วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 20:53  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 52 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2019, 19:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


อนัตตลักขณสูตร
ขออนุญาตขอก๊อปขอวผู้รู้มาฝาก
อนัตตลักขณสูตร แปลว่า พระสูตรที่แสดงลักษณะ คือเครื่องกำหนดหมายว่าเป็น อนัตตา มิใช่อัตตาตัวตน พระสูตรนี้มีใจความโดยย่อดังต่อไปนี้:-

ตอนที่ ๑ พระบรมศาสดาได้ทรงแสดง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ว่าเป็นอนัตตา มิใช่อัตตาตัวตน ถ้าทั้งห้านี้ พึงเป็นอัตตาตัวตน ทั้งห้านี้ก็พึงไม่เป็นไปเพื่ออาพาธและบุคคลก็จะพึงได้ในส่วนทั้งห้านี้ว่า ขอให้เป็นอย่างนี้เถิด อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย แต่เพราะเหตุว่าทั้งห้านี้มิใช่อัตตาตัวตน ฉะนั้น ทั้งห้านี้จึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลก็ย่อมไม่ได้ในส่วนทั้งห้านี้ว่า ขอให้เป็นอย่างนี้เถิด อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย.

ตอนที่ ๒ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสสอบความรู้ความเห็นของท่านทั้งห้านั้น ตรัสถามว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ทั้งห้านี้เที่ยงหรือไม่เที่ยง ท่านทั้งห้า ทูลตอบว่าไม่เที่ยง ตรัสถามอีกว่า สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุข ท่านทั้งห้ากราบทูลว่าเป็นทุกข์ ก็ตรัสถามต่อไปว่า สิ่งใดไม่เที่ยงเป็นทุกข์มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา ควรหรือจะเห็นสิ่งนั้นว่า นี่เป็นของเรา เราเป็นนี่ นี่เป็นตัวตนของเรา ท่านทั้งห้าก็กราบทูลว่า ไม่ควรเห็นอย่างนั้น.

ตอนที่ ๓ พระพุทธเจ้าได้ตรัสสรุปลงว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ทั้งห้านี้ที่เป็นส่วนอดีตก็ดี เป็นส่วนอนาคตก็ดี เป็นส่วนปัจจุบันก็ดี เป็นส่วนภายในก็ดี เป็นส่วนภายนอกก็ดี เป็นส่วนหยาบก็ดี เป็นส่วนละเอียดก็ดี เป็นส่วนเลวก็ดี เป็นส่วนประณีตก็ดี อยู่ในที่ไกลก็ดี อยู่ในที่ใกล้ก็ดี ทั้งหมดก็สักแต่ว่าเป็นรูป เป็นเวทนา เป็นสัญญา เป็นสังขาร เป็นวิญญาณ ควรเห็นด้วยปัญญาชอบ ตามที่เป็นแล้วว่า นี่ไม่ใช่ของเรา เราไม่ใช่นี่ นี่ไม่ใช่ตัวตนของเรา.

ตอนที่ ๔ พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงผลที่เกิดแก่ผู้ฟังและเกิดความรู้เห็นชอบดั่งกล่าวมานั้นต่อไปว่า อริยสาวกคือผู้ฟังผู้ประเสริฐซึ่งได้สดับแล้วอย่างนี้ ย่อมเกิดนิพพิทา คือความหน่ายในรูป หน่ายในเวทนา หน่ายในสัญญา หน่ายในสังขาร หน่ายในวิญญาณ เมื่อหน่ายก็ย่อมสิ้นราคะ คือ สิ้นความติด ความยินดี ความกำหนัด เมื้อสิ้นราคะ ก็ย่อมวิมุตติ คือหลุดพ้น เมื่อวิมุตติ ก็ย่อมมีญาณ คือความรู้ว่าวิมุตติ หลุดพ้นแล้ว และย่อมรู้ว่า ชาติคือความเกิดสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำสำเร็จแล้ว ไม่มีกิจอื่นที่จะพึงทำเพื่อความเป็นเช่นนี้อีกต่อไป.

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2019, 20:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
อนัตตลักขณสูตร
ขออนุญาตขอก๊อปขอวผู้รู้มาฝาก
อนัตตลักขณสูตร แปลว่า พระสูตรที่แสดงลักษณะ คือเครื่องกำหนดหมายว่าเป็น อนัตตา มิใช่อัตตาตัวตน พระสูตรนี้มีใจความโดยย่อดังต่อไปนี้:-

ตอนที่ ๑ พระบรมศาสดาได้ทรงแสดง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ว่าเป็นอนัตตา มิใช่อัตตาตัวตน ถ้าทั้งห้านี้ พึงเป็นอัตตาตัวตน ทั้งห้านี้ก็พึงไม่เป็นไปเพื่ออาพาธและบุคคลก็จะพึงได้ในส่วนทั้งห้านี้ว่า ขอให้เป็นอย่างนี้เถิด อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย แต่เพราะเหตุว่าทั้งห้านี้มิใช่อัตตาตัวตน ฉะนั้น ทั้งห้านี้จึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลก็ย่อมไม่ได้ในส่วนทั้งห้านี้ว่า ขอให้เป็นอย่างนี้เถิด อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย.

ตอนที่ ๒ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสสอบความรู้ความเห็นของท่านทั้งห้านั้น ตรัสถามว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ทั้งห้านี้เที่ยงหรือไม่เที่ยง ท่านทั้งห้า ทูลตอบว่าไม่เที่ยง ตรัสถามอีกว่า สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุข ท่านทั้งห้ากราบทูลว่าเป็นทุกข์ ก็ตรัสถามต่อไปว่า สิ่งใดไม่เที่ยงเป็นทุกข์มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา ควรหรือจะเห็นสิ่งนั้นว่า นี่เป็นของเรา เราเป็นนี่ นี่เป็นตัวตนของเรา ท่านทั้งห้าก็กราบทูลว่า ไม่ควรเห็นอย่างนั้น.

ตอนที่ ๓ พระพุทธเจ้าได้ตรัสสรุปลงว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ทั้งห้านี้ที่เป็นส่วนอดีตก็ดี เป็นส่วนอนาคตก็ดี เป็นส่วนปัจจุบันก็ดี เป็นส่วนภายในก็ดี เป็นส่วนภายนอกก็ดี เป็นส่วนหยาบก็ดี เป็นส่วนละเอียดก็ดี เป็นส่วนเลวก็ดี เป็นส่วนประณีตก็ดี อยู่ในที่ไกลก็ดี อยู่ในที่ใกล้ก็ดี ทั้งหมดก็สักแต่ว่าเป็นรูป เป็นเวทนา เป็นสัญญา เป็นสังขาร เป็นวิญญาณ ควรเห็นด้วยปัญญาชอบ ตามที่เป็นแล้วว่า นี่ไม่ใช่ของเรา เราไม่ใช่นี่ นี่ไม่ใช่ตัวตนของเรา.

ตอนที่ ๔ พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงผลที่เกิดแก่ผู้ฟังและเกิดความรู้เห็นชอบดั่งกล่าวมานั้นต่อไปว่า อริยสาวกคือผู้ฟังผู้ประเสริฐซึ่งได้สดับแล้วอย่างนี้ ย่อมเกิดนิพพิทา คือความหน่ายในรูป หน่ายในเวทนา หน่ายในสัญญา หน่ายในสังขาร หน่ายในวิญญาณ เมื่อหน่ายก็ย่อมสิ้นราคะ คือ สิ้นความติด ความยินดี ความกำหนัด เมื้อสิ้นราคะ ก็ย่อมวิมุตติ คือหลุดพ้น เมื่อวิมุตติ ก็ย่อมมีญาณ คือความรู้ว่าวิมุตติ หลุดพ้นแล้ว และย่อมรู้ว่า ชาติคือความเกิดสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำสำเร็จแล้ว ไม่มีกิจอื่นที่จะพึงทำเพื่อความเป็นเช่นนี้อีกต่อไป.



เอางั้นเลยนะ คิกๆๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2019, 20:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นั่นเขาเขียนเล่าความ เรื่องจริงๆมันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก ให้ดูตัวอย่างหนึ่ง

ลมหายใจหาย อึดอัดทนไม่ไหว ไปต่อไม่ได้ ไม่รู้วิธี กรุณาช่วยให้คำแนะนำด้วยเถอะครับ

ประเด็นที่พบ

การนั่งครั้งหลังๆมานี้ เกิดสภาวะคล้ายๆเดิม ตลอดเกือบทุกครั้ง คือ มือหายไปจากความรู้สึก ไม่รู้สึกว่ามีมืออยู่ (รู้ว่ามี แต่รู้สึกว่าไม่มี ผมอธิบายไม่ถูก เชื่อว่าท่านผู้รู้คงเข้าใจผม) ก้น และต้นขาที่นั่งทับพื้นยังรู้สึกว่ามีอยู่ หลังที่นั่งพิงเก้าอี้ก็รู้สึกว่ายังมีอยู่ คือสรุปว่ามือหายทั้งสองข้าง อย่างอื่นที่เหลือยังรู้สึกถึงได้ อยู่ครบยังไม่หาย มีอาการตัวพองๆยุบๆบ้างแต่ก็ไม่บ่อย มีอาการหายเกือบทั้งตัวบ้างแต่น้อยมาก แต่ที่แน่ๆคือ มือทั้งสองข้างหายทุกครั้ง, ทุกครั้งจริงๆครับ นั่งแป๊บเดียวก็หายแล้ว และหายไปจากความรู้สึกตลอดเวลาที่ยังนั่งอยู่

ลมหายใจเริ่มแผ่วเบาลงเรื่อยๆ จนกระทั่งเหมือนลมหายไป เหมือนไม่ได้หายใจ ในครั้งแรกๆที่เจอสภาวะนี้ ผมตกใจทำอะไรไม่ถูก ตะลีตะลานรีบควานหาลม แล้วก็กลับมาหายใจแบบปกติ, แต่ในครั้งหลังๆ ผมจะพยายามทนอยู่กับสภาวะนี้ ซึ่งผมจะอึดอัดมาก และในที่สุดผมก็ทนไม่ไหว จนต้องบังคับให้ตัวเองหายใจด้วยการสูดยาว จึงจะกลับมารู้สึกว่าผมหายใจแล้ว ผมจึงเริ่มรู้ลมใหม่ .. แล้วลมก็แผ่ว .. แล้วลมก็หาย .. แล้วผมก็ทน .. แล้วผมก็ทนไม่ไหว .. แล้วผมก็สูดลม .. แล้วผมก็รู้ลม .. แล้วลมก็แผ่ว .. ฯลฯ วนรอบอยู่อย่างนี้ ซ้ำรอบอยู่อย่างนี้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ค. 2019, 02:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
นั่นเขาเขียนเล่าความ เรื่องจริงๆมันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก ให้ดูตัวอย่างหนึ่ง

ลมหายใจหาย อึดอัดทนไม่ไหว ไปต่อไม่ได้ ไม่รู้วิธี กรุณาช่วยให้คำแนะนำด้วยเถอะครับ

ประเด็นที่พบ

การนั่งครั้งหลังๆมานี้ เกิดสภาวะคล้ายๆเดิม ตลอดเกือบทุกครั้ง คือ มือหายไปจากความรู้สึก ไม่รู้สึกว่ามีมืออยู่ (รู้ว่ามี แต่รู้สึกว่าไม่มี ผมอธิบายไม่ถูก เชื่อว่าท่านผู้รู้คงเข้าใจผม) ก้น และต้นขาที่นั่งทับพื้นยังรู้สึกว่ามีอยู่ หลังที่นั่งพิงเก้าอี้ก็รู้สึกว่ายังมีอยู่ คือสรุปว่ามือหายทั้งสองข้าง อย่างอื่นที่เหลือยังรู้สึกถึงได้ อยู่ครบยังไม่หาย มีอาการตัวพองๆยุบๆบ้างแต่ก็ไม่บ่อย มีอาการหายเกือบทั้งตัวบ้างแต่น้อยมาก แต่ที่แน่ๆคือ มือทั้งสองข้างหายทุกครั้ง, ทุกครั้งจริงๆครับ นั่งแป๊บเดียวก็หายแล้ว และหายไปจากความรู้สึกตลอดเวลาที่ยังนั่งอยู่

ลมหายใจเริ่มแผ่วเบาลงเรื่อยๆ จนกระทั่งเหมือนลมหายไป เหมือนไม่ได้หายใจ ในครั้งแรกๆที่เจอสภาวะนี้ ผมตกใจทำอะไรไม่ถูก ตะลีตะลานรีบควานหาลม แล้วก็กลับมาหายใจแบบปกติ, แต่ในครั้งหลังๆ ผมจะพยายามทนอยู่กับสภาวะนี้ ซึ่งผมจะอึดอัดมาก และในที่สุดผมก็ทนไม่ไหว จนต้องบังคับให้ตัวเองหายใจด้วยการสูดยาว จึงจะกลับมารู้สึกว่าผมหายใจแล้ว ผมจึงเริ่มรู้ลมใหม่ .. แล้วลมก็แผ่ว .. แล้วลมก็หาย .. แล้วผมก็ทน .. แล้วผมก็ทนไม่ไหว .. แล้วผมก็สูดลม .. แล้วผมก็รู้ลม .. แล้วลมก็แผ่ว .. ฯลฯ วนรอบอยู่อย่างนี้ ซ้ำรอบอยู่อย่างนี้

ครเราอินทรีย์แตกต่างกัน. ที่ยกมาเพียงอยากให้ผู้ที่เรียนรู้ในพระธรรมว่า การบรรลุธรรมมะนั้นมัหลยาแบบหลายนัยยะเพียงฟังริดหน่อยก็บรรลุได้. บางคนสะสมมาน้อยต้องฟังมากๆถึงบรรลุก็เท่านั้นไม่ใช่กระตายขาเดียวว่าต้องอย่างนั้นอย่างเดียว. ผมเข้าคอร์สเพียง10วัน ก็ดำรงตนดำริออกจากกามมาตลอด17ปี ไม่เคยถอยกลับ คิดกำจัดดิเลสตลอด วันนี้ผมเดินกลับไปใช้ขีวิตปกติแบบคนทั่วไปก็อยากกว่าเดินไปข้างหน้าเสียอีก. บุคคลที่ท่านยกมาเจาต้องรอเวลามี่เหมาะสมเท่านั้น. ต้องเรียนรู้เพิ่มเติมให้ลึกให้กว้างกว่านี้กน่อยมีเท่านี้

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ค. 2019, 08:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
กรัชกาย เขียน:
นั่นเขาเขียนเล่าความ เรื่องจริงๆมันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก ให้ดูตัวอย่างหนึ่ง

ลมหายใจหาย อึดอัดทนไม่ไหว ไปต่อไม่ได้ ไม่รู้วิธี กรุณาช่วยให้คำแนะนำด้วยเถอะครับ

ประเด็นที่พบ

การนั่งครั้งหลังๆมานี้ เกิดสภาวะคล้ายๆเดิม ตลอดเกือบทุกครั้ง คือ มือหายไปจากความรู้สึก ไม่รู้สึกว่ามีมืออยู่ (รู้ว่ามี แต่รู้สึกว่าไม่มี ผมอธิบายไม่ถูก เชื่อว่าท่านผู้รู้คงเข้าใจผม) ก้น และต้นขาที่นั่งทับพื้นยังรู้สึกว่ามีอยู่ หลังที่นั่งพิงเก้าอี้ก็รู้สึกว่ายังมีอยู่ คือสรุปว่ามือหายทั้งสองข้าง อย่างอื่นที่เหลือยังรู้สึกถึงได้ อยู่ครบยังไม่หาย มีอาการตัวพองๆยุบๆบ้างแต่ก็ไม่บ่อย มีอาการหายเกือบทั้งตัวบ้างแต่น้อยมาก แต่ที่แน่ๆคือ มือทั้งสองข้างหายทุกครั้ง, ทุกครั้งจริงๆครับ นั่งแป๊บเดียวก็หายแล้ว และหายไปจากความรู้สึกตลอดเวลาที่ยังนั่งอยู่

ลมหายใจเริ่มแผ่วเบาลงเรื่อยๆ จนกระทั่งเหมือนลมหายไป เหมือนไม่ได้หายใจ ในครั้งแรกๆที่เจอสภาวะนี้ ผมตกใจทำอะไรไม่ถูก ตะลีตะลานรีบควานหาลม แล้วก็กลับมาหายใจแบบปกติ, แต่ในครั้งหลังๆ ผมจะพยายามทนอยู่กับสภาวะนี้ ซึ่งผมจะอึดอัดมาก และในที่สุดผมก็ทนไม่ไหว จนต้องบังคับให้ตัวเองหายใจด้วยการสูดยาว จึงจะกลับมารู้สึกว่าผมหายใจแล้ว ผมจึงเริ่มรู้ลมใหม่ .. แล้วลมก็แผ่ว .. แล้วลมก็หาย .. แล้วผมก็ทน .. แล้วผมก็ทนไม่ไหว .. แล้วผมก็สูดลม .. แล้วผมก็รู้ลม .. แล้วลมก็แผ่ว .. ฯลฯ วนรอบอยู่อย่างนี้ ซ้ำรอบอยู่อย่างนี้

ครเราอินทรีย์แตกต่างกัน. ที่ยกมาเพียงอยากให้ผู้ที่เรียนรู้ในพระธรรมว่า การบรรลุธรรมมะนั้นมัหลยาแบบหลายนัยยะเพียงฟังริดหน่อยก็บรรลุได้. บางคนสะสมมาน้อยต้องฟังมากๆถึงบรรลุก็เท่านั้นไม่ใช่กระตายขาเดียวว่าต้องอย่างนั้นอย่างเดียว. ผมเข้าคอร์สเพียง10วัน ก็ดำรงตนดำริออกจากกามมาตลอด17ปี ไม่เคยถอยกลับ คิดกำจัดดิเลสตลอด วันนี้ผมเดินกลับไปใช้ขีวิตปกติแบบคนทั่วไปก็อยากกว่าเดินไปข้างหน้าเสียอีก. บุคคลที่ท่านยกมาเจาต้องรอเวลามี่เหมาะสมเท่านั้น. ต้องเรียนรู้เพิ่มเติมให้ลึกให้กว้างกว่านี้กน่อยมีเท่านี้



นั่นเขาเขียนเล่าเรื่องไว้ เราอ่านดูแล้วแหมง่ายๆง่ายจังเบย เหมือนเราเห็นตึกใหญ่แห่งหนึ่งแล้วนายช่างก็เขียนเล่าไว้ว่าขั้นตอนเป็นอย่างนี้ๆนะ จบ. เสร็จเป็นตึกหลังหนึ่ง คนอ่านแล้วบอกง่ายจัง คิกๆๆ แต่พอให้ไปทำเข้าเอง สองปียังไม่เสร็จ แดดก็ร้อน บางครั้งก็ท้อ ฉันใดก็ฉันนั้น นั่นเขาเขียนเล่าให้ฟัง แต่บิ๊กทู่อ่านแล้วร้องอ๋อง่ายจังง่ายจริงๆ บิ๊กทู๋รู้หรือว่าผู้นั้นเขาทำอะไรมาบ้างผ่านอะไรมาบ้าง :b14: เขาบรรลุอะไรเขารู้สึกยังไง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ค. 2019, 09:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
bigtoo เขียน:
กรัชกาย เขียน:
นั่นเขาเขียนเล่าความ เรื่องจริงๆมันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก ให้ดูตัวอย่างหนึ่ง

ลมหายใจหาย อึดอัดทนไม่ไหว ไปต่อไม่ได้ ไม่รู้วิธี กรุณาช่วยให้คำแนะนำด้วยเถอะครับ

ประเด็นที่พบ

การนั่งครั้งหลังๆมานี้ เกิดสภาวะคล้ายๆเดิม ตลอดเกือบทุกครั้ง คือ มือหายไปจากความรู้สึก ไม่รู้สึกว่ามีมืออยู่ (รู้ว่ามี แต่รู้สึกว่าไม่มี ผมอธิบายไม่ถูก เชื่อว่าท่านผู้รู้คงเข้าใจผม) ก้น และต้นขาที่นั่งทับพื้นยังรู้สึกว่ามีอยู่ หลังที่นั่งพิงเก้าอี้ก็รู้สึกว่ายังมีอยู่ คือสรุปว่ามือหายทั้งสองข้าง อย่างอื่นที่เหลือยังรู้สึกถึงได้ อยู่ครบยังไม่หาย มีอาการตัวพองๆยุบๆบ้างแต่ก็ไม่บ่อย มีอาการหายเกือบทั้งตัวบ้างแต่น้อยมาก แต่ที่แน่ๆคือ มือทั้งสองข้างหายทุกครั้ง, ทุกครั้งจริงๆครับ นั่งแป๊บเดียวก็หายแล้ว และหายไปจากความรู้สึกตลอดเวลาที่ยังนั่งอยู่

ลมหายใจเริ่มแผ่วเบาลงเรื่อยๆ จนกระทั่งเหมือนลมหายไป เหมือนไม่ได้หายใจ ในครั้งแรกๆที่เจอสภาวะนี้ ผมตกใจทำอะไรไม่ถูก ตะลีตะลานรีบควานหาลม แล้วก็กลับมาหายใจแบบปกติ, แต่ในครั้งหลังๆ ผมจะพยายามทนอยู่กับสภาวะนี้ ซึ่งผมจะอึดอัดมาก และในที่สุดผมก็ทนไม่ไหว จนต้องบังคับให้ตัวเองหายใจด้วยการสูดยาว จึงจะกลับมารู้สึกว่าผมหายใจแล้ว ผมจึงเริ่มรู้ลมใหม่ .. แล้วลมก็แผ่ว .. แล้วลมก็หาย .. แล้วผมก็ทน .. แล้วผมก็ทนไม่ไหว .. แล้วผมก็สูดลม .. แล้วผมก็รู้ลม .. แล้วลมก็แผ่ว .. ฯลฯ วนรอบอยู่อย่างนี้ ซ้ำรอบอยู่อย่างนี้

ครเราอินทรีย์แตกต่างกัน. ที่ยกมาเพียงอยากให้ผู้ที่เรียนรู้ในพระธรรมว่า การบรรลุธรรมมะนั้นมัหลยาแบบหลายนัยยะเพียงฟังริดหน่อยก็บรรลุได้. บางคนสะสมมาน้อยต้องฟังมากๆถึงบรรลุก็เท่านั้นไม่ใช่กระตายขาเดียวว่าต้องอย่างนั้นอย่างเดียว. ผมเข้าคอร์สเพียง10วัน ก็ดำรงตนดำริออกจากกามมาตลอด17ปี ไม่เคยถอยกลับ คิดกำจัดดิเลสตลอด วันนี้ผมเดินกลับไปใช้ขีวิตปกติแบบคนทั่วไปก็อยากกว่าเดินไปข้างหน้าเสียอีก. บุคคลที่ท่านยกมาเจาต้องรอเวลามี่เหมาะสมเท่านั้น. ต้องเรียนรู้เพิ่มเติมให้ลึกให้กว้างกว่านี้กน่อยมีเท่านี้



นั่นเขาเขียนเล่าเรื่องไว้ เราอ่านดูแล้วแหมง่ายๆง่ายจังเบย เหมือนเราเห็นตึกใหญ่แห่งหนึ่งแล้วนายช่างก็เขียนเล่าไว้ว่าขั้นตอนเป็นอย่างนี้ๆนะ จบ. เสร็จเป็นตึกหลังหนึ่ง คนอ่านแล้วบอกง่ายจัง คิกๆๆ แต่พอให้ไปทำเข้าเอง สองปียังไม่เสร็จ แดดก็ร้อน บางครั้งก็ท้อ ฉันใดก็ฉันนั้น นั่นเขาเขียนเล่าให้ฟัง แต่บิ๊กทู่อ่านแล้วร้องอ๋อง่ายจังง่ายจริงๆ บิ๊กทู๋รู้หรือว่าผู้นั้นเขาทำอะไรมาบ้างผ่านอะไรมาบ้าง :b14: เขาบรรลุอะไรเขารู้สึกยังไง

บอกแล้วง่ายก้มีไม่ง่ายก็มีมันก็เท่านี้ไม่ใช่ว่าจะต้องนากเสมอไป. ผมเข้าใจตั้งแต่ได้ยินคำว่าอนัตตาแล้ว เลยรู้ว่ากิเลสคืออนันตาด้วยเราจึงดูมันเกิดขึ้นดับไป ไม่ปรุ่งแต่งมัน

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ค. 2019, 09:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
กรัชกาย เขียน:
bigtoo เขียน:
กรัชกาย เขียน:
นั่นเขาเขียนเล่าความ เรื่องจริงๆมันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก ให้ดูตัวอย่างหนึ่ง

ลมหายใจหาย อึดอัดทนไม่ไหว ไปต่อไม่ได้ ไม่รู้วิธี กรุณาช่วยให้คำแนะนำด้วยเถอะครับ

ประเด็นที่พบ

การนั่งครั้งหลังๆมานี้ เกิดสภาวะคล้ายๆเดิม ตลอดเกือบทุกครั้ง คือ มือหายไปจากความรู้สึก ไม่รู้สึกว่ามีมืออยู่ (รู้ว่ามี แต่รู้สึกว่าไม่มี ผมอธิบายไม่ถูก เชื่อว่าท่านผู้รู้คงเข้าใจผม) ก้น และต้นขาที่นั่งทับพื้นยังรู้สึกว่ามีอยู่ หลังที่นั่งพิงเก้าอี้ก็รู้สึกว่ายังมีอยู่ คือสรุปว่ามือหายทั้งสองข้าง อย่างอื่นที่เหลือยังรู้สึกถึงได้ อยู่ครบยังไม่หาย มีอาการตัวพองๆยุบๆบ้างแต่ก็ไม่บ่อย มีอาการหายเกือบทั้งตัวบ้างแต่น้อยมาก แต่ที่แน่ๆคือ มือทั้งสองข้างหายทุกครั้ง, ทุกครั้งจริงๆครับ นั่งแป๊บเดียวก็หายแล้ว และหายไปจากความรู้สึกตลอดเวลาที่ยังนั่งอยู่

ลมหายใจเริ่มแผ่วเบาลงเรื่อยๆ จนกระทั่งเหมือนลมหายไป เหมือนไม่ได้หายใจ ในครั้งแรกๆที่เจอสภาวะนี้ ผมตกใจทำอะไรไม่ถูก ตะลีตะลานรีบควานหาลม แล้วก็กลับมาหายใจแบบปกติ, แต่ในครั้งหลังๆ ผมจะพยายามทนอยู่กับสภาวะนี้ ซึ่งผมจะอึดอัดมาก และในที่สุดผมก็ทนไม่ไหว จนต้องบังคับให้ตัวเองหายใจด้วยการสูดยาว จึงจะกลับมารู้สึกว่าผมหายใจแล้ว ผมจึงเริ่มรู้ลมใหม่ .. แล้วลมก็แผ่ว .. แล้วลมก็หาย .. แล้วผมก็ทน .. แล้วผมก็ทนไม่ไหว .. แล้วผมก็สูดลม .. แล้วผมก็รู้ลม .. แล้วลมก็แผ่ว .. ฯลฯ วนรอบอยู่อย่างนี้ ซ้ำรอบอยู่อย่างนี้

ครเราอินทรีย์แตกต่างกัน. ที่ยกมาเพียงอยากให้ผู้ที่เรียนรู้ในพระธรรมว่า การบรรลุธรรมมะนั้นมัหลยาแบบหลายนัยยะเพียงฟังริดหน่อยก็บรรลุได้. บางคนสะสมมาน้อยต้องฟังมากๆถึงบรรลุก็เท่านั้นไม่ใช่กระตายขาเดียวว่าต้องอย่างนั้นอย่างเดียว. ผมเข้าคอร์สเพียง10วัน ก็ดำรงตนดำริออกจากกามมาตลอด17ปี ไม่เคยถอยกลับ คิดกำจัดดิเลสตลอด วันนี้ผมเดินกลับไปใช้ขีวิตปกติแบบคนทั่วไปก็อยากกว่าเดินไปข้างหน้าเสียอีก. บุคคลที่ท่านยกมาเจาต้องรอเวลามี่เหมาะสมเท่านั้น. ต้องเรียนรู้เพิ่มเติมให้ลึกให้กว้างกว่านี้กน่อยมีเท่านี้



นั่นเขาเขียนเล่าเรื่องไว้ เราอ่านดูแล้วแหมง่ายๆง่ายจังเบย เหมือนเราเห็นตึกใหญ่แห่งหนึ่งแล้วนายช่างก็เขียนเล่าไว้ว่าขั้นตอนเป็นอย่างนี้ๆนะ จบ. เสร็จเป็นตึกหลังหนึ่ง คนอ่านแล้วบอกง่ายจัง คิกๆๆ แต่พอให้ไปทำเข้าเอง สองปียังไม่เสร็จ แดดก็ร้อน บางครั้งก็ท้อ ฉันใดก็ฉันนั้น นั่นเขาเขียนเล่าให้ฟัง แต่บิ๊กทู่อ่านแล้วร้องอ๋อง่ายจังง่ายจริงๆ บิ๊กทู๋รู้หรือว่าผู้นั้นเขาทำอะไรมาบ้างผ่านอะไรมาบ้าง :b14: เขาบรรลุอะไรเขารู้สึกยังไง

บอกแล้วง่ายก้มีไม่ง่ายก็มีมันก็เท่านี้ไม่ใช่ว่าจะต้องนากเสมอไป. ผมเข้าใจตั้งแต่ได้ยินคำว่าอนัตตาแล้ว เลยรู้ว่ากิเลสคืออนันตาด้วยเราจึงดูมันเกิดขึ้นดับไป ไม่ปรุ่งแต่งมัน



อนัตตา ต้องรู้เข้าใจด้วยการเข้าถึง ไม่ใช่อนัตตาจากการมโนอนัตตา อนัตตามโน คือ อย่างไร ? คือ เหมือนนั่งดูแผนที่ ส่วนอนัตตาด้วยการเข้าถึง คือ ต้องเดินไปให้ถึงจุดหมายในแผนที่นั้น

สรุป อนัตตามโน กับ อนัตตาเข้าถึง ต่างกันทางความรู้สึก

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ค. 2019, 10:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
bigtoo เขียน:
กรัชกาย เขียน:
bigtoo เขียน:
กรัชกาย เขียน:
นั่นเขาเขียนเล่าความ เรื่องจริงๆมันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก ให้ดูตัวอย่างหนึ่ง

ลมหายใจหาย อึดอัดทนไม่ไหว ไปต่อไม่ได้ ไม่รู้วิธี กรุณาช่วยให้คำแนะนำด้วยเถอะครับ

ประเด็นที่พบ

การนั่งครั้งหลังๆมานี้ เกิดสภาวะคล้ายๆเดิม ตลอดเกือบทุกครั้ง คือ มือหายไปจากความรู้สึก ไม่รู้สึกว่ามีมืออยู่ (รู้ว่ามี แต่รู้สึกว่าไม่มี ผมอธิบายไม่ถูก เชื่อว่าท่านผู้รู้คงเข้าใจผม) ก้น และต้นขาที่นั่งทับพื้นยังรู้สึกว่ามีอยู่ หลังที่นั่งพิงเก้าอี้ก็รู้สึกว่ายังมีอยู่ คือสรุปว่ามือหายทั้งสองข้าง อย่างอื่นที่เหลือยังรู้สึกถึงได้ อยู่ครบยังไม่หาย มีอาการตัวพองๆยุบๆบ้างแต่ก็ไม่บ่อย มีอาการหายเกือบทั้งตัวบ้างแต่น้อยมาก แต่ที่แน่ๆคือ มือทั้งสองข้างหายทุกครั้ง, ทุกครั้งจริงๆครับ นั่งแป๊บเดียวก็หายแล้ว และหายไปจากความรู้สึกตลอดเวลาที่ยังนั่งอยู่

ลมหายใจเริ่มแผ่วเบาลงเรื่อยๆ จนกระทั่งเหมือนลมหายไป เหมือนไม่ได้หายใจ ในครั้งแรกๆที่เจอสภาวะนี้ ผมตกใจทำอะไรไม่ถูก ตะลีตะลานรีบควานหาลม แล้วก็กลับมาหายใจแบบปกติ, แต่ในครั้งหลังๆ ผมจะพยายามทนอยู่กับสภาวะนี้ ซึ่งผมจะอึดอัดมาก และในที่สุดผมก็ทนไม่ไหว จนต้องบังคับให้ตัวเองหายใจด้วยการสูดยาว จึงจะกลับมารู้สึกว่าผมหายใจแล้ว ผมจึงเริ่มรู้ลมใหม่ .. แล้วลมก็แผ่ว .. แล้วลมก็หาย .. แล้วผมก็ทน .. แล้วผมก็ทนไม่ไหว .. แล้วผมก็สูดลม .. แล้วผมก็รู้ลม .. แล้วลมก็แผ่ว .. ฯลฯ วนรอบอยู่อย่างนี้ ซ้ำรอบอยู่อย่างนี้

ครเราอินทรีย์แตกต่างกัน. ที่ยกมาเพียงอยากให้ผู้ที่เรียนรู้ในพระธรรมว่า การบรรลุธรรมมะนั้นมัหลยาแบบหลายนัยยะเพียงฟังริดหน่อยก็บรรลุได้. บางคนสะสมมาน้อยต้องฟังมากๆถึงบรรลุก็เท่านั้นไม่ใช่กระตายขาเดียวว่าต้องอย่างนั้นอย่างเดียว. ผมเข้าคอร์สเพียง10วัน ก็ดำรงตนดำริออกจากกามมาตลอด17ปี ไม่เคยถอยกลับ คิดกำจัดดิเลสตลอด วันนี้ผมเดินกลับไปใช้ขีวิตปกติแบบคนทั่วไปก็อยากกว่าเดินไปข้างหน้าเสียอีก. บุคคลที่ท่านยกมาเจาต้องรอเวลามี่เหมาะสมเท่านั้น. ต้องเรียนรู้เพิ่มเติมให้ลึกให้กว้างกว่านี้กน่อยมีเท่านี้



นั่นเขาเขียนเล่าเรื่องไว้ เราอ่านดูแล้วแหมง่ายๆง่ายจังเบย เหมือนเราเห็นตึกใหญ่แห่งหนึ่งแล้วนายช่างก็เขียนเล่าไว้ว่าขั้นตอนเป็นอย่างนี้ๆนะ จบ. เสร็จเป็นตึกหลังหนึ่ง คนอ่านแล้วบอกง่ายจัง คิกๆๆ แต่พอให้ไปทำเข้าเอง สองปียังไม่เสร็จ แดดก็ร้อน บางครั้งก็ท้อ ฉันใดก็ฉันนั้น นั่นเขาเขียนเล่าให้ฟัง แต่บิ๊กทู่อ่านแล้วร้องอ๋อง่ายจังง่ายจริงๆ บิ๊กทู๋รู้หรือว่าผู้นั้นเขาทำอะไรมาบ้างผ่านอะไรมาบ้าง :b14: เขาบรรลุอะไรเขารู้สึกยังไง

บอกแล้วง่ายก้มีไม่ง่ายก็มีมันก็เท่านี้ไม่ใช่ว่าจะต้องนากเสมอไป. ผมเข้าใจตั้งแต่ได้ยินคำว่าอนัตตาแล้ว เลยรู้ว่ากิเลสคืออนันตาด้วยเราจึงดูมันเกิดขึ้นดับไป ไม่ปรุ่งแต่งมัน



อนัตตา ต้องรู้เข้าใจด้วยการเข้าถึง ไม่ใช่อนัตตาจากการมโนอนัตตา อนัตตามโน คือ อย่างไร ? คือ เหมือนนั่งดูแผนที่ ส่วนอนัตตาด้วยการเข้าถึง คือ ต้องเดินไปให้ถึงจุดหมายในแผนที่นั้น

สรุป อนัตตามโน กับ อนัตตาเข้าถึง ต่างกันทางความรู้สึก

เข้าถึงของคุณ. ยังไปยุ่งเรื่องไม่เป็นเรืีองเลยเข้าถึงแบบไหน. อะไรที่ทำแล้วไม่จบ. ผู้รู้จะทำเหรอ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ค. 2019, 13:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
กรัชกาย เขียน:
bigtoo เขียน:
กรัชกาย เขียน:
bigtoo เขียน:
กรัชกาย เขียน:
นั่นเขาเขียนเล่าความ เรื่องจริงๆมันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก ให้ดูตัวอย่างหนึ่ง

ลมหายใจหาย อึดอัดทนไม่ไหว ไปต่อไม่ได้ ไม่รู้วิธี กรุณาช่วยให้คำแนะนำด้วยเถอะครับ

ประเด็นที่พบ

การนั่งครั้งหลังๆมานี้ เกิดสภาวะคล้ายๆเดิม ตลอดเกือบทุกครั้ง คือ มือหายไปจากความรู้สึก ไม่รู้สึกว่ามีมืออยู่ (รู้ว่ามี แต่รู้สึกว่าไม่มี ผมอธิบายไม่ถูก เชื่อว่าท่านผู้รู้คงเข้าใจผม) ก้น และต้นขาที่นั่งทับพื้นยังรู้สึกว่ามีอยู่ หลังที่นั่งพิงเก้าอี้ก็รู้สึกว่ายังมีอยู่ คือสรุปว่ามือหายทั้งสองข้าง อย่างอื่นที่เหลือยังรู้สึกถึงได้ อยู่ครบยังไม่หาย มีอาการตัวพองๆยุบๆบ้างแต่ก็ไม่บ่อย มีอาการหายเกือบทั้งตัวบ้างแต่น้อยมาก แต่ที่แน่ๆคือ มือทั้งสองข้างหายทุกครั้ง, ทุกครั้งจริงๆครับ นั่งแป๊บเดียวก็หายแล้ว และหายไปจากความรู้สึกตลอดเวลาที่ยังนั่งอยู่

ลมหายใจเริ่มแผ่วเบาลงเรื่อยๆ จนกระทั่งเหมือนลมหายไป เหมือนไม่ได้หายใจ ในครั้งแรกๆที่เจอสภาวะนี้ ผมตกใจทำอะไรไม่ถูก ตะลีตะลานรีบควานหาลม แล้วก็กลับมาหายใจแบบปกติ, แต่ในครั้งหลังๆ ผมจะพยายามทนอยู่กับสภาวะนี้ ซึ่งผมจะอึดอัดมาก และในที่สุดผมก็ทนไม่ไหว จนต้องบังคับให้ตัวเองหายใจด้วยการสูดยาว จึงจะกลับมารู้สึกว่าผมหายใจแล้ว ผมจึงเริ่มรู้ลมใหม่ .. แล้วลมก็แผ่ว .. แล้วลมก็หาย .. แล้วผมก็ทน .. แล้วผมก็ทนไม่ไหว .. แล้วผมก็สูดลม .. แล้วผมก็รู้ลม .. แล้วลมก็แผ่ว .. ฯลฯ วนรอบอยู่อย่างนี้ ซ้ำรอบอยู่อย่างนี้

ครเราอินทรีย์แตกต่างกัน. ที่ยกมาเพียงอยากให้ผู้ที่เรียนรู้ในพระธรรมว่า การบรรลุธรรมมะนั้นมัหลยาแบบหลายนัยยะเพียงฟังริดหน่อยก็บรรลุได้. บางคนสะสมมาน้อยต้องฟังมากๆถึงบรรลุก็เท่านั้นไม่ใช่กระตายขาเดียวว่าต้องอย่างนั้นอย่างเดียว. ผมเข้าคอร์สเพียง10วัน ก็ดำรงตนดำริออกจากกามมาตลอด17ปี ไม่เคยถอยกลับ คิดกำจัดดิเลสตลอด วันนี้ผมเดินกลับไปใช้ขีวิตปกติแบบคนทั่วไปก็อยากกว่าเดินไปข้างหน้าเสียอีก. บุคคลที่ท่านยกมาเจาต้องรอเวลามี่เหมาะสมเท่านั้น. ต้องเรียนรู้เพิ่มเติมให้ลึกให้กว้างกว่านี้กน่อยมีเท่านี้



นั่นเขาเขียนเล่าเรื่องไว้ เราอ่านดูแล้วแหมง่ายๆง่ายจังเบย เหมือนเราเห็นตึกใหญ่แห่งหนึ่งแล้วนายช่างก็เขียนเล่าไว้ว่าขั้นตอนเป็นอย่างนี้ๆนะ จบ. เสร็จเป็นตึกหลังหนึ่ง คนอ่านแล้วบอกง่ายจัง คิกๆๆ แต่พอให้ไปทำเข้าเอง สองปียังไม่เสร็จ แดดก็ร้อน บางครั้งก็ท้อ ฉันใดก็ฉันนั้น นั่นเขาเขียนเล่าให้ฟัง แต่บิ๊กทู่อ่านแล้วร้องอ๋อง่ายจังง่ายจริงๆ บิ๊กทู๋รู้หรือว่าผู้นั้นเขาทำอะไรมาบ้างผ่านอะไรมาบ้าง :b14: เขาบรรลุอะไรเขารู้สึกยังไง

บอกแล้วง่ายก้มีไม่ง่ายก็มีมันก็เท่านี้ไม่ใช่ว่าจะต้องนากเสมอไป. ผมเข้าใจตั้งแต่ได้ยินคำว่าอนัตตาแล้ว เลยรู้ว่ากิเลสคืออนันตาด้วยเราจึงดูมันเกิดขึ้นดับไป ไม่ปรุ่งแต่งมัน



อนัตตา ต้องรู้เข้าใจด้วยการเข้าถึง ไม่ใช่อนัตตาจากการมโนอนัตตา อนัตตามโน คือ อย่างไร ? คือ เหมือนนั่งดูแผนที่ ส่วนอนัตตาด้วยการเข้าถึง คือ ต้องเดินไปให้ถึงจุดหมายในแผนที่นั้น

สรุป อนัตตามโน กับ อนัตตาเข้าถึง ต่างกันทางความรู้สึก

เข้าถึงของคุณ. ยังไปยุ่งเรื่องไม่เป็นเรืีองเลยเข้าถึงแบบไหน. อะไรที่ทำแล้วไม่จบ. ผู้รู้จะทำเหรอ


ดูตัวอย่างนะ พระอริยบุคคล ไม่ต้องเอาถึงพระพุทธเจ้าหรอก เอาแค่พระสารีบุตรพอ ท่านรู้เข้าใจอนัตตาแล้ว แล้วทำไมยังไปยุ่งกับการปกครอง การป้องกันศาสนา เป็นต้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ค. 2019, 13:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
bigtoo เขียน:
กรัชกาย เขียน:
bigtoo เขียน:
กรัชกาย เขียน:
bigtoo เขียน:
กรัชกาย เขียน:
นั่นเขาเขียนเล่าความ เรื่องจริงๆมันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก ให้ดูตัวอย่างหนึ่ง

ลมหายใจหาย อึดอัดทนไม่ไหว ไปต่อไม่ได้ ไม่รู้วิธี กรุณาช่วยให้คำแนะนำด้วยเถอะครับ

ประเด็นที่พบ

การนั่งครั้งหลังๆมานี้ เกิดสภาวะคล้ายๆเดิม ตลอดเกือบทุกครั้ง คือ มือหายไปจากความรู้สึก ไม่รู้สึกว่ามีมืออยู่ (รู้ว่ามี แต่รู้สึกว่าไม่มี ผมอธิบายไม่ถูก เชื่อว่าท่านผู้รู้คงเข้าใจผม) ก้น และต้นขาที่นั่งทับพื้นยังรู้สึกว่ามีอยู่ หลังที่นั่งพิงเก้าอี้ก็รู้สึกว่ายังมีอยู่ คือสรุปว่ามือหายทั้งสองข้าง อย่างอื่นที่เหลือยังรู้สึกถึงได้ อยู่ครบยังไม่หาย มีอาการตัวพองๆยุบๆบ้างแต่ก็ไม่บ่อย มีอาการหายเกือบทั้งตัวบ้างแต่น้อยมาก แต่ที่แน่ๆคือ มือทั้งสองข้างหายทุกครั้ง, ทุกครั้งจริงๆครับ นั่งแป๊บเดียวก็หายแล้ว และหายไปจากความรู้สึกตลอดเวลาที่ยังนั่งอยู่

ลมหายใจเริ่มแผ่วเบาลงเรื่อยๆ จนกระทั่งเหมือนลมหายไป เหมือนไม่ได้หายใจ ในครั้งแรกๆที่เจอสภาวะนี้ ผมตกใจทำอะไรไม่ถูก ตะลีตะลานรีบควานหาลม แล้วก็กลับมาหายใจแบบปกติ, แต่ในครั้งหลังๆ ผมจะพยายามทนอยู่กับสภาวะนี้ ซึ่งผมจะอึดอัดมาก และในที่สุดผมก็ทนไม่ไหว จนต้องบังคับให้ตัวเองหายใจด้วยการสูดยาว จึงจะกลับมารู้สึกว่าผมหายใจแล้ว ผมจึงเริ่มรู้ลมใหม่ .. แล้วลมก็แผ่ว .. แล้วลมก็หาย .. แล้วผมก็ทน .. แล้วผมก็ทนไม่ไหว .. แล้วผมก็สูดลม .. แล้วผมก็รู้ลม .. แล้วลมก็แผ่ว .. ฯลฯ วนรอบอยู่อย่างนี้ ซ้ำรอบอยู่อย่างนี้

ครเราอินทรีย์แตกต่างกัน. ที่ยกมาเพียงอยากให้ผู้ที่เรียนรู้ในพระธรรมว่า การบรรลุธรรมมะนั้นมัหลยาแบบหลายนัยยะเพียงฟังริดหน่อยก็บรรลุได้. บางคนสะสมมาน้อยต้องฟังมากๆถึงบรรลุก็เท่านั้นไม่ใช่กระตายขาเดียวว่าต้องอย่างนั้นอย่างเดียว. ผมเข้าคอร์สเพียง10วัน ก็ดำรงตนดำริออกจากกามมาตลอด17ปี ไม่เคยถอยกลับ คิดกำจัดดิเลสตลอด วันนี้ผมเดินกลับไปใช้ขีวิตปกติแบบคนทั่วไปก็อยากกว่าเดินไปข้างหน้าเสียอีก. บุคคลที่ท่านยกมาเจาต้องรอเวลามี่เหมาะสมเท่านั้น. ต้องเรียนรู้เพิ่มเติมให้ลึกให้กว้างกว่านี้กน่อยมีเท่านี้
การปกครองศาสนาส่วกควรทำได้แค่ เรียน


นั่นเขาเขียนเล่าเรื่องไว้ เราอ่านดูแล้วแหมง่ายๆง่ายจังเบย เหมือนเราเห็นตึกใหญ่แห่งหนึ่งแล้วนายช่างก็เขียนเล่าไว้ว่าขั้นตอนเป็นอย่างนี้ๆนะ จบ. เสร็จเป็นตึกหลังหนึ่ง คนอ่านแล้วบอกง่ายจัง คิกๆๆ แต่พอให้ไปทำเข้าเอง สองปียังไม่เสร็จ แดดก็ร้อน บางครั้งก็ท้อ ฉันใดก็ฉันนั้น นั่นเขาเขียนเล่าให้ฟัง แต่บิ๊กทู่อ่านแล้วร้องอ๋อง่ายจังง่ายจริงๆ บิ๊กทู๋รู้หรือว่าผู้นั้นเขาทำอะไรมาบ้างผ่านอะไรมาบ้าง :b14: เขาบรรลุอะไรเขารู้สึกยังไง

บอกแล้วง่ายก้มีไม่ง่ายก็มีมันก็เท่านี้ไม่ใช่ว่าจะต้องนากเสมอไป. ผมเข้าใจตั้งแต่ได้ยินคำว่าอนัตตาแล้ว เลยรู้ว่ากิเลสคืออนันตาด้วยเราจึงดูมันเกิดขึ้นดับไป ไม่ปรุ่งแต่งมัน



อนัตตา ต้องรู้เข้าใจด้วยการเข้าถึง ไม่ใช่อนัตตาจากการมโนอนัตตา อนัตตามโน คือ อย่างไร ? คือ เหมือนนั่งดูแผนที่ ส่วนอนัตตาด้วยการเข้าถึง คือ ต้องเดินไปให้ถึงจุดหมายในแผนที่นั้น

สรุป อนัตตามโน กับ อนัตตาเข้าถึง ต่างกันทางความรู้สึก

เข้าถึงของคุณ. ยังไปยุ่งเรื่องไม่เป็นเรืีองเลยเข้าถึงแบบไหน. อะไรที่ทำแล้วไม่จบ. ผู้รู้จะทำเหรอ


ดูตัวอย่างนะ พระอริยบุคคล ไม่ต้องเอาถึงพระพุทธเจ้าหรอก เอาแค่พระสารีบุตรพอ ท่านรู้เข้าใจอนัตตาแล้ว แล้วทำไมยังไปยุ่งกับการปกครอง การป้องกันศาสนา เป็นต้น
การปกครองศาสนได้แค่เรียนรุ้ให้ตรง เผยแผ่ธรรมนั้นแก่สาวกรุ่นต่อไปแค่นั้น ไม่เกี่ยวกับวาทาทางศาสนาอื่นด้วยเรื่องการเมือง. ทำหน้าของเราให้ดีเท่านี้

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ค. 2019, 13:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
กรัชกาย เขียน:
bigtoo เขียน:
กรัชกาย เขียน:
bigtoo เขียน:
กรัชกาย เขียน:
bigtoo เขียน:
กรัชกาย เขียน:
นั่นเขาเขียนเล่าความ เรื่องจริงๆมันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก ให้ดูตัวอย่างหนึ่ง

ลมหายใจหาย อึดอัดทนไม่ไหว ไปต่อไม่ได้ ไม่รู้วิธี กรุณาช่วยให้คำแนะนำด้วยเถอะครับ

ประเด็นที่พบ

การนั่งครั้งหลังๆมานี้ เกิดสภาวะคล้ายๆเดิม ตลอดเกือบทุกครั้ง คือ มือหายไปจากความรู้สึก ไม่รู้สึกว่ามีมืออยู่ (รู้ว่ามี แต่รู้สึกว่าไม่มี ผมอธิบายไม่ถูก เชื่อว่าท่านผู้รู้คงเข้าใจผม) ก้น และต้นขาที่นั่งทับพื้นยังรู้สึกว่ามีอยู่ หลังที่นั่งพิงเก้าอี้ก็รู้สึกว่ายังมีอยู่ คือสรุปว่ามือหายทั้งสองข้าง อย่างอื่นที่เหลือยังรู้สึกถึงได้ อยู่ครบยังไม่หาย มีอาการตัวพองๆยุบๆบ้างแต่ก็ไม่บ่อย มีอาการหายเกือบทั้งตัวบ้างแต่น้อยมาก แต่ที่แน่ๆคือ มือทั้งสองข้างหายทุกครั้ง, ทุกครั้งจริงๆครับ นั่งแป๊บเดียวก็หายแล้ว และหายไปจากความรู้สึกตลอดเวลาที่ยังนั่งอยู่

ลมหายใจเริ่มแผ่วเบาลงเรื่อยๆ จนกระทั่งเหมือนลมหายไป เหมือนไม่ได้หายใจ ในครั้งแรกๆที่เจอสภาวะนี้ ผมตกใจทำอะไรไม่ถูก ตะลีตะลานรีบควานหาลม แล้วก็กลับมาหายใจแบบปกติ, แต่ในครั้งหลังๆ ผมจะพยายามทนอยู่กับสภาวะนี้ ซึ่งผมจะอึดอัดมาก และในที่สุดผมก็ทนไม่ไหว จนต้องบังคับให้ตัวเองหายใจด้วยการสูดยาว จึงจะกลับมารู้สึกว่าผมหายใจแล้ว ผมจึงเริ่มรู้ลมใหม่ .. แล้วลมก็แผ่ว .. แล้วลมก็หาย .. แล้วผมก็ทน .. แล้วผมก็ทนไม่ไหว .. แล้วผมก็สูดลม .. แล้วผมก็รู้ลม .. แล้วลมก็แผ่ว .. ฯลฯ วนรอบอยู่อย่างนี้ ซ้ำรอบอยู่อย่างนี้

ครเราอินทรีย์แตกต่างกัน. ที่ยกมาเพียงอยากให้ผู้ที่เรียนรู้ในพระธรรมว่า การบรรลุธรรมมะนั้นมัหลยาแบบหลายนัยยะเพียงฟังริดหน่อยก็บรรลุได้. บางคนสะสมมาน้อยต้องฟังมากๆถึงบรรลุก็เท่านั้นไม่ใช่กระตายขาเดียวว่าต้องอย่างนั้นอย่างเดียว. ผมเข้าคอร์สเพียง10วัน ก็ดำรงตนดำริออกจากกามมาตลอด17ปี ไม่เคยถอยกลับ คิดกำจัดดิเลสตลอด วันนี้ผมเดินกลับไปใช้ขีวิตปกติแบบคนทั่วไปก็อยากกว่าเดินไปข้างหน้าเสียอีก. บุคคลที่ท่านยกมาเจาต้องรอเวลามี่เหมาะสมเท่านั้น. ต้องเรียนรู้เพิ่มเติมให้ลึกให้กว้างกว่านี้กน่อยมีเท่านี้
การปกครองศาสนาส่วกควรทำได้แค่ เรียน


นั่นเขาเขียนเล่าเรื่องไว้ เราอ่านดูแล้วแหมง่ายๆง่ายจังเบย เหมือนเราเห็นตึกใหญ่แห่งหนึ่งแล้วนายช่างก็เขียนเล่าไว้ว่าขั้นตอนเป็นอย่างนี้ๆนะ จบ. เสร็จเป็นตึกหลังหนึ่ง คนอ่านแล้วบอกง่ายจัง คิกๆๆ แต่พอให้ไปทำเข้าเอง สองปียังไม่เสร็จ แดดก็ร้อน บางครั้งก็ท้อ ฉันใดก็ฉันนั้น นั่นเขาเขียนเล่าให้ฟัง แต่บิ๊กทู่อ่านแล้วร้องอ๋อง่ายจังง่ายจริงๆ บิ๊กทู๋รู้หรือว่าผู้นั้นเขาทำอะไรมาบ้างผ่านอะไรมาบ้าง :b14: เขาบรรลุอะไรเขารู้สึกยังไง

บอกแล้วง่ายก้มีไม่ง่ายก็มีมันก็เท่านี้ไม่ใช่ว่าจะต้องนากเสมอไป. ผมเข้าใจตั้งแต่ได้ยินคำว่าอนัตตาแล้ว เลยรู้ว่ากิเลสคืออนันตาด้วยเราจึงดูมันเกิดขึ้นดับไป ไม่ปรุ่งแต่งมัน



อนัตตา ต้องรู้เข้าใจด้วยการเข้าถึง ไม่ใช่อนัตตาจากการมโนอนัตตา อนัตตามโน คือ อย่างไร ? คือ เหมือนนั่งดูแผนที่ ส่วนอนัตตาด้วยการเข้าถึง คือ ต้องเดินไปให้ถึงจุดหมายในแผนที่นั้น

สรุป อนัตตามโน กับ อนัตตาเข้าถึง ต่างกันทางความรู้สึก

เข้าถึงของคุณ. ยังไปยุ่งเรื่องไม่เป็นเรืีองเลยเข้าถึงแบบไหน. อะไรที่ทำแล้วไม่จบ. ผู้รู้จะทำเหรอ


ดูตัวอย่างนะ พระอริยบุคคล ไม่ต้องเอาถึงพระพุทธเจ้าหรอก เอาแค่พระสารีบุตรพอ ท่านรู้เข้าใจอนัตตาแล้ว แล้วทำไมยังไปยุ่งกับการปกครอง การป้องกันศาสนา เป็นต้น
การปกครองศาสนได้แค่เรียนรุ้ให้ตรง เผยแผ่ธรรมนั้นแก่สาวกรุ่นต่อไปแค่นั้น ไม่เกี่ยวกับวาทาทางศาสนาอื่นด้วยเรื่องการเมือง. ทำหน้าของเราให้ดีเท่านี้


สมมติว่า มีโจรจะมาปล้นบ้านตัวเอง บิ๊กทู่จะทำยังไง :b10:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ค. 2019, 16:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
bigtoo เขียน:
กรัชกาย เขียน:
bigtoo เขียน:
กรัชกาย เขียน:
bigtoo เขียน:
กรัชกาย เขียน:
bigtoo เขียน:
กรัชกาย เขียน:
นั่นเขาเขียนเล่าความ เรื่องจริงๆมันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก ให้ดูตัวอย่างหนึ่ง

ลมหายใจหาย อึดอัดทนไม่ไหว ไปต่อไม่ได้ ไม่รู้วิธี กรุณาช่วยให้คำแนะนำด้วยเถอะครับ

ประเด็นที่พบ

การนั่งครั้งหลังๆมานี้ เกิดสภาวะคล้ายๆเดิม ตลอดเกือบทุกครั้ง คือ มือหายไปจากความรู้สึก ไม่รู้สึกว่ามีมืออยู่ (รู้ว่ามี แต่รู้สึกว่าไม่มี ผมอธิบายไม่ถูก เชื่อว่าท่านผู้รู้คงเข้าใจผม) ก้น และต้นขาที่นั่งทับพื้นยังรู้สึกว่ามีอยู่ หลังที่นั่งพิงเก้าอี้ก็รู้สึกว่ายังมีอยู่ คือสรุปว่ามือหายทั้งสองข้าง อย่างอื่นที่เหลือยังรู้สึกถึงได้ อยู่ครบยังไม่หาย มีอาการตัวพองๆยุบๆบ้างแต่ก็ไม่บ่อย มีอาการหายเกือบทั้งตัวบ้างแต่น้อยมาก แต่ที่แน่ๆคือ มือทั้งสองข้างหายทุกครั้ง, ทุกครั้งจริงๆครับ นั่งแป๊บเดียวก็หายแล้ว และหายไปจากความรู้สึกตลอดเวลาที่ยังนั่งอยู่

ลมหายใจเริ่มแผ่วเบาลงเรื่อยๆ จนกระทั่งเหมือนลมหายไป เหมือนไม่ได้หายใจ ในครั้งแรกๆที่เจอสภาวะนี้ ผมตกใจทำอะไรไม่ถูก ตะลีตะลานรีบควานหาลม แล้วก็กลับมาหายใจแบบปกติ, แต่ในครั้งหลังๆ ผมจะพยายามทนอยู่กับสภาวะนี้ ซึ่งผมจะอึดอัดมาก และในที่สุดผมก็ทนไม่ไหว จนต้องบังคับให้ตัวเองหายใจด้วยการสูดยาว จึงจะกลับมารู้สึกว่าผมหายใจแล้ว ผมจึงเริ่มรู้ลมใหม่ .. แล้วลมก็แผ่ว .. แล้วลมก็หาย .. แล้วผมก็ทน .. แล้วผมก็ทนไม่ไหว .. แล้วผมก็สูดลม .. แล้วผมก็รู้ลม .. แล้วลมก็แผ่ว .. ฯลฯ วนรอบอยู่อย่างนี้ ซ้ำรอบอยู่อย่างนี้

ครเราอินทรีย์แตกต่างกัน. ที่ยกมาเพียงอยากให้ผู้ที่เรียนรู้ในพระธรรมว่า การบรรลุธรรมมะนั้นมัหลยาแบบหลายนัยยะเพียงฟังริดหน่อยก็บรรลุได้. บางคนสะสมมาน้อยต้องฟังมากๆถึงบรรลุก็เท่านั้นไม่ใช่กระตายขาเดียวว่าต้องอย่างนั้นอย่างเดียว. ผมเข้าคอร์สเพียง10วัน ก็ดำรงตนดำริออกจากกามมาตลอด17ปี ไม่เคยถอยกลับ คิดกำจัดดิเลสตลอด วันนี้ผมเดินกลับไปใช้ขีวิตปกติแบบคนทั่วไปก็อยากกว่าเดินไปข้างหน้าเสียอีก. บุคคลที่ท่านยกมาเจาต้องรอเวลามี่เหมาะสมเท่านั้น. ต้องเรียนรู้เพิ่มเติมให้ลึกให้กว้างกว่านี้กน่อยมีเท่านี้
การปกครองศาสนาส่วกควรทำได้แค่ เรียน


นั่นเขาเขียนเล่าเรื่องไว้ เราอ่านดูแล้วแหมง่ายๆง่ายจังเบย เหมือนเราเห็นตึกใหญ่แห่งหนึ่งแล้วนายช่างก็เขียนเล่าไว้ว่าขั้นตอนเป็นอย่างนี้ๆนะ จบ. เสร็จเป็นตึกหลังหนึ่ง คนอ่านแล้วบอกง่ายจัง คิกๆๆ แต่พอให้ไปทำเข้าเอง สองปียังไม่เสร็จ แดดก็ร้อน บางครั้งก็ท้อ ฉันใดก็ฉันนั้น นั่นเขาเขียนเล่าให้ฟัง แต่บิ๊กทู่อ่านแล้วร้องอ๋อง่ายจังง่ายจริงๆ บิ๊กทู๋รู้หรือว่าผู้นั้นเขาทำอะไรมาบ้างผ่านอะไรมาบ้าง :b14: เขาบรรลุอะไรเขารู้สึกยังไง

บอกแล้วง่ายก้มีไม่ง่ายก็มีมันก็เท่านี้ไม่ใช่ว่าจะต้องนากเสมอไป. ผมเข้าใจตั้งแต่ได้ยินคำว่าอนัตตาแล้ว เลยรู้ว่ากิเลสคืออนันตาด้วยเราจึงดูมันเกิดขึ้นดับไป ไม่ปรุ่งแต่งมัน



อนัตตา ต้องรู้เข้าใจด้วยการเข้าถึง ไม่ใช่อนัตตาจากการมโนอนัตตา อนัตตามโน คือ อย่างไร ? คือ เหมือนนั่งดูแผนที่ ส่วนอนัตตาด้วยการเข้าถึง คือ ต้องเดินไปให้ถึงจุดหมายในแผนที่นั้น

สรุป อนัตตามโน กับ อนัตตาเข้าถึง ต่างกันทางความรู้สึก

เข้าถึงของคุณ. ยังไปยุ่งเรื่องไม่เป็นเรืีองเลยเข้าถึงแบบไหน. อะไรที่ทำแล้วไม่จบ. ผู้รู้จะทำเหรอ


ดูตัวอย่างนะ พระอริยบุคคล ไม่ต้องเอาถึงพระพุทธเจ้าหรอก เอาแค่พระสารีบุตรพอ ท่านรู้เข้าใจอนัตตาแล้ว แล้วทำไมยังไปยุ่งกับการปกครอง การป้องกันศาสนา เป็นต้น
การปกครองศาสนได้แค่เรียนรุ้ให้ตรง เผยแผ่ธรรมนั้นแก่สาวกรุ่นต่อไปแค่นั้น ไม่เกี่ยวกับวาทาทางศาสนาอื่นด้วยเรื่องการเมือง. ทำหน้าของเราให้ดีเท่านี้


สมมติว่า มีโจรจะมาปล้นบ้านตัวเอง บิ๊กทู่จะทำยังไง :b10:
บ้านผมป้องกันดีโจรปล้นไม่ได้

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ค. 2019, 20:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
กรัชกาย
สมมติว่า มีโจรจะมาปล้นบ้านตัวเอง บิ๊กทู่จะทำยังไง


อ้างคำพูด:
bigtoo
บ้านผมป้องกันดีโจรปล้นไม่ได้


มันเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้นะ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ค. 2019, 21:00 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


ปัญญาน้อย...ก็ป้องกันได้น้อย

ปัญญามาก...ก็ป้องกันได้มาก...

จะป้องกันพระศาสนา...ได้ยังงัยถ้าปัญญาน้อย.น้อย...

ละกักกาย..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ค. 2019, 21:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ปัญญาน้อย...ก็ป้องกันได้น้อย

ปัญญามาก...ก็ป้องกันได้มาก...

จะป้องกันพระศาสนา...ได้ยังงัยถ้าปัญญาน้อย.น้อย...

ละกักกาย..


ชาวพุทธมีคนเดียวหรอ :b12:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 52 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 40 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร