อย่ามโนไปไกลขนาดนั้น พระพุทธเจ้าแนะนำชาวกาลามชนไว้ดีแล้ว เรื่องนรกสวรรค์ (มีโอกาสจะนำตรงนี้มาลงให้ดูนะ) เริ่มต้นที่ชีวิตปัจจุบันนี้เริ่มที่นี่

นิพพง นิพพานก็เหมือนกันเริ่มที่ปัจจุบันนี้ เราไม่ถึงไม่มีไม่เป็นก็ยอมรับว่าตนเองไม่ถึง ไม่ต้องไปเขย่งให้เป็นบัตรเสียบัตรมีปัญหาไม่รู้จบ ดื้อจริงๆ บอกไม่เชื่อ ลูกโทนก็งี้แหละถูกตามใจจนเสียคน เห็นมาเยอะแล้ว

คริคริ

เพราะลุงไม่รู้ว่า นิพพาน มีมาทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคต
นิพพานไม่ได้มีจุดเริ่ม หรือจบ

นี่น๊า ลุงยังไม่เข้าใจ พิจารณานิพพาน แม้อนุมานเรย จะประจักษ์ก้อยังไม่ได้เรย

ความจนเป็นทุกข์ในโลก
ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ

บอกว่า อนุมาน หมดราคาเรย

ไม่ได้ ม่ายด้าย อนุมานเอาไม่ได้ พระพุทธศาสนาไม่ใช่เรื่องของอนุมานคิดวาดภาพไป ม่ายช่ายแล้ว พระพุทธศาสนาเป็นเรื่องของการลงมือทำ ลงมือปฏิบัติ ยิ่งไปพูดถึงนิพพานว่ามีมาทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคต ไปกันใหญ่เบยขอรับ

นิพพานคือสภาวะที่จิตใจไร้กิเลส คือ ราคะ โทสะ โมหะ นึกออกไหม อนุมานได้ไหม ไม่ได้เลย ต้องทำต้องปฏิบัติให้จิตปราศจากอาสวะเหล่านั้น เมื่อจิตหมดอาสวะเหล่านั้นแล้ว สภาวะที่จิตว่างจากกิเลสนั่นแหละคือนิพพาน เอวัง จบข่าว

คริคริ
เพราะลุงกรัชกาย ไม่ได้เรียนพระอภิธรรม และยังอ่อนพระไตรปิฎก
ช่างไม่รู้อะไรเสียเรย

บุคคลทั่ว สามารถพิจารณานิพพานโดยอนุมานได้
เพราะลุง พิจารณาไม่เป็น จึงไม่สามารถแยกได้ ว่านิพพานไหนแท้ หรือเทียม
ลุงเรยคิดหลงตัวเองว่า อ่านพุทธธรรมแล้วบรรลุนิพพาน

คิกๆๆ ก็บอกอยู่แล้วว่า นิพพาน ต้องปฏิบัติ (แล้วก็ปฏิบัติถูกวิธีด้วย) เพื่อกำจัดราคะโทสะโมหะแล้วสภาวะที่จิตปราศจากอาสวะเหล่านั้นนั่นแหละ ท่านเรียกว่า "นิพพาน" หาใช่ว่าอ่านหนังสือนั่นนี่่แล้วทะลุทำ บรรลุธรรมก็หาไม่

ที่มาของศัพท์นิพพาน ดู

นิ+วาน=นิพพาน = ไม่มีตัณหา. ออกจากตัณหา

ดึงเรื่องกลับ กท.

ความจนเป็นทุกข์ในโลก
ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ

จะพลิกซ้ายพลิกขวาให้เมโลกซวยดูทุกแง่ทุกมุมของนิพพาน จะมโนหรืออนุมานเอาจะมโนยังไง ดูนะ



ตทังคนิพพาน "นิพพานด้วยองค์นั้น" นิพพานด้วยองค์ธรรมจำเพาะ เช่น มองเห็นขันธ์ ๕ โดยไตรลักษณ์แล้วหายทุกข์ร้อน ใจสงบสบายมีความสุขอยู่ตลอดชั่วคราวนั้นๆ, นิพพานเฉพาะกรณี

ตทังคปหาน "การละด้วยองค์ธรรม" การละกิเลสด้วยองค์ธรรมที่จำเพาะที่เป็นคู่ปรับกัน แปลง่ายๆว่า "การละกิเลสด้วยธรรมที่เป็นคู่ปรับ" เช่น ละโกรธด้วยเมตตา (แปลกันมาว่า การละกิเลสได้ชั่วคราว)

ตตังควิมุตติ "พ้นด้วยองค์นั้นๆ" หมายความว่า พ้นจากกิเลสด้วยอาศัยธรรมตรงข้ามที่เป็นคู่ปรับกัน เช่น เกิดเมตตา หายโกรธ เกิดสังเวช หายกำหนัด เป็นต้น เป็นการหลุดพ้นชั่วคราว และเป็นโลกียวิมุตติ

หากจะอนุมานหรือมโนก็นะ จะยกตัวอย่างให้เห็นง่ายๆแล้วเทียบเคียงเอา เช่น โลกสวยถูกแม่ดุด่าตีขณะนั้นรู้สึกโกรธแม่ แต่เกิดฉุกคิดได้ว่า แม่หวังดีปรารถนาดีกับเราจีงดุด่าเราตีเราด้วยต้องการให้เราได้ดี แล้วหายโกรธ

ส่วนนิพพานข้อนี้เด็ดขาดด้วยการปฏิบัติพ้นจากมโนไป

นิพพาน การดับกิเลสและกองทุกข์ เป็นโลกุตรธรรม

บ้านใกล้เรือนเคียงแข่งกัน ใครจะไปโลดกว่ากัน





https://www.facebook.com/PoliticsKalala ... =3&theater

สงัดขอโอกาสก่อนหน้าแล้ว



ดูปัจจุบัน



http://guruchiangmai.com/?p=4664&fbclid ... 8fquY2CNwE

คริคริ

ลุงกรัชกายมโนมั่วแระหละค่ะ

นิพพาน น่ะ ไม่มีนามรูป ไปมโนหรอกค่ะ

คริคริ


ขอโอกาส มาตั้งแต่ 2475 ประชาธิบไตย ยังจอดที่เดิม

นั่นเพราะมีอนาธิปไตยขัดขวางไง คิกๆๆ ยิ่ง พ.ศ.นี้หนักหนาสาหัส



https://scontent.fbkk5-5.fna.fbcdn.net/ ... e=5E307847

https://www.khaosod.co.th/politics/news_2922751


นี่โทษประชาชนไม่เข้าไปดูอากู๋ ในอากู๋นั่นรวมอยู่หมดทั้งผิดทั้งถูก ถ้าผู้บริโภคสื่อขาดวิจารณญาณ ไม่มีหลักแล้ว ก็ไปคว้าเอาสิ่งผิดๆคิดว่าเป็นถูก ก็กลายเป็นผิดเป็นโทษไป

ขนาดมีรูปเห็นๆยังมโน มีนามรู้สึกได้ ก็ยังมโนกันน่ะ จะกล่าวไปใยถึงสิ่งไม่มีรูปนามเล่า

ลำดับความเป็นมาของสังคมไทยการเมืองไทยประชาชนคนไทยว่าล้มลุกคลุกคลานยังไง ด้วยภาพนี้



คนล่าสุดนี้ เขียนกฎยื่นสัมปทานไว้ 20 ปี