็นอยู่เท่านั้นค่ะ เพราะสงสัย และก็รู้สึกเบาหวิว สบายใจแบบแปลกๆ

https://pantip.com/topic/39607096

สภาวะคงที่สะที่ไหน มันเปลี่ยนไปเรื่อย เดี๋ยวอย่างนี้อย่างนั้นอย่างโน้น :b13: ดังนั้นให้ยึดหลักคือลมหายใจเข้า-ออก หรือใช้ท้องที่พองขึ้นกับยุบลง ภาวนาไป (ภาวนาอย่างไรแล้วแต่) เกาะหลักไว้ สภาวะอย่างหนึ่งอย่างใดเกิดทางกายทางใจก็รู้ รู้รู้แล้วก็เกาะหลักอีก

:b32:
เป็นคนปกติธรรมดาที่สุด
ใครไม่รู้ว่าตัวเองหายใจอยู่
ใครไม่รู้ว่าตัวเองยังมีตัวตน
ใครไม่รู้ว่าตัวเองยังไม่ได้ตาย
พิจารณาซิคะศาสนาพราหมณ์ก็นั่งสมาธิหลับตา
อาจารย์ที่สอนตถาคตทำนั่งสมาธิก่อนตรัสรู้คือใคร
ทั้ง2อาจารย์นั้นตายก่อนจะได้ฟังพระธรรมใช่ไหมคะ
แล้วคนที่พาตัวตนไปนั่งทำสมาธิหลับตาโดยไม่ทำปัญญาจากฟังคำสอน
กำลังจะเป็นแบบ2อาจารย์ไงคะคือตายก่อนโดยไม่ได้ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าจากปรโตโฆสะ
https://youtu.be/Jd6GjV1YhGM
:b12:
:b32: :b32:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 100 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 25 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร