วันเวลาปัจจุบัน 19 มี.ค. 2024, 10:04  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 49 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2019, 09:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สะเดา สมุนไพร ผักพื้นบ้านต้านโรคมะเร็ง ประธานศูนย์ข้อมูลยาฯ เผยเพิ่มภูมิคุ้มกัน-ต้านอนุมูลอิสระสูง

เมื่อวันที่ 4 ก.พ. นพ.สรรพงศ์ ฤทธิรักษา ประธานศูนย์ข้อมูลยาสมุนไพรการแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า วันที่ 4 กุมภาพันธ์ของทุกปี เป็นวันมะเร็งโลก

ในปัจจุบันประชาคมโลกให้ความสำคัญกับโรคมะเร็งเพิ่มมากขึ้น เพราะถือเป็นเรื่องใกล้ตัวที่ทุกคนควรทำความรู้จัก โรคมะเร็งเป็นโรคที่ใช้ระยะเวลานานหลายปีในการก่อให้เกิดโรค

นพ.สรรพงศ์ กล่าวต่อว่า โดยมีสาเหตุปัจจัยที่แตกต่างกัน เช่น การได้รับรังสี อิออนไนซ์ สารเคมีที่เป็นพิษ อาหาร และน้ำดื่ม รวมถึงพันธุกรรม วิถีการดำเนินชีวิต และสิ่งแวดล้อม
สำหรับประเทศไทย พบว่ามีแนวโน้มอัตราป่วยเป็นโรคมะเร็งเพิ่มขึ้นทุกปี และกว่าร้อยละ 70 เกิดจากสิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษ

“ดังนั้น เพื่อเป็นเกราะป้องกันภาวะการเกิดโรคดังกล่าว โดยใช้หลักทางธรรมชาติ การบริโภคอาหารในชีวิตประจำวันของมนุษย์ด้วยผักพื้นบ้านต้านโรค
จึงขอแนะนำผักพื้นบ้านริมรั้วที่มีสรรพคุณช่วยต้านโรคมะเร็ง เช่น สะเดา มะระขี้นก ขี้เหล็ก ย่านาง ตำลึง บัวบก ดอกแค มะรุม ขมิ้นชัน ฟักข้าว กระชาย ฯลฯ ซึ่งผักเหล่านี้เป็นพืชสมุนไพรที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ต้านการเกิดโรคมะเร็งได้ โดยปรุงเป็นอาหาร” นพ.สรรพงศ์ กล่าว



รูปภาพ

" ฯลฯ นอกจากนี้ก็ควรที่จะออกกำลังกายอย่างน้อย 3 วันต่อสัปดาห์ ช่วงนี้แนะนำให้ออกกำลังกายภายในบ้านด้วยท่ากายบริหารร่างกายแบบฤๅษีดัดตน และควรทำกิจกรรมเพื่อผ่อนคลายความเครียด เช่น การสวดมนต์ ทำสมาธิ ฟังเพลง เป็นต้น ช่วยให้จิตใจเบิกบาน” นพ.สรรพงศ์ กล่าว

https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_2175158

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มี.ค. 2019, 21:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การระลึกถึงความตายแบบพุทธ กับ ระลึกถึงความตายแบบชาวบ้าน มีความแตกต่างกัน คร่าวๆดังนี้

ชาวบ้านทั่วๆไป นึกถึงความตายแล้วสลดหดหู่ใจ เกิดความเศร้าสร้อย ความเหี่ยวแห้งใจ บ้าง
เกิดความหวั่นกลัว หวาดเสียวใจ บ้าง
เกิดความท้อถอยไม่อยากทำอะไร ตายแล้วเอาอะไรติดตัวไปไม่ได้ ไม่รู้จะทำไปทำไม ถึงจำเป็นต้องทำงาน ก็ทำทำแบบซังกะตายเซ็งเป็ด บ้าง
ครั้นนึกถึงความตายของคนที่โกรธกันเป็นศัตรูกัน เกิดความดีใจ

ส่วนการนึกถึงความตายแบบพุทธ คือ คิดถูกวิธี เกิดกุศลธรรม คือ เกิดความรู้สึกตื่นตัวเร้าใจ ไม่ประมาท เร่งขวนขวายปฏิบัติกิจหน้าที่ ทำสิ่งดีงามเป็นประโยชน์ ประพฤติปฏิบัติธรรม ตลอดจนรู้เท่าทันความจริง ที่เป็นคติธรรมดาของสังขาร

ท่านกล่าวว่า การคิดถึงความตายอย่างถูกวิธี จะประกอบด้วย
สติ (ความคุมคงใจไว้ หรือ มีใจอยู่กับตัว ระลึกรู้ถึงสิ่งที่พึงเกี่ยวข้องจัดทำ)
สังเวค (ความรู้สึกเร้าใจ ได้คิด และสำนึกที่จะเร่งรีบทำการที่ควรทำ) และ
ญาณ (ความรู้เท่าทันธรรมดา หรือ รู้ตามความเป็นจริง)
นอกจากนั้น ท่านได้แนะนำอุบายแห่งโยนิโสมนสิการ เกี่ยวกับความตายไว้หลายอย่าง* (วิสุทฺธิ. 2/2-14)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มี.ค. 2019, 21:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อประมาณ 6-7 ปีก่อน พี่...มีอาการฉี่เป็นเลือด หามาหลายหมอ ก็ยังหาสาเหตุไม่ได้ สุดท้ายมาตรวจเจอกับหมอคนที่ห้า พบว่าเป็น “มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ ระยะที่ 4”

ครั้งแรกที่พี่แกรู้ว่า ตัวเองเป็นนี่ เหมือนโลกถล่มทลาย เรายังจำความเกรี้ยวกราดบนโซเชี่ยล ของพี่ได้ดี ตอนผ่าตัดครั้งแรกแผลใหญ่มาก นางวีน วี้ด บึ้ม ลงเฟสเลย 555555

จนเมื่อพี่เขาได้เข้ามาทางธรรมะ พี่...ค่อยๆเปลี่ยนไป ผ่านคีโม และการผ่าตัดอีกหลายครั้ง
ครั้งท้ายสุด ต้องทำทวารเทียม คือ ต้องต่อท่อปัสสาวะออกมาที่หน้าท้อง คือ มีอวัยวะที่ 33 คือ ถุงฉี่ นั่นเอง

เราเห็นพัฒนาการตั้งแต่พี่เขาเป็นแรกๆ ได้เจอครั้งสุดท้าย เมื่อปี 2557 พี่เขาก็ยังน่ารักเหมือนเดิม
แต่ที่ต่างไป คือ พี่เขานิ่งมาก เล่าทุกอย่างด้วยดวงตาวิบวับมีประกายแห่งความสุข (แต่ตอนนั้นเจอก่อนที่เขาจะเริ่มทราบว่ามะเร็งมันกระจายไปทั่วแล้ว)

พี่...ได้ไปเที่ยวญี่ปุ่นตามความฝัน ไปปฏิบัติธรรม เข้าคอร์สเตรียมตัวตาย จนภายหลังเชี่ยวชาญ จนได้เป็นวิทยากรเลย อิอิ
อาการของโรคก็ดำเนินมาจนถึงขั้นยุติการรักษา เหลือเพียงการรักษาแบบประคับประคอง (Palliative care) คือ ถ้าปวดก็ให้ยาแก้ปวด ท้องผูกก็สวน เหนื่อยมากก็เติมเลือด ปล่อยให้เป็นไปตามเวลา และอาการของโรคแบบเจ็บปวดน้อยที่สุด

พี่ได้เขียนพินัยกรรมชีวิตไว้ตั้งแต่สองปีก่อนที่จะเสีย ฝากไว้ที่พี่ชายเขา และเพื่อน ว่า ไม่ประสงค์จะยื้อความตาย ออกแบบงานศพตัวเอง จัดการทรัพย์สิน และสิ่งของส่วนตัวต่างๆ เงินทำบุญงานศพ ว่า จะแบ่งไปทำบุญที่ไหนบ้าง
และที่เกร๋กว่านั้น คือ บอกว่า งานศพห้ามใส่สีดำ ใส่สีอะไรก็ได้ สีขาวก็ได้ เพราะมัน คือ งานบุญ รูปวางหน้าศพก็รูปที่สวยที่สุด ที่พี่เขาเลือกเอง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มี.ค. 2019, 22:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


เอ่? s006


ลุงกรัชกายค๊ะ

มีแบบชาวบ้าน
แบบพุทธ

แล้วพระอริยะบุคคล แต่ละระดับ มีระลึกถึงความตาย กันยังไงน๊อ ?


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มี.ค. 2019, 22:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
เอ่? s006


ลุงกรัชกายค๊ะ

มีแบบชาวบ้าน
แบบพุทธ

แล้วพระอริยะบุคคล แต่ละระดับ มีระลึกถึงความตาย กันยังไงน๊อ ?


ง. ความเป็นกันเอง กับ ชีวิต ความตาย การพลัดพราก และมีเมตตากรุณาต่อทุกชีวิต

"จะมีชีวิตอยู่ ก็ไม่เดือดร้อน ถึงจะตายก็ไม่เศร้าโศก ถ้าเป็นปราชญ์ มองเห็นที่หมายแล้ว ถึงอยู่ท่ามกลางความเศร้าโศก ก็หาโศกเศร้าไม่" (ขุ.อุ.25/108/142)

"ความตาย เราก็มิได้ชื่นชอบ ชีวิตเราก็มิได้ติดใจ เราจักทอดทิ้งกายนี้ อย่างมีสัมปชัญญะ มีสติมั่น ความตายเราก็มิได้ชื่นชอบ ชีวิตเราก็มิได้ติดใจ เรารอท่าเวลา เหมือนคนรับจ้างทำงานเสร็จแล้ว รอรับค่าจ้าง" (ขุ.เถร.26/396/403 ฯลฯ)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มี.ค. 2019, 22:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ครั้งหนึ่ง พระอานนท์ถามพระสารีบุตรอัครสาวกของพระพุทธเจ้าว่า ถ้าพระบรมศาสดามีอันเป็นอย่างไรไป คือทรงล่วงลับจากไป พระสารีบุตรจะเกิดความเศร้าโศกหรือไม่

พระสารีบุตรได้ตอบว่า

"ถึงแม้พระศาสดาจะทรงมีอันเป็นไป ความโศก ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส ก็ไม่พึงบังเกิดแก่ผม ก็แต่ผมจะมีความคิดว่า ท่านผู้มเหศักดิ์ ซึ่งมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก ได้ลับหายไปเสียแล้วหนอ หากพระผู้มีพระภาคจะพึงทรงดำรงอยู่ยั่งยืนนาน ข้อนั้น ก็จักเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ชนเป็นอันมาก เพื่อความสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์ชาวโลก" (สํ.นิ.16/690/319)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มี.ค. 2019, 22:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พระเถระชื่ออธิมุตต์ ถูกพวกโจรจับไป ท่านไม่มีความหวาดหวั่นกลัวภัย นายโจรแปลกใจ กล่าวคำซักถาม
ต่อไปนี้เป็นคำถามของนายโจร และคำตอบส่วนหนึ่งของพระเถระ


"ก่อนนี้ เราจะฆ่าใครเพื่อบูชายัญ ก็ดี เพื่อเอาทรัพย์ ก็ดี คนเหล่านั้นล้วนกลัวภัย ตัวสั่นและพร่ำเพ้อ แต่ท่านไม่มีความกลัวเลย สีหน้าก็ผ่องใสนัก เหตุใดท่านจึงไม่คร่ำครวญ ในเมื่อภัยใหญ่ถึงเพียงนี้"

"แน่ะนายโจร ทุกข์ทางใจ ย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่ห่วงใยชีวิต ผู้สิ้นสังโยชน์แล้ว ข้ามพ้นความกลัวทุกชนิด ...เราไม่กลัวความตาย เหมือนคนไม่กลัวที่จะวางภาระลง...

"ผู้ใดบรรลุอุดมธรรมแล้ว ไม่ต้องการอะไรในโลกทั้งหมด ย่อมไม่เศร้าโศกเพราะความตาย เหมือนคนพ้นไปได้จากเรือนที่ไฟไหม้ สิ่งใดๆ ที่มีในโลกนี้ก็ดี ภพที่สัตว์จะได้ก็ดี ทั้งหมดนี้ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าเป็นของไม่อิสระ...เราไม่ความคิดว่า เราได้เป็น เราจะเป็นหรือจะไม่เป็น หรือว่าสังขารจักหายสูญไป แล้วจะคร่ำครวญไปทำไมเพราะเรื่องสังขารนั้นเล่า

"นี่แน่ะนายโจร ผู้ที่มองเห็นตามเป็นจริงว่า มีแต่ความเกิดขึ้นๆแห่งธรรมล้วนๆ มีแต่การสืบต่อแห่งสังขารล้วนๆ ย่อมไม่มีความกลัวเลย

"เมื่อใด บุคคลมองด้วยปัญญา เห็นโลกเสมอด้วยท่อนไม้ใบหญ้า เมื่อนั้น เขาไม่พบกับการที่จะต้องยึดอะไรว่าเป็นของเรา ย่อมจะไม่เศร้าโศกว่า ของเราไม่มี ร่างกาย เราก็หมดความต้องการแล้ว ภพเราก็ไม่ปรารถนา กายนี้ จักแตกพังไป กายอื่นก็จะไม่มี ท่านมีกิจอะไรจะทำกับร่างกายของเรา ก็จงทำกิจนั้นตามที่ท่านปรารถนา เราจะไม่มีความโกรธเคือง หรือความรักใคร่ เพราะการกระทำของท่านนั้นเลย"


พวกโจรฟังคำของพระเถระแล้วขนลุกขนชัน พากันวางอาวุธ ซักถามอีกเล็กน้อยแล้ว ยอมมอบตัวเป็นศิษย์ บางคนก็ขอบวชเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนา (ขุ.เถร. 26/385/369)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 เม.ย. 2019, 18:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ล่าสุดวันนี้ วันที่ 20 เมษายน 62 เพจเฟซบุ๊ก "หมอเมย์ สู้มะเร็งระยะสุดท้าย" ถูกโพสต์ข้อความโดยสามีข้อหมอเมย์ โดยแจ้งข่าวให้ทราบว่า ...

ชีวิตเปรียบเสมือนการเดินทาง จุดหมายหนึ่งในนั้น คือ ความตาย แต่นั่นเป็นเพียงการเริ่มต้นใหม่

วันนี้หมอเมย์ได้เดินทางไปสู่โลกใหม่ที่สว่างสดใส หลังจากผ่านวัน และค่ำคืนอันยาวนานกว่า 4 เดือน ด้วยกำลังใจอันแรงกล้า ความหวัง และความศรัทธา (ระยะของโรคมะเร็งกระเพาะอาหารที่แพร่กระจายอย่างมากอยู่ได้ไม่นานไม่เกิน1เดือน)

ในช่วงเวลาเหล่านั้น หมอเมย์ได้ให้มุมมอง และความคิดเชิงบวก ให้กำลังใจกับทุกคนที่พบเจอปัญหา หรืออุปสรรคในชีวิตโดยเฉพาะผู้ป่วยมะเร็ง ให้มีความหวัง รู้จักคุณค่าของชีวิต ให้คุณค่าของทุกๆลมหายใจที่มีอยู่

ส่วนคนที่อยู่ต่อ ยังคงเดินทางและรับผิดชอบความรู้สึกตนเองต่อไปให้ได้ ต้องเข้มแข็งให้มากๆ

คุณงามความดีที่หมอเมย์ได้ช่วยเหลือคนไข้มากมาย ความสดใสร่าเริง รอยยิ้มที่แสนพิเศษ เป็นที่รักใคร่จากทุกๆคนที่พบเจอและรู้จักเสมอ

หลับให้สบายนะจ๊ะคนดี ภรรยาที่สุดแสนวิเศษ

รูปภาพ

(ต่อข้างล่าง)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 เม.ย. 2019, 18:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จากกรณีเพจ หมอเมย์สู้มะเร็งระยะสุดท้าย ได้ออกมาเผยแพร่เรื่องราวโดยได้ระบุข้อความว่า...

สัญญาณเตือนของโรคมะเร็ง

ตอนที่เมย์ท้องลูกคนที่สอง มีอาการอ้วกเป็นเลือดไหลไม่หยุด จนช๊อคเมื่ออายุครรภ์ได้ 36 สัปดาห์ คิดว่ามะเร็งน่าจะอยู่กับเรามาตั้งแต่ตอนนั้นแล้วล่ะ
แต่ตอนนั้นไม่ได้ตัดชิ้นเนื้อเพื่อตรวจหามะเร็ง เพราะมีอีกหนึ่งชีวิตอยู่ด้วย เวลาจึงล่วงเลยต่อมา เมย์อยากจะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ การจะหยุดเต้าเพื่อรักษา H.pylori จึงเป็นเรื่องรองลงไป
ช่วงนั้นร่างกายก็เริ่มมีสัณญาณบอกถึงความล้า เรี่ยวแรงน้อยลง ต้องกินกาแฟทุกวันเพื่อให้มีแรง แต่ก็ไม่ได้คิดถึงเจ้าเนื้อร้ายอยู่ดี เพราะแม่ลูกอ่อนก็เหนื่อยแบบนี้เป็นปกติ หากย้อนเวลากลับไปได้ อยากจะรีบไปส่องกล้องซ้ำตั้งแต่ 3 เดือนแรก

วันที่รู้ผลว่าเป็นมะเร็ง ยังผ่าตัดคนไข้อยู่เลย

จุดที่ตัดสินใจไปตรวจ เพราะว่าไอเยอะมา 1 สัปดาห์กว่าๆ ไม่มีไข้ ไอจนเริ่มหายใจไม่สุด จึงไปตรวจ x-ray หน้าอกดู พบว่ามีจุดเล็กๆ คิดว่าเป็นวัณโรครึป่าว จึงไป CT scan ปอดซ้ำ ผลก็ออกมาว่ามีจุดเล็กๆ เต็มปอดเลย สงสัยวัณโรค หรือ มะเร็ง แต่ใจตอนนั้นยังสงสัยวัณโรคมากกว่าอยู่นะคะ
แต่อาจารย์ให้เราลองตัดเอาต่อมน้ำเหลืองที่คอไปตรวจดู และเราก็เจาะเลือดส่งผลค่ามะเร็งต่างๆไปด้วยเลย อาจารย์โทรมาบอกผล Lab เมย์ไม่ค่อยดีเลยนะคะ อยากให้เข้ามาเจอ ที่โรงพยาบาลหน่อย เมย์จึงถามกลับไปว่าเป็นอะไรหรอคะ อาจารย์จึงบอกกลับมาว่าผลตรวจเจอเซลล์มะเร็งที่ต่อมน้ำเหลือง

หลังจากผ่าตัดคนไข้เสร็จ เมย์ก็ขึ้นไปเจอหน้าลูกและสามี ก็ร้องไห้หนักมาก แต่ใจยังสู้ คิดว่าฉันต้องหายสิ ลูกยังเล็ก ยังน่ารัก จะเป็นอะไรไปตอนนี้ไม่ได้
จากนั้นรีบโทรหาคุณพ่อ ทันทีที่คุณพ่อทราบข่าว พ่อซึ่งรักเรามากกว่าใครในโลกนี้ บินมาหาเมย์ที่ กทม ด้วยความรวดเร็ว และพาเมย์บินกลับมารักษาตัวที่เชียงใหม่ พร้อมคำพูดที่อบอุ่นหัวใจที่สุดว่า กลับบ้านเรามารักษาตัวกันนะ ลูกจะต้องหายพระเจ้าไม่ทอดทิ้งเรา

ตอนนี้มะเร็งได้ลามไปที่ปอด ต่อมน้ำเหลืองที่คอ และกระดูกสันหลังเล็กน้อย เมย์เข้ารับการรักษาด้วยเคมีบำบัดมาแล้ว 3 คอร์ส รู้สึกว่าอาการของตัวเองเริ่มดีขึ้น ร่างกายปรับตัวกับยาเคมีบำบัดได้ดี แต่ขณะกำลังจะเริ่มคอร์สที่ 4 เมย์มีถ่ายเป็นเลือดสดอีกครั้ง และไอ เมย์ติดหวัดจากลูกสาว น้องอันย่านั่นเอง ทั้งบ้านติดกันหมด คุณยาย คุณตา น้องแอรอน ป้าๆ พี่เลี้ยง เมย์เองซึ่งเป็นผู้ป่วยที่มีภูมิต้านทานต่ำที่สุดในบ้านก็ไม่รอดสิคะ ติดเชื้อลงปอดเลยค่ะ

ตอนนี้ก็กำลังอดทนให้มากๆ อยู่ค่ะ เนื่องจากเมย์ยังอยากมีลมหายใจอยู่บนโลกใบนี้อยู่เสี่ยงเสียชีวิตกับภาวะแทรกซ้อน

ยิ่งไปกว่านั้นคือ เมย์ต้องเผชิญกับภาวะแทรกซ้อนที่สามารถทำให้เสียชีวิตได้เลย นั่นคือ DIC (Disseminated Intravascular Coagulation) หรือภาวะเลือดแข็งตัวในหลอดเลือดแบบแพร่กระจาย คือ ภาวะที่กลไกการแข็งตัวของเลือดทำงานผิดปกติและเกิดการแพร่กระจาย ซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดลิ่มเลือดที่ทำให้เส้นเลือดอุดตันทั้งแบบกึ่งเฉียบพลันหรือเรื้อรัง ลดการไหลเวียนของเลือดและอุดกั้นไม่ให้เลือดไปหล่อเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย โดยความรุนแรงของโรคจะแตกต่างกันออกไป ตั้งแต่การห้ามเลือดของร่างกายที่ผิดปกติ ไปจนถึงอวัยวะในร่างกายล้มเหลว และอาจเป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้

ชีวิตเมย์ยังคงโชคดีที่คุณพ่ออันเป็นที่รักเป็นหมอ คุณแม่สุดที่รักเป็นพยาบาล คุณพ่อเรียกรถพยาบาลด้วยความรวดเร็ว ได้เจาะเลือดตรวจและให้น้ำเกลือด้วยความรวดเร็วไม่งั้นช็อคแน่ๆ
ยังมีคนอีกมาก ที่ไม่ได้มีความรู้ด้านการแพทย์มากนัก และบ้านไกล ถ้าเป็นแบบเดียวกับเมย์อาจจะได้รับการรักษาที่ไม่ทันท่วงที

ตอนนี้เมย์ยังต้องนอนพักอยู่ที่ห้อง ICU รอคอยว่าเลือดจะกลับมาปกติดี นอนไปฝันไปว่า อีกเดี๋ยวก็ออกโรงพยาบาลไป จะไปแต่งตัวสวยๆ ได้เหมือนเดิมแล้ว อยากกลับมายืน เดิน เริ่มหัดออกกำลังกาย กลับมาดูแลตัวเองให้ดีขึ้นกว่าเดิมทุกครั้งที่ตื่นนอน ยังคงเห็นคุณค่าของทุกลมหายใจเสมอ

ขอบคุณสำหรับทุกๆ การบริจาคโลหิต เป็นการทำบุญกุศลที่ยิ่งใหญ่ให้เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน โดยที่ไม่ต้องนำเงินใดๆ ไปซื้อมา ซึ่งการรักษาของเมย์นั้นต้องใช้เลือดพลาสมา เกร็ดเลือด และองค์ประกอบต่างๆของเลือด มากถึงวันละ 20 units กันเลยทีเดียว เหมือนเมย์กำลังได้รับการต่อลมหายใจอยู่ในขณะนี้ มันมีความหมายสำหรับชีวิตผู้หญิงๆ ตัวเล็กคนนี้มากจริงๆ ขอให้บุญกุศลของทุกท่านที่บริจาคโลหิตนั้น ขอให้ท่านได้รับกลับคืนเป็นร้อยเท่าพันเท่าค่ะ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 เม.ย. 2019, 18:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก จากบุคคลอันเป็นที่รัก เป็นทุกข์
ทุกคนรักชีวิต รักตัวกลัวตาย อยากอยู่ ไม่อยากตาย ดังธรรมบรรยายศีลที่เป็นพุทธพจน์ดังนี้


"คหบดีทั้งหลาย เราจักแสดงธรรมบรรยายสำหรับน้อมเข้ามาเทียบตัว....

๑) อริยสาวก ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า เราเองอยากมีชีวิต ไม่อยากตาย รักสุข เกลียดทุกข์ ถ้าใครจะปลงชีวิตเรา ผู้อยากอยู่ ไม่อยากตาย รักสุข เกลียดทุกข์ ก็จะไม่เป็นที่ชื่นชอบที่พอใจแก่เรา
ก็ถ้าเราจะปลงชีวิตคนอื่น ผู้อยากอยู่ ไม่อยากตาย รักสุข เกลียดทุกข์ ก็จะไม่เป็นข้อที่ชื่นชอบที่พอใจแก่คนอื่น เหมือนกัน

สิ่งใดตัวเราเองไม่ชื่นชอบ ไม่พอใจ ถึงคนอื่นเขาก็ไม่ชื่นชอบ ไม่พอใจ เหมือนกัน สิ่งใด ตัวเราเองก็ไม่ชอบ ไม่พอใจ ไฉนจะพึงเอาไปผูกใส่คนอื่นเล่า

อริยสาวกนั้น พิจารณาเห็นดังนี้แล้ว ย่อมงดเว้นจากปาณาติบาตด้วยตนเองด้วย ย่อมชักชวนผู้อื่นให้งดเว้นจากปาณาติบาตด้วย ย่อมกล่าวสรรเสริญคุณแห่งการงดเว้นจากปาณาติบาตด้วย กายสมาจารของอริยสาวกนั้น ย่อมบริสุทธิ์ทั้งสามด้านอย่างนี้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ค. 2019, 20:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เม็ดขนุนต้ม ของกินเล่นราคาถูก แต่ประโยชน์มาก ช่วยต้านมะเร็ง ชะลอความแก่

https://www.google.co.th/search?q=%E0%B ... oxsZ2NNxsM:


รูปภาพ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ธ.ค. 2019, 20:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คนรู้จัก สูบบุหรี่มานาน แรกไปตรวจพบจุดดำที่ปอด แพทย์ให้ยาควบคุมได้แล้ว และแนะนำให้เลิกบุหรี่ ตนเลิกไม่ได้ (แพ้ความอยาก) ยังสูบอยู่ทุกวัน ปัจจุบันมะเร็งลามไปที่ต่อมน้ำเหลืองแพร่กระจายแล้ว ร่างกายซูบผอม แต่ก็ยังสูบบุหรี่อยู่ ดูแล้วไม่น่ามีชีวิตเกิน 2020

รูปภาพ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ธ.ค. 2019, 20:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การระลึกถึงความตายแบบพุทธ กับ ระลึกถึงความตายแบบชาวบ้าน มีความแตกต่างกัน คร่าวๆดังนี้

ชาวบ้านทั่วๆไป นึกถึงความตายแล้วสลดหดหู่ใจ เกิดความเศร้าสร้อย ความเหี่ยวแห้งใจ บ้าง เกิดความหวั่นกลัวหวาดเสียวใจบ้าง เกิดความท้อถอยไม่อยากทำอะไร ตายแล้วเอาอะไรติดตัวไปไม่ได้ ไม่รู้จะทำไปทำไม ถึงจำเป็นต้องทำงานก็ทำทำแบบซังกะตายเซ็งเป็ด บ้าง ครั้นนึกถึงความตายของคนที่โกรธกันเป็นศัตรูกัน เกิดความดีใจ

ส่วนการนึกถึงความตายแบบพุทธ คือ คิดถูกวิธี เกิดกุศลธรรม คือ เกิดความรู้สึกตื่นตัวเร้าใจ ไม่ประมาท เร่งขวนขวายปฏิบัติกิจหน้าที่ ทำสิ่งดีงามเป็นประโยชน์ ประพฤติปฏิบัติธรรม ตลอดจนรู้เท่าทันความจริง ที่เป็นคติธรรมดาของสังขาร

ท่านกล่าวว่า การคิดถึงความตายอย่างถูกวิธี จะประกอบด้วย

สติ (ความคุมคงใจไว้ หรือมีใจอยู่กับตัว ระลึกรู้ถึงสิ่งที่พึงเกี่ยวข้องจัดทำ)
สังเวค (ความรู้สึกเร้าใจ ได้คิด และสำนึกที่จะเร่งรีบทำการที่ควรทำ) และ
ญาณ (ความรู้เท่าทันธรรมดา หรือรู้ตามความเป็นจริง) นอกจากนั้น ท่านได้แนะนำอุบายแห่งโยนิโสมนสิการเกี่ยวกับความตายไว้หลายอย่าง (วิสุทฺธิ. 2/2-14)


รูปภาพ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มิ.ย. 2020, 20:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


“มะเร็งตับ” พบมากเป็นอันดับ 1 ในไทย

กรมการแพทย์ เผย "มะเร็งตับ" พบมากเป็นอันดับ 1 ในไทย แนะปรับพฤติกรรมสุขภาพลดเสี่ยง

นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ประเทศไทยมีผู้ป่วยมะเร็งทั้งหมด ปีละ 122,757 ราย
มะเร็งตับ และท่อน้ำดี ถือเป็นมะเร็งที่พบเป็นอันดับ 1 ในเพศชาย และอันดับ 2 ในเพศหญิง
จากข้อมูลทะเบียนมะเร็งประเทศไทย (ปี 2558) พบว่ามีผู้ป่วยมะเร็งตับรายใหม่ 20,671 ราย ในจำนวนนี้มีผู้เสียชีวิต 15,912 ราย ซึ่งมะเร็งตับที่พบมากในประเทศไทยมี 2 ชนิด คือ
มะเร็งของเซลล์ตับ และมะเร็งท่อน้ำดีตับ โดยพบมากในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ สาเหตุของมะเร็งตับเกิดจากการเป็นพาหะของไวรัสตับอักเสบชนิดบี
ส่วนสาเหตุของมะเร็งท่อน้ำดีเกิดจากพยาธิใบไม้ตับ ร่วมกับการรับประทานอาหารที่มีดินประสิว (ไนเตรท) และไนไตรท์ เช่น ปลาร้า ปลาจ่อม ปลาส้ม แหนม ฯลฯ นอกจากนี้ การดื่มสุราเป็นประจำ การรับสารพิษอะฟลาทอกซินที่เกิดจากเชื้อราบางชนิดที่พบในอาหารประเภทถั่ว ข้าวโพด พริกแห้ง รวมถึงไวรัสตับอักเสบชนิดซีก็เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ทำให้เกิดมะเร็งตับได้

https://www.innnews.co.th/social/news_697283/

นี่ก็เสียชีวิตแล้วเพราะมะเร็งตับ

https://www.facebook.com/jintana.chaiyo ... 3MjU5MzI5/

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ส.ค. 2020, 16:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มีตัวอย่างคนรักษามะเร็ง 70/30 ปลงใจไม่หายก็ตายแล ปรากฏว่า ยังไม่ตาย เข้าตำราพบทุกข์จึงเห็นธรรม ไม่เห็นทุกข์ก็ไม่เห็นธรรม


เมื่อเราเป็นมะเร็งและเกือบตาย เพราะเชื่อ และรักษาตัวแบบผิดๆ (สมาธิช่วยได้จริงๆ)

เมื่อต้นปี 2558 เดือนมกราคม เราตรวจพบว่าเป็นมะเร็งเต้านมระยะ 2 และรักษาที่โรงพยาบาลภูมิพลและคุณหมอก็ได้ทำการนัดผ่าตัด วันที่ 2 กุมภาพันธ์ ซึ่งคุณหมอก็หาคิวให้แบบเร็วที่สุด (เราใช้บัตร 30 บาทในการรักษา) ตอนพบหมอก่อนผ่าตัด หมอก็บอกว่า (หมอขออย่างเดียว อย่ากินยาต้มหรือยาหม้อสมุนไพร นอกนั้นกินได้หมด หมอไม่ห้าม)

- ระยะเวลาก่อนที่จะผ่าตัด เราจิตตกไปมากเลย ไม่บอกใครว่าเราเป็นมะเร็ง เก็บตัวอยู่แต่บนเตียงไม่อยากทำอะไร ตื่นมาก็คิดแต่ว่า ฉันเป็นมะเร็งและทำไมต้องเป็นฉัน ช่วงระยะเวลานั้นห่อเหี่ยวไปหมดเป็นอยู่ประมาณ 2 อาทิตย์

- ระหว่างรอที่จะผ่าตัด เราก็ปฏิบัติธรรมเองที่บ้าน เก็บตัวอยู่เงียบๆ ไม่อยากคุยกับใคร นั่งสมาธิและสวดมนต์ ตลอดเวลา (วันหนึ่งๆนั่งสมาธิหลายรอบ) จนวันหนึ่ง เราตื่นขึ้นมา และก็นึกไปว่า เรายังไม่ตายนี่ ยังเดินได้ยังขับรถได้ ยังทำอะไรได้เหมือนเดิม มะเร็งก็มะเร็งเถอะ ใจมันไม่กลัวขึ้นมาเลยทีนี้ ย้อนหลังกลับไปดูตัวเอง ตอนที่รู้สึกห่อเหี่ยวหดหู่ มันช่างหน้ากลัวจริงๆ คนที่พอรู้ว่าเป็นมะเร็งและถ้าท้อแท้หรือจิตใจเศร้าหมอง และถ้าตกอยู่ในอารมณ์นั้นๆ และคิดไม่ได้ มันหน้ากลัวมากๆ พลอยทำให้โรคกำเริบไปด้วย

ฯลฯ (ข้ามตอนรักษาวิธีของพระ)

เราโทรไปสอบถามกับพระว่าควรทำอย่างไรดี พระท่านก็ไม่รับสายเรา ได้แต่พิมพ์ทางข้อความ facebook ว่าไม่สะดวกรับสาย ให้พิมพ์ถาม เราเริ่มลังเลใจมากๆ ใจสุดท้าย ท่านก็พิมพ์บอกเราว่า แนะนำให้เราไปผ่าตัดและให้คีโม และค่อยกลับมารักษาตัวกลับที่วัดใหม่

จนเดือนมกราคม 2559 อาการเริ่มไม่ดี น้ำเหลืองจากใสๆ กลายเป็นน้ำเหลืองข้นๆ และขยายใหญ่ขึ้นเป็นวงกว้าง และรอบๆแผลเริ่มเปื่อย ถ้าหากว่าโดนหรือสะกิดก็จะเลือดไหล ต้องคอยซับทุกๆ 2 ชั่วโมง ทั้งปวดแผล ปวดลึกๆ ตุบๆ ในบางครั้ง

- ปลายเดือนมกราคม 2559 เลยติดสินใจ มาโรงพยาบาล พบคุณหมอคนเดิมที่เคยรักษาครั้งแรก พอหมอเห็นแผลท่านก็ได้แต่ส่ายหน้าว่า รักษาผ่าตัดให้ไม่ได้ เพราะแผลใหญ่เกิน แถมท่านยังต่อว่าอีกคือ หมอเคยขอแล้วใช่ไหมว่า อย่าไปกินยาต้มยาหม้อยาสมุนไพร แต่คุณก็ไปกิน ไม่เชื่อหมอ

-เราได้แต่นั่งร้องไห้ต่อหน้าหมอ เพราะเราผิดเองที่ไม่เชื่อหมอแต่แรก โรคเลยเป็นมากถ้าผ่าตัดตอนนั้น ก็คงไม่ทรมานแบบนี้

- เราทรมานมากๆ จากเดือน มกราคม-พฤษภาคม ระยะเวลาเกือบ 5 เดือน เราไม่เคยได้นอนหลับ (เราต้องใช้ท่านั่งหลับ เพราะถ้านอนราบ น้ำเหลืองจะไหลย้อนกลับทั้งเลือดด้วย) เราต้องนั่งหลับเอา ทรมานสุดๆ ไหนจะเลือดไหล ไหนจะน้ำเหลืองไหลตลอด คิดย้อนไปแล้ว มันช่างน่าสงสารตัวเองจริงๆ

และระยะเวลาการให้คีโมนี้เองที่เราก็ปฏิบัติธรรมแบบเร่งความเพียรมากๆ จิตใจไม่ท้อแท้ตามร่างกาย กลับสดชื่นในจิตใจลึกๆ ทุกครั้งที่เรานั่งสมาธิ เราแผ่เมตตาให้ตัวเอง และเจ้ากรรมนายเวร และอธิฐานว่า เราไม่รู้ว่าเราทำกรรมอะไรไว้ แต่เราขอชดใช้ให้

ถ้าหากว่าไม่พอใจที่เราทำยังไม่พอคือนั่งสมาธิ ก็เอาเราตายไปเลย เราไม่กลัวตาย

แต่ถ้าหากว่าเราไม่ตาย เราก็จะนั่งสมาธิต่อไป (เราอธิฐานแบบนี้ทุกครั้ง) และเราคิดว่าชีวิตที่เหลือคือโบนัส ถ้าไม่ตายก็ จะสร้างบุญใส่ตัวไปเรื่อยๆ เพราะว่าตายแล้วอะไรเอาไปไม่ได้นอกจากบุญกับบาปเท่านั้น

- เวลาที่เรานั่งสมาธิ เหมือนถึงจุดที่สงบแล้ว เราจะเพ่งไปที่ก้อนเนื้อ และแผ่เมตตาให้ตัวเอง ค่อยๆไล่ลมออกทางปลายเท้า

- สรุปเราก็ไม่ต้องให้คีโมต่อ แต่ว่าฉายแสง25 แสง ก็จบกระบวนการรักษาทานยาวันเม็ด ต้านโฮโมน (5 ปี)

- เราดีใจมากที่ไม่ต้องให้คีโมต่อ เหมือนตายแล้วเกิดใหม่ ทุกวันนี้เราไปพบหมอ หมอก็ได้แต่บอกว่า คุณต้องทำบุญมามาก หรือมีบุญเก่ามาช่วย เพราะว่าในเคสของเรา ทุกอย่างมันหน้าจะแย่กว่านี้ แต่ของเราพอผ่าตัดเสร็จ ทุกๆอย่าง ปรกติดีหมด

- หลังผ่าตัดจนถึงปัจจุบัน ร่างกายเราแข็งแรงมากๆ ดีกว่าเดิมด้วยซ้ำ สดชื่นตลอดเวลา และระหว่างเราเป็นมะเร็ง เราไม่เคยปวดหัวเลย (ก่อนหน้าที่จะรู้ว่าเป็นมะเร็ง จะปวดหัวบ่อยๆ ต้องทานยาแก้ปวด) 2 ปีที่ผ่านมา ไม่เคยปวดหัวสักครั้ง เป็นไข้ก็ไม่เป็น ปวดท้องก็ไม่ปวด ไม่ติดเชื้อเลย

- แต่เราก็ไม่ประมาทในชีวิต เพราะเราผ่านความเจ็บปวดทรมานมากๆมาแล้ว ทนทุกข์กับร่างกายสังขารที่แย่สุดๆ เราต่อสู้ความเจ็บปวดด้วยสมาธิและการปฏิบัติธรรม ไม่กลัวความตายเลย ยิ่งภาวนามากๆ จิตใจยิ่งเข้มแข็ง มองเห็นความตายแค่เอื้อม

เรากลับรู้สึกขอบคุณ มะเร็งที่ทำให้เราเข้าใจชีวิตมากขึ้น ทำให้เราไม่ประมาท ไม่เสียใจที่เป็นโรคมะเร็งเลย ภูมิใจด้วยซ้ำที่เราต่อสู้มาได้ คำว่ามะเร็งเรารู้สึกเฉยๆ ถ้าใจเราดีแล้ว ร่างกายก็แค่นั้น (เราคิดแบบนั้นจริง)

เราใช้ชีวิตได้ปรกติแล้วตอนนี้ เราเป็นโรคมะเร็ง มีไม่กี่คนที่รู้ว่าเราไม่สบายถ้าเราไม่บอก ก็ไม่มีใครรู้เลย แม้แต่ใกล้ๆบ้านเรา ไม่มีใครรู้เลย เวลาที่เราเห็นคนเป็นมะเร็ง และท้อแท้หดหู่และไม่สู้กับชีวิต เราอยากจะบอกว่า ถ้ายังมีลมหายใจอยู่ ยังไม่ตาย ก็อย่าได้ไปท้อแท้เลย สู้กับมัน ไม่แพ้ก็ชนะ อย่างดีก็แค่ตายเท่านั้น ใจนั้นสำคัญที่สุด ถ้าใจเราเข้มแข็งแล้ว อะไรก็ทำอะไรเราไม่ได้

- เราไม่โกรธทางวัดที่แนะนำเราแต่แรกแบบผิดๆในการรักษา ที่ทำให้เราเกือบเอาชีวิตไม่รอดและต้องเจอกับความเจ็บปวดทุกข์ทรมานร่างกาย เราคิดแค่ว่า มันเป็นวิบากกรรม ที่เราต้องเจอ ต่อให้ต่อไปนี้ ถ้าเราต้องเจออะไรอีก เราก็พร้อมที่จะรับมือกับมัน และต่อสู้ต่อไป จนกว่าจะหมดลมหายใจ

- เรายอมออกมาเปิดเผยเรื่องราวตัวเอง เพราะว่าต้องการให้คนที่กำลังตัดสินใจในการรักษาตัวเอง ถ้าเกิดเป็นโรคแบบเรา จะได้ไม่ตัดสินใจผิดพลาด และต้องเจอกับความเจ็บปวดทรมาน และเสี่ยงกับความตาย ถ้ารักษาไม่ทัน หวังว่าคงเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยสำหรับคนที่ได้อ่านเรื่องราวของเรา

- แถมท้ายค่ะ...ตั้งแต่เรากลับมารักษาตัวกับแพทย์ปัจจุบัน เราใช้บัตร 30 บาท ในการรักษา ไม่เสียเงินเลย ทุกอย่างฟรีทุกขั้นตอน

ทุกวันนี้ ใครให้กินยาบำรุง หรือยาอะไรที่ว่า แก้มะเร็งได้ เราไม่กิน ต่อให้กินฟรีเราก็ไม่กิน เสียเงินเราก็ไม่กิน 30% เรารักษาตามที่หมอบอกให้ทำ ส่วนอีก 70% เรารักษาใจเรา ปฏิบัติธรรมให้ใจเข้มแข็งดีที่สุด

https://pantip.com/topic/36077522

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 49 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 42 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร