วันเวลาปัจจุบัน 18 เม.ย. 2024, 10:39  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ค. 2019, 04:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


วันประสูติ ๓ ตุลาคมของทุกปี มักมีผู้สร้างพระเครื่องนำมาถวาย
ให้ปลุกเสกและแจกจ่าย จะมีประชาชนมาเข้าแถวเบียดเสียด
เพื่อรับประทานพระเครื่องจากพระหัตถ์เจ้าประคุณสมเด็จฯ
จนล้นวัด บางครั้งแถวยาวออกไปถึงถนนราชดำเนิน

ครั้งหนึ่งพระลูกศิษย์ที่รับสนองงาน สังเกตเห็นว่ามีชาวบ้าน
บางคนเวียนมารับพระเครื่องซ้ำหลายรอบก็ทักขึ้นว่า
คุณมารับตั้งสามครั้งแล้วนะ น่าจะแบ่งให้คนอื่นบ้าง

สมเด็จพระสังฆราชมิได้รับสั่งว่าอย่างไร ทรงยื่นพระเครื่อง
ให้เขาไปตามปรกติ ชายผู้นั้นรับแล้วรีบถอยออกไปทันที

กระทั่งหลังจากประชาชนทยอยกลับกันหมดแล้ว
เจ้าประคุณสมเด็จฯ จึงกล่าวกับพระลูกศิษย์ว่า

"อย่าไปว่าเขา"

พระลูกศิษย์กราบทูลว่าเขารับเอาไปขายหน้าวัด องค์ละ 40-50 บาท
สมเด็จพระสังฆราชตอบว่า

"อือ ก็ดีแล้ว แสดงว่าพระพุทธเจ้าของเรานี้ แม้นจะผ่านมามากว่า 2500 ปี
แต่พระบารมีของพระองค์ยังสูงอยู่ ยังทรงให้พรแก่ชาวบ้าน
ช่วยชาวบ้านให้มีข้าวกินได้ พอเขาได้พระไปเอาไปขายต่อ
ได้องค์ละ40-50 บาท จากที่เขาไม่มีข้าวกิน
ก็ทำให้เขามีเงินไปซื้ออาหารได้มื้อสองมื้อแล้ว
เขาก็เลี้ยงครอบครัวเขาได้ มันก็ดีแล้วนี่"

คัดจากหน้า ๑o๓ - ๑o๕ นิตยสารสารคดี ฉบับเดือนกันยายน ๒๕๕๖
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช





"ตายแล้วจะมาขอกันกินเหมือนตอนมีชีวิตอยู่ไม่ได้นะ รีบเร่งสร้างบุญกุศลให้เป็นที่พึ่งเถิด
.
มนุษย์เฮาบ่ว่ารวยหรือจนกะกินข้าว วันละสามครั้งคือกัน! กินกะได้แค่อิ่ม ตอนเป็นมนุษย์อยู่นี้ให้พากันสร้างไว้หลายๆกรรมดี เพราะว่าตอนเป็นมนุษย์นี้ คนบ่มีกะยืมกันกินได้ ขอกันกินได้ หาเก็บ ผัก หาปลา มากินได้ เดินบ่ได้กะแบกกะหาม กันไปนั้นมานี้ได้ แต่ข้างหน้านั้นมันขอกันกินบ่ได้ ยืมกันกิน บ่ได้ เป็นไปตามกรรมไผมันเด้อ
.
เป็นฆราวาสมีครอบครัว บ่ต้องเอาหยังหลาย สวดมนต์ไหว้พระทุกวันก่อนนอน แล้วกะ ตอนเช้าตื่นนอน นั่งภาวนาเช้าแลงให้ได้ วันละ 20 นาทีแค่นี้เหลือกินแล้ว เฮ็ดไปทุกวันๆแบบนี้ คือเฮากินข้าวทุกวัน บางวันกะกินกับพริกกับกินเกลือ กินไป ทุกๆวัน มันสิเจอเองของดี…"

โอวาทธรรม
หลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร
วัดถ้ำสหาย (วัดถ้ำสหายธรรมจันทร์นิมิต)
ต.ทับกุง อ.หนองแสง จ.อุดรธานี




ลงมือปฏิบัติตอนนี้ยังบ่ถือว่าสายดอก
ถ้าอยากเป็น “พระอรหันต์ “
ต้องตัดความเกียจคร้านออกไป จากจิตใจเสียก่อน ให้เพิ่มขันติวิริยะเข้าไปหลายๆ ถึงชาตินี้บ่ได้เป็นพระอรหันต์เหมือนผู้ที่ท่านสำเร็จไปแล้วแต่ยังได้ชื่อว่าเป็นผู้เข้าใกล้พระนิพพาน

หลวงปู่ชอบ ฐานสโม





สำหรับเรานี้ไม่มีงาน หมด งานหมด งานฆ่ากิเลสเป็นงานสำคัญขาดสะบั้นลงไปแล้วหมดแล้ว ไม่มีงานในตัวของเรา เรียกว่าหมดงาน จะทำอะไรก็ตามมันเป็นงานภายนอก ไม่ใช่งานวัฏวนเหมือนกิเลส ภายในหัวใจเราฆ่ากิเลสนี้เสร็จแล้วก็เป็นอันว่าเสร็จงาน ไม่มีงานไหนอีกแล้ว อยู่ไปวันหนึ่งๆ

ผลของการปฏิบัติเต็มในหัวใจแล้วไม่มี จะว่าคิดหาอะไรต่อไปไม่มี สิ้นเสร็จในหัวใจ พอในหัวใจแล้วใจนี้กลายเป็นธรรมธาตุไปแล้ว หรือนิพพานเที่ยงก็ไม่ผิด ธรรมธาตุก็ไม่ผิด เป็นไปแล้ว นี่การปฏิบัติธรรมเอาจริงเอาจังทุกอย่าง จนถึงจุดหมายปลายทางหาที่สงสัยไม่ได้ อย่างทุกวันนี้หายหมดแล้วที่สงสัยว่าตายแล้วจะไปเกิดที่ไหนๆ หมด ไม่มี การก้าวหน้าก็ไม่มี การถอยหลังก็ไม่มี คำที่ว่าธรรมธาตุมี นิพพานเที่ยงมี ไปถึงจุดได้

การปฏิบัติเต็มเม็ดเต็มหน่วย เวลานี้รอแต่ขันธ์ว่าจะแตกเมื่อไร เอาแตกไป ไม่เสียดาย แตกไป ยังอยู่ก็รักษากันไป มาม้วนเสื่อลงในชาตินี้ทั้งหมดเลย เกิดมากี่ภพกี่ชาติ ชาติใดก็ตามมาม้วนเสื่อลงในชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ก้าวไปข้างหน้าก็ไม่ไป ถอยหลังก็ไม่ถอย อยู่ในธรรมธาตุหรือนิพพานเที่ยง ไม่สงสัยอันนี้

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศนาธรรมเรื่อง"การฆ่ากิเลสได้เสร็จสิ้น"
๑๐ ตุลาคม๒๕๕๒




ถ้าอะไรเราไม่ได้ทำไว้ อยากได้ มันก็ไม่ได้ ถ้าได้ทำไว้แล้ว สร้างไว้แล้ว ไม่อยากได้มันก็ได้ นีแหละ "บารมี"...

หลวงปู่ฝั้น อาจาโร





โลกนี้มีอยู่ปกติอย่างนี้หละ
ปรุงอันใดแต่งอันใด อันนั้นมาแต่มีปัจจัย
เมื่ออิงกับปัจจัยก็มาแต่เหตุ
เหตุปรุงแต่งก็ ทนอยู่มิได้ ทนอยู่มิได้ก็แตกดับไป
จากนั้นก็ถือเอาเหตุใหม่ - ใหม่ในของเก่า - เก่าไปหาใหม่

พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลก จึงได้มาบอกมาเทศน์ธรรมพร่ำสอน แสดงให้กล่าวไว้ บัญญัติเอาไว้ เปิดเผย ให้ง่ายต่อการเข้าใจ
ว่าไม่เที่ยง อนิจจัง
มันทุกข์ ทุกขัง
มันว่าไม่เอาความ อนัตตา
นี่วัฏฏะมันหมุนของมันอยู่เช่นนี้จึงชื่อโลก

มหาปุญฺโญวาท 7
หลวงปู่จาม มหาปุญโญ





“เป็นฆราวาสก็เฮ็ดได้คือกัน..รักษาศีลก็ได้…ภาวนาก็ได้..ฆราวาสหากมีนิสัยเป็นพระอรหันต์ได้”

โอวาทธรรม:องค์หลวงปู่บุญมี ปริปุณโณ





ชีวิตของคนเราไม่นาน ชีวิตนี้มีน้อยที่สุด เวลาเรายังไม่ตาย ก็ได้ข่าวคน นั้นว่าตาย ที่เขาเอาไปฝังทิ้ง หรือเอาไปเผาไฟ เพื่อไม่ให้กลิ่นมันเหม็นจมูกเขาต่างหาก เราต้องพิจารณา ต้องทำด้วยกำลังศรัทธาของเรา ทำไมพระพุทธเจ้า พระอริยเจ้าทั้ง หลาย ท่านจึงเกิดอสุภกรรมฐานเห็นแจ้งในจิตในใจได้ เห็นคนก็เห็นก้อนอสุภกรรมฐาน เห็นคนก็เห็นความตายของคนนั้น

...โอวาทธรรมคำสอน:หลวงปู่สิม พุทธาจาโร





ให้กำหนดสติรู้จิตเพียงอย่างเดียว บาปมันเกิดที่จิต บุญมันเกิดที่จิต ดีชั่วเกิดที่จิต สวรรค์นิพพานเกิดที่จิต มันไม่ได้เกิดที่อื่น เพราะฉะนั้นเราอยากจะรู้จริงเห็นจริงในธรรมะคำสั่งสอนหรือจะสำเร็จมรรคผลนิพพาน ให้กำหนดสติรู้จิตเพียงอย่างเดียว

...โอวาทธรรมคำสอน:หลวงปู่แหวน สุจิณโณ






จิตนี้เป็นพุทธะ ไม่มีความแตกต่างระหว่างพุทธะกับสัตว์โลกทั้งหลาย โดย หลวงปู่ดูลย์ อตุโล

จิตหนึ่งนี้เท่านั้นเป็นพุทธะ ไม่มีความแตกต่างระหว่างพุทธะกับสัตว์โลกทั้งหลาย เพียงแต่ว่าสัตว์โลกทั้งหลายไปยึดมั่นต่อรูปธรรมต่างๆ เสีย และเพราะเหตุนั้นเขาจึงแสวงหาพุทธภาวะจากภายนอก การแสวงหาของสัตว์เหล่านั้นนั่นเองทำให้เขาพลาดจากพุทธะ การทำเช่นนั้นเท่ากับการใช้สิ่งที่เป็นพุทธะให้เที่ยวแสวงหาพุทธะ และการใช้จิตให้เที่ยวจับฉวยจิต แม้ว่าเขาเหล่านั้นจะพยายามจนสุดความสามารถของเขาอยู่ตั้งกัปหนึ่งเต็มๆ เขาก็จะไม่สามารถบรรลุถึงพุทธะได้เลย

เขาไม่รู้ว่าเพียงแต่เขาหยุดความคิดปรุงแต่ง และหมดความกระวนกระวายเพราะการแสวงหาเสียเท่านั้น พุทธะก็จะปรากฏตรงหน้าเขา เพราะว่าจิตนี้คือพุทธะนั่นเองและพุทธะคือสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลายทั้งปวงนั่นเอง สิ่งๆ นี้เมื่อปรากฏอยู่ที่สามัญสัตว์จะเป็นสิ่งเล็กน้อยก็หาไม่ และเมื่อปรากฎอยู่ที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายจะเป็นสิ่งใหญ่หลวงก็หาไม่

สำหรับการบำเพ็ญปารมิตาทั้ง ๖ ก็ดี การบำเพ็ญข้อวัตรปฏิบัติที่คล้ายๆ กันอีกเป็นจำนวนมากก็ดี หรือการได้บุญมากมายนับไม่ถ้วน เหมือนจำนวนเม็ดทรายในแม่น้ำคงคาก็ดี เหล่านี้นั้นจงดูเถิดเมื่อเราผู้สมบูรณ์โดยสัจจะพื้นฐานในทุกกรณีอยู่แล้ว คือเป็นจิตหนึ่งหรือเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพุทธะทั้งหลายอยู่แล้ว

เราก็ไม่ควรจะพยายามจะเพิ่มเติมอะไรให้แก่สิ่งที่สมบูรณ์อยู่แล้วนั้น ด้วยการบำเพ็ญข้อวัตรปฏิบัติต่างๆ ซึ่งไร้ความหมายเหล่านั้นไม่ใช่หรือ (ถึงแม้ว่าจะเคร่งครัดต่อการบำเพ็ญข้อวัตรปฏิบัติต่างๆ ก็ตาม แต่จิตยังชอบปรุงแต่งอยู่ก็จัดว่าการบำเพ็ญข้อวัตรปฏิบัติต่างๆ นั้นไร้ความหมาย) แต่เมื่อไหร่โอกาสอำนวยให้ก็ทำมันไป แต่อย่าไปยึดมั่นถือมั่นและเมื่อโอกาสผ่านไปแล้วอยู่เฉยๆ ก็แล้วกัน

ถ้าเรายังไม่เห็นตระหนักอย่างเด็ดขาดลงไปว่าจิตนั้นคือพุทธะก็ดี และถ้าเรายังยึดมั่นถือมั่นต่อรูปธรรมต่างๆ อยู่ก็ดี ต่อวัตรปฏิบัติต่างๆอยู่ด้วยความยึดมั่นถือมั่นอยู่ก็ดี และต่อการบำเพ็ญกุศลต่างๆ ด้วยความยึดมั่นถือมั่นอยู่ก็ดี แนวความคิดของเราก็ยังคงผิดพลาดอยู่

จิตหนึ่งนั่นแหละคือพุทธะ ไม่มีพุทธะอื่นใดที่ไหนอีก ไม่มีจิตอื่นใดที่ไหนอีก มันแจ่มจ้าและไร้ตำหนิเช่นเดียวกับความว่าง คือมันไม่มีรูปร่างหรือปรากฎการณ์ใดๆ เลย ถ้าเราใช้จิตของเราให้ปรุงแต่งความคิดฝันต่างๆ นั้น เท่ากับเราทิ้งเนื้อหาอันเป็นสาระเสีย แล้วไปผูกพันตัวเองอยู่กับรูปธรรมซึ่งเป็นเหมือนกับเปลือก พุทธะที่มีอยู่ตลอดกาลนั้นไม่ใช่พุทธะแห่งความยึดมั่นถือมั่น

จิตเป็นเหมือนกับความว่างซึ่งภายในนั้นไม่มีความสับสนและความไม่ดีต่างๆ ดังจะเห็นได้เมื่อดวงอาทิตย์ผ่านไปในที่ว่างนั้น ย่อมส่องแสงไปได้ทั้งสี่มุมโลก เพราะว่าเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นย่อมให้ความสว่างทั่วทั้งพื้นโลกความว่างที่แท้จริงนั้นมันก็ไม่ได้สว่างขึ้น และเมื่อดวงอาทิตย์ตกความว่างก็ไม่ได้มืดลง ปรากฏการณ์ของความสว่างและความมืดย่อมสับเปลี่ยนซึ่งกันและกัน แต่ธรรมชาติของความว่างนั้นยังคงไม่เปลี่ยนแปลงอยู่นั่นเอง จิตของพุทธะและของสัตว์โลกทั้งหลายก็เป็นเช่นนั้น

ถ้าเรามองพุทธะว่าเป็นผู้แสดงออกซึ่งความปรากฏของสิ่งที่บริสุทธิ์ผุดผ่องใสและรู้แจ้งก็ดี หรือมองสัตว์โลกทั้งหลายว่าเป็นผู้แสดงออกซึ่งความปรากฏของสิ่งที่โง่เขลา มืดมนและมีอาการสลบไสลก็ดี ความรู้สกนึกคิดเหล่านี้อันเป็นผลมาจากความยึดมั่นถือมั่นต่อรูปธรรมนั้นจะกันเราไว้เสียซึ่งความรู้อันสูงสุด ถึงแม้เราจะปฏิบัติกันมาตลอดกี่กัปนับไม่ถ้วนประดุจเม็ดทรายในแม่น้ำคงคาแล้วก็ตาม มีแต่จิตหนึ่งเท่านั้นและไม่มีสิ่งอื่นใดแม้แต่อนุภาคเดียวที่จิตจะอิงอาศัยได้เพราะจิตนั้นเองคือพุทธะ

เมื่อพวกเราที่เป็นนักศึกษาเรื่องทาง ทางโน้นไม่ลืมตาต่อสิ่งซึ่งเป็นสาระ กล่าวคือ พวกเราจะปิดบังจิตนั้นเสียด้วยความคิดปรุงแต่งของเราเอง พวกเราจะแสวงหาพุทธะนอกตัวเราเอง พวกเรายังคงยึดมั่นถือมั่นต่อรูปธรรมทั้งหลาย ต่อการปฏิบัติเมาบุญต่างๆ และสิ่งอื่นๆ ทำนองนั้นทั้งหมดนี้เป็นอันตราย (กล่าวคือ เราควรทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนาด้วยการละด้วยการวาง ไม่ทำด้วยการยึดมั่นถือมั่น และหวังผล เพราะสิ่งเหล่านี้เปรียบเป็นเพียงเสบียงเป็นปัจจัยช่วยเหลือเราเท่านั้น)

เนื้อแท้แห่งสิ่งสูงสุดสิ่งนั้นโดยภายในแล้ว ย่อมเหมือนกับไม้หรือหินคือภายในนั้นปราศจากการเคลื่อนไหว และโดยภายนอกแล้วเหมือนกับความว่าง กล่าวคือปราศจากขอบเขตหรือสิ่งกีดขวางใดๆ สิ่งนี้ไม่ใช่เป็นฝ่ายนามธรรมหรือรูปธรรม มันไม่มีที่ตั้งเฉพาะไม่มีรูปร่างและไม่อาจจะหายไปได้เลย

จิตนี้ไม่ใช่จิตซึ่งเป็นความคิดปรุงแต่ง มันเป็นสิ่งซึ่งอยู่ต่างหากปราศจากการเกี่ยวข้องกับรูปธรรมโดยสิ้นเชิง ฉะนั้น พระพุทธเจ้าทั้งหลายและสัตว์โลกทั้งปวงก็เช่นนั้น พวกเราเพียงแต่สามารถปลดเปลื้องตนเองออกจากความคิดปรุงแต่งเท่านั้น พวกเราจะประสบความสำเร็จทุกอย่าง

หลักธรรมที่แท้จริงก็คือจิตนั่นเอง ซึ่งถ้านอกไปจากนั้นแล้วก็ไม่มีหลักธรรมใดๆ จิตนั่นแหละคือหลักธรรมซึ่งถ้านอกไปจากนั้นแล้วมันก็ไม่ใช่จิต จิตนั้นโดยตัวมันเองก็ไม่ใช่จิต การที่กล่าวว่าจิตนั้นไม่ใช่จิตดังนี้นั่นแหละย่อมหมายถึงสิ่งบางสิ่งซึ่งมีอยู่จริง สิ่งนี้มันอยู่เหนือคำพูด

จิตนี้คือพุทธโยนิอันบริสุทธิ์ซึ่งมีประจำอยู่แล้วในคนทุกคน สัตว์ซึ่งมีความรู้สึกนึกคิดกระดุกกระดิกได้ทั้งหมดก็ดี พระพุทธเจ้าพร้อมทั้งพระโพธิสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงก็ดี ล้วนแล้วแต่เป็นของธรรมชาติอันหนึ่งนี้เท่านั้นและไม่แตกต่างกันเลย ความแตกต่างทั้งหลายเกิดขึ้นจากเราคิดผิดๆ เท่านั้น ย่อมนำไปสู่การก่อสร้างกรรมทั้งหลายทั้งปวงทุกชนิดไม่หยุด

ธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะดั้งเดิมของเรานั้น โดยความจริงอันสูงสุดแล้วเป็นสิ่งที่ไม่มีความหมายแห่งความเป็นตัวตนแม้สักปรมาณูเดียว สิ่งนั้นคือความว่างเป็นสิ่งที่มีอยู่ในทุกหนแห่ง สงบเงียบและไม่มีอะไรเจือปน มันเป็นสันติสุขที่รุ่งเรืองและเร้นลับ และก็หมดกันเพียงเท่านั้นเอง

จิตคือพุทธะ (สิ่งสูงสุด) มันย่อมรวมทุกสิ่งเข้าไว้ในตัวมันทั้งหมด นับตั้งแต่พระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้แล้วทั้งหลายเป็นที่สุดในเบื้องสูง ลงไปจนกระทั่งถึงสัตว์ประเภทต่ำต้อยที่สุด ซึ่งเป็นสัตว์เลื้อยคลานและแมลงต่างๆ เป็นที่สุดในเบื้องต่ำ

สิ่งเหล่านี้ทุกสิ่งมันย่อมมีส่วนแห่งความเป็นพุทธะเท่ากันหมด และทุกๆ สิ่งมีเนื้อหาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพุทธะอยู่ตลอดเวลา ถ้าพวกเราเพียงแต่สามารถทำความเข้าใจในจิตของเราเองนี้ได้สำเร็จ แล้วคนพบธรรมชาติอันแท้จริงของเราเองได้ด้วยความเข้าใจอันนั้นเท่านั้น มันก็จะเป็นที่แน่นอนว่า ไม่มีอะไรที่พวกเราจำเป็นที่จะต้องแสวงหาแม้แต่อย่างใดเลย

พระพุทธเจ้าทั้งปวงและสัตว์โลกทั้งสิ้นไม่ได้เป็นอะไรเลย นอกจากเป็นเพียงจิตหนึ่ง นอกจากจิตหนึ่งแล้วมิได้มีอะไรตั้งอยู่เลย จิตหนึ่งซึ่งปราศจากการตั้งต้นนี้เป็นสิ่งที่มิได้เกิดขึ้นและไม่อาจถูกทำลายได้เลย ทั้งนี้เพราะมันอยู่เหนือขอบเขต เหนือการวัด เหนือการตั้งชื่อ เหนือการทิ้งร่องรอยไว้ และเหนือการเปรียบเทียบทั้งหมด

จิตหนึ่งนี้เป็นสิ่งที่เราเห็นตำตาแท้ๆ แต่จงลองไปใช้เหตุผลกับมันดูซิ เราจะหล่นไปสู่ความผิดพลาดทันที สิ่งนี้เป็นเหมือนกับความว่างอันปราศจากขอบทุกๆ ด้านซึ่งไม่อาจหยั่งหรือวัดได้
การหยุดคิดหยุดนึกหยุดกริยาแห่งจิตหมายถึงการหยุดสังสารวัฏนั่นเอง เพราะไม่ว่าเราจะกำหนดจิตคิดสิ่งใดๆ สิ่งนั้นๆ ก็ยังเป็นสิ่งภายนอกอยู่ดี เป็นของปรุงแต่งขึ้นมาในโลก การกำหนดรู้ก็ย่อมมีสิ่งที่ถูกกำหนดรู้เป็นธรรมดา จะเป็นรูปก็ตามเป็นนามก็ตาม เมื่อสิ่งนั้นถูกกำหนดรู้ได้ก็ย่อมจะมีสภาวะ เมื่อมีสภาวะก็ย่อมมีอันเสื่อมไปเป็นธรรมดา เพราะเป็นของปรุงแต่งจากเหตุปัจจัยทั้งสิ้น

“จิตที่ส่งออกนอกเพื่อรับสนองอารมณ์ทั้งสิ้นเป็นสมุทัย
ผลของจิตที่ส่งออกนอกนั้นเป็นทุกข์
จิตเห็นจิตเป็นมรรค
ผลอันเกิดจากจิตเห็นจิตเป็นนิโรธ”

โอวาทธรรม หลวงปู่ดุลย์ อตุโล


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 32 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร