วันเวลาปัจจุบัน 16 เม.ย. 2024, 14:24  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 พ.ค. 2019, 04:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


#งานพระราชทานเพลิงศพ_หลวงปู่เปลี่ยน_ปัญญาปทีโป_ตอนที่๓

#สรณะไม่ได้อยู่บนท้องฟ้านะ !!

...สงฆ์ก็คือมหาภูต ๔ เป็นสงฆ์นะ เป็นสรณะ เมื่อมหาภูตประชุมกันจึงเป็น "ก้อนธาตุก้อนธรรม" เป็น "กองอายตนะ" เป็นกองสมมุตินะ เขาเรียกว่ากองธรรม ลองกลับดูสิ กลับนะและมะดูสิ จากนะโมมันก็เป็นมะโน ก็คือใจ ใจเราถือสรณะ จริงไหม คิดดูดีๆนะ มาถือพระคุณของพ่อของแม่ มาถือพระไตรสรณคมณ์ ๒ มาถือก้อนธาตุก้อนธรรมนี่ มาถือเอาตั้งแต่เมื่อไหร่ มาถือเอาตั้งแต่โน้นท้องแม่โน้น แล้วก็พวกปราชญ์และบัณฑิตพากันแปลนะโม...แปลได้เพราะพริ้งมาก ยอดยอมรับ

นะโม : อันว่าความนอบน้อม
ภะวะโต : ต่อพระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสสะ : พระองค์นั้น
อะระหะโต : เป็นพระอรหันต์ ผู้มีอาสวะสิ้น
สัมพุทธัสสะ : ตรัสรู้เองโดยชอบ ที่เขาแปลนะโนกันในหนังสือน่ะ แต่ถ้าแปลในทางปฏิบัติล่ะ เข้าสู่พระไตรสรณคมณ์จริงๆล่ะ ไม่ได้พูดสรณะภายนอกนะ พูดถึงเรื่องสรณะภายใน เพราะองค์สรณะภายในมีอยู่ในตัวของเรา เรียกว่า เมื่อมันเป็นวัดขึ้นมาแล้วนี่ มันถึงมีมโน แปลว่าใจ ใจมันมาถือปฏิสนธิเอาอยู่ในท้องแม่โน้น จริงไหมเมื่อธาตุทั้ง ๒ ประชุมกันแล้วน่ะ จิตวิญญานของเรามาถือเอาตั้งแต่ในท้องแม่โน้น พ่อแม่ทุกข์ทรมานไหม เด็กทุกวันนี้มันเคารพพ่อแม่ไหม เห็นข่าวออกก็มีแต่ฆ่ากัน ฆ่าพ่อฆ่าแม่ด่าพ่อด่าแม่จริงหรือไม่จริง ตั้งแต่อยู่ในท้อง พ่อและแม่ก็เลี้ยงดูอุปถัมภ์มารักขนาดไหน ลอดก้นแม่มาแล้วก็ยังเลี้ยงดูอุ้มชูอีก

พ่อแม่มีบุญคุณเหลือที่จะประมาณ เคยนึกถึงพระคุณของท่านไหม เคยนึกหรือเปล่า พ่อแม่ให้สมบัติอันล้นค่าสมบัติอันล้นโลก ก็คือตัวตนสกลกาย เรียกว่ากายวัด เพราะวัดอันนี้เป็นวัดที่ศึกษา ใครเป็นผู้ศึกษา ตัวพุทธะคือใจ เป็นผู้มาศึกษา ใจมันตัวไม่ตายน่ะ แต่ธาตุมันแตกสลายได้น่ะ แล้วมาถือเอาก้อนะระธรรมอันนี้ องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้ามาพิจารณาก้อนธรรมอันนี้ อันเป็นสรณะ สงฆ์เป็นสรณะ

ถ้าหากว่าจะแปลล่ะ พระคุณของแม่เราของพ่อเราเป็นยังไง น้ำเป็นของแม่น่ะ ธาตุน้ำน่ะ ดินเป็นของพ่อน่ะ น้ำและดินมันตั้งขึ้นมาแล้ว นะโมมันตั้งขึ้น ตั้งธาตุประชุมธาตุ ประชุมวัด สร้างวัด พ่อและแม่เป็นผู้สร้าง ถ้าเราจะแปละนะโมล่ะ...
นะโม : อันว่าน้ำและดิน,
ตัสสะ : ของบิดามารดานั้น,
ภะวะโต : บิดามารดาเป็นผู้จำแนกธาตุน้ำและธาตุดิน,
อะระโต : จำแนกให้แล้วจนเสร็จ สัมมาตั้งอยู่ในครรค์มารดาท่าน ๑๐ เดือนแล้วโดยชอบ
สัมพุทโธ : จึงได้เกิดขึ้นมา

เคยนึกถึงพระคุณท่านไหม มายึดถือเอาธาตุเอาขันธ์ของพ่อของแม่ พระคุณของพ่อของแม่แล้วยังมาเนรคุณ เห็นแล้วก็เศร้าใจฟังแล้วก็น่าเศร้าใจ ร่างกายหรือว่าวัดอันนี้น่ะ เราอยากจะได้อะไรเราทำเอาสิ เพราะตัวตนสกลกายเป็นธรรม อยากจะได้แก้วแหวนเงินทองก็ทำเอาสิ เพราะกายคือแก้วสารพัดนึก สรณที่พึ่ง (ท่านชี้ที่ตัวเองหมายถึงตัวเราเองเป็นที่พึ่ง)

เมื่อมันเป็นก้อนธาตุก้อนธรรมขึ้นมาแล้วนี่ เรากลับนะกับมะ เราก็รู้ว่าเป็นใจแล้ว คือตัวพุทธะ จึงเป็นพุทธัง ธัมมัง สังฆัง อยู่ที่ตัวเรานี่ ไปหาสรณะที่ไหน ไปหาพระสงฆ์ที่ไหน ไปหาพระธรรมที่ไหน ธัมมะ สังฆะ เป็นรูป ตัวจิตวิญญานตัวรู้ตัวพุทธะนั้นล่ะเขา ตัวพุทธเป็นสรณะ ถ้าเราไม่ดูในที่ตัวเรา เราจะรู้หรอว่า พุทธัง ธัมมัง สังฆังว่าเป็นที่พึ่งเป็นสรณะของตัวเราเองน่ะ เราอยากได้อะไร พระพุทธเจ้าจึงมาพิจารณาในธาตุในขันธ์นี้เองก่อนตรัสรู้เห็นไหม เคยอ่านใช่ไหมพุทธประวัติ ก็มาดูอันนี้ไม่ใช่หรอเป็นธรรม

เป็นธรรมได้ยังไง เป็นสรณะได้ยังไง จะเห็นว่าเป็นสรณะได้ยังไง ขาของเราทำหน้าที่ในการเดินใช่ไหม จริงหรือเปล่า เราเอาขาเราเดินใช่ไหม ขาเราทำหน้าที่เดินจริงไหม จะไปถึงไหนก็ขานี้เป็นสรณะสำหรับเดิน หรือเอามือเดิน ขาก็เป็นสรณะ และก็เป็นก้อนธรรมไม่ใช่หรอ รู้ทำไมถึงไม่รู้ เห็นทำไมถึงไม่เห็นนี่หรอมนุษย์สัตว์ใจสูง สรณะไม่ได้อยู่บนท้องฟ้านะ องค์สรณะที่พึ่งก็คือตัวเรานี้แหละเป็นที่พึ่งนะ แล้วไม่ใช่แต่ขาน่ะที่เป็นที่พึ่งสรณะเป็นธรรมน่ะ ฝ่าเท้าก็เป็นธรรมแล้ว ทำเอาสิจะเดินไปไหนละถึงที่ได้ เห็นไหมล่ะธรรม(ทำ) แล้วก็ตาก็ทำหน้าที่ดูอีก ตาก็เป็นสรณะอีก แล้วจะไปหาธรรมที่ไหน สรณะที่ไหน ก้อนธรรมก็อยู่ที่นี้

ถอดจากเทปพระธรรมเทศนา
หลวงปู่สวาท ปัญญาธโร วัดโปร่งจันทร์ อ.คิชฌกูฏ
จ.จันทบุรี (ศิษย์ในองค์หลวงปู่แหวน สุจิณโณ)






" คนเรามักทะนุบำรุงแต่ร่างกายของตน บุตร ธิดา ภรรยา สามี ที่เป็นสภาพ แก่ เจ็บ ตายนี้
ส่วนจิตใจนี้มีบุญกุศล บารมีของเก่าอยู่เท่าใด ทำบุญสูญหายไปเท่าใด มิได้คำนึงถึงเอาเสียเลย ห่วงแต่สังขารร่างกายเท่านั้น
น่าเสียดายที่ไม่ได้ระลึกถึงใจของตน เราได้กระทำความดีอันใดไว้ให้จิตใจของตน
เราได้ทะนุบำรุงรักษาจิตใจของเราอย่างไรบ้าง
ได้ปฏิบัติให้เกิดบุญกุศล ให้มีศีลธรรมสูงขึ้นไปเพียงใด ไม่ค่อยสนใจกันเลย
ไม่พากันสนใจ มีแต่คอยทะนุบำรุงขันธ์ ๕ หวังให้อยู่ดี กินดีเท่านั้น."

หลวงปู่คำดี ปภาโส






" สมัยครั้งพุทธกาลก็ดี เมื่อมีคนนินทาพระผู้มีพระภาคเจ้า พระอานนท์ท่านเห็นคนนินทาแล้วก็ต้องชวนพระผู้มีพระภาคเจ้าไปอยู่รัฐอื่น ไปแคว้นอื่นดีกว่า ที่นี่เขานินทากาเลเหลือเกิน เขาว่าอย่างนั้นอย่างนี้ให้ นินทา พระพุทธองค์จึงตรัสกับพระอานนท์ว่า อานนท์..ถ้าหากเราไปรัฐอื่น ไปเมืองอื่นเขานินทาเหมือนอย่างเดิมเราจะไปที่ไหน ไปเมืองอื่นอีกแล้วเขานินทาเราอีก เราจะไปเมืองอะไร จะไปที่ไหน ไม่มีที่ไปแล้วในโลกนี้ เราจะต้องปักหลักสู้ ก็คือปักหลักศึกษาเท่านั้นเอง เมื่อโลกมันเป็นอยู่อย่างนี้ ไม่ให้เขานินทาเรา เราจะไปทำอย่างไร คนที่ไม่รู้จักมันจึงนินทา คนที่รู้มันก็ไม่นินทา รู้จักว่าคนเป็นคนดี คนดีมันก็นินทา คนไม่ดีมันก็นินทา เราก็ดูสติปัญญาของคน ร้อนมากมันก็นินทา ความร้อนด่าความร้อน หนาวมากมันก็ด่าว่าอากาศมันหนาว ฝนตกมันก็ด่าฝนอีก ฝนไม่ตกมันก็ด่าอีก จะทำอย่างไรเราจะไปทางไหน มันเป็นอย่างนี้ในชีวิตของเรา..

พระพุทธองค์จึงทรงสั่งสอนให้เรียน ให้รู้ ให้เข้าใจ ในโลกนี้ มันเป็นอยู่อย่างนี้แหละ จะทำอย่างไร ถ้าเรามาพิจารณาดูดีดีแล้ว ตั้งแต่เราเกิดขึ้นมาจนถึงปัจจุบันนี้ มันมีคนนินทากันไหม มีคนด่า คนโกรธ คนเกลียดกันให้เราเห็นไหม มีความวุ่นวายเกิดขึ้นในโลก เราเคยเห็นไหม มันเห็นอยู่ในตาเนื้อนี่ มันเห็นอยู่เห็นตาเนื้อ ตาในมันไม่เห็น ตาสติปัญญามันไม่มี มันขาด มันบอด ก็ถือว่าเราเป็นคนตาบอดอยู่ ตายังไม่ดี ดีแต่ตาข้างนอก ตาในไม่ดี ตาสติปัญญายังไม่ดี เมื่อมันไม่ดีก็เหมือนจิตใจของเรานี้ขาดสติปัญญาที่จะรักษาตนให้มันรอบรู้ ดูสิ่งที่จะมากระทบตนหรือว่าตนเองจะรับอารมภ์นั้นก็เลยไม่รู้ ไม่รู้ก็เลยต้องหวั่นไหวไปกับสิ่งเหล่านั้น

นี่..เราจะพากันศึกษาเรื่องอย่างนี้เพื่อจะให้เข้าใจว่า ถ้าเราไม่เข้าใจเราก็จะหลงกันไปอยู่อย่างนี้แหละ โลกมันเป็นธรรมดา นี่..จะศึกษาเพื่อให้รู้ ให้เข้าใจในโลก สิ่งไม่รู้จะให้เข้าใจในสิ่งนั้นว่า มันอยู่อย่างไร มันเกิดขึ้นมาอย่างไร แล้วมันต้องอยู่อย่างไร มันดับไปที่ไหน มันอยู่ประจำโลกนี้มานานอย่างไร โลกมันตั้งมาอย่างไร มันอยู่ของมันเองแท้ๆ มันเป็นอยู่อย่างนี้ ตั้งแต่เรายังไม่เกิดมา เขาก็เป็นกันอยู่ เราเกิดมาแล้วก็เป็น เกิดเราตายไปวันนี้ เขาก็จะเป็นอีก อยู่อย่างนี้แหละ จริงหรือไม่จริงตรงนี้ เราต้องวิเคราะห์เองของเรา มันก็จะได้เห็นชัดเจนเกิดขึ้นมาว่า พระพุทธเจ้าท่านสอนให้รู้ธรรมชาติของโลก เพื่อจะให้มันพ้นโลกก็ต้องรู้ รู้โลกและเข้าใจโลกที่เป็นธรรมชาติของมัน มันจึงจะพ้นได้

ถ้าหากเราไม่มีสติปัญญารู้ เราก็ไม่สามารถพ้นทุกข์ได้ เราก็ติดอยู่ในโลกธรรม ๘ มันก็ละไม่ได้จิตใจ เมื่อมันมาสัมผัสจิตใจเรานี้ พระอริยะเจ้าทั้งหลายท่านรู้แจ้งด้วยสติปัญญาของท่าน รู้แจ้งเห็นจริง ท่านก็หลุดได้ ไปได้ ไม่ขัดข้อง "

______________________

ธรรมะคำสอน : พ่อแม่ครูอาจารย์ ท่านพระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ค. 2019, 22:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2018, 07:07
โพสต์: 482

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 25 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร