วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 03:23  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 เม.ย. 2016, 18:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

กายวิเวก ใจวิเวก
พระธรรมเทศนาโดย...หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
วัดแพร่ธรรมาราม อ.เด่นชัย จ.แพร่

:b40: :b40:

พระพุทธเจ้าท่านสอนพวกเราให้กายวิเวกอยู่ในสถานที่สงบ สถานที่วิเวก
ไม่พูด ไม่คุย ไม่คลุกคลีกับใคร
ไปบิณฑบาต เราทำกิจวัตร ข้อวัตรต่างๆ
เห็นหน้าเห็นตาญาติโยม เห็นหน้าเห็นตาเพื่อนผู้ที่ปฏิบัติธรรมร่วมกัน
ไม่มีกิจธุระที่จะพูดเราก็ไม่พูด

เจริญสติ เจริญสมาธิ ให้ใจของเราอยู่กับเนื้อกับตัว อยู่กับการทำงานที่เรากำลังทำ
ให้ใจของเราสบาย ให้ใจของเรามีความสุข
อย่าไปเคร่งไปเครียดมากเกิน ปล่อยทุกอย่างให้มันสงบ ให้มันเย็น เป็นธรรมชาติ
“ธรรมชาติเป็นของสงบ เป็นสิ่งที่ปราศจากตัวตน
ปราศจากรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ มันจรไปจรมาชั่วคราว”


พระพุทธเจ้าท่านสอนเราไม่ให้รับเอาสิ่งต่างๆ มาปรุงแต่งจิตใจของเรา
เมื่อเรารู้ เราเห็น เราได้ยิน ได้ฟัง รับรู้แล้วก็ปล่อยวาง
สักแต่ว่าเกิดขึ้น สักแต่ว่าตั้งอยู่ สักแต่ว่าดับไป ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้
เราอย่าไปเอาสิ่งต่างๆ ที่เรารู้ เราเห็น เราได้ยิน มาใส่ใจของเรา
พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าอันนี้มันเป็นโลกธรรม เขาเป็นของเขาอยู่อย่างนี้แหละ
เราจะเกิดมาหรือจะไม่เกิดมาเขาก็เป็นของเขาอยู่อย่างนี้
เราฝึกให้กายใจของเราวิเวกนะ

ถ้าเรามายึด มาถือ มันก็หนัก หนักประสาท หนักสมองของเรา
มันจะดี มันจะเลวร้าย เราก็ปล่อยมันหมด
เพราะสิ่งภายนอกมันกระทบกับตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
มันก็เกิดดับ เกิดดับ ของมันอยู่อย่างนี้แหละ

พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราหลง เอาจริงเอาจัง มายึดมาถือ
ถ้าเรามายึดมาถือ เราก็จะเป็นคนหลงโลก หลงอารมณ์ เป็นคนหลงนิมิต

พระพุทธเจ้าท่านให้เราฝึกใจของเราให้เข้าถึงปัจจุบัน
ถ้าเราไปติดในความยินดียินร้าย เราจะเป็นคนหลงในอดีต
ถ้าเราเป็นคนติดในอดีต เราจะเป็นคนเครียดนะ จะเป็นคนแบกอารมณ์ แบกของหนัก
มันเป็นคนไม่ฉลาด มันเป็นการที่ไม่ได้พัฒนาตัวเองเลย

เน้นไปตรงที่ปัจจุบัน “เพราะปัจจุบันคืออนาคต คือบาท คือฐานที่เราจะก้าวไป”
ในปัจจุบันนี้ เราต้องคิดดี พูดดี ทำดี ถึงจะได้ชื่อว่า “ทำดีได้ดี”

นักประพฤติปฏิบัติ พระพุทธเจ้าท่านให้เราตั้งไว้ด้วยความไม่ประมาท
อย่าไปปล่อยใจของเราคิดแต่สิ่งที่ไม่ดี
อย่าไปปล่อยวาจาของเราพูดในสิ่งที่ไม่ดี อย่าไปปล่อยกายของเราทำในสิ่งที่ไม่ดี

อย่าพยายามเอาเรื่องภายนอกมาใส่ใจตัวเอง
จะเป็นเรื่องนินทาสรรเสริญ เราอย่าเอามาใส่ใจของเราเอง
ใครเขาจะดีจะชั่ว มันเรื่องของเขา ใครเขาจะว่าเราดีเราชั่ว มันก็เรื่องของเขา

พระพุทธเจ้าตรัสว่า เรื่องโลกธรรมมันเป็นเรื่องของโลกๆ มันไม่มีเนื้อหาสาระอะไรสำหรับเรา
เขาว่าเราดีเราก็ไม่ได้ดี เขาว่าเราชั่วเราก็ไม่ชั่ว อันนั้นมันเป็นเรื่องของโลกธรรม

ถ้าใจของเราหวั่นไหว แสดงว่าหัวใจของเรามันต้องการวัตถุ
ต้องการสิ่งของจากคนอื่นเขาอยู่ ลักษณะอย่างนี้ไม่มีนิพพานในหัวใจ

เป็นอารมณ์ของคนเสพอารมณ์สวรรค์ มันไม่ใช่อารมณ์ของคนปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพาน
มันผิดจุดประสงค์ของพระพุทธเจ้า ผิดความมุ่งหมายของพระพุทธเจ้า
ท่านให้เราปฏิบัติเพื่อไปนิพพานกัน

เราปฏิบัติธรรมะเพื่อจะไม่มีทิฐิมานะ เพื่อจะไม่มีอัตตาตัวตน
เพื่อจะทิ้งวัตถุข้าวของเงินทอง ที่เป็นอันตรายแสบเผ็ดต่อผู้มุ่งมรรคผลนิพพาน

ถ้าเรายังยินดียินร้ายในโลกธรรม แสดงว่าเรายังไม่รู้คุณค่าของพระนิพพานเลย
เรายังยินดีพอใจในเรื่องโลกๆ อยู่มาก

พระพุทธเจ้าท่านส่งพระอรหันต์ ๖๐ รูป ไปเผยแผ่ธรรมะ ให้ไปองค์เดียวรูปเดียว
ท่านตรัสถามสาวกที่เป็นพระขีณาสพที่ท่านส่งไปเผยแผ่ธรรมะว่า
ท่านไปองค์เดียวได้ไหม ไม่มีเพื่อนไปด้วย ท่านก็ตอบว่า ไปได้
เพราะเพื่อนที่แท้จริงนั้นคือ พระธรรมคำสั่งสอนที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว
ที่จะเป็นเพื่อนเป็นกัลยาณมิตรไปทุกหนทุกแห่ง

เราทุกคนมีกัลยาณมิตร มีเพื่อนร่วมเดินทางตลอด
กัลยาณมิตรที่นี้ก็หมายถึง ศีล ข้อวัตรปฏิบัติ
หมายถึงไม่มีความโลภ ความโกรธ ความหลง ไม่มีอัตตาตัวตน
มีศีล มีธรรม มีคุณธรรม มีพระพุทธเจ้าอยู่ในใจตลอดเวลา

พระพุทธเจ้าท่านตรัสถามอีกว่า เมื่อเขาว่า เขาด่า เขาพูดไม่ดีกับท่าน ท่านจะทำอย่างไร?
พระท่านก็ตอบว่า ก็ยังดีกว่าเขาตีเขาประหารพระเจ้าค่ะ
ถ้าเขาตี เขาประหารท่านด้วยศาสตราต่างๆ ท่านจะทำอย่างไร?
พระท่านก็ตอบว่า ก็ยังดีกว่าเขาฆ่าพระเจ้าค่ะ
และเมื่อเขาฆ่าท่าน ท่านจะทำอย่างไร?
พระท่านก็ตอบว่า ก็ยังดีกว่าข้าพระพุทธเจ้าไปฆ่าเขาพระเจ้าค่ะ

ผู้ที่ตัดโลกภายนอก ตัดสิ่งภายนอกออกจากใจของเราได้
การประพฤติปฏิบัติอย่างนี้จึงจะเข้าถึงความสงบ ความดับทุกข์ทั้งปวงได้

อารมณ์ต่างๆ ที่มันเกิดขึ้นจากใจของเรานี้
พระพุทธเจ้าให้ใจเรารู้จักรู้แจ้งว่ามันเป็นเพียงความคิด เป็นเพียงอารมณ์
คนไม่ตายมันก็คิดนั่นคิดนี่ สิ่งไหนมันติดมากมันหลงมาก มันก็คิดมาก
ท่านให้เรารู้จักอารมณ์รู้จักความคิด อย่าไปวุ่นวายกับความคิดกับอารมณ์มาก
มันเกิดขึ้น ถ้าเราไม่ปรุงแต่งมันก็หมดไป แต่ถ้าเราปรุงแต่งมันก็มีเรื่องมีราวจนได้

การที่เราจะไปวิ่งตามอารมณ์ วิ่งจับอารมณ์มันเหนื่อย
มันเป็นคนหัวใจเป็นเด็ก หัวใจไม่มีอุเบกขา หัวใจไม่มีการวางเฉยต่อความคิด ต่ออารมณ์
เราอย่าไปคิดมาก ปรุงแต่งมาก เสียสมองเปล่าๆ สมองเราอยู่ดีๆ มันก็ดีอยู่แล้ว
เราไปคิดให้มันหลงอารมณ์ มันจะเป็นโรคประสาท โรคจิต โรคบ้านะ

เราอยู่เฉยๆ เดี๋ยวมันก็คิดขึ้นมาเอง เราก็อย่าไปปรุงแต่งมันต่อ
ใจของเราจะได้สงบ ใจของเราจะได้หยุด ใจของเราจะได้เย็น
ทุกท่านทุกคนอยากให้ใจตัวเองสงบ ไม่อยากคิด ไม่อยากปรุงแต่ง
เพราะความเคยชินของเรามีมาก
ความเคยชินของเราเหมือนกับเราอยู่บนภูเขา กลิ้งหินลงมา มันเบรกไม่อยู่ เบรกไม่ได้
ถ้าเราคิดมาก ปรุงแต่งมาก ตามอารมณ์ไปมากๆ
ออกซิเจนในสมองของเราก็ไม่สมบูรณ์ มันก็จะเบรกตัวเองไม่ได้ มันหยุดตัวเองไม่ได้

แม้การภาวนา การพิจารณาของเรา พระพุทธเจ้าให้เราพิจารณาร่างกาย
ให้เอาผมออกหมด เอาเล็บออกหมด เอาหนังออกหมด
ให้เหลือแต่เนื้อแดง ๆ จะได้ไม่รู้ว่าเป็นผู้หญิงผู้ชาย
เอาออกให้หมด จนจิตใจของเรามันไม่มีผู้หญิง ไม่มีผู้ชาย ไม่มีตัว ไม่มีตน

แล้วให้หยุดคิด ไม่ต้องคิด ปล่อยให้ใจของเรามันสงบ มันเย็น
ถ้าคิดมาก ปัญญามาก มันจะฟุ้งซ่าน
เพราะว่าสมาธิไม่มี ความสงบไม่มี ความหยุดความเย็นไม่มี
เพราะสมาธิกับปัญญามันไม่สมดุลกัน
ต้องปล่อยให้ความสงบความเย็นมันบ่มตัวก่อน
แล้วค่อยพิจารณา ค่อยเป็นค่อยไป อย่าใจร้อน
ให้ใจของเรามันสงบ ให้ใจของเรามันวิเวก

ส่วนใหญ่นักปฏิบัติจะเน้นแต่เรื่องข้างนอก
แล้วก็ส่งใจออกไปข้างนอก จะพยายามแก้ไขแต่ข้างนอก
มันเป็นความเข้าใจผิด เป็นความเห็นที่ผิด มันเป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็นอัตตาตัวตน
ปัญหาต่างๆ มันอยู่ที่ตัวเรา พระพุทธเจ้าให้เราเข้าใจเสียใหม่
ถ้าไม่อย่างนั้นมันพุ่งไปข้างนอกเรื่อยนะ


เราอยู่ที่ไหนเราก็สบายอยู่ที่นั้น ถ้าเราไม่มีกิเลส ไม่มีตัว ไม่มีตน
ที่สบายของเราก็คือไม่มีกิเลส ไม่มีตัว ไม่มีตน
ถ้าเราไม่มีตัวไม่มีตน จิตใจของเราจะสัมผัสกับพระนิพพานได้

คนที่มีทิฐิมานะมาก มีอัตตาตัวตน มันสัมผัสกับพระนิพพานไม่ได้
ใจมันเป็นเอกัคคตารมณ์ไม่ได้ ใจมันวิบัติหลุดพ้นไม่ได้
เราจะไปนิพพานเราต้องทำอย่างพระพุทธเจ้า ทำอย่างพระอริยสาวก
ต้องหายพยศ ลดมานะ ละทิฐิ

สักกายทิฏฐิเป็นธรรมะเบื้องต้นที่เราจะต้องละ ความลังเลสงสัยในข้อวัตรปฏิบัติ
มันคิดว่ามันจะมีความสุขได้อย่างไร ถ้าไม่มีอัตตาตัวตน
พระนิพพานมันจะมีความสุขได้อย่างไร ถ้าไม่มีตัวตน
มันลังเลสงสัย มันหลงในญาติพี่น้อง มันติดมันยึดมานานแล้ว
ไม่อยากละ ไม่อยากวาง มันยินดีพอใจ

ความลังเลสงสัยมันแสดงถึงอัตตาตัวตนแท้ๆ ว่าเราต้องปล่อย ต้องวาง
เราเดินก้าวไป เราต้องก้าวทั้งสองขา ไม่ใช่ขาหนึ่งก้าวไป อีกขาก็ไม่ไป
ความลังเลสงสัยต้องตัด ไม่ตัดไม่ได้
ความลังเลสงสัยมันเป็นเรื่องอดีต เราไปติดอดีต ติดในภพ ในชาติ ในตัว ในตน
เราลองคิดๆ ดูซิ การเวียนว่ายตายเกิดของเรามันทุกข์ มันลำบาก
เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิดอีก ไม่จบไม่สิ้น

พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราลังเลสงสัย
เหมือนน้ำลายเราถ่มออกไป เราจะไม่ไปอาลัยอาวรณ์มัน มันเป็นสิ่งปฏิกูล


เหมือนกับเราเกิดแล้วเกิดอีก
เมื่อเราเกิด เราก็ต้องมีความแก่ ความเจ็บ ความตาย ปัญหาต่างๆ มันก็ตามมา
ความแก่ ความเจ็บ ความผิดพลาดก็ตามกันมาเป็นขบวนการแล้ว
เราก็มานั่งคิด นอนคิด มันทุกข์ มันยากลำบาก มันก็ติดมาแล้ว
เราก็ว่ามันเป็นเพราะสิ่งโน้น สิ่งนี้
ที่แท้จริงมันเป็นเพราะเราที่เกิดมา ถ้าเราไม่เกิดมาก็ไม่ต้องมาทุกข์อย่างนี้

พระพุทธเจ้าท่านให้เราเห็นภัยในวัฏสงสาร ไม่ให้ลังเลสงสัย อาลัยอาวรณ์
มอบกายถวายชีวิตต่อพระพุทธเจ้า ต่อพระธรรม พระอริยสงฆ์
ชีวิตจิตใจของเรา มอบถวายให้พระรัตนตรัย

อะไรคือพระรัตนตรัย ?

พระรัตนตรัยสำหรับโยมคือ ศีล ๕ ศีล ๘ สำหรับเณรก็ศีล ๑๐ สำหรับพระก็ศีล ๒๒๗
เราตั้งจิตตั้งใจรักษาศีล ปฏิบัติศีลด้วยความตั้งใจ ด้วยเจตนาที่จะให้บริสุทธิ์ผุดผ่อง
ไม่มีตัว ไม่มีตน เป็นธาตุบริสุทธิ์ เป็นขันธ์บริสุทธิ์ เป็นวิมุตติ เป็นความหลุดพ้น

เมื่อเรายังไม่ถึงขั้นสูงสุด พระพุทธเจ้าให้เราทำไปเรื่อยๆ
มันเป็นหน้าที่ของเรา เป็นความสุขของเรา
ที่เราได้ประพฤติปฏิบัติเดินตามรอยพระพุทธเจ้า เดินตามหลังพระพุทธเจ้า
จิตใจของเราจะได้เข้าถึงอุปธิวิเวก
จิตใจของเรามันจะมี มันจะเข้าถึงความดับทุกข์ทุกหนทุกแห่ง

ไม่ว่าเราอยู่ที่ไหนก็จะมีความดับทุกข์ เพราะว่าเราเอาพระพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์เป็นทางเดิน
เราจะได้กราบไหว้ตัวเองได้ จะได้รู้จักว่าพระอยู่ที่ใจ
เราจะได้ไม่ต้องไปแสวงหาพระไกลเกิน เพราะพระอยู่ที่เรา

เราอย่าไปคิดว่าเราปฏิบัติไม่ได้ ทำไม่ได้ เราคิดอย่างนี้ไม่ถูก!

พระพุทธเจ้าท่านบอกเรา ไม่ได้ให้เราไปบอกคนอื่นทำ
เรานี่แหละเป็นคนที่ปฏิบัติได้ นอกจากเราเป็นคนไม่แน่ใจในตัวเอง
อย่าไปท้อแท้ ท้อถอย หมดกำลังใจ
ความคิดอย่างนี้ล้วนเป็นความคิดของอวิชชา เป็นความคิดของอัตตาตัวตน
ให้รู้ไว้เลยว่ากิเลส มันจะเริ่มแย่แล้ว

พระพุทธเจ้าท่านบอกสอนเรา อย่าให้เอากิเลสมาเป็นอัตตาตัวตนของเรา มันจะยุ่ง
ตัวอวิชชา ตัวความหลง ตัวความไม่เข้าใจ มันมีมาก เราต้องอาศัยบารมีอย่างพระพุทธเจ้า

เราก็ไม่ต้องไปคิดอะไรมาก เพียงแต่เราทำตามพระพุทธเจ้า
เราอย่าไปมีทิฐิมานะมาก ให้เสียเวลาไปมากกว่านี้นะ

ในวาระโอกาสต่อไปนี้ก็ให้เราตั้งใจใหม่ เพิ่มปฏิปทาให้กับตัวเอง อย่าให้มันขาดตกบกพร่อง
อย่าไปทำตามอารมณ์ วันไหนเหนื่อยก็ไม่ทำ วันไหนไม่เหนื่อยถึงทำ

ปฏิปทานี้สำคัญ ถ้าปฏิปทาเราไม่ดี จิตใจของเราก็พลอยตกไปด้วย
ที่ครั้งโบราณเขาเปรียบเทียบไว้ว่า ให้ทำเหมือนบุรุษเอาไม้ไผ่แห้งมาทำเป็นร่อง
แล้วเอาไม้มาสีให้มันสม่ำเสมอ เดี๋ยวไฟมันก็ติด คนสมัยใหม่นี้ไม่รู้จักที่จะทำกัน

เราปฏิบัติไปเรื่อย ปฏิปทาสม่ำเสมอ เดี๋ยวมันก็ได้เอง
เราปลูกต้นไม้เดี๋ยวมันก็โต เราให้น้ำให้ปุ๋ย
ถ้าให้น้ำมากเกินมันก็ตาย ให้น้อยเกินมันก็ตาย
ปฏิปทาเป็นสิ่งที่สำคัญ ใครจะปฏิบัติหรือไม่ก็ช่างหัวเขา
เป็นสิ่งที่ทวนโลก ทวนกระแส ถ้ามันง่ายคนก็บรรลุธรรมไปหมดแล้ว
ยิ่งเราปฏิบัติเราก็สบายใจไปเรื่อย


พระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ที่องค์พ่อแม่ครูอาจารย์เมตตาให้นำมาบรรยาย
วันศุกร์ที่ ๔ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๖


:b8: :b8: :b8: คัดลอกเนื้อหามาจาก ::
หนังสือ สมบัติของพ่อ
หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เล่มที่ ๒


:b44: รวมคำสอน “หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=47448

:b44: ประมวลภาพ “หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=38&t=37258

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2019, 08:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2758


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:
Kiss


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ย. 2019, 12:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ธ.ค. 2008, 09:34
โพสต์: 1322


 ข้อมูลส่วนตัว


4Aขออนุโมทนาสาธุการค่ะ :b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 เม.ย. 2020, 10:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

สาธุ อนุโมทามิ

smiley smiley smiley

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2021, 13:07 
 
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ย. 2013, 07:16
โพสต์: 2374

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b39: :b44: ขออนุโมทนา สาธุๆๆ ค่ะ
:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 11 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร